คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
หลายเดือนก่อนหน้านี้...
ร่างใต้ผ้าห่มขยับกระสับกระส่าย
ก่อนสะดุ้งลืมตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินเสียงบิดจักรยานยนต์ที่ถนนนอกรั้วบ้าน
พรายน้ำของนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กใกล้ที่นอนซึ่งวางติดกับพื้นห้องบ่งบอกเวลาตีสามยี่สิบเจ็ดนาที
เสียงพัดลมเพดานกลางห้องหมุนวนดังให้พอรำคาญหู
“ตกใจตื่นเพราะเสียงรถเหมือนกันเหรอพี่นาง” เสียงถามจากเด็กสาวซึ่งนอนอยู่บนที่นอนอีกฟากหนึ่งของห้องมีเพียงม่านกั้นกลางไว้
ไม่ใช่เสียงรถที่ทำให้หญิงสาวตกใจตื่น น่าขอบคุณด้วยซ้ำไปเพราะเสียงดังจากฝีมือพวกวัยรุ่นป่วนเมืองช่วยปลุกให้เธอตื่นจากฝันร้าย
“อากาศร้อนขึ้นทุกวัน พรุ่งนี้เดือนกับแก้วลากที่นอนมาใกล้ๆ ม่านหน่อยก็ดี
ถือซะว่าจัดห้องใหม่กัน จะได้ใกล้พัดลมด้วย”
ลนารินยกมือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก หญิงสาวรู้สึกกระหายน้ำ
จึงลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ใกล้ขึ้นดื่ม
เธอเพิ่งจะล้มตัวลงนอนได้ราวสองชั่วโมงหลังกลับจากทำงาน
ลมโชยมาพัดม่านผ้าป่านของหน้าต่างให้พลิ้วไหว
เสาไฟที่ถนนหน้าบ้านให้แสงสลัวรางส่งผ่านเข้ามาในห้อง ลนารินล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เพราะยังข่มตานอนไม่หลับ จึงคิดเรื่อยไปถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อน...
พ่อแม่ของลนารินเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตอนเด็กหญิงอายุได้ประมาณห้าขวบ
จึงต้องอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของย่า แต่ก็เพียงสองปีเท่านั้น พอย่าเสีย
เด็กหญิงก็ย้ายไปอยู่กับป้าผู้เป็นพี่สาวของพ่อ
ที่นั่นเด็กอายุเจ็ดขวบต้องสู้ทนปากกัดตีนถีบสารพัด ต้องทำงานก่อนถึงจะได้กิน
และป้าก็ด่ากระทบกระเทียบทุกวันว่าเธอคือภาระ
และมักถูกรังแกกลั่นแกล้งจากลูกชายหญิงของป้าทั้งสองคน
ซ้ำร้ายตอนอายุสิบสองปียังเกือบถูกลุงเขยกระทำชำเรา
วันที่หนีขึ้นรถบรรทุกผักแล้วแอบอยู่ใต้ผืนผ้าใบคลุมรถ
ก็เพียงคิดว่าจะแอบซ่อนตัว
แล้วรอให้ลุงเขยหายโมโหที่เธอเอาเตารีดฟาดเขาตอนพยายามข่มขืนเธอ
แต่เพราะเหนื่อยจากการวิ่งและแดดก็ร้อนจึงเผลอหลับไป
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มาอยู่ในกรุงเทพฯเสียแล้ว
เด็กหญิงอายุสิบสองเดินร่อนเร่อยู่สองวัน
ประทังชีวิตด้วยการรับจ้างล้างจานตามร้านอาหารข้างทางเพื่อแลกข้าวในแต่ละมื้อ
กลางคืนก็นอนซุกตัวอยู่ในลังกระดาษเก่าๆ หวิดจะโดนขบวนการค้ามนุษย์พาไปด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะวิ่งเตลิดหนีจนมาเจอครูเพียงใจ
เด็กหญิงนารินในวันนั้นจึงเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
เพียงใจผู้มีอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติทำเรื่องอุปการะเธอในชื่อเด็กหญิงลนาริน
ครูเพียงใจมีลูกชายที่อายุน้อยกว่าเธอสองปีชื่อว่าพรพรหม
เด็กชายป่วยด้วยโรคหัวใจตั้งแต่เกิด
ซ้ำร้ายสามียังทิ้งสองแม่ลูกไปตั้งแต่พรพรหมอายุยังไม่ครบสามขวบด้วยซ้ำ
หลังเลิกเรียนครูเพียงใจเปิดสอนพิเศษและการบ้านเด็กๆ
ละแวกแถวบ้านโดยมีเธอซึ่งอยู่ชั้นมัธยมต้นช่วยอีกแรง บางคนไม่มีเงินจริงๆ
ครูก็สอนให้ฟรี เด็กบางคนมากับพ่อแม่ที่ทำงานก่อสร้าง ครูก็รับให้มาเรียนร่วมกัน
เลี้ยงขนม เลี้ยงข้าวตามมีตามเกิด
สอนไปสอนมากลับมีพ่อแม่ทิ้งเด็กไว้สามคนท่านตั้งชื่อให้ลูกทุกคนใหม่หมดว่า
เดือนยี่ เรือนแก้วและพนมกร เพราะค่าใช้จ่ายมากขึ้น คนเป็นครู เป็นแม่
จึงขายบ้านหลังใหญ่แล้วย้ายทุกคนมาอยู่บ้านใหม่ซึ่งหลังเล็กกว่าเดิม
เด็กคนสุดท้ายที่ครูเพียงใจรับอุปการะเป็นเด็กชายอายุราวสองเดือนในตอนนั้น
นางตั้งชื่อให้เขาว่าถิ่นไทย
เงินขายบ้านพร้อมที่ดินนั้นครูเพียงใจหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลของพรพรหม
ลนารินพยายามทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระ เลิกเรียนก็ดูแลน้อง
ทุกคนรู้หน้าที่และเป็นเด็กดี พอน้องช่วยตัวเองได้ ลนารินก็ออกไปทำงานที่ร้านอาหาร
โตมาหน่อยก็ทำงานร้านขายเสื้อผ้า งานแจกใบปลิว รับจ้างทำงานบ้านรายอาทิตย์
พอเข้าระดับมหาวิทยาลัย เวลาที่ต้องทุ่มเทในการเรียน
ทำให้ต้องเลือกงานที่ได้ผลตอบแทนมากขึ้น
หลังเลิกเรียนไปทำงานร้านเสื้อในห้างสรรพสินค้า เป็นพนักงานเสิร์ฟร้านข้าวต้ม
และงานซึ่งทำรายได้ดีมากที่สุดก็คือพนักงานขายเครื่องดื่ม
หลังจากถูกขัดเกลาเรื่องมารยาทและวิธีขายสินค้าแล้ว เธอจึงถูกส่งไปประจำที่ร้านอาหารหรือผับที่เน้นบริการลูกค้ามีระดับ
ในช่วงเวลางานของคืนหนึ่ง
“นาง...คุณพระพายกวักมือเรียกอยู่
ไม่เห็นเหรอ”
“นางยังต้องบริการลูกค้าโซนนี้นะจินนี่”
“ก็น่า...รีบๆ เข้า
แล้วก็แวะไปคุยกับเขาหน่อย อย่าเล่นตัวนักสิ” จินตนาว่าให้
“นางไม่ได้เล่นตัว
ลูกค้าทางนี้ก็สำคัญ เขาคุยกับนางอยู่
จะให้นางชิ่งหนีไปบริการแต่นายพระพายนั่นคนเดียวเหรอไง
นางเป็นพนักงานบริษัทขายเบียร์ ไม่ได้มาให้นายนั่นเหมารอบเพื่อจะคุยด้วย” หางเสียงของหญิงสาวติดจะฉุนเฉียว
หลังโดนเพื่อนร่วมงานกล่าวหาว่าเธอเล่นตัวกับลูกค้า
พนักงานขายเบียร์สดอย่างเธอจะกล้าทุบหม้อข้าวตัวเองเชียวหรือ
งานที่ให้ผลตอบแทนดีระดับนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
“ไม่ไปก็ไม่ไป
เดี๋ยวจินนี่นำหน้าไปก่อน เสร็จทางนี้แล้วรีบตามไปแล้วกัน” จินตนาบอกแล้วเดินยกถาดส่ายสะโพกกลมกลึงในชุดกระโปรงสั้นยาวประมาณสองคืบตรงไปยังโต๊ะลูกค้าคนสำคัญ
“นางยังไม่ว่างค่ะคุณไปป์
รอแป๊บนึงนะคะ” จินตนาแสดงความสนิทสนมด้วยการเรียกชื่อเล่นของชายหนุ่ม
ลูกค้าวีไอพีที่แวะเวียนมาบ่อยครั้ง
หรือบางหนเขาก็ตามไปเจอพวกเธอที่ร้านอื่นซึ่งมีสินค้าของบริษัทไปลงขาย
เห็นรอยยิ้มหวานของจินตนาซึ่งตรงรี่เข้ามาบริการเขาเสมอ
พระพายเลยหยอดคำหวานให้ “แต่จินนี่ว่างสำหรับผมเสมอใช่หรือเปล่าล่ะ”
“อุ๊ย...คุณไปป์ละก็
เอาเรื่องจริงมาพูดทำไม” หญิงสาวเขินอายยิ้มเต็มวงหน้า
ก่อนเสิร์ฟเบียร์ให้เขา แล้วไม่ลืมบริการเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาด้วย
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ลนารินจึงเดินมายังโต๊ะของพระพาย ชายหนุ่มยื่นแก้วมายังเธอ เพื่อให้เธอบริการ
หญิงสาวยื่นมือจะรับเอาแก้วนั้นมา แต่กลับโดนอีกมือของเขาคว้าข้อมือเธอไว้
“ไม่มีเวลาให้ผมเลยนะนาง
ไม่หันมามองกันบ้างเลย” พระพายทำเสียงตัดพ้อ
“ดิฉันจำเป็นต้องบริการให้ทั่วถึงกันทุกโต๊ะค่ะ
ไม่มีเจตนาจะละเลยโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งนะคะ” ลนารินแบ่งรับแบ่งสู้
ออกแรงชักมือกลับ ไม่ชอบความสนิทสนมแบบเกินเลยที่ชายหนุ่มพยายามแสดงออก
กับงานซึ่งทำอยู่นี้เลี่ยงไม่ได้ที่โดนลูกค้าบางคนหาเศษหาเลยบ้าง
แค่เล็กน้อยจับมือแตะแขน เธอพยายามไม่ใส่ใจ ผ่านมาก็ผ่านไป บางคนรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงพ่วงบริการพิเศษ
เขาก็หยุด จะมีก็แต่พระพายที่บางครั้งเข้ามาโอบ
หมายจะกอดและพยายามก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวเธอ เขาถึงขนาดเคยตามไปหาเธอถึงมหาวิทยาลัย
“คำตอบช่างห่างเหินเสียจริงนะนาง
ไม่รู้เหรอว่าคนฟังมันปวดใจ” ชายหนุ่มเล่นลิ้น เพื่อนในกลุ่มต่างขยิบตาอย่างรู้ทันเขาที่แฟนเผลอแล้วต้องหว่านเสน่ห์ล่อหลอกผู้หญิงไปเรื่อย
พวกเขารู้ว่าพระพายค่อนข้างทุ่มเทกับ
หญิงสาวคนนี้พอสมควร แต่แว่วว่าเธอเล่นตัวมากอยู่
“ดิฉันเป็นเพียงพนักงานขายสินค้าของทางบริษัท
คงไม่อาจเอื้อมทำตัวสนิทสนมกับลูกค้าระดับวีไอพีของร้านได้ ฉะนั้นจึงขออภัยเป็นอย่างมากกับความขุ่นข้องที่เกิดขึ้น
ทางนี้ให้จินนี่บริการพวกคุณคงจะสะดวกมากกว่า ขอตัวนะคะ”
พูดจบลนารินก็ส่งแก้วของพระพายให้เพื่อนสาวที่ยืนปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ
“เธอไม่กลัวถูกร้องเรียนหรือไงนาง” จินตนาแอบกระซิบถามรวดเร็ว
ลนารินไม่ตอบ
เธอรีบผละไปในทันที
ร้องเรียนก็ร้องเรียนสิเธอจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ทางบริษัทฟังเอง
ถ้าความน่าเชื่อถือของเธอยืนยันความประพฤติอะไรไม่ได้
อย่างมากก็แค่หางานบริษัทเบียร์ยี่ห้ออื่น
หรืองานอื่นที่จะไม่ต้องเจอผู้ชายอย่างนายพระพายคนนี้อีก
ภายในร้านราดหน้าขนาดสองคูหาคลาคล่ำไปด้วยนักชิมจากทุกสารทิศ
แม้เวลาล่วงผ่านมาแล้วครึ่งราตรี
ที่โต๊ะกลางร้านมีนักธุรกิจหนุ่มผู้บริหารห้างสรรพสินค้าชื่อดังนั่งอยู่กับเพื่อนสนิททายาทร้านขายเครื่องประดับ
“เสี่ยใหญ่ร้านเพชรนั่งกินข้าวร้านคูหาข้างทางก็เป็นด้วย”
“จะเสี่ยจะยาจกหาเช้ากินค่ำก็ช่าง
ถ้าใครไม่เคยกินราดหน้าร้านนี้สิ เขาว่าเสียชาติเกิด
อยู่กรุงเทพฯแต่ไม่รู้จักกรุงเทพฯดีพอ ร้านเขาขึ้นชื่อว่าอร่อยยิ่งกว่าพวกร้านหรูๆ
ที่มาจากฮ่องกงเสียอีก” พัชรวิทย์บอก
“เออ...ฉันรู้
ฉันเห็นนายซัดไปสองชามแล้ว สมกับฉายานักกินทั่วราชอาณาจักรของนายเหลือเกิน
กินที่งานแต่งยังไม่อิ่มเหรอ” อเกณแขวะเพื่อน
พวกเขาเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงคืนแต่งงานของเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่ง
หลังเลิกงานแล้วนั่งคุยกันในล็อบบี้ของโรงแรมยังไม่หนำใจ จึงมาต่อกันที่นี่
หลังเลิกงานลนารินแวะร้านขายราดหน้าเจ้าอร่อย
พรุ่งนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพนมกร
ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนเธออยากให้น้องได้กินราดหน้าจากร้านชื่อดังซึ่งนานครั้งเธอจะมีโอกาสเจียดเงินซื้อให้น้องกิน
เพราะวัตถุดิบชั้นดีจากทะเลราคาต่อถุงจึงสูงเอาการ
โอกาสพิเศษนี้เธอจึงทำเพื่อน้องๆ
“หกถุงค่ะ” หญิงสาวบอกความต้องการแล้วเดินไปนั่งยังจุดรอรับอาหาร
“นั่นไง...ของฉันแค่สอง
ได้ยินน้องคนนั้นชัดไหม สั่งทีเดียวหกถุง
เดี๋ยวฉันกะสั่งกลับบ้านไปฝากพระมารดากับท่านยายด้วย อุ่นกินพรุ่งนี้ตอนเช้า
ยังอร่อยเหมือนเดิม รสชาติไม่เปลี่ยน ลองมาแล้ว”
เสียงของเสี่ยร้านเพชรไม่เบาเลย จากจำนวนถุงที่สั่ง ลนารินจึงรู้ว่าผู้หญิงที่เขาพูดหมายถึงเธอ
หญิงสาวอดหันไปมองยอดนักชิมคนนั้นไม่ได้
เจ้าของร้านได้ยินคงยิ้มแก้มปริเหมือนกันที่มีลูกค้าเข้ามานั่งชมรสชาติอาหารในร้านเสียงดังขนาดนี้
“โอ๊ะวะ...สวย” พัชรวิทย์ครางออกมาทั้งที่ยังมีชิ้นผักคะน้าอยู่ในปาก
อเกณที่นั่งหันหลังจึงเอี้ยวตัวกลับไปมองด้วยอีกคน
ตาสบตา ไม่ใช่สายตาของพัชรวิทย์กับลนาริน
หากแต่เป็นอเกณกับลนารินต่างหาก หญิงสาวรีบเบือนหน้าหลบตาในทันที
ด้านชายหนุ่มนั้นรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาหญิงสาวอย่างประหลาด
ใบหน้าสวยหวานที่พอจะเหลือร่องรอยของเครื่องสำอางติดอยู่ เรือนผมยาวตรงระวงหน้าแบบนี้
เขาคิดว่าตัวเองต้องเคยเจอเธอที่ไหนสักแห่ง
“อ้าวเฮ้ย...ตะลึงไปอีกคนแล้ว” เพื่อนร่วมโต๊ะแหย่ขึ้น “นั่นๆ น้องเขากำลังจะจ่ายเงินแล้ว
ถ้าติดใจก็รีบเข้าไปทำความรู้จักซะสิ” พัชรวิทย์เบาเสียงลง
“ก็แค่คุ้นหน้า
ไม่ได้คิดอะไรเสียหน่อย ขืนทะเล่อทะล่าเข้าไป คงถูกด่าว่าหน้าหม้อโรคจิต”
“อ้าว
เกิดเป็นผู้ชายมันก็ต้องอย่างนี้ หม้อมันได้ทุกที่ ไม่เลือกเหลาเลือกร้านราดหน้า” ชายหนุ่มหัวเราะ
ยกน้ำขึ้นดื่มแล้วเรียกเด็กในร้านเพื่อสั่งราดหน้ากลับไปฝากคนที่บ้านพร้อมสั่งคิดเงิน
“แล้วแกไม่เอาไปฝากน้ำพั้นซ์สักถุง”
“น้ำพั้นซ์เคยกินของแบบนี้เมื่อไหร่กัน” อเกณเบาเสียง
ไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาดูถูกราดหน้าร้านห้องแถว
แต่อัญนิกาเป็นคนมีรสนิยมเฉพาะตัว จะเลือกเข้าร้านอาหารสักร้าน
เธอไม่เน้นที่รสชาติ
แต่เน้นการตกแต่งและต้องเป็นร้านหรูในโรงแรมหรือร้านที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในแวดวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น
หลังแยกจากพัชรวิทย์ อเกณตรงกลับบ้านในทันที
ชายหนุ่มขับรถเข้ามาจอดใต้ชายคาหน้าตึก
ก่อนคนขับรถจะตรงเข้ามารับกุญแจเพื่อขับรถเข้าไปเก็บในโรงจอด
แสงไฟสว่างในห้องรับแขกเล็ดลอดผ่านบานกระจกที่กรุไว้ข้างประตูไม้สลักลาย
ทำให้เขารู้ว่ามีใครบางคนยังไม่นอนและคงกำลังนั่งรอการกลับมาของเขาอยู่
“คุณน้ำพั้นซ์ค่ะ ท่าทางไม่ดีเท่าไหร่” แม่บ้านสูงวัยรายงานในระหว่างที่เปิดประตูรอรับเขา
อเกณพยักหน้ารับรู้ “ผมขอน้ำสักแก้ว
แล้วป้ากิ่งไปนอนเถอะ ดึกมากแล้ว”
เจ้าของร่างสูงเดินนำหน้านางกิ่งแก้วเข้าไปในตัวบ้าน
ไม่นานนักหญิงสูงวัยก็นำน้ำเย็นมาให้เขา ก่อนผละจากไป
“มาแล้วเหรอคะพี่น้ำหนึ่ง” พอเห็นหน้าคนเป็นพี่
หญิงสาวร่างเล็กในเสื้อคลุมชุดนอนหันมาส่งสายตาขุ่นเขียวทันที “วันนี้นังแอนนามันไปที่ห้าง
พอมันเห็นหน้าน้ำพั้นซ์ มันก็เชิดใส่ แถมยังยิ้มยั่วยวนพระพายอีก น้ำพั้นซ์บอกพี่น้ำหนึ่งแล้วว่าอย่าไปควงกับอีนางแบบนั่น
นอนกับมันแล้วเอาเงินฟาดหัวมันไปซะ ยังจะควงมันต่ออีก จะควงใครคบใครไม่ว่า
แต่ขอให้เห็นแก่หน้าน้ำพั้นซ์หน่อยสิ น้ำพั้นซ์ไม่ยอมนะถ้าพี่น้ำหนึ่งจะไม่จัดการเรื่องนี้ให้น้ำพั้นซ์”
พูดใส่อารมณ์ออกมาชุดใหญ่แล้วอัญนิกาก็หอบหายใจเหนื่อยจนพี่ชายต้องเข้ามาลูบหลัง
หญิงสาวสุขภาพไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เลี่ยงได้เขาจะพยายามไม่ให้เธอต้องกระทบกระเทือนทางอารมณ์และจิตใจ
“เขามาทำงานของเขา” ที่ห้างวันนี้มีงานเปิดตัวสินค้าที่แอนนาเป็นหนึ่งในพรีเซนเตอร์หลัก
“ถึงมันจะมาทำงาน
แต่น้ำพั้นซ์ก็ไม่ชอบให้มันมาเหยียบห้างของเรา
โดยเฉพาะวันที่น้ำพั้นซ์อยู่กับพระพาย” หญิงสาวยังกระฟัดกระเฟียดใส่พี่ชายต่อ
“น้ำพั้นซ์อย่าเก็บทุกเรื่องมาเป็นอารมณ์อย่างนี้สิ
เดี๋ยวไม่สบาย พี่เป็นห่วง”
“ถ้าพี่น้ำหนึ่งเป็นห่วงความรู้สึกของน้ำพั้นซ์จริง
ทำไมถึงไม่สนใจยายสตางค์ล่ะคะ” อัญนิกาโยงไปถึงเพื่อนสนิทซึ่งแอบชอบพี่ชายมานานแล้ว
เสียแต่ว่าอเกณไม่เคยแสดงออกว่าสนใจเพื่อนรักของน้องสาวเลย
ไม่พ้นที่น้องสาวจะวกเข้าเรื่องนี้อีกจนได้ “เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้หรอก
ถ้าน้ำพั้นซ์รักสตางค์ น้ำพั้นซ์ก็คงไม่อยากเห็นเพื่อนต้องร้องไห้เสียใจ”
“สตางค์เขายอมได้เพื่อพี่น้ำหนึ่ง
แค่ขอเป็นตัวจริงเท่านั้น
และน้ำพั้นซ์ก็มั่นใจว่าพี่น้ำหนึ่งเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด
พี่ไม่ทำร้ายใจยายสตางค์หรอก”
อเกณถอนหายใจกับความคิดตื้นเขินของน้องสาว
“อย่าคิดแทนสตางค์สิ
ไม่มีผู้หญิงคนไหนทนได้หรอกนะถ้าคนรักเที่ยวไปนอนกับผู้หญิงอื่นแล้วมาพร่ำบอกว่ารักเราที่เราเป็นตัวจริง
หรือน้ำพั้นซ์ทนได้ถ้าได้ยินพระพายบอกว่าน้ำพั้นซ์คือตัวจริง
แต่เขาก็ยังควงผู้หญิงคนอื่นให้เห็น”
“ไม่มีวันที่ไปป์จะพูดอย่างนี้” อัญนิกาเลี่ยงจะตอบว่าตัวเธอนั่นแหละที่ทนไม่ได้ก่อนใครเพื่อน
พอพูดถึงแฟนหนุ่ม น้องสาวก็มีอาการหายใจติดขัดขึ้นมาอีกหน
ชายหนุ่มจึงเข้าประคองเจ้าของร่างเล็กแล้วพยุงให้ลุกขึ้น
พร้อมกับดุนหลังให้เดินขึ้นชั้นบนพร้อมกับเขา “วันหลังอย่าอยู่รอพี่แบบนี้อีก
พี่คงจะรู้สึกแย่มากๆ ถ้าน้ำพั้นซ์ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะพี่”
“พี่น้ำหนึ่งอย่าลืมเรื่องยายแอนนานะ
น้ำพั้นซ์ไม่ชอบหน้ามัน” เมื่อพี่ชายยอมลงให้
อัญนิกาก็ยิ่งได้ใจ เพราะจุดอ่อนของพี่ชายคือตัวเธอ!
เมื่อไม่อยากให้ปัญหาเรื่องผู้หญิงของเขามากวนใจน้องสาวอีก
อเกณก็เลยรับปากไป
ใช่ว่าเรื่องบาดหมางระหว่างแอนนากับน้องสาวจะหมดไปง่ายๆ เพราะสัปดาห์ถัดมาอัญนิกาก็มีเรื่องตบกับนางแบบสาวที่ร้านเสื้อแห่งหนึ่ง
จนถูกหนังสือซุบซิบหลายฉบับเอาไปเขียนข่าว แอนนากำลังเป็นนางแบบค่าตัวแพง
เรื่องทะเลาะตบตีจึงเป็นที่สนใจของนักข่าว และตัวอัญนิกาเองก็ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง
เธอคือสาวสังคมชั้นสูงและเป็นน้องสาวของอเกณ
ผู้บริหารของห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ที่มีสาขาขยายไปตามเมืองท่องเที่ยวทั่วทุกภาค
“ปล่อยน้ำพั้นซ์เดี๋ยวนี้นะคะพี่น้ำหนึ่ง” หญิงสาวกราดเกรี้ยวสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมของพี่ชายซึ่งกักตัวน้องสาวไว้เพียงหลวมๆ
ตั้งแต่ลงจากรถมา พวกเขาเพิ่งกลับจากเจรจาไกล่เกลี่ยกับฝ่ายนางแบบสาวที่ชื่อแอนนา
“น้ำพั้นซ์ทำตัวไม่น่ารักเลย” พี่ชายเอ็ดอย่างเบื่อหน่าย
“ก็นังแอนนามันเถียงน้ำพั้นซ์
มันบอกว่ามันไม่ยอมเลิกกับพี่น้ำหนึ่ง และมันก็จะแย่งไปป์ไปเป็นแฟนมันด้วยอีกคน
น้ำพั้นซ์ไม่ยอม!”
“ก็เพราะทางนั้นรู้จุดอ่อนของเราที่เจ้าอารมณ์
เขาถึงได้ยั่วเราจนเต้นแบบนี้ไง ยิ่งน้ำพั้นซ์ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล เขาก็ยิ่งได้ใจ
มีเรื่องตบตีกันเกิดขึ้น เราก็เป็นฝ่ายเสียหายมากกว่า” ภาพลักษณ์ของอัญนิกาไม่ได้ดีขึ้นเลยเมื่อเธอเอาแต่ตะเบ็งเสียงเกรี้ยวกราด
ผิดกับแอนนาที่ต่อหน้าคนหมู่มาก หญิงสาวนิ่งและทำเหมือนตัวเองถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
“พี่น้ำหนึ่งพูดอย่างนี้แสดงว่าเข้าข้างนังแอนนา
พี่น้ำหนึ่งรักมันมากกว่าน้องใช่ไหม!” หญิงสาวตะโกนใส่หน้าพี่ชาย
คนงานในบ้านรีบหลบหน้าเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของนายและรู้สถานการณ์ดีว่าอัญนิกาเจ้าอารมณ์มากเพียงไร
“พี่บอกน้ำพั้นซ์แล้วว่าพี่กับแอนนาไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า...เคยกินข้าวด้วยกัน” อเกณเน้นเสียงและพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
“แต่นังแอนนามันลอยหน้าบอกน้ำพั้นซ์ว่าพี่น้ำหนึ่งกำลังตามจีบมันอยู่”
“แล้วน้ำพั้นซ์ก็เชื่อคนอื่นอย่างนั้นเหรอ
เพราะน้ำพั้นซ์เอาแต่อารมณ์ ถึงได้ตกเป็นเป้าให้เขาปั่นหัว
พี่ไม่ห่วงเรื่องชื่อเสียงของตัวเองหรอกนะคะ
แต่พี่ห่วงน้ำพั้นซ์...น้ำพั้นซ์กำลังป่วย”
และนั่นก็ส่งผลให้คนที่เอาแต่ใจไม่ยอมรับฟังเหตุผลของใครกรี๊ดขึ้นมาสุดเสียง
“พี่น้ำหนึ่งว่าน้ำพั้นซ์
พี่น้ำหนึ่งไม่รักน้อง น้ำพั้นซ์ไม่ได้ป่วย น้ำพั้นซ์จะหาคุณแม่...จะหาคุณแม่!”
ร่างกายหญิงสาวอายุยี่สิบสามสั่นเทิ้มก่อนจะดิ้นเร่าพร้อมกระทืบเท้า จิกทึ้งผมเผ้าของตัวเองไปมา
ร้อนถึงคนเป็นพี่ต้องเข้าไปห้ามปราม อเกณโดนลูกหลงจากฝ่ามือของน้องสาวไปหลายที
แต่กระนั้นก็ยังพยายามกอดรัดร่างนั้นไว้ในอ้อมอก
ปากพร่ำขอโทษอยู่นานอัญนิกาถึงได้ผ่อนแรงดิ้นรนลงอยู่ในวงแขนของพี่ชาย
“พี่น้ำหนึ่งไม่รักน้ำพั้นซ์
ไม่มีใครรักน้ำพั้นซ์ ถึงได้ทิ้งน้ำพั้นซ์ไปหมด” หญิงสาวพูดน้ำเสียงสั่นเครือ
น้ำตาไหลนองอาบแก้ม
“อย่าพูดอย่างนี้
น้ำพั้นซ์เป็นน้องสาวคนเดียวของพี่ พี่จะไม่รักน้องของตัวเองได้ยังไง”
อัญนิกายังสะอื้นซบกับอกพี่ชาย
เขาอุ้มร่างของน้องสาวเดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน
ในระหว่างนั้นก็สั่งนางกิ่งแก้วให้เตรียมน้ำอุ่นเพื่อเช็ดตัวน้องสาว
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
อัญนิกาหลับไปแล้วบนเตียงกว้างภายในห้องนอนส่วนตัว
อเกณนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงนอนเหม่อมองรูปถ่ายครอบครัวใบหนึ่งที่มีเพียงสามคนแม่ลูก
มารดาหย่าขาดจากพ่อที่เป็นคนฮ่องกงตั้งแต่เขาอายุเพียงแปดขวบ
ก่อนแต่งงานใหม่กับนักธุรกิจชาวไทยจนให้กำเนิดอัญนิกาในอีกสองปีต่อมา โชคร้ายที่พ่อเลี้ยงประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบิน
มารดาเขาตกพุ่มม่ายตอนน้องสาวอายุเพียงสองขวบเท่านั้น
เหมือนจะรู้ถึงอนาคตของความยุ่งยากวุ่นวาย
ในพินัยกรรมพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวได้ระบุให้กิจการห้างสรรพสินค้าอยู่ภายใต้การบริหารและดูแลของภรรยาตามกฎหมาย
โดยอาศัยความร่วมมือจากน้องชายคนสุดท้อง
สิบกว่าปีที่มารดาของเขากับอาธรรมาบริหารเคมาล่าช้อปปิ้งมอลล์จนใหญ่โตกลายมาเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าอันดับต้นๆ
ของไทย ช่วงที่เขาเรียนปริญญาโท เขากับมารดาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ท่านบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
ส่วนเขาต้องรักษาตัวอยู่นานครึ่งปี
เรื่องที่ทำให้เสียใจที่สุดก็คือ...เขาขับรถคันนั้น
เขาคือต้นเหตุที่ทำให้อัญนิกากำพร้ามารดา
ทำให้เกิดความระส่ำระสายในเคมาล่ากรุ๊ป แม้เขาใช้นามสกุลกมลภูปกรณ์
แต่ก็ไม่ใช่ทายาทสายตรงที่มีสิทธิ์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาซึ่งอายุยี่สิบสามจึงได้ปรึกษากับอาธรรมาเพื่อถ่ายโอนหุ้นให้อาธรรมาเพิ่ม
ตัวเองรักษาไว้ในฐานะทายาทของมารดาพร้อมกับเป็นผู้ดูแลมรดกของน้องสาวอายุสิบสองในตอนนั้น
นอกจากอาธรรมาที่เกิดจากเมียคนที่สาม
ลุงธรรศพ่อเลี้ยงเขายังมีน้องต่างมารดาอีกสองคนคืออาธมนันท์และอาธมกร
แต่ไหนแต่ไรทั้งสองคนแสดงออกชัดว่าจงเกลียดจงชังเขาที่เป็นเลือดกาฝากของกมลภูปกรณ์
ว่าเขาเป็นปลิงที่เข้ามาชุบมือเปิบเหมือนกับมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
คงมีเพียงอาธรรมาเท่านั้นที่ยึดถือพินัยกรรมของพี่ชายคนโตเป็นที่ตั้ง
สิ่งสำคัญก็คืออาธรรมามีเรื่องบาดหมางกับแม่เลี้ยงและพี่น้องต่างแม่ทั้งสองคนตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
การต้องรักษาตัวอยู่นานส่งผลให้เขาไม่มีเวลาดูแลอัญนิกา
อาธรรมาก็ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องมารดาเขาเสียกะทันหัน ไหนจะเรื่องหุ้นและเรื่องงาน
เด็กหญิงอายุเพียงสิบสองปีแต่สูญเสียบุพการีซึ่งชิดใกล้มากที่สุดจึงมีปัญหาทางด้านจิตใจ
เธอกรีดร้อง หวาดกลัวต่อทุกคน สุดท้ายก็ซึมเศร้าจนส่งผลให้สุขภาพถดถอย
โรคหอบที่เป็นมาตั้งแต่แบเบาะทรุดหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด แม้ตัวเองบาดเจ็บ
แต่ครึ่งปีต่อมาเขาก็ทุ่มเวลาทั้งหมดเพื่อเยียวยารักษาบาดแผลในใจของน้องสาวคนเดียว
จนอาการของเธอเริ่มทุเลาและเปิดใจยอมรับเขาอีกครั้ง
เพราะเหตุจากบาปที่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาจึงไม่เคยขัดใจเธอ
ตามใจในทุกเรื่อง เพียงหวังจะบรรเทาความผิดของตัวเองที่พรากมารดาไปจากน้องสาว
และเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดซ้ำสอง อัญนิกากลายเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง
ไม่มีน้ำอดน้ำทน อาจฟังเหตุผลเมื่อเขาปรามอยู่บ้าง แต่เป็นส่วนน้อย ถ้าเขาขัดใจ
เธอมักเอาเรื่องสุขภาพมาเป็นข้ออ้างในการต่อรอง
ไม่ก็อาการหอบกำเริบปัจจุบันทันด่วน หนักสุดถ้าไม่ได้ดั่งใจ
เธอถึงกับโมโหจนทำร้ายตัวเอง
ฝนนอกหน้าต่างเริ่มเทลงมาไม่ขาดสาย อเกณลุกขึ้นขยับผ้าห่มคลุมอกของน้องสาว
ก่อนตัวเองจะลุกไปปิดม่านหน้าต่างแล้วเดินออกจากห้อง
ความคิดเห็น