ตอนที่ 2 : ผู้ชายที่หมายตา
ผู้ชายที่หมายตา
ร่างเพรียวระหงทรงสวย เดินเฉิดฉายดั่งนางหงส์เยื้องย่างขึ้นบันไดหินอ่อนสู่ตัวตึกใหญ่โตของคฤหาสน์ธราดลมา สายใจที่มารออยู่ก่อนก็ยอบตัวให้ พร้อมกับนำคำสั่งจากประมุขของบ้านมาแจ้งแก่หญิงสาว
“คุณท่านสั่งว่าถ้าคุณงามมาถึงให้ไปพบท่านที่ห้องหนังสือค่ะ”
วงคิ้วเรียวบนใบหน้านวลผ่องขมวดนิดหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับ ส่งกระเป๋าและหนังสือให้สายใจเอาขึ้นไปเก็บให้บนห้อง
“ขอบใจนะจ๊ะสายใจ” ก่อนจะเบนเป้าหมายปลายเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือแทนที่จะขึ้นห้องนอนชั้นบน
เจ้าหล่อนเคาะประตูเบาๆเป็นการขออนุญาต เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น ม.ร.ว.ศกุนตลากำลังนั่งอ่านนวนิยายแปลที่โปรดปรานอยู่
“สายใจบอกว่าคุณย่าอยากพบงาม”
คุณหญิงศกุนตลาเงยหน้าขึ้นมอง วางหนังสือในมือลงบนโต๊ะ พร้อมขยับแว่นสายตา
“เพิ่งมาถึงหรืองาม นั่งก่อนสิ ใครมาส่งกัน ย่าไม่ได้ยินเสียงรถ”
“ตรีเทพค่ะ งามให้ส่งแค่หน้าประตูรั้ว”
ท่านพยักหน้ารับทราบ รู้จักหนุ่มตี๋เพื่อนร่วมคณะที่สนิทสนมกับหลานสาวเป็นอันดี สายตาของคนผ่านโลกมาก่อนมองออกว่า เด็กหนุ่มเชื้อสายจีนทายาทเจ้าสัวโรงงานซอสปรุงรสใหญ่โตนั่น มีใจให้กับหลานสาวท่าน แต่ก็เชื่อมั่นในตัวของงามฉวีที่ท่านได้อบรมมาเป็นอย่างดี ว่าจะวางตัวให้ฝ่ายชายไว้เกียรติ และไม่กล้าจะทำอะไรนอกลู่นอกทางให้ท่านได้อับอายขายหน้า
“แล้วไม่ชวนเขาเข้าบ้านมาล่ะ?”
“งามขี้เกียจให้ลุงสมบัติต้องเปิดปิดประตูให้ อีกอย่างตรีเขาก็จะไปฉลองกันต่อกับเพื่อนค่ะ”
“แล้วงามล่ะไม่ไปฉลองกับเพื่อนด้วยหรอกหรือ?”
งามฉวีสั่นหน้าน้อยๆ
“ไม่ค่ะ เพราะพวกเขาไปดื่มกัน และก็คงกลับดึกด้วย” ท่านพยักหน้าเบาๆ
“ที่ไม่ไปนี่เพราะกลัวถูกย่าดุรึเปล่า?” ถามยิ้มๆสายตาทอดมองอ่อนโยนถึงคนที่เจียมเนื้อเจียมตัวมาตลอด
“เปล่านะคะ แต่งามไม่ชอบเที่ยวแบบนั้น เปิดเพลงเสียงดัง หนวกหู จะพูดคุยกันก็ต้องตะโกน กินเหล้า เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน สู้กลับบ้านมานอนดีกว่า อดนอนอ่านหนังสือมาตั้งสี่ปี ทีนี้ล่ะงามจะนอนให้ฉ่ำใจไปเลย”
คุณหญิงศกุนตลา ฟังความต้องการของหลานสาวยิ้มๆ ชื่นใจที่งามฉวีเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนจนได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับหนึ่งของประเทศ และยังเรียนจบมาด้วยเกรดสูงระดับเกียรตินิยม เชิดหน้าชูตาท่านไม่ให้อับอาย แม้มีหลายกระแสเสียงในตระกูลคัดค้านและท้วงติงที่ท่านให้เด็กหญิงใช้นามสกุล ‘ธราดล’ อ้างว่าไม่เหมาะสม
‘ก็แค่กาฝากที่พ่อแม่ไม่เอา ไม่มีเลือดสกุลธราดลในตัวซักหยด คุณหญิงแม่ทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน’
ท่านอดระลึกถึงเลือดครึ่งหนึ่งในกายเธอ ที่มีเชื้อสายของ ‘นฤทธิ์ภูบาล’ ไม่ได้ คิดแล้วก็ให้หดหู่หัวใจแทน...เพราะหาก ม.ร.ว.พวงเพ็ชร ยายของหญิงสาวตรงหน้า ไม่เป็นคนดื้อรั้นและเจ้าทิฐิจนเกินไป ชีวิตของงามฉวีก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
แม้ท่านรับปาก ม.ล.นวลพรรณมา ว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้ แต่ก็อดไม่ได้ ที่จะส่งข่าวความเป็นไปของงามฉวีไปให้ทางบ้านนั้นได้รับรู้ แต่ก็ได้รับการเพิกเฉยมาตลอด คงเป็นด้วยความขุ่นเคืองใจเพราะเรื่องถอนหมั้นนั่นแหละ
“งามมีคนรักหรือยังล่ะ?” คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาสาวน้อยหน้าเหวอ ก่อนจะส่ายหน้าระรัว
“ยังค่ะ งามยังเด็กอยู่เลย ยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกค่ะ” คนตอบก้มหน้ารู้สึกขัดเขินที่ถูกถามถึงเรื่องนี้
“เข้ามาใกล้ๆย่าซิ” ท่านผงกหน้าเรียก
งามฉวียอบตัวลงไปบนพื้นพรม ก่อนจะกระเถิบเข้าไปหาคุณหญิงศกุนตลา เมื่อมานั่งอยู่ตรงหน้าท่าน มือของผู้สูงวัย เอื้อมไปเชยคางมนบนใบหน้าแฉล้มพิศดู...ดวงตากลมโตคมคายหวานซึ้งประดับด้วยแพขนตางอนยาว คิ้วเรียวดำดกหนานี่คงได้มาจากพ่อ ส่วนรูปหน้าเรียวเล็กปากนิดจมูกหน่อยนี่มาจากแม่ ผิวพรรณผุดผาดนวลเนียนใสไร้ตำหนิริ้วรอย สมดั่งชื่องามฉวี...รวมความเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ได้ออกมาเป็นสาวน้อยหน้าแฉล้มแก้มใสน่าเอ็นดูตรงหน้าท่าน...อย่างนี้ปิโยรสยังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ ขอให้ได้เจอกันก่อนเถอะแล้วจะมาขอท่านเร่งรัดวันวิวาห์ไม่ทัน คอยดูก็แล้วกัน...คุณหญิงยิ้มอย่างพึงพอใจ
“งามน่ะโตแล้วนะจ๊ะ และก็สวยมากด้วย” เชื่อแน่ว่าความน่ารักอ่อนหวานและเฉลียวฉลาดของงามฉวีจะทำให้ปิโยรสยากที่จะปฏิเสธเป็นแน่
“ทำไมอยู่ๆคุณย่าถึงมาชมงามล่ะคะ” ดวงตากลมใสมีประกายคลอเคลียในหน่วยตาอยู่ตลอดเวลาฉายแววสงสัย
“งามเรียนจบ ย่าก็หมดห่วงไปเปลาะหนึ่งแล้ว ถ้างามแต่งงานไปกับคนที่ย่าวางใจ ย่าคงจะตายตาหลับ”
งามฉวีตระหนกที่ได้ยินคุณหญิงเปรยอย่างนั้น...แค่คิดว่าจะไม่มีท่าน เธอก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทุกวันนี้ ก็มีแต่บารมีของคุณหญิงที่คุ้มกะลาหัวเธอไว้ให้อยู่ในบ้านธราดลได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข
“ทำไมคุณย่าพูดอย่างนั้นล่ะคะ” อุทานไปใจก็หายวาบ
ใต้ชายคาของคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งนี้ มีสายสกุลของ ‘ธราดล’ เดินวนเข้าเวียนออกหลายสิบชีวิต แต่เธอก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณและปฏิกริยาที่คนเหล่านั้นแสดงออก ว่าพวกเขาไม่ใคร่ชอบหน้าเธอนัก
งามฉวีรู้ว่าตัวเธอเองมิได้มีสายเลือดของสกุล ‘ธราดล’ ที่ใช้ต่อท้ายชื่อของตัวเองมาแต่กำเนิด นับตั้งแต่จำความได้ เธอก็เห็นและรู้ว่า มีเพียงคุณหญิงศกุนตลาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่รักใคร่เอ็นดูเธอจากใจจริง...หากสิ้นท่านไปเสีย ชีวิตเธอก็คงเหมือนคนไร้หลัก ดั่ง ‘กาฝาก’ ที่ไร้ร่มไม้ใหญ่ให้ยึดเกาะ เช่นคำประณามของคนอื่นจริงๆ
“ย่าพูดจริงๆนะ ปีหน้าย่าก็จะแปดสิบแล้ว จะอยู่ไปได้อีกกี่ปีกัน”
ร่างบางกระเถิบเข้าหา ซบใบหน้าเล็กลงไปกับตักของท่านอย่างออดอ้อน น้ำตาซึมเอ่อเพียงแค่นึกถึงว่าจะไม่เหลือใครอีกแล้วบนโลกใบนี้ ที่รักเมตตาเธอจากใจจริง
ดวงหน้าเล็กแหงนเงยขึ้นมองท่าน น้ำตาคลอหน่วย
“แต่คุณย่ายังแข็งแรง” รีบทักท้วงตาแดง สั่นหน้าหลุกหลิกไม่เห็นด้วย และไม่อยากจะคิดถึงวันนั้นเลย เธออยู่ในบ้านนี้อย่างผู้อาศัย ไม่ใช่คนมีหลักอะไรให้ยึดเกาะ นอกจากคุณหญิงเพียงคนเดียว
และก็ด้วยความห่วงใยที่ท่านเล็งเห็นนี่แหละ ถึงได้เรียกหลานชายที่เพิ่งบินกลับจากอเมริกาสดๆร้อนๆให้มารับฝากฝังงามฉวีเอาไว้ เกรงว่าเด็กสาวที่เลี้ยงดูอบรมมาให้เป็นกุลสตรีดีงามจะพลาดไปอยู่ในมือชายไหนที่ไม่รู้ค่า เช่นที่นวลพรรณเคยประสบมา และประกอบกับที่ไม่ไว้วางใจ หลานชายหัวนอก เกรงจะคว้าเอาสะใภ้ที่ทำให้ท่านยิ่งอายุสั้นมาทำพันธุ์อีก
“ต้องอยู่เป็นที่พึ่งให้งามไปอีกนานๆ ไม่อย่างนั้นงามก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง?” น้ำตาหยดเล็กๆร่วงพรู เจ้าตัวรีบเช็ดเสีย เกรงจะเป็นลางไม่ดี
“งามไว้ใจย่าไหมล่ะลูก?”
คำถามทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ย่นคิ้วฉงน ก่อนจะพยักหน้าหนักแน่น เจ้าหล่อนไว้ใจสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้านี่สุดหัวใจ หากท่านจะชี้บอกให้เธอเดินไปทางไหน หรือทำสิ่งใด งามฉวีก็พร้อมยินดี...แม้แต่ชีวิตนี้เธอก็ให้ท่านได้
“ย่าอยากเห็นงามเป็นฝั่งเป็นฝา”
เจ้าตัวเผยอกลีบปากอิ่มสวยสีระเรื่อค้าง ก่อนจะสั่นหน้าดิก
“งามยังไม่แต่งงานหรอกค่ะ งามจะอยู่ดูแลคุณย่าไปเรื่อยๆ”
“แต่งงานไปก็ดูแลย่าได้” สายตาทอดอ่อนโยนบอก พลางวางมือเรียวเหี่ยวย่นตามวัย ลูบลงไปบนศีรษะเล็กทุยที่คลุมปกด้วยพวงผมหนาดกดำขลับเป็นเงาดังแพรไหม
“ย่าจะหาผู้ชายดีๆ ให้แต่งงานกับงาม” ท่านเอ่ยออกมาในที่สุด
“งามไม่อยากแต่งงานค่ะ จะอยู่เป็นสาวทึนทึกดูแลคุณย่าไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ” เจ้าตัวส่ายหน้าระรัวไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าน ผู้ชราฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“ผู้หญิงเกิดมาเป็นเพศที่อ่อนแอ ต้องมีผู้ชายมาดูแลปกป้อง ธรรมชาติสร้างมนุษย์สองเพศมาเช่นนี้ เพื่อไว้เป็นคู่กัน วันหนึ่งงามก็ต้องแต่งงาน ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว และย่าก็อยากจะอยู่เห็นถึงวันนั้น ให้วางใจเสียก่อนว่างามได้เจอกับผู้ชายที่ดี คนที่เหมาะสมจะดูแลปกป้องหลานของย่าได้ ไม่อย่างนั้น เห็นทีย่าจะนอนตายตาไม่หลับ”
“คุณย่าล้องามเล่นใช่ไหมคะ” งามฉวีร้องถามเสียงหลง มองท่านอย่างอื้ออึงอล กับสิ่งที่คุณหญิงศกุนตลาพูดมาทั้งหมด ฟังดูจริงจังจนน่าหวั่นเกรง
“งามกำลังจะอายุยี่สิบสอง เพิ่งเรียนจบ ยังหางานทำไม่ได้ ยังอยากอยู่กับคุณย่าไปนานๆ งามยังไม่อยากแต่งงาน” น้ำเสียงคร่ำครวญพร้อมสีหน้ากังวลร้องวอนขอความเห็นใจช่างน่าสงสาร
หากสายตาของผู้ชรา มาดมั่น แน่วแน่เหลือเกินกับการตัดสินใจในครั้งนี้...ที่จะไม่ยอมให้ผิดพลาดหรือไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ เหมือนที่เกิดขึ้นมาเมื่อกว่ายี่สิบปีก่อนอีกแน่ๆ
“ว่าไงไอ้เสือ คุณย่าเรียกไปพบทำไม กลับมาทำหน้าเหมือนถ่ายไม่ออก” เสียงทักจาก ม.ล.ปรัชญ์ ธราดลที่เดินเข้าห้องนั่งเล่นมา หลังทราบจากเด็กรับใช้ว่า บุตรชายเพิ่งกลับมาจากบ้านของคุณหญิงศกุลตลาผู้เป็นย่า
หากคนหน้าตาเหมือนท้องผูก ทิ้งร่างสูงใหญ่เอกเขนกลงไปกับชุดโซฟาหลุยส์ในห้องนั่งเล่น ขยับนั่งตัวตรง หน้าเคร่งดวงตามีแววกังวลเงยหน้ามามองบิดา
“คุณย่าจะให้ผมแต่งงานน่ะสิครับ...แถมท่านยังพูดเป็นจริงเป็นจังมากๆด้วย”
ม.ล.ปรัชญ์ ธราดล ที่เดินมานั่งเก้าอี้เดี่ยวซ้ายมือของบุตรชายทำหน้าฉงนเช่นกันที่ได้ฟัง
“แต่งงาน?”
ปิโยรสพยักหน้าแข็งขัน สีหน้าไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องเล่น และดูต้องการคนให้คำปรึกษา
“แต่งกับใคร? คุณย่าได้บอกไหม?”
“แต่งกับเด็กในบ้านท่านที่ชื่องามฉวีครับ”
ม.ล.ปรัชญ์ขยับคิ้วหนาเหนือดวงตาคมคายครุ่นคิด นึกถึงเด็กสาวกำพร้าที่มารดาเลี้ยงดูไว้ตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยอย่างสงกา ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ใช่ลูกหลานผู้รากมากดีมีสกุลอย่างที่เขาเคยได้หมั้นหมาย แต่กลับกลายเป็นเด็กที่ท่านเลี้ยงดูเอาไว้ จะเรียกว่าไร้สกุลรุนชาติก็ว่าได้ แถมยังใช้นามสกุลเดียวกันอีก
“งามฉวีงั้นหรือ?”
“ครับพ่อ” ปิโยรสทำหน้าหนักใจ “พ่อแม่แกเป็นใครคุณพ่อรู้ไหมครับ แล้วทำไมคุณย่าถึงได้รักใคร่นักหนา ขนาดว่าจะยกผมซึ่งเป็นหลานชายสุดที่รักให้ไปเป็นสามีเด็กนั่น” คำพูดชวนขบขัน แต่ใบหน้าเขายุ่งเหยิง เมื่อคิดว่าคุณหญิงย่าของเขาเห็นหลานชายเป็นอะไร ถึงนึกจะให้แต่งงานกับใครก็ได้...เขาเองมีชีวิตจิตใจ มีความคิดของตัวเอง คำขอร้องเชิงชี้นำกึ่งบังคับหน่อยๆนั่น มันทำให้เขาหนักใจไม่น้อยทีเดียว...เรื่องที่คุณหญิงต้องการมันยากสำหรับเขาที่จะตัดสินใจทำให้ได้อย่างที่ท่านต้องการ
คนเป็นพ่อพลอยครุ่นคิด ปริวิตกกังวลตามไปด้วย ปรัชญ์รู้ว่าลูกชายอึดอัดใจมากแค่ไหน ก็คงไม่ต่างจากเขาตอนที่ความรักเข้าตาในตอนนั้น แต่ตัวเองดันมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว...ผิดกันแต่ว่า ตอนนี้ปิโยรส โสดสนิท
“แล้วแกตอบไปว่ายังไง?” ถามไปก็ใคร่รู้ ว่าทำไมปิโยรสถึงได้มาทำหน้ากลุ้มคิดมากอย่างนี้ หรือไม่ชอบหญิงสาวที่ถูกชักนำให้
“ผมยังไม่ได้ตอบครับ...ก็ยังไม่เห็นหน้าเด็กงามนั่นเลย” ใครจะบ้าตัดสินใจซื้อสินค้าจากโฆษณาชวนเชื่อกันล่ะ เขาคนหนึ่งล่ะที่ไม่ทำแน่...อย่างน้อยก็ขอให้ได้เห็นหน้าตาแพ็คเก็จซักหน่อยก็ยังดีว่าเชิญชวนน่าใช้สมคำเล่าลือจริงหรือเปล่า...คุณสมบัติเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ตัดสินใจ และถ้าเป็นไปได้จะขอทดลองใช้ก่อนว่าถูกใจหรือเปล่า...ถ้าได้อย่างนั้นคงจะดีมากๆ
แต่บังเอิญว่าเมีย...ที่คุณหญิงย่าหมายตาให้...คงไม่มีโปรโมชั่นทดลองใช้ให้เขาแน่ๆ ขืนทำอย่างนั้น ก็เข้าทีแผนที่คุณหญิงวางไว้จะจับเขามัดมือชกแต่งงานกับเด็กงามนั่นเสร็จสรรพเรียบร้อย...ยังไงเขาก็ไม่มีทางหลวมตัวเป็นอันขาด
“อื้ม...” ผู้เป็นบิดาครางในคอ เชื่อแน่ว่าถ้าได้เห็นหน้ากันแล้ว ลูกชายอาจจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ความสวยผุดผ่องเปล่งปลั่งตามวัยสาวของงามฉวี เชื่อว่าต่อให้ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็ไม่มีใครปฏิเสธ กริยามารยาท การศึกษาเล่าเรียน ทุกอย่างไม่น่ามีปัญหาอะไรกับการที่ผู้ชายทุกคนจะรุมกันแย่งจีบ...แต่ข้อสงสัยที่ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มาจากไหน ชาติตระกูลที่มาเป็นอย่างไร นั่นล่ะ คือสิ่งที่ติดข้องในใจของทุกๆคน
และยิ่งกว่านั้น มารดาของเขา นึกพิลึกอะไร ถึงจะมาจับคู่หลานชายหัวนอกให้แต่งงานกับเด็กในปกครองของท่าน ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่า มันไม่สำเร็จมาตั้งแต่รุ่นของเขา...ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ ท่านน่าจะรู้ข้อนี้ดีอยู่แล้ว
“แล้วท่านว่ายังไงอีก?”
“ก็ขอให้ผมหมั้นหมาย ทำความรู้จักกับเด็กงามนั่นก่อน แล้วค่อยแต่ง” บุตรชายเล่า ก่อนจะถอนหายใจพรวดดัง
“แต่ท่านจริงจังมากๆ ขอร้องให้ผมรับเด็กงามนั่นเป็นเจ้าสาว เห็นสีหน้าท่าน ฟังน้ำเสียงท่าน ผมพูดไม่ออกจริงๆครับพ่อ จะปฏิเสธก็ไม่เต็มปาก จะรับก็ตะขิดตะขวงใจ” เลยได้แต่มานั่งทำหน้ากลุ้มใจอยู่อย่างนี้
ปรัชญ์เข้าใจความรู้สึกของลูกชาย และเขาเองก็ไม่กล้าจะไปงัดข้ออะไรกับท่านได้อีก หลังจากที่ขัดใจมารดามาหลายครั้ง จนร่ำๆว่าท่านจะตัดออกจากกองมรดก ไม่มาดูดำดูดีเสียก็ได้ แต่ทุกครั้งที่บริษัทมีปัญหา ก็ยังได้เงินทุนจากท่านมาสงเคราะห์เกื้อหนุนช่วยเหลือตลอดจนผ่านพ้นวิกฤติตั้งตัวได้อย่างทุกวันนี้
“ไหนๆตอนนี้แกก็ยังโสดนี่เจ้าปีย์ ลองคบงามฉวีดูก็ไม่น่าเสียหายอะไร” เอ่ยแนะไป เพราะไม่เห็นข้อเสียหายของหญิงสาวที่มารดาเล็งไว้ให้หลานชาย...นอกจากว่าเจ้านี่ยังไม่ได้รู้จัก และยังไม่ได้รักเธอก็เท่านั้น
ปิโยรสทำหน้างันไปกับคำแนะนำของบิดา...เพราะถ้าทำเช่นนั้นจริง เห็นทีเขาจะถอนตัวออกมาจากเรื่องนี้ยากแน่ๆ เมื่อคุณหญิงศกุนตลา หมายหมั้นปั้นมือเป็นหนักหนาเสียขนาดว่าเรียกเขาไปพูดคุยเป็นเรื่องแรก ทั้งที่เพิ่งกลับมาถึงเมืองไทยแท้ๆเชียว อุตส่าห์หลงเข้าใจผิดว่าท่านคิดถึง...ที่ไหนได้ จะจับให้ไปเป็นสามีเด็กกะโปโลที่ไหนไม่รู้
หนุ่มหล่อนักเรียนนอกผู้มีอนาคตไกลอย่างเขา...จะมีเมียทั้งที มันไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอก...ท่านน่าจะเข้าใจ
“ท่านรองคะ มีแขกมาขอพบค่ะ”
เสียงหวานผ่านอินเตอร์คอมจากเลขาหน้าห้องแจ้งเข้ามา
ท่านรอง...คือชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มงานเพื่อจะศึกษาให้มีความรู้สมกับตำแหน่งรองประธานกรรมการ ที่ได้มาเพราะเส้นล้วนๆ และไม่มีใครกล้าคัดค้าน เนื่องจากเป็นบุตรชายของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แถมยังมีวิทยฐานะทางด้านการเรียนระดับเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา และประสบการณ์ทำงานในบริษัทบริหารสินทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกาถึงห้าปีการันตีความสามารถ เขาเงยหน้าจากตัวหนังสือที่กำลังทำให้วิงเวียนตาลายตรงหน้าขึ้นมา
ตั้งแต่มาทำงานครบเดือน ก็เพิ่งจะมีแขกที่มาขอเข้าพบเขาอย่างเป็นทางการวันนี้เอง
คิ้วเข้มเหนือดวงตาคมคายขมวดมุ่น ก่อนจะกดอินเตอร์คอมตอบกลับไป
“เชิญครับ”
สามวินาทีหลังสิ้นเสียงอนุญาต ดวงตาคมตวัดมองแขกคนแรกอย่างเป็นทางการตั้งแต่เข้ามารับงานที่บริษัท พอเห็นเรือนร่างสูงโปร่งของคนที่โผล่พ้นประตูเข้ามาพร้อมรอยยิ้มหวาน ปิโยรสก็แทบจะลืมหายใจ
“วิว” ริมฝีปากหยักหนาได้รูปเอ่ยชื่อหล่อน หัวใจเต้นโครมคราม แต่เพียงห้าวินาที เขาก็ปรับสีหน้า แววตา ท่าทางทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด สำหรับคนเอ่ยปากขอเลิกลากันไปเมื่อหกเดือนก่อน เขาควรจะรู้สึกอะไรกับเธอได้อีกเล่า เมื่อเธอเลือกที่จะเดินออกไปจากชีวิตเขา...เท่ากับว่า ไม่ต้องการกันแล้ว
“เชิญครับ” ปิโยรสเชื่อว่าตัวเองเปล่งน้ำเสียงออกไปเป็นปกติที่สุด
“กลับมาทำงานที่เมืองไทย ไม่เห็นบอกกันเลยนะคะ ถ้าวิวไม่บังเอิญได้เจอวัฒน์วันก่อน ก็คงไม่รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว” น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่า ก่อนจะหย่อนสะโพกงอนสวยนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม หากทุกกริยาท่าทาง ยังประทับอยู่ในความทรงจำ เหมือนหนึ่งเธอยังเป็นคนรักคนเดิมของเขาอยู่
ปิโยรสพยายามกลืนน้ำลาย แก้อาการคอแห้งคอฝืด ไม่รู้เลยว่าเขากะพริบตาถี่กว่าปกติ
“ผมไม่ทราบนี่ ว่าวิวอยากรู้” ตอบก่อนจะเลี่ยงหลบสายตา เสมองที่แฟ้มตรงหน้า เมื่ออาภาเลขาของเขานำน้ำเย็นเข้ามาเสิร์ฟให้กับแขก
เช่นเดียวกับดวงตาที่ตกแต่งคมเฉี่ยวอย่างสาวสมัยใหม่จะตวัดมองยิ้มๆ กล่าวขอบคุณอาภา กระทั่งแน่ใจว่า ในห้องเหลือเพียงแค่เขาและเธอสองคน
“วิวอยากรู้ค่ะ ทุกเรื่องของปีย์ ยังสำคัญกับวิวเสมอ”
ดวงตาคมตวัดขึ้นมามองใบหน้าสวยอย่างไม่เข้าใจ เหมือนกำลังมองเห็นเพชรฆาตเลือดเย็น ที่ประหัตรประหารหัวใจของคนอื่นได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร...แม้ไม่รู้ถึงเหตุผลการมาปรากฏตัวของวิรงรองที่นี่ในวันนี้ ว่าหญิงสาวมีวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม แต่สำหรับแฟนเก่าที่เลิกลากันไป...เขายังต้องการเวลาทำใจ ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอในตอนนี้ อาการเจ็บแปลบเสียดยอกที่อกด้านซ้าย บอกได้เป็นอย่างดี ว่าเขายังไม่ลืมเธอ
ผิดกับหญิงสาว ที่คงไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่เป็นคนขอลดระดับความสัมพันธ์ให้เหลือเพียงแค่เพื่อนกัน โดยไม่ถามถึงความสมัครใจจากเขาซักคำ ว่ายินดีรับสถานะนั้น กับคนที่คบหากันมาอย่างลึกซึ้ง ถึงเจ็ดปีหรือไม่
“หรือครับ...น่าดีใจจัง” น้ำเสียงฟังออกว่าประชดประชัน เมื่อสีหน้าเขาไม่ได้บอกว่าดีใจไปด้วย
“ปีย์คะ” น้ำเสียงเว้าวอนหน่อยๆ เรียกชื่อเขา พร้อมมือเรียวที่ยื่นมาเกาะกุมมือใหญ่ไว้และบีบเบาๆ
“วิวอยากให้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...เจ็ดปีที่คบกันมา ไม่ใช่เวลาน้อยๆเลย วิวไม่อยากให้สิ่งดีๆที่เราสร้างมาด้วยกัน ต้องพังทลายลง เพียงเพราะวิวต้องการความมั่นคงในชีวิต...วิวผิดหรือคะ?”
ใช่สิ...เธอไม่ผิดเลย...ที่เลือกแต่งงานกับคนอื่น โดยบอกให้เขารู้เป็นคนสุดท้าย
ปิโยรสดึงมือตัวเองกลับคืนมาประสานเอาไว้เหนือแฟ้มงานที่กำลังอ่านอยู่ ยิ้มน้อยๆให้สีหน้าที่เผือดลงของวิรงรอง...เมื่อเขาไม่ใช่คนรักเธอ ความสัมพันธ์เหลือเพียงเพื่อน หญิงสาวก็ไม่ควรทำตัวสนิทสนมเหมือนดั่งเดิมให้เขาไขว้เขว...หกเดือนที่ผ่านมา มันทุกข์ทรมานเพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะหยุดความเจ็บปวดเสียที ตั้งสติใหม่ และเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีเธอ
เธอ...ที่เป็นคนไม่ต้องการ และหันหลังเดินจากเขาไปก่อน
“ถ้าคุณเพียงแค่แวะมาเยี่ยมเพื่อนด้วยความคิดถึง ผมรับทราบแล้วครับ” น้ำเสียงฟังดูประชดประชันนิดๆ
“แต่แฟ้มงานกองโตตรงหน้า ผมต้องอ่านให้หมดเพื่อเข้าประชุมกับฝ่ายบริหารในบ่ายวันนี้ ต้องขอโทษด้วยที่ผมคงไม่มีเวลาต้อนรับเพื่อนเก่าในเวลางานได้นานไปกว่านี้ ขอโทษจริงๆ”
วิรงรองหน้าเสีย แต่เมื่อฟังทั้งเหตุผล เห็นทั้งหลักฐาน เธอก็เข้าใจที่จะไม่ยืดเยื้ออีกต่อไป
แม้จะรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายขอเลิกกับเขาก่อน...แต่ปิโยรสควรเข้าใจว่า เธอที่อายุอ่อนกว่าเขาแค่หนึ่งปี เริ่มหวั่นไหวและไม่มั่นใจกับสถานภาพที่หลักลอยระหว่างกัน ขณะที่เพื่อนๆทยอยแต่งงานสร้างครอบครัวกันไปทีละคนสองคน จนเหลืออยู่แค่เธอ และเพื่อนผู้หญิงที่ตั้งอุดมการณ์จะเป็นสาวโสดไปจนตายแล้ว
เธอมองไม่เห็นอนาคตใดๆร่วมกันกับเขาอีก...ทุกอย่างค่อยๆจืดจางชืดชาลงไปทุกวัน และเมื่อเธอได้พบโรเบิร์ต ผู้ชายที่ตกหลุมรักเธอแต่แรกเห็น และหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำ ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจเหมือนสาวน้อยวัยแรกแย้มที่ถูกจีบอีกครั้งทำให้เธอมีความสุข มากกว่าอยู่กับผู้ชายบ้างาน และไม่เคยพูดถึงเรื่องอนาคตระหว่างกันมานานแล้ว
เธออาจจะผิดที่คบผู้ชายสองคนพร้อมกัน เพราะไม่อาจตัดใครคนใดออกไปได้ เมื่อผู้ชายคนแรกก็คบหาผูกพันกันมานาน ส่วนอีกคนก็มาเติมความหวานในชีวิตและทำให้เธอรู้สึกตัวเองมีคุณค่ามีความหมาย
กระทั่งโรเบิร์ตคุกเข่าขอเธอแต่งงาน ในขณะที่ปิโยรสยังมุ่งมั่นตามไล่ไขว่คว้าหาความก้าวหน้าในอาชีพการงานไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง และไม่เป็นที่ต้องการหรือเป็นคนสำคัญสำหรับเขาอีกแล้ว
วิรงรองตัดสินใจรับคำขอแต่งงานของโรเบิร์ต และบอกเลิกกับปิโยรสในวันนั้น แต่ส่วนหนึ่งของความผูกพันที่สานสายใยเชื่อมโยงสองหัวใจมานาน ก็ไม่อาจทำให้เธอหันหลังให้กับเขาได้อย่างแท้จริง
มือเรียวล้วงเอาซองสีชมพูที่อยู่ในกระเป๋าถือขึ้นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าชายหนุ่ม
“วิวมาเชิญปีย์ให้ไปร่วมยินดีกับเพื่อนคนหนึ่งค่ะ” ดวงตาทอแววเศร้าและขอการอภัยจากเขา
“และวิวก็อยากให้ปีย์ไปด้วย...เพราะ...” เธอพยายามบังคับน้ำเสียงสั่นนิดๆให้เป็นปกติ ดวงตาคู่สวยวาววับด้วยหยาดหยดของความรู้สึกผิดและเสียใจ
“วิวจะได้โล่งใจ และคงจะดีใจมาก ว่าปีย์ยกโทษให้วิวแล้วจริงๆ” แตะมือลงที่หลังมือเขาแผ่วเบา แล้วยิ้มบางๆให้ ก่อนที่ร่างเฉิดระหงจะหยัดยืนตรงหน้า
“เท่านี้ล่ะคะ ธุระของวิว ที่ขอรบกวนเวลาอันมีค่าของปีย์” พูดจบร่างบางก็หมุนตัวกลับ แล้วเดินฉับๆตรงไปที่ประตู
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นแกรนิตสะท้อนก้องดังอยู่ในหู พร้อมสายตาละห้อยที่ทอดมองตามไป ทั้งภาพและเสียงยืนยันว่า วิรงรอง เสาวภาคย์ ผู้หญิงที่คบหากันมาเจ็ดปีเต็ม ได้เดินออกไปจากชีวิตเขาแล้วจริงๆ
ในคอของปิโยรสยามนี้แห้งผาก สายตาตกลงมองซองสีชมพูหวาน ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หัวใจเหมือนมีใครเอาเข็มนับร้อยนับพันเล่มมาทิ่มมาตำย้ำๆ ซ้ำๆ จนชาหนึบหนับไปหมด
มือเรียวดึงบานประตูห้องทำงานของปิโยรสปิดลงหัวใจกลับมาหนักอึ้งและร้าวรอนเหมือนก่อนเก่า เมื่อครั้งที่เธอเคยรวบรวมความเข้มแข็งและความกล้าหาญเพื่อเอ่ยปากขอเลิกราสัมพันธภาพที่ยาวนานนับเจ็ดปี
ปิโยรสไม่มีคำถามใดๆ ไม่มีแม้แต่คำวิงวอนจะรั้งเธอเอาไว้...นั่นให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าที่เขาจะทำเช่นนั้น
‘เพราะปีย์คิดว่าวิวคงคิดมาอย่างดีและตัดสินใจแล้ว’
ความเยือกเย็นและเฉยชาของเขา ถึงแม้ใบหน้าจะเศร้าและมีแววผิดหวังในดวงตา แต่เท่านั้นไม่เพียงพอกับความต้องการของใจเธอ
ปิโยรสพูดถูก ว่าเธอคิดมาอย่างหนัก กว่าที่จะตัดสินใจเช่นนั้นได้
มันไม่ง่ายหรอกที่จะตัดรอนความสัมพันธ์ของคนที่คบกันมานานวัน...รวมถึงลึกซึ้งต่อกันไปถึงไหนๆ แต่เธอก็ต้องตัดสินใจเลือกความมั่นคงให้กับตัวเอง
เธอเห็นเยื่อใยในดวงตาคู่คมเข้ม เหมือนเช่นเดียวกับความรู้สึกในหัวใจที่เธอยังมีอยู่ แต่เขาก็เด็ดเดี่ยวกว่าเธอมาก และเธอก็ควรจะเด็ดขาดเมื่อเลือกที่จะแต่งงานกับผู้ชายอีกคน ก็ต้องเดินหน้าต่อไป โดยไม่หวนกลับมาคิดหรือมองกลับไปในเรื่องราวแต่หนหลัง...ไม่ควรเสียดายความพร้อมสรรพใดๆในตัวเขา ที่บัดนี้ไม่มีความหมายใดๆกับเธอแล้ว
“เสร็จธุระแล้วหรือคะ?” เลขาหน้าห้องลุกขึ้นยืนพรวด พร้อมกับฉีกยิ้มหวานให้เธอตามมารยาท
วิรองรองยกปากยิ้มตอบกลับไป แม้ในหัวใจจะยังรู้สึกแปลบปลาบอยู่บ้าง
“ค่ะ ขอบคุณ”
สองขาเรียวก้าวฉับๆอย่างมั่นคงจากมา กล้ำกลืนความรู้สึกผิดหวังเสียใจใดๆลงไป ชีวิตเธอมีเป้าหมายและเส้นชัย และมันก็เป็นคนละเส้นทางกับคนที่เธอเพิ่งเดินจากมา
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

...สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคร๊า ตุ๊กเป็นกำลังใจให้
ดูแลตัวเองด้วยนะคะ