คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ราวกับมีชีวิตอีกครั้ง
Monster
ดวงใจปีศาจ
องก์ที่ 1
ราวกับมีชีวิตอีกครั้ง
ชายเสื้อคลุมสีดำสะบัดปลิวในความมืด ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหน้าตาดีก้าวผ่านตรอกแห่งหนึ่งในค่ำคืนแห่งความปรารถนา
“แม่หญิง คืนนี้อยากไปอยู่กับข้าสักครู่รึเปล่า” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยขึ้นในความมืด เรียกความสนใจจากหญิงโสเภณีที่ยืนอยู่ข้างทาง สาวสวยเงยหน้าขึ้นมาหาพร้อมแย้มยิ้มให้อย่างยั่วยวน
“ถ้าเป็นท่านทั้งคืนข้าก็ยอม”หญิงสาวอายุไม่เกินยี่สิบแต่ชะตาลำเค็ญจนต้องขายความสาวหาเงินเลี้ยงชีวิตเอ่ยเอื้อนตอบกลับ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มของคืนนี้ไปพร้อมความหวังลมๆว่าซักวันคงจะมีใครมาปลดปล่อยเธอจากการเป็นโสเภณีเสียที
หากว่าหนุ่มรูปหล่อตรงนี้จะเป็นคนฉุดเธอออกจากความแร้นแค้นได้ก็คงดี ดูรูปร่างหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคุณชายจากตระกูลสูงหากเธอบริการให้เป็นที่พอใจก็อาจจะตกลงรับเลี้ยงเธอได้ หญิงสาววาดฝันกับตัวเองไปไกลระหว่างพิจารณาดูรูปลักษณ์ของคนตรงหน้า
“มองข้าทำไม” จู่ๆชายหนุ่มก็หยุดหันกลับมามอง
“ข้าไม่เคยเจอใครรูปงามเช่นท่าน” เธอตอบเบาๆ มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาชื่นชม
“สตรีที่เจอคนมากมายเช่นเจ้ามีหรือจะไม่เคยเจอใครรูปงามกว่าข้า”เขายกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีอำพันเรื่อเรือง ส่วนอีกข้างเป็นสีเขียวใสเปล่งประกายวาว ตัดกับผิวกายขาวจัดยิ่งส่งให้ใบหน้านั้นดูลึกลับน่าหลงใหล
“ข้าพูดด้วยความสัตย์จริง ข้าไม่อยากทำอาชีพนี้นักหรอก แต่คนเราไม่มีทางเลือก ท้องข้ามันหิวก็ต้องหากิน”เธอตอบเสียงเศร้า
“เช่นนั้นข้ามีทางให้เจ้าไม่ต้องโหยหิวอีกต่อไป” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงร่างอวบนุ่มเข้ามาใกล้ หญิงสาวสะดุ้งกับฝ่ามือเย็นเยียบของอีกฝ่าย
“มือท่านเย็น” เธอครางด้วยความแปลกใจ
“แต่ใจข้าร้อน”เขาหัวเราะมุมปาก ก้มลงฝังจูบลงกับซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวเอียงรับอย่างมีจริตมือเล็กก่ายขึ้นโอบลำคอของอีกฝ่าย
“เจ้าอยากมีความสุขรึเปล่า”ชายหนุ่มถามเสียงต่ำพร่า นิ้วมือเรียวสวยระเรื่อยขึ้นไปเกาะกุมเนินอกนุ่มจิกเล็บลงพอให้เจ็บแสบ จนอีกฝ่ายบิดหน้าด้วยความเจ็บปวดปนสยิวกาย
“แน่นอนข้าอยากมีความสุข”
“เจ้าอาจจะ...สุข...จนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นเลยก็ได้นะ”เขาหัวเราะ
“ถ้าเป็นท่าน อย่างไรข้าก็ยอม”เธอทอดเสียงหวานยั่วยวน
“เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าสมใจ”เขาหัวเราะก่อนจะดันร่างอวบอัดของหญิงสาวขึ้นติดกับผนัง ยกขาเรียวใต้กระโปรงตัวยาวแต่ไร้กางเกงชั้นในให้เกาะเกี่ยวเอวของเขาไว้
เขาขบฟันลงไปเบาแผ่วผิว ขบครูดลงกับผิวขาวอ่อนบาง สูดกลิ่นเนื้อของหญิงสาวตรงหน้า หนุ่มหล่อเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นที่ได้รับมันรุนแรงไม่ถูกใจเขาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มขบเขี้ยวลงบนลำคอแรงอีกนิด สาวสวยตรงหน้าเบิกตาโพลงและก็หรี่ปรือลงเพราะรู้สึกถึงความพลุ่งพล่านในร่างกาย ราวกับเธอได้เดินทางไปในดินแดนที่ไม่เคยไปมาก่อน ความสุขสันต์หฤหรรษ์แล่นวาบไปทั่วทุกอณูกายจนครางอื้ออึงในลำคอ
“อา ท่าน ทำไมแค่ท่าน อืมมม” เธอพูดอะไรไม่ออกเมื่อส่วนกลางลำตัวแข็งขึงนั้นถูไถเข้ากับความนุ่มนิ่มของเธอ และเมื่อคนที่กอดรัดร่างเธอแน่นอยู่กดคมเขี้ยวลงตรงเส้นเลือดใหญ่ซึ่งเต้นตุบด้วยความตื่นเต้นที่ลำคอ หญิงสาวก็ตัวสั่นสะท้านร่างกายเกร็งกระตุก ถึงจุดสุดยอดอย่างรุนแรงที่สุดในชีวิตที่เธอเคยมีมา
ความสุขทางเพศรสนั้นมาพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายก็ถูกกระชากออกไปเช่นกัน เธอได้รับความสุขแสนสมใจ และถูกปลดเปลื้องออกจากความลำบากแห่งชีวิต ตามทุกอย่างที่เธอต้องการ
มือเรียวของชายผู้มีดวงตาสองสีตะปบปากหญิงสาวเพื่อปิดกั้นเสียงร้องของอีกฝ่าย จงใจมอบความสุขสมอันล้นเหลือ เพื่อแลกกับหยาดเลือดร้อนระอุ เปี่ยมด้วยรสชาติแห่งชีวิตอันหวานหอมที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มนิรนาม ปล่อยร่างหญิงสาวที่โชคร้ายลงจากอ้อมกอดเมื่อดื่มเลือดอุ่นระอุแห่งชีวิตจากกายของหญิงสาวนั้นจนอิ่มหนำแล้วเลือด แดงสดยังคงไหลพุ่งออกจากแผลที่ลำคอไม่หยุด ร่างหญิงสาวคนนั้นแม้จะสิ้นลมหายใจแล้วแต่กลับมีใบหน้าที่ปนเปกันระหว่างมีความสุขล้นเหลือและหวาดหวั่นก่อนจะสิ้นลมปราณ
เขายกผ้าเช็ดหน้าซึ่งเหน็บไว้ที่กระเป๋าขึ้นเช็ดที่มุมปาก ชายหนุ่มก้มลงผลักหัวของหญิงสาวนั้นไปทางหนึ่ง กางเล็บออกกรีดลงไปตรงต้นคอทับรอยดูดเลือด อำพรางให้เหมือนกับถูกสัตว์ปริศนาโจมตี ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินจากไปกับดวงจันทร์ที่ลอยสูงในยามราตรี
พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ก็คงลงข่าวอีกมากมายว่าหญิงสาวตายปริศนาด้วยกรงเล็บแห่งสัตว์ร้าย เขากดยิ้มที่มุมปากเดินฝ่าสายฝนโปรยปรายออกมายังถนนด้านนอก ทอดฝีเท้าไปตามริมแม่น้ำพลางครุ่นคิดถึงชีวิตอันยาวนานที่ผ่านมา
ชีวิตที่ไร้วันตายของเขาเปลี่ยวเหงาขึ้นทุกวันทุกปีที่ผ่านเลยไป ปีนี้เขาอายุเท่าไหร่กันแล้วนะ ผ่านมากี่ยุคสมัยแล้วเขาไม่อยากจะนับ การใช้ชีวิตอมตะเหมือนถูกสาปเช่นนี้ไร้ซึ่งความสุขสิ้นดี
เขาเคยมีรัก แต่ทุกครั้งเขาต้องเฝ้ามองคนที่รักสิ้นใจไปทีละคนทั้งที่ตัวเองไม่เปลี่ยนไปสักนิด ทุกรักของเขาจบด้วยความทรมาน จนชิงชังที่จะผูกพันชีวิตไว้กับใครอีก น่าแปลกที่เขาไม่เคยพึงใจในบรรดาอมนุษย์ด้วยกัน แวมไพร์หญิงพวกนั้นใช้ชีวิตมามากเกินไป อยู่มานานเกินไปจนไร้ซึ่งความสดใสแห่งชีวิตชีวาที่เขาโปรดปราน ชายหนุ่มจึงเลือกอยู่กับความเปลี่ยวเปล่าของหัวใจมากกว่าจะเลือกใครมาเป็นคู่
ชายหนุ่มหยุดยืนเหม่อมองเงาจันทร์สะท้อนระยับบนผิวน้ำ กับสายฝนที่พร่างพรม ระบายลมหายใจซึ่งเขาไม่อาจรู้สึกถึงความมีชีวิตออกสู่อากาศเบื้องหน้าฝนเย็นฉ่ำโปรยปรายต้องผิว พลันจมูกที่ไวต่อสัมผัสมากกว่ามนุษย์ทั่วไปของเขาก็รับได้ถึงกลิ่นอันแสนสดใส ท่ามกลางความมืนมนแห่งชีวิตรอบข้าง
กลิ่นนั้นละมุนละไมราวอากาศยามเช้าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาราวแสงตะวัน ละอองไอกลิ่นนั้นเหมือนจะดึงเขากลับไปยังทุ่งดอกไม้หอมของบ้านเกิดในยามที่เขามีชีวิต ชายหนุ่มเหลียวหากลิ่นที่มอบความรู้สึกแห่งความมีชีวิตให้เขาไปรอบตัว
แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างบอบบางของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มนิ่งงัน สูดลมหายใจรับกลิ่นอันสดใสนั้นเต็มที่ ชะงักไปชั่ววูบเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นหันมาทางเขา ใบหน้าขาวนวล พวงแก้มแดงเรื่อด้วยเลือดฝาดแห่งชีวิต ริมฝีปากสีสดแย้มยิ้มเบาบางให้เขาก่อนจะเดินตรงมาหา
“ฝนตกทำไมท่านไม่กางร่ม คุณชาย เสื้อผ้าราคาแพงเช่นนั้นอย่าให้เปียกฝนเลยเนื้อผ้าจะเสียหายหมด” เด็กหนุ่มเขย่งตัวกางร่มให้แวมไพร์หนุ่ม รอยยิ้มที่ส่งให้นั้นเสมือนปลุกให้ปีศาจเช่นเขามีชีวิตอีกหน ชีวอนยืนมองเด็กหนุ่มคนนั้นนิ่งนาน
“ท่านเข้าไปหลบฝนที่ร้านของข้าก่อนดีไหม อยู่ตรงมุมถนนนั่นเอง”เด็กหนุ่มชักชวนด้วยความมีอัธยาศัยดี พร้อมส่งยิ้มอบอุ่นให้
“เจ้าจะอนุญาตให้ข้าเข้าไปหรือ” เขาถาม อมนุษย์แบบเขาล่วงล้ำเข้าไปในบ้านเรือนของมนุษย์ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาต
“แน่นอนสิท่าน ไปเถอะ ฝนเริ่มตกหนักแล้ว”เด็กหนุ่มผายมือไปทางร้านของตัวเอง ชายหนุ่มยอมเดินตามร่างเล็กไปขณะที่ลอบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา
คะเนด้วยสายตาแล้วอายุคงยังไม่เกิน 20 ดูเด็กมากนัก สวมเสื้อผ้าที่ตัดตามสมัยนิยมเนื้อผ้าไม่ได้หรูหราหากแต่ตัดเย็บอย่างดี ในยุคสมัยนี้ผู้คนนิยมจับคู่กันเร็วแม้อายุเพียง20 บางคนก็มีลูกกันแล้ว เจ้าเด็กคนนี้จะมีคู่เสียแล้วรึยัง
แวมไพร์หนุ่มคิดอะไรไปเรื่อยระหว่างเดินตามร่างน้อยนั้นไปจนไปหยุดที่หน้าร้านตัดเสื้อผ้า เขากดยิ้มที่มุมปากพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมอาภรณ์ที่หนุ่มน้อยคนนี้ใส่ถึงได้ประณีตขนาดนี้ คงเพราะเป็นช่างตัดเสื้อผ้านี่เอง
“เข้ามาก่อนสิท่าน” เด็กหนุ่มไขกุญแจ เชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาในบ้าน
“เจ้าเชิญคนแปลกหน้าเข้าบ้านแบบนี้เป็นประจำหรืออย่างไร” ชายผู้มีดวงตาสองสีถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่หรอก แต่วันนี้ฝนตกหนัก ท่านตากฝนเช่นนั้นจะไม่สบายเอาได้ง่ายๆ ซ้ำแถวนี้ยังมีคดีฆาตกรรมแปลกๆเกิดขึ้นบ่อยครั้ง”เด็กหนุ่มอธิบาย บอกไม่ถูกเช่นกันว่าทำไมถึงเชื้อเชิญชายแปลกหน้าคนนี้เข้าบ้านมาได้ง่ายๆทั้งที่ปกติแล้วเขาค่อนข้างระวังตัวมากแท้ๆ
“แล้วเจ้าไม่กลัวบ้างหรือไร”เขาถามยิ้มๆ ดวงตาสว่างเรื่อขึ้นในความมืดสลัว เด็กหนุ่มประหลาดใจปนรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาเมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นเรืองแสงได้
“กลัว แต่ข้าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง” ฮยอกแจกางร่มผึ่งไว้อีกทาง เดินไปต้มน้ำชงชามาให้ขณะที่ชายหนุ่มนิรนามเดินดูเสื้อผ้าในร้านอย่างสนอกสนใจ
“ข้ายังไม่รู้จักนามของท่าน” เด็กหนุ่มถามระหว่างรินชามะลิลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบ
“ข้าชื่อ ชเวชีวอน”
“เอ๋ ตระกูลชเวบ้านหลังใหญ่ๆที่อยู่ริมเขานั้นนะหรือ” เด็กหนุ่มเอียงคอด้วยความสงสัย ลำคอขาวนวล เส้นเลือดที่คอเต้นตุบราวกับเชิญชวนให้เขาฝังเขี้ยวและมอบชีวิตอมตะให้เพื่อจะได้อยู่กับเขาตลอดกาล
ชายหนุ่มไล่ความคิดจะปลิดชีวิตเด็กหนุ่มที่แสนสดใสคนนี้ออกจากหัวก่อนจะพยักหน้ารับ
“ใช่แล้ว บ้านหลังนั้นแหล่ะ ข้าอยู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่งเจ้าจะไปเยี่ยมข้าบ้างก็ได้นะ” เขาพูดยิ้มๆ อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มรับ จิบชาร้อนๆในแก้วลิ้มกลิ่นรสอันหอมหวาน ขณะที่แวมไพร์หนุ่มไม่รู้สึกยินดีในรสแต่อย่างใด เขาจิบไปเพียงแค่ให้ดูเหมือนคนปกติเท่านั้น
“แล้วเจ้าชื่ออะไร” เขาถามขึ้นบ้าง
“ข้าชื่ออีฮยอกแจ เป็นช่างตัดเสื้อผ้า” เด็กหนุ่มตอบอย่างภูมิใจ
“เช่นนั้นจะตัดอาภรณ์ให้ข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”
“แน่นอน ข้ายินดี ไว้ท่านแวะมาหาข้าอีกนะ ข้าจะตัดเย็บให้ วันนี้ข้าเก็บอุปกรณ์ และแบบเสื้อไปเสียหมดแล้ว”
“ข้ามาหาเจ้าแน่ละ อีฮยอกแจ” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก ดวงตาสองสีนั้นเรื่อเรืองสะท้อนแสงเทียน มันฉายแวววาบด้วยความพึงพอใจในตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างปิดไม่มิด คนที่ชื่ออีฮยอกแจนี้ทำให้เขารู้สึก ราวกับมี “ชีวิต”ขึ้นมาอีกครั้ง
ราวกับว่าเขาจะได้กลับไปเป็นมนุษย์ที่มี “หัวใจ”อีกคราว
................................................................................
ความคิดเห็น