ตอนที่ 20 : ตอนที่ 20 โรงเรียนประจำตำบล
ตะวันดวงโตส่องแสงสว่างเจิดจ้าอยู่กลางฟ้า แผ่รังสีความร้อนอย่างแรงกล้าลงมายังพื้นเบื้องล่าง เสียงเครื่องมือช่างสารพัดชนิดดังผสมผสานกันราวกับเสียงดนตรีคลอเคล้าไปกับเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮาของบรรดาครูอาจารย์และชาวบ้านในละแวกนั้นที่มาช่วยกันซ่อมแซมโรงเรียนประจำตำบลซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากพายุหลงฤดูเมื่อคืนนี้
“น้องสาขอตะปูหน่อยสิ”
เสียงของธมกรดังมาจากบนบันไดที่พาดอยู่กับหลังคาโรงเรียน เนื่องจากร่างกายที่สูงใหญ่และแข็งแรง เขาจึงได้รับหน้าที่เป็นคนซ่อมแซมโครงสร้างด้านบนและปูกระเบื้องมุงหลังคาไปเพียงคนเดียว ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ร่วมกันซ่อมแซนส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง บานประตู ไปจนถึงโต๊ะและเก้าอี้ ซึ่งถูกลมพายุพัดปลิวไปกองรวมอยู่ที่เดียวกัน
“อยู่นี่...ค่ะ”
อรุสาขานรับด้วยน้ำเสียงห้วนก่อนจะยอมลงท้ายด้วยเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นสายตาคนอื่นๆ ที่มองมา หากไม่ติดว่าเมื่อตอนที่เด็กรับใช้ชาวพม่าพาเธอมาถึงที่นี่ มัลลิกาได้แนะนำกับคนอื่นๆ ว่าเธอเป็นน้องสาวของธมกรที่จะมาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว และจะมาช่วยเป็นลูกมือในการซ่อมโรงเรียนวันนี้ เธอคงจะชิ่งหนีไปแล้วเมื่อได้เห็นสภาพของโรงเรียนที่ไม่ต่างอะไรกับบ้านไม้สองชั้นเก่าๆ ขนาดใหญ่ที่ใกล้จะพังมิพังแหล่เต็มที
“ขอบใจจ้ะ อ้าวทำไมเอามาแต่ตะปูล่ะ หยิบค้อนมาด้วยสิ จะให้พี่กรใช้มือตอกแทนตะปูเหรอจ๊ะ”
หนุ่มผิวเข้มเอ่ยเสียงหวานด้วยใบหน้าทะเล้นพลางยื่นมือออกมารับกล่องใส่ตะปู ก่อนจะแสร้งทำเป็นถามหาอุปกรณ์อย่างอื่นเพิ่มเติมที่เขาไม่ได้บอกให้เธอนำมาด้วย
‘ถ้าใช้หัวโตๆ ของนายตอกตะปูแทนค้อนได้ ฉันจะจับมันโขกโป๊กๆ ให้สะใจเลย’
ลูกมือสาวคนสวยเงยหน้าขึ้นมองคนบนหลังคาฝ่าเปลวแดดที่ร้อนระอุด้วยสายตาขุ่นเคือง พลางแอบจินตนาการภาพที่เธอกำลังจับตรงก้านคอของเขาแทนด้ามค้อนแล้วฟาดมันลงกับพื้น พร้อมกับหัวเราะร่วนหลังจากอีกฝ่ายสลบเหมือดจนเห็นดาวระยิบระยับไปรอบศีรษะ
“เป็นอะไรไปน่ะ ยืนจ้องใหญ่เลย อยากทำแทนพี่ก็ไม่บอก”
เมื่อเห็นคนตัวเล็กแหงนหน้ามองขึ้นมาทางตนด้วยสายตาวาวราวกับแม่เสือสาว ก็ยิ่งทำให้คนชอบแกล้งยิ่งได้ใจ สั่งให้เธอหยิบโน่นหยิบนี่ อยู่บ่อยๆ โดยไม่จำเป็น เล่นเอาคนวิ่งหาของถึงกับหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนกับการเที่ยววิ่งวุ่นตามหาเครื่องมือไปตามที่ต่างๆ มาส่งให้ จนใบหน้าขาวใสนั้นแดงก่ำราวกับผลมะเขือเทศสุกปลั่งก็ไม่ปาน กระทั่งเวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อยคนอื่นๆ เริ่มทำงานของตนเสร็จหมดแล้ว เช่นเดียวกับที่มัลลิกาสอนนักเรียนเสร็จพอดี
“มีอะไรให้มะลิช่วยไหมคะคุณกร”
น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วเอ่ยถามคนที่กำลังค่อยๆ ยกกระเบื้องมุงหลังคาวางเรียงลงไปทีละแผ่นอย่างใจเย็น พลางแอบเหลือบมองสาวชาวกรุงที่ยืนหน้ามุ่ยหลังถูกโยนหน้าที่มาให้แบบไม่เต็มใจ
“ไม่เป็นไรครับ คุณครูสอนเด็กๆ มาทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้ว อีกอย่างผมก็มีคนช่วยอยู่แล้วด้วย ไม่รบกวนดีกว่าครับ”
ธมกรพูดพลางส่งยิ้มกว้างให้ครูสาว และไม่วายหันไปส่งยิ้มยียวนให้กับผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเขา ก่อนจะได้รับสายตาแค้นเคืองกลับมาจากสาวชาวกรุงที่ถูกเขาใช้แรงงานมาทั้งวัน แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ถือสากับท่าทางกระฟัดกระเฟียดนั้นเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามเขายิ่งแกล้งออกคำสั่งให้เธอหยิบโน่นหยิบนี่จนหัวหมุนไปหมด สองคนทำงานไปก็ต่อปากต่อคำกันไปต่างฝ่ายต่างก็พยายามหาช่องว่างเพื่อแกล้งอีกฝ่ายด้วยสีหน้าท่าทางสนุกสนานราวกับว่าการทำงานหนักเช่นนั้นไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
มัลลิกายืนมองดูทั้งคู่ทำงานร่วมกันอยู่นานโดยไม่ปริปากใดๆ ก็แอบรู้สึกน้อยใจขึ้นมา เมื่อชายหนุ่มผิวเข้มทำราวกับว่าเธอไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้นเลย ใจจริงเธออยากเป็นคนส่งเครื่องมือทั้งหมดนั้นเองเสียด้วยซ้ำถ้าหากว่าเธอไม่ติดสอนนักเรียนเมื่อเช้านี้เธอก็คงได้เป็นผู้ช่วยของเขาแล้ว ครูสาวคิดพลางหันไปมองสาวชาวกรุงผิวขาวผ่องนั้นความรู้สึกอิจฉาริษยา
ความจริงมัลลิกาแอบหลงรักธมกรมานานแล้ว ตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมาตั้งแต่เขาเรียนจบปริญญาเอกจากเมืองนอกและกลับมาช่วยผู้เป็นลุงบริหารกิจการอยู่ที่นี่ แต่เธอก็ไม่เคยกล้าสารภาพรักกับเขาสักครั้ง เพราะคิดว่าคงไม่เหมาะสมนักหากผู้หญิงจะเป็นฝ่ายบอกรักผู้ชายก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอมีอาชีพเป็นครูบาอาจารย์ซึ่งมีคนมากมายนับหน้าถือตาเช่นนี้ ไหนจะเพราะถูกครอบครัวปลูกฝังอบรมสั่งสอนเรื่องการสงวนท่าทีกับเพศตรงข้ามนั้นอีก เธอจึงทำได้เพียงแค่รอให้เขาเอ่ยปากก่อนเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสายตาที่ชายหนุ่มผิวเข้มมองไปยังสาวชาวกรุงผู้ช่วยของเขา มัลลิกาก็รับรู้ได้ทันทีว่าเธอคนนั้นคงมีความสำคัญกับเขามากกว่าครูบ้านนอกแสนเชยอย่างเธอเป็นแน่
ระหว่างนั้นเองที่อรุสารับรู้ได้ถึงรังสีของความริษยาที่แผ่ออกมารอบๆ ตัวของครูสาว ทำให้เธอรู้สึกหนาวยะเยือกเสียวสันหลังวาบอย่างไรบอกไม่ถูก ยิ่งเมื่อเห็นสายตาตัดพ้อที่มองไปยังคนบนหลังคาก็ทำให้เธอพอจะเข้าใจได้ทันทีว่ามัลลิกาคิดอะไรอยู่ และนั่นคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่เมื่อเช้าเธอได้รับสายตาไม่เป็นมิตรมาจากครูสาวด้วยเช่นกัน
“ครูมะลิคะ สาอยากขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย รบกวนคุณช่วยส่งเครื่องมือให้นาย..เอ๊ย พี่กรไปพลางๆ ก่อนได้ไหมคะ”
เสียงของอรุสา ทำให้คนที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเศร้าหมองจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตนถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกเรียก เช่นเดียวกับธมกรที่กำลังตั้งอกตั้งใจเรียงแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา ถึงกับเงยหน้ามามองคนพูดทันที
“เอ่อ แต่ว่าคุณกรเขา...”
“ตอนนี้สา โอ๊ย...สาปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำมากเลย ฝากนี่ไว้แป๊บนะคะคุณครู เดี๋ยวสากลับมาค่ะ”
มัลลิการีบแย้งเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาไม่พอใจของธมกรในแวบหนึ่ง แต่กลับถูกสาวชาวกรุงยัดเครื่องมือช่างใส่มือแล้ววิ่งแผล็วออกไปทันที ทิ้งให้เธอได้แต่หันไปมองคนบนหลังคาสลับกับร่างบอบบางที่วิ่งห่างออกไปอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี
หลังหาทางปลีกตัวออกมาจากการเป็นผู้ช่วยของธมกรได้ อรุสาก็ค่อยๆ เดินลัดเลาะกลับมายังเรือนใหญ่ของรีสอร์ตตามเส้นทางเดิมที่เด็กรับใช้วัยรุ่นชาวพม่าพาเธอมาส่งเมื่อเช้า ระหว่างทางเธอก็นึกไปถึงสีหน้าของมัลลิกายามเมื่อมองชายหนุ่มผิวเข้มเจ้าของรีสอร์ต และปักใจเชื่อว่าครูสาวคงจะหลงรักเขาอย่างแน่นอน ติดก็แค่ตรงที่ธมกรดูเหมือนจะไม่มีใจให้อีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย จึงคิดอยากจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักสร้างบรรยากาศให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจอยู่ลึกๆ ทว่าในเวลานี้ อรุสาไม่อยากสนใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรหรอก เธอรู้เพียงแค่ว่าต้องหาทางติดต่อกับผู้เป็นอาให้ได้ และรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
เมื่อกลับมาถึงเรือนใหญ่ก็พบว่าแม่บ้านหญิงวัยกลางคนกับเด็กรับใช้วัยรุ่นกำลังง่วนกันอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารมากมาย ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจเป็นอันมากและคิดไปว่าบางทีผู้เป็นอาของเธอคงจะติดต่อมาแล้ว และกำลังเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคนรักของเขาก็เป็นได้
“ป้าเจียมคะ มีใครจะมาที่นี่เหรอ ใช่อาเกื้อของสาหรือเปล่าคะป้า”
หญิงสาวเดินเข้าไปในครัว พลางเอ่ยถามด้วยสีหน้าคาดหวัง แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้คนที่กำลังจิตใจพองโตถึงกับห่อเหี่ยวลงไปถนัดตา
“ไม่ใช่หรอกค่ะ โทรศัพท์ยังใช้การไม่ได้เลย เมื่อตอนบ่ายป้าให้นังเหมียวมันไปดูที่ถนนใหญ่ตรงทางเข้าหมู่บ้านเห็นว่าทางการยังซ่อมถนนไม่เสร็จเลย คงอีกราวๆ สองสามวันน่ะค่ะถึงจะใช้งานได้ ส่วนอาหารพวกนี้คุณกรเธอให้เตรียมเอาไว้เลี้ยงต้อนรับคุณไงคะ ว่าแต่คุณสากลับมาคนเดียวเหรอคะ แล้วคุณกรล่ะไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ”
“เปล่าค่ะ พอดีว่าคุณครูมะลิเธอมาช่วยแล้ว สาก็เลยขอตัวกลับมาก่อนน่ะค่ะ ถ้างั้นสาขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”
อรุสาส่ายหน้าพร้อมกับตอบคำถาม ก่อนจะเลี่ยงขอตัวไปเมื่อรู้สึกผิดที่ทิ้งชายหนุ่มเอาไว้แล้วหนีกลับมาก่อน ทั้งที่เขาอุตส่าห์สั่งให้แม่บ้านจัดเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงขอบคุณเธอที่ช่วยงานเขาเช่นนี้
“ป้าให้นังเหมียวเอากระเป๋าคุณไว้ในห้องพักแขกแล้วนะคะ”
ทว่า เสียงของแม่บ้านหญิงวัยกลางคนที่ดังตามไล่หลังมา ทำให้หญิงสาวชะงักเท้าพร้อมกับหันไปเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน
“ห้องรับรองแขก...ห้องไหนคะป้าเจียม สาเห็นมีแต่ห้องของคุณลุงคุณป้ากับห้องคุณกรของป้าแค่สองห้องเองนี่คะ”
“อ้าว...ก็ห้องที่อยู่ติดกับห้องคุณกรไงคะ คุณภูผากับคุณญาดาเธอไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ ตั้งแต่คุณกรกลับมาจากเมืองนอก ทั้งสองท่านก็ยกกิจการให้คุณกรดูแลทั้งหมด แล้วย้ายไปอยู่กับลูกชายลูกสะใภ้ในเมืองนู่นน่ะค่ะ นานๆ จะกลับมาสักที จริงสิ เมื่อคืนทำไมคุณกรไม่ไปเรียกป้าให้มาเปิดห้องพักแขกให้นะ บ้านพักป้ากับนางเหมียวก็อยู่ข้างหลังห่างไปแค่นิดเดียวเอง จะเกรงใจอะไรนักหนาก็ไม่รู้”
ได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้ความรู้สึกผิดที่อรุสามีต่อธมกรหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขารู้อยู่แล้วว่ามีห้องว่างให้เธอพักได้ แต่ยังมาแกล้งหลอกเธออีก นึกแล้วก็ยิ่งฉุน คอยดูนะกลับมาเมื่อไร เธอจะต่อว่าเขาให้เข็ดเลย
ไม่นานธมกรก็กลับมาถึงบ้านพัก เป็นจังหวะเดียวกับที่อรุสาเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี แต่คราวนี้เธอไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเปลี่ยนติดมือเข้าไปด้วย
“ทำไมคุณถึงหนีกลับมาก่อนทั้งที่งานยังไม่เสร็จล่ะ”
หนุ่มผิวเข้มเปิดฉากโต้คารมก่อนทันทีด้วยสีหน้าบึ้งตึงราวกับไม่พอใจมากๆ เขายื่นสองแขนออกมายันกับผนังด้านข้างของห้องน้ำพร้อมกับกางกั้นไว้ ทำให้หญิงสาวที่กำลังจะเดินกลับไปยังห้องพักตัวเองถูกกักอยู่ในอาณาบริเวณของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าปวดท้องน่ะ อีกอย่างนายก็มีครูมะลิช่วยแล้วนี่ แค่ฉันไม่อยู่สักคนจะทำงานไม่ได้เลยเชียวเหรอ”
หญิงสาวกอดเสื้อผ้าตัวเองไว้แนบอก เชิดหน้าขึ้นพลางมองคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาท้าทายอย่างไม่กลัวเกรง แต่กลับเรียกอารมณ์หงุดหงิดให้ชายหนุ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาโน้มหน้าลงไปใกล้หญิงสาวมากขึ้นพร้อมกับมองเธอด้วยสีหน้าดุดัน
“แต่นั่นมันหน้าที่ของคุณนะ ถ้ารับปากว่าจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ ไม่ใช่ทำแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็โยนให้คนอื่นเขาแบบนี้”
“แล้วฉันไปรับปากว่าจะทำเมื่อไหร่มิทราบ นายเองนั่นแหละที่เป็นคนจับฉันมัดมือชกก่อน เล่นประกาศไปอย่างนั้น จะให้ฉันปฏิเสธยังไงได้ล่ะ แล้วจะมายืนขวางทำไมเนี่ย เหม็นกลิ่นเหงื่อชะมัดเลย ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วค่อยมาคุยกันไม่ได้รึไงเล่า คนอะไรซกมกชะมัด”
แม้จะเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างกับท่าทางของชายหนุ่มในเวลานี้ แต่อรุสาก็ยังไม่วายต่อปากต่อคำกับเขา พลางแกล้งทำสายตารังเกียจใส่ รอจังหวะเวลาที่จะหนีไปจากวงแขนแกร่งนี้
“เอางั้นก็ได้ เตรียมตัวไว้เถอะ เราต้องเคลียร์กันยาวแน่”
สายตาอาฆาตของหนุ่มผิวเข้ม ทำให้อรุสาถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างประหลาด พลางมองคนที่เดินกระแทกส้นเท้าปึงปังกลับเข้าห้องพักตัวเองไปด้วยสายตาเกรงกลัว เธอรีบประตูเข้าห้องพักและลงกลอนอย่างแน่นหนา ก่อนจะยืนพิงหลังกับประตูพลางยกมือวางทาบหน้าอกตัวเอง เสียงหัวใจที่เต้นระรัวถี่นั้นบอกไม่ถูกว่ามาจากความกลัวหรือความรู้สึกอย่างอื่นกันแน่
โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้ค่ะ >>>
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

79 ความคิดเห็น
-
#75 จิรารัตน์ (จากตอนที่ 20)วันที่ 27 มีนาคม 2556 / 23:15โหดมาก#750
-
#47 tungkn4841 (จากตอนที่ 20)วันที่ 11 ตุลาคม 2555 / 02:43นายกรเมื่อไรจะลิกแกล้งอุรสาเสียยที#470
-
#45 jeabkiss (จากตอนที่ 20)วันที่ 7 ตุลาคม 2555 / 21:13สาระวังเถอะริจะเป็นแม่สื่อ แม่ชักเดี๋ยวแม่สื่อจะหลงรักคุณกรซะเอง#450