ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรงขังสิเนหา

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.54K
      7
      8 ก.พ. 58





     

    ธรรมาประสบอุบัติเหตุเพราะมีรถจักรยานยนต์ขับตัดหน้ารถระหว่างไปดูงานก่อสร้างของห้างสรรพสินค้าสาขาต่างจังหวัด พอรู้เรื่องด้วยความเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของผู้เป็นอา อเกณรีบทำเรื่องย้ายเขามารักษาตัวที่กรุงเทพทันทีและตัวเองก็ไปเยี่ยมไข้บ่อยเท่าที่เวลาส่วนตัวจะอำนวย

              “ก็แค่เคล็ดขัดยอก ไม่เห็นต้องมานั่งเฝ้ากันทุกวัน เหนื่อยงานแล้วก็น่าจะกลับไปพักผ่อนบ้าง” ธรรมาบอกหลานชายต่างสายเลือด

              “พักผ่อนเรื่องเล็ก สุขภาพของอาสำคัญกว่า และใครว่าแค่เคล็ดขัดยอก อกของอาช้ำเป็นจ้ำขนาดนั้น”

              “ก็แค่ช้ำ อามันพวกหนังเหนียวตายยาก”

              “ขำไม่ออกนะครับอาธรรม” ใบหน้าของอเกณมีแววสลด ธรรมาเข้าใจดีว่าหลายชายมีปมในเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับบุคคลใกล้ชิด

              “เอาน่า...มันผ่านไปแล้ว ต่อไปอาก็จะขับรถระวังๆ ให้มากขึ้น แต่จะว่าไปก็แปลก ไอ้รถมอไซค์คันนั้น”

              “แปลกอะไรเหรอครับอาธรรม” สีหน้าครุ่นคิดของชายที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้สะกิดความสงสัยของ อเกณขึ้นมา

              “อาว่ามันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุ”

              กับสีหน้ามั่นใจของธรรมาทำให้อเกณตาเบิกกว้าง “อาให้ปากคำกับตำรวจเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า”

              ธรรมาส่ายหน้า หลังจากรถของเขาตกลงข้างทางไปกระแทกกับต้นไม้ ก็ไม่เห็นร่องรอยของรถจักรยานยนต์คันที่ว่าอีกเลย และอุบัติเหตุตอนนั้นมันก็เกิดขึ้นแถวถนนใหญ่ห่างจากตัวเมือง นานทีจะมีรถสวน

              “บอกตำรวจไปก็ใช่จะตามเจอ”

              “มันไม่น่าไว้ใจแล้วนะครับอาธรรม”

              “อาถึงบอกว่าต่อไปนี้จะระวังตัวให้มาก และหนึ่งก็ต้องระวังด้วยอีกคน”

              “แล้วอาธรรมสงสัยว่าเป็นฝีมือใครทำเรื่องนี้”

              ธรรมาสบตาหลานชาย แล้วส่ายหน้า ยังไม่มีหลักฐานอะไร พูดลอยๆ ก็จะเกิดความบาดหมางใจกันเสียเปล่า ระหว่างนั้นธมกรก็พาลูกชายหญิงทั้งสองคนที่อยู่ในวัยมัธยมเดินเข้ามาในห้อง ชโรดมและชิโนรสยกมือไหว้อาก่อนหันมาไหว้พี่ชายร่วมนามสกุล

              “หลานมันอยากมาเยี่ยม วันนี้โรงเรียนมีงาน ก็เลยเลิกเรียนเร็วหน่อย” ธมกรบอก แล้ววางตะกร้าของเยี่ยมไว้ที่โต๊ะใกล้กัน

              ธรรมายกมือไหว้ขอบคุณพี่ชายคนละแม่ตามมารยาท “เอาของมายุ่งยากเปล่าๆ เดี๋ยวผมก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

              “ยุ่งยากอะไร พี่น้องกัน ขืนไม่มาสิ กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน...ว่าไงหนึ่ง มานานหรือยัง”

              “กำลังจะกลับแล้วครับ” อเกณผู้ไม่เคยแสดงความห่วงใยธรรมาเพียงเพราะเกรงถ้อยคำนินทาของคนอื่นตอบ

              “กลับเถอะหนึ่ง อาอยู่ได้ เดี๋ยวพยาบาลพิเศษก็เข้ามาดูแลอาแล้ว อาไม่ตายด้วยเรื่องแค่นี้แน่ ยังจะอยู่กับหนึ่งและยัยน้ำพั้นซ์อีกนาน นานจนกว่าจะได้เป็นคุณตาคุณปู่นั่นแหละ” ชายวัยต้นสี่สิบพูดติดตลก แต่สายตากลับมีแววแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยเมื่อสบตากับธมกร

              “ว่าไงตารม...ยัยรส ใกล้ปิดเทอมแล้ว จะไปซัมเมอร์ต่างประเทศอีกหรือเปล่าล่ะ หรือจะแค่ไปเที่ยวเฉยๆ” ธรรมาเปลี่ยนเรื่องหันมาคุยกับหลานชายและหลานสาววัยสิบห้าและสิบเจ็ดที่ยืนเกาะอยู่ข้างเตียง

              ทั้งสองคนตอบรับพร้อมกันว่าปิดเทอมจะไปต่างประเทศแน่นอน ธรรมายิ้มเข้าใจ ตระกูลกมลภูปกรณ์ให้โอกาสลูกหลานทุกคนในเรื่องศึกษาเล่าเรียนอยู่แล้ว และเงินส่วนนี้เป็นอันรู้กันดีในเหล่าสมาชิกของตระกูลว่าสามารถเบิกจ่ายจากกองกลางได้เต็มจำนวน แม้ลึกๆ แล้วทั้งธรรมาและอเกณจะรู้ดีว่าส่วนที่ใช้ในเรื่องเรียนของหลานแต่ละคนมันแค่หนึ่งในสาม ที่เหลือเป็นการถลุงเงินเล่นของพ่อกับแม่เด็กที่พยายามปรนเปรอลูกด้วยสิ่งของฟุ่มเฟือย ซึ่งกรณีนี้ไม่ต่างจากลูกสาวสองคนของธมนันท์ซึ่งไปเรียนต่ออเมริกาและอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัย ที่สองอาหลานไม่เอามาเป็นเรื่องรกสมองก็เพราะเห็นว่านั่นเป็นเพียงเงินแค่เล็กน้อยจากมรดกกองกลาง จึงตัดปัญหาบานปลายที่พี่น้องร่วมบิดาจะทะเลาะกันมากกว่า

                                                              *****

              “ฝีมือพี่น้ำหนึ่งหรือเปล่า” จู่ๆ อัญนิกาก็เดินลิ่วเข้ามาในห้องทำงานของอเกณ พร้อมกับสาดอารมณ์ใส่พี่ชายโดยเจ้าของห้องจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก

              “อย่ามาทำเป็นไขสือนะ พี่น้ำหนึ่งไปทำอะไรไปป์จนเขาเข้าโรงพยาบาลอย่างนั้น กว่าน้ำพั้นซ์จะรู้ไปป์ก็เกือบออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

              “เดี๋ยว...เดี๋ยว จะไม่เล่าอะไรให้พี่ฟังก่อนเหรอไง อยู่ดีๆ มาว่าพี่ไปทำร้ายแฟนน้ำพั้นซ์จนเข้าโรงพยาบาลเนี่ยนะ ถ้าพี่ทำจริง ป่านนี้หมอนั่นมันคงโร่มาฟ้องน้ำพั้นซ์ตั้งแต่วันแรกแล้ว คิดเหรอว่ามันจะปล่อยให้คนที่มันเกลียดขี้หน้านั่งทำงานหัวโด่อยู่นี่ได้อีก”

              พอโดนพี่ชายแย้งคืน แม้เหตุผลนั่นแสดงออกถึงความบาดหมางระหว่างพวกเขาที่ไม่อาจจะญาติดีกันได้ง่ายนัก แต่อารมณ์ที่ร้อนอยู่ก็คลายลงบางส่วน อัญนิกายอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอเกณเมื่อชายหนุ่มผายมือให้

              “ไปป์โดนทำร้ายตอนไปงานวันเกิดเพื่อนที่เพชรบุรี น้ำพั้นซ์เพิ่งจะรู้”

              “เพิ่งรู้ แต่ก็ฟันธงว่าพี่ทำแล้ว” เสียงของอเกณราบเรียบ หากแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ดีว่าเขากำลังไม่พอใจ

              “น้ำพั้นซ์ขอโทษ” คนเป็นน้องสาวเสียงอ่อนลง ใบหน้าถอดสี รู้สึกผิดที่ปรักปรำพี่ชายตัวเองไปก่อนล่วงหน้า

              “พี่ไม่เคยโกรธน้ำพั้นซ์ พี่เพียงอยากให้น้ำพั้นซ์ก่อนคิด ก่อนทำ หรือก่อนจะเชื่ออะไรควรไตร่ตรองให้หนัก โดยเฉพาะเรื่องพระพาย”

              “พี่น้ำหนึ่ง...” อัญนิกาหน้างอง้ำที่พี่ชายพูดจี้ใจดำ ทั้งยังโกรธตัวเองที่คิดเป็นตุเป็นตะ ยังไม่รู้อะไรแน่ก็มาสงสัยพี่ชายตัวเองให้เขายิ่งไม่ชอบแฟนหนุ่มของตัวเองมากขึ้นไปอีก

              “ถ้าพี่คิดจะทำร้ายเขาจริง พี่ขอบอกไว้เลยว่าแค่นายนั่นนอนให้น้ำเกลือมันยังน้อยไป และถ้าพี่ทำ รับรองน้ำพั้นซ์สาวไม่ถึงตัวพี่แน่”

              อัญนิกาหน้าเสียกับน้ำเสียงและท่าทีจริงจังของพี่ชาย

              “เชื่อได้ยัง ว่าพี่บริสุทธิ์”

              หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างจำนน ออกจากห้องทำงานของพี่ชายหลังจากสร้างความขุ่นมัวในใจเขาแล้ว อัญนิกาก็ตรงไปหาพระพายที่โรงพยาบาล

              พระพายตกใจไม่น้อยเลยเมื่อเห็นหน้าแฟนสาวหลังจากเหินห่างกันไปพักใหญ่ อันที่จริงแล้วเขาไม่อยากให้เธอมาเห็นเขาในสภาพนี้ด้วยซ้ำไป ยังดีการรักษาตัวช่วงที่เกิดเรื่องวันแรกๆ นั้นเป็นความลับ เขาเพิ่งทำเรื่องย้ายมารักษาตัวที่กรุงเทพต่อเพราะความเจ้ากี้เจ้าการของมารดา และนางปาริฉัตรก็เป็นคนถือวิสาสะโทรศัพท์ไปบอกอัญนิกาเอง

              “ไปป์เป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวลากเก้าอี้เข้าไปนั่งข้างเตียง ขณะนี้มีชายหนุ่มอยู่คนเดียวภายในห้องพักผู้ป่วย

              ร่างกายบาดเจ็บภายนอกนั้นทุเลาลงไปมาก แต่ศักดิ์ศรีความเป็นชายที่ถูกคนของเสี่ยวิโรจน์กระทำนั้นยังสร้างแผลไว้ในใจซึ่งแม้แต่มารดา พระพายก็ไม่เปิดเผยให้รู้ ชายหนุ่มแค้นใจจินตนาอยากจะฉีกเนื้อเจ้าหล่อนเป็นชิ้นๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรให้มันสาสมกับสิ่งที่หญิงสาวทำ เพราะเหตุการณ์บัดสีนั่นถูกถ่ายเป็นคลิปวีดีโอไว้ทั้งหมด เขาจึงต้องยอมข่มกลั้นปกปิดเรื่องราวน่าอดสูไว้คนเดียว

              พระพายที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดมาครู่หนึ่งแล้ว เงยหน้าขึ้นมองอัญนิกาอีกครั้งเมื่อหญิงสาวเรียกชื่อเขาซ้ำ

              “ใครทำไปป์...”

              “น้ำพั้นซ์อย่ารู้เลย” แววตาของหญิงสาวนั้นมีแต่ความห่วงใยและวิตกกังวลกับอาการบาดเจ็บของเขาอย่างแท้จริง นั่นก็เข้าทางของพระพายที่จะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสเรียกร้องความเห็นใจจากเธอ ตั้งแต่รู้ว่ามารดาโทรศัพท์ไปหาหญิงสาวเขาก็นั่งเตรียมคำพูดไว้ในหัวล่วงหน้าแล้ว

              “เพราะน้ำพั้นซ์หรือเปล่า” ถึงอเกณจะปฏิเสธแล้ว แต่อัญนิกาก็ยังเกรงว่าเรื่องโชคร้ายของแฟนหนุ่มอาจจะมาจากเธอ

              “ไม่เกี่ยวกับน้ำพั้นซ์หรอก ผมทำตัวผมเอง”

              “ไปป์ไปมีเรื่องกับใคร น้ำพั้นซ์อาจจะช่วยได้ ถ้าไปป์บอกน้ำพั้นซ์”

              พระพายกุมมือหญิงสาวไว้ แล้วยกขึ้นมาแนบหน้า “น้ำพั้นซ์ไม่ยุ่งกับพวกมันน่ะดีแล้ว ไปป์ทำเรื่องที่สัญญากับน้ำพั้นซ์ได้แล้วนะ”

              “เรื่องอะไรคะ” หญิงสาวถามเมื่อเขาเอามือของเธอวางไว้ตรงอกเขา

              “ผมเลิกกับผู้หญิงทุกคนเพื่อน้ำพั้นซ์ แต่ก็อย่างที่เห็น บางคนก็เลิกยากหน่อย” ชายหนุ่มที่ยังคงหลงเหลือความซีดเซียวยิ้มแห้งแล้ง แสดงอาการให้น่าเห็นใจ

              อัญนิกาเบิกตาโพลง ชายหนุ่มโดนทำร้ายร่างกายเพราะต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไว้หรือนี่ “โธ่...เป็นน้ำพั้นซ์เองที่ทำให้ไปป์ต้องเจ็บตัว น้ำพั้นซ์ขอโทษ”

              “เจ็บตัวแค่นี้เพื่อให้เรื่องมันจบ ผมก็ยินดีทำ น้ำพั้นซ์อย่าไปรื้อฟื้นมันอีกเลย ขอให้รู้ว่าผมกับผู้หญิงคนอื่นน่ะจบกันไปแล้ว ผมจะไม่ย้อนกลับไปหาพวกนั้นแล้วทำให้น้ำพั้นซ์ต้องเสียใจอีก”

              หญิงสาวน้ำตาคลอหน่วย ตื้นตันกับสิ่งที่แฟนหนุ่มทำให้เธอ โดยไม่คิดระแวงสงสัยอะไรอีก และไม่ได้เผื่อใจไว้ว่าพระพายก็ยังเป็นผู้ชายเจ้าชู้ที่เห็นแก่ตัวคนเดิม เขาบอกว่าเลิกกับผู้หญิงทุกคนที่เคยมีสัมพันธ์ด้วย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าถ้ามีโอกาสเขาก็พร้อมจะนอกใจเธอทุกเมื่อ กว่าจะรู้แจ้งในเรื่องนี้ อัญนิกาก็ถลำลึกจนถึงขั้นประชดชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายหัวใจคนที่รักเธอที่สุดถึงสองคน...

                                                              *****

              หลังจากเหตุการณ์ที่ไปพบอัญนิกาแล้ว ลนารินก็ลาออกจากงานร้านเจ๊แบ๋ว เธอต้องชดใช้เงินเท่าราคาสินค้าที่ติดไปกับรถของนายธิติ เพราะยังหางานใหม่ไม่ได้ และช่วงนี้ก็เข้าสู่ช่วงของการสอบหญิงสาวจึงเอาเวลามาทุ่มเทกับการเรียนและอยู่ดูแลน้องๆ ช่วยนางเพียงใจ

    เดือนยี่และเรือนแก้วก็เริ่มหัดเย็บผ้า แถวละแวกชุมชนที่อยู่นั้นมีตลาดนัดอยู่สามแห่ง สามสาวพี่น้องจึงแข็งขันหารายได้เข้าบ้านช่วยกันด้วยการเริ่มต้นเป็นแม่ค้าตลาดนัด

              ที่ตลาดนัด ลนารินกำลังช่วยเดือนยี่จัดร้านเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิง ถ้าจัดเสื้อผ้าขึ้นราวแขวนเสร็จแล้ว หญิงสาวจะออกไปยังส่วนหน้าของตลาดนัดที่เป็นลานขายอาหารคาวและหวาน เพื่อเตรียมร้านในระหว่างที่เรือนแก้วก่อเตาไฟตั้งโต๊ะขายหนวดปลาหมึกย่าง

              ตกบ่ายแก่ๆ เริ่มมีแม่ค้ามาตั้งร้านมากขึ้น พอๆ กับลูกค้าที่ต่างทยอยกันเข้ามาจับจ่ายซื้อหาทั้งของกินและของใช้ในตลาดนัด ไม่นานนักปลาหมึกย่างที่ส่งกลิ่นหอมและฝีมือปรุงน้ำจิ้มรสเด็ดของสองสาวก็เริ่มขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ใกล้ค่ำหนวดปลาหมึกที่เสียบไม้มาก็พร่องไปกว่าครึ่ง เมื่อได้เวลาเปิดไฟหลอดนีออนแล้ว พยุทธก็มาถึงตลาดนัดแห่งนี้

              “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยทำงานพิเศษแล้วนะพี่ซุง” เรือนแก้วแหย่ชายหนุ่ม เพราะหลังจากพี่สาวลาออกจากงานมาขายของตลาดนัด ตกเย็นหลังพยุทธเลิกจากงานโรงงาน อดีตพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารในตอนค่ำก็ตามมาช่วยขายไม่ได้ขาด แต่ส่วนมากลนารินไม่ให้พยุทธอยู่ช่วยที่ร้านขายปลาหมึกย่างนานนัก เธอมักจะผลักดันให้เขาไปช่วยเดือนยี่ขายเสื้อผ้าที่ตลาดด้านในมากกว่า ด้วยเหตุผลว่า

              พี่ซุงหล่อ ปากหวาน เรียกลูกค้าผู้หญิงเข้าร้านได้เยอะ

    วันนี้ก็เช่นกัน พยุทธเพิ่งช่วยหญิงสาวย่างปลาหมึกได้ไม่กี่ไม้ เพื่อนบ้านสาวที่เขาหมายปองมานานหลายปีก็ออกปากให้เขาไปเข้าไปช่วยเดือนยี่ขายเสื้อผ้าที่ร้านด้านในอีก

    “อยากอยู่ช่วยนางไม่ได้เหรอไง” ชายหนุ่มทำหน้ายุ่ง ออดอ้อนเว้าวอน

    “ถ้าอยากช่วยนางจริงๆ พี่ซุงต้องไปช่วยระบายเสื้อผ้าในร้านของนางกับน้องให้หมด นั่นแหละถึงเรียกว่าช่วย แฟชั่นไปเร็วมาเร็ว ของค้างนั่นคือขาดทุนนะพี่ซุง”

    “ก็ช่วยขายปลาหมึกก็ได้ เหมือนๆ กัน” เขาต่อรอง

    ลนารินยิ้ม แล้วตอบว่า “ปลาหมึกย่างของนางไม่ต้องอาศัยกระแสอะไรทั้งนั้น นางมั่นใจว่าขายได้แน่ๆ เพราะคนเข้าตลาดมาก็หิว ได้กลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็ทนไม่ไหวหรอก และร้านของนางก็ขึ้นชื่อเรื่องน้ำจิ้มรสแซบถึงใจ พี่ซุงไม่เห็นเหรอ ขายหมดทุกวันที่ตั้งร้านเลยนะ ไม่เห็นต้องเชียร์ให้คนซื้อมากมาย ไม่เหมือนกับเสื้อผ้า พอมีพ่อค้าหล่อๆ ปากหวานๆ สาวๆ เข้าร้านกันเต็ม”

              คนถูกชมยกมือขึ้นลูบผมด้วยความเขินอาย ระหว่างที่คุยกันนั้นมือของลนารินก็หยิบจับปลาหมึกมาย่างไฟไม่ได้หยุด ย่างจนสุกได้ที่ก็ส่งให้เรือนแก้วราดน้ำจิ้มที่เต็มไปด้วยพริกสดสีสวยปั่นพอหยาบ ย่างแล้ววาง...วางไม่ทันไรลูกค้าก็ซื้อหมดไปเป็นถาดๆ

              “น่านะ...พี่ซุงเข้าไปช่วยเดือนก่อน เดี๋ยวเสร็จทางนี้นางจะรีบตามไป” หญิงสาวพูดจบก็ยกนิ้วก้อยเชิงให้สัญญากับชายหนุ่ม นั่นแหละเขาถึงได้ยอมออกจากร้านขายหนวดปลาหมึกย่างไปแต่โดยดี

              “คนเขาอยากอยู่ใกล้ๆ กลับไปไล่เขาได้นะพี่นาง” สาวแก่แดดรู้มากเอ่ยขึ้น ดวงตากลมใสนั่นวิบวับ

              “นี่เรียกว่าไล่เหรอจ๊ะ ถ้าไล่ พี่ไม่ให้มาช่วยพวกเราขายของอย่างนี้หรอก เห็นใจพี่ซุงเขาบ้าง ทำงานมาก็เหนื่อย ยังจะมาวุ่นวายกับเรื่องในครอบครัวเราอีก เพราะอยากช่วยพวกเราไม่ใช่เหรอ เขาถึงได้ออกจากงานร้านอาหารน่ะ”

              “พี่ซุงเต็มใจทำ จะไปขัดทำไมล่ะ”

              “รู้จักเกรงใจบ้าง”

              “คนกันเอง ไม่เห็นต้องเกรงใจ”

              “ไปเป็นญาติฝ่ายไหนของเขากันยะ” ลนารินถามน้องสาว พร้อมๆ กับขายปลาหมึกสี่ไม้สุดท้ายไปด้วย เธอขอบคุณลูกค้าคนสุดท้ายที่อุดหนุนหนวดปลาหมึกย่างของร้านสามสาว

              “เดี๋ยวก็ได้เป็นแล้วล่ะน่า”

              “พี่ไม่ชอบนะแก้ว คนอื่นมาได้ยิน เสียหายกันหมด” ลนารินทำตาดุ หน้านิ่ง จนคนเป็นน้องยอมปิดปากต่อล้อต่อคำ

              “ก็แก้วเสียดายพี่ซุง พี่เขาเป็นคนดี”

              “ก็เพราะพี่เขาเป็นคนดีไง พี่ถึงอยากให้เขารักกับผู้หญิงดีๆ ที่เขาก็รักพี่ซุงด้วยเหมือนกัน”

              เรือนแก้วรู้แก่ใจว่าผู้หญิงดีๆ ที่พี่สาวพูดนั้นหมายถึงใคร “พี่นางไม่เคยชอบ ไม่เคยรักพี่ซุงสักนิดจริงๆ เหรอ”

              จู่ๆ น้องสาวก็ถามคำถามที่ลนารินมีคำตอบแล้วในใจ แต่ทว่าหญิงสาวไม่เคยกล้าบอกออกไปตรงๆ ไม่ว่ากับใครก็ตาม

              “ผู้ชายที่พี่นางชอบเป็นแบบไหนกันนะ สูง ต่ำ ดำ ขาว ท่าทางยังไง พี่ก็สวยจะตาย ไม่อยากจะเชื่อนะว่าไม่มีคนมาจีบ ไม่มีสักคนเหรอที่พี่นางชอบ อย่างพี่เนี่ยถ้าเป็นโสดไม่มีแฟน มันแปลกๆ อยู่นะ” สาวน้อยวัยมัธยมถามแบบร่ายยาว คงเพราะชอบอ่านนิยายรักประโลมโลกถึงได้รู้สึกว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอก็สามารถพูดถึงมันได้ แม้ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีความรักกับเพศตรงข้ามเกิดขึ้นก็ตาม

              หนวดปลาหมึกทั้งหมดที่เตรียมมาหายจากถาดไปนานแล้ว ลนารินทวนคำถามของน้องสาวในใจ แล้วภาพของผู้ชายคนหนึ่งก็วาบขึ้นในสมอง ขนตายาวขับให้ดวงตาคมหวานซึ้งอย่างคนมีเชื้อสายต่างชาติเจือปน เรียวคิ้วหนาเข้มบ่งบอกถึงบุคลิกเคร่งขรึมเหมือนเก็บกักร้อยแปดความนึกคิดไว้ในหัว ปากหนาหยักลึกนานครั้งจะมีรอยยิ้มให้เห็น อีกทั้งเสียงทุ้มต่ำที่เคยให้ความอุ่นใจ จนมาถึงถ้อยคำเชือดเฉือนจากน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลนในครั้งหลังสุดที่ได้พบหน้ากัน

              ทำไมเธอต้องคิดถึงผู้ชายคนนั้นด้วย...เป็นครั้งแรกที่ลนารินรู้สึกไม่เข้าใจตัวเองขึ้นมา

              “พี่นาง...” เรือนแก้วสะกิดพี่สาวที่ตกอยู่ให้ห้วงความคิดคำนึงคนเดียวมาครู่หนึ่งแล้ว “คิดถึงชายในฝันอยู่เหรอพี่ เหมือนพวกนางเอกนิยายที่แก้วอ่านเลยอะ”

              “เซี้ยวใหญ่แล้วนะเรา” หญิงสาวหยิกน้องไปหนึ่งหนแก้เขินอาย ก่อนบอกให้น้องสาวไปช่วยเดือนยี่และพยุทธขายเสื้อที่ตลาดด้านใน ส่วนเธออยู่ทางนี้จะเก็บของไว้รอ ถ้าตลาดใกล้วายค่อยทยอยเก็บกลับบ้านพร้อมกันด้วยรถรับจ้างเจ้าประจำ

              ชีวิตแม่ค้าตลาดนัดของสามสาวบ้านครูเพียงใจดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้ค่ำของวันหนึ่งที่นางเพียงใจยังไม่กลับถึงบ้านเพราะพาพรพรหมไปโรงพยาบาลตามหมอนัด เรือนแก้วจึงกลับมารับตัวน้องชายสองคนที่อาบน้ำและทำการบ้านรอเพื่อจะพาไปตลาดนัดด้วยกัน แต่แล้วก็ต้องพบเรื่องไม่คาดฝัน ด้วยความซุกซนของถิ่นไทยที่จุดไม้ขีดเล่นใกล้กองกระดาษและกระสอบบรรจุถ่านซึ่งทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว

              เรือนแก้วตะโกนให้เพื่อนบ้านช่วย พร้อมทั้งรีบตักน้ำมาดับไฟ เพราะถิ่นไทยถูกไฟลวกจนบาดเจ็บ เธอกับพนมกรจึงดับไฟได้ไม่มากนัก กว่าเพื่อนบ้านจะช่วยกันดับไฟได้สำเร็จ ไฟก็ไหม้ส่วนทำครัวลามขึ้นไปเกือบไหม้ชั้นสองของบ้าน ข้าวของเสียหายเพราะน้ำดับไฟและเขม่าควัน พ่อกับแม่ของพยุทธเป็นคนโทรศัพท์หาลูกชายซึ่งอยู่ที่ตลาดนัดกับลนารินและเดือนยี่ จนฟ้ามืดสนิทนางเพียงใจกับลูกชายถึงฝ่าการจราจรของค่ำวันศุกร์มาถึงบ้านของตัวเอง

              หลังเจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเพื่อนบ้านช่วยกันดับไฟจนมอดสนิทแล้ว ลนารินกับพยุทธจึงกลับไปที่ตลาดนัดเพื่อขนของกลับ นางให้พรพรหมอยู่ช่วยพี่น้องคนอื่นจัดเก็บและทำความสะอาดบ้านบางส่วน ส่วนตัวเองก็ตามไปหาลูกชายคนเล็กซึ่งหน่อยกู้ภัยส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลใกล้ที่สุดก่อนหน้านั้นแล้ว

              คืนนั้น นางเพียงใจฝากพรพรหม พนมกรและเรือนแก้วไว้ที่บ้านของพยุทธ ส่วนตัวเองไปอยู่เฝ้าถิ่นไทยที่โรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัยในเบื้องต้นและต้องการเฝ้าระวังทรัพย์สิน ลนารินและเดือนยี่จึงกางเต็นท์ทำเป็นเพิงนอนไว้ที่ลานหน้าบ้าน พยุทธก็อาสามาอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงทั้งสองคนในอีกเต็นท์หนึ่ง

              ผ่านคืนแรกไปได้ด้วยดี เช้าวันที่สองนางเพียงใจเรียกช่างมาตรวจสภาพบ้านในเบื้องต้น คืนที่สองยังคงกางเต้นท์นอนที่ลานบ้านเช่นเคย วันที่สามอาการของถิ่นไทยไม่น่าเป็นห่วงแล้วนางเพียงใจจึงพาเด็กชายกลับบ้าน เมื่อเห็นผลร้ายซึ่งเกิดจากความซุกซนของตัวเองทำให้เด็กชายถิ่นไทยร้องไห้จ้าด้วยความกลัวจะถูกทำโทษ แต่นางเพียงใจกลับไม่ดุด่าว่ากล่าวด้วยถ้อยคำรุนแรง นางใช้เหตุการณ์นี้สอนใจลูกทุกคน จากคำยืนยันของช่าง สมาชิกทั้งหมดจึงกลับเข้าไปอยู่ในตัวบ้าน เว้นไว้แต่ส่วนเสียหายที่ต้องซ่อมแซม

    ดึกแล้ว...ลนารินยังไม่อาจข่มตานอนหลับได้หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ระทึกขวัญครั้งใหญ่ของครอบครัว นั่นก็ไม่ต่างจากเดือนยี่ที่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนที่นอนของตัวเองกับเรือนแก้ว หญิงสาวผู้พี่ตัดสินใจลุกจากที่นอน เดือนยี่ก็เลยลุกตาม

              “จะออกไปหาครูเหรอพี่นาง”

    “พี่เป็นห่วงครู พรุ่งนี้เดือนต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่นอนอีก”

    “ก็นอนไม่หลับ แก้วก็เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้นี้เอง ใจของเดือนยังสั่นอยู่เลยพี่นาง ไม่อยากคิด ถ้าไฟไหม้บ้านหมดหลัง พวกเราจะเป็นยังไง”

    นั่นสิ...ถ้าไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง พวกเธอกับน้องๆ จะเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ลำบากกันอยู่แล้ว จะมีเรื่องให้คิดกลุ้มใจอีกมากแค่ไหน แม้จะปลอบใจกันไปมาระหว่างสมาชิกในครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ลนารินก็อดห่วงความรู้สึกของนางเพียงใจไม่ได้

    ว่าแล้วสองสาวก็ค่อยเบาฝีเท้าลุกเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปหาผู้ซึ่งเป็นยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิด จริงอย่าง ลนารินคาดเดา สตรีเจ้าของบ้านยังข่มตานอนไม่หลับเช่นกัน และตอนสบตานางเพียงใจนั้น คนเป็นลูกสาวก็เห็นรอยแดงที่ตาสองดวงซึ่งมีแววอิดโรยอย่างปิดไม่มิด

    “ครูคะ...” ลนารินนั่งลงบนพื้นใกล้กับเก้าอี้ของนางเพียงใจ ตามติดด้วยเดือนยี่ หญิงวัยกลางคนจึงยื่นมือมาลูบศีรษะของลูกสาวทั้งสองคน

    “นี่คิดมากจนไม่ยอมหลับยอมนอนกันเลยเหรอ”

    “เดือนกลัวค่ะแม่ครู กลัวว่าน้องๆ จะเป็นอะไร ทั้งกลัวว่าบ้านจะถูกไฟไหม้หมดหลัง เมื่อวานตอนที่ได้ยินพี่ซุงบอกเรื่องไฟไหม้บ้าน เดือนเกือบจะเป็นลมที่ตลาดนัดแล้ว”

    “แต่พวกเราก็ผ่านมาได้นี่”

    ลนารินสบตานางเพียงใจอีกครั้ง เกิดคำถามหนึ่งขึ้นในดวงตาคู่สวย ถึงพวกเราจะผ่านเรื่องร้ายมาได้ แต่ครูก็ยังร้องไห้...

    คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอีกทั้งให้ความรักความสนิทสนมกับลูกสาวนอกไส้อย่างเลือดในอกก็เข้าใจได้ทันทีถึงความสงสัยของหญิงสาว

     “หัวอกคนเป็นแม่นะนาง...เดือน เรื่องที่แม่กลัวที่สุดก็คือกลัวจะต้องสูญเสียลูกคนใดคนหนึ่งไป”

    “นางน่าจะรีบกลับมารับไทยให้เร็วหน่อย”

    “เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่ามัวแต่หาเหตุคิดโทษตัวเอง เดือนก็อีกคน ยัยแก้วก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าไปหลายรอบแล้วกลัวเจ้าไทยจะเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ มันไหม้แล้วก็เอาเป็นบทเรียน ต่อไปจะได้ระวังให้มาก ไทยก็จะได้จำว่าไม่ควรเล่นไฟฟืนอีก ยังดีนะที่ไม่ลามไปไหม้บ้านคนอื่น” นางเพียงใจปลอบใจตัวเองอีกรอบ

    “แล้วเราจะซ่อมบ้านยังไงคะแม่ครู” เดือนยี่ถามขึ้น กับความเสียหายที่เกิดขึ้น คงเบียดเบียนเงินเก็บของคนเป็นแม่มากเอาการกว่าบ้านจะกลับคืนมาเป็นบ้านแบบเดิม

    “ซ่อมยังไง...ก็ให้ช่างค่อยๆ ซ่อมเท่าที่จำเป็นก่อน ไม่ต้องคิดห่วงเรื่องเงินทองให้รกสมองเลยนะ ครูจัดการได้ พวกเรามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป ก็ช่วยแบ่งเบาครูเหมือนที่เคยทำ” นางเพียงใจคล้ายเน้นย้ำกับลนาริน ลูกคนอื่นๆ ยังอยู่ในวัยเรียนมัธยมและประถม เรื่องจะออกโรงเรียนกลางคันมาช่วยทำมาหากินคงไม่มีใครคิด คนเป็นแม่จะอย่างไรเสียก็ไม่ต้องการเห็นลูกทิ้งอนาคตทางการศึกษามาด้วยเรื่องปากท้องและอุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ สมบัติติดตัวเด็กทุกคนเท่าที่นางสามารถมอบให้ได้ก็คือส่งเสริมให้มีวิชาความรู้ที่จะติดตัวนำพาอนาคตพวกเขาได้เท่านั้น

    กลัวก็แต่ความคิดของลูกสาวคนโต ยิ่งเงียบ ยิ่งน่าเกรง เพราะภาระในบ้านหญิงสาวแสดงออกเต็มที่เสมอถึงความตั้งใจจะแบกรับไว้ตั้งแต่ต้น นางไม่อยากให้ลูกสาวต้องมารับภาระของน้องทุกคนเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแม่ของน้องๆ ไปด้วยอีกคน ในบรรดาลูกทั้งหมดนั้น ลนารินหัวดีที่สุด คงน่าเสียดายนักถ้าหญิงสาวซึ่งมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้าต้องมายุติเรื่องการศึกษาแล้วออกมาทำงานทั้งที่ไม่มีใบปริญญารับรอง

    แต่แล้วเรื่องที่นางเพียงใจเป็นกังวลก็เกิดขึ้นจริง ลนารินยุติการเข้าชั้นเรียนโดยไม่ปรึกษานางเพียงใจก่อน เพราะรู้ว่าแค่เอ่ยปากก็คงถูกคัดค้านสุดกำลัง ในระหว่างปิดบังเรื่องนี้อยู่นั้น หญิงสาวออกจากบ้านด้วยชุดนักศึกษา แต่สิ่งที่ทำคือการตระเวนหางานทำ เธอไม่คิดจะกลับไปทำงานกลางคืนอีกแล้ว เพราะนั่นรังแต่จะทำให้ครูเพียงใจเป็นห่วงและเฝ้าโทษตัวเองมากกว่าเดิม 

    อาการป่วยด้วยโรคประจำตัวของพรพรหมช่วงนี้ค่อนข้างเกิดขึ้นบ่อย แม้ป่วยไข้ด้วยโรคหวัดธรรมดาก็นานเป็นเดือนกว่าจะหาย บ้านที่ถูกไฟไหม้เริ่มทำการซ่อมแซมไปบ้างแล้ว ยังมีรายจ่ายในอนาคตรอให้เธอมีส่วนรับผิดชอบและแบ่งเบาช่วยครูในฐานะพี่สาวคนโต ภาระค่าใช้จ่ายของหลายปากท้องไม่ควรให้ผู้มีคุณต้องแบกรับด้วยสองมือไว้คนเดียว

    แต่เรื่องอนาคตไม่อาจคาดเดา ลนารินตัดสินใจไม่ผิดกับการออกหางานทำ ที่ผิดนั้นคือโชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตคน เพราะการต้องพบความยุ่งยากและความเจ็บปวดจากคนที่พยายามหลีกหนีให้ไกลที่สุดนั้น...ไม่ใช่เรื่องดีเลย







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×