ตอนที่ 1 : เจ้าสาวของปีย์
เจ้าสาวของปีย์
“ถือว่าย่าขอร้องเถอะนะปีย์ รับน้องเป็นเจ้าสาวแล้วแต่งงานกับงามเสีย”
คำขอร้องของชูสีไทเฮาแห่งสกุล ‘ธราดล’ ทำให้ปิโยรส ธราดล อึ้งงันไป และมิอาจจะปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำนัก เพราะถูกย้ำนักย้ำหนาจากทั้งบิดามารดา ว่าให้ตามใจคุณหญิงย่า ที่ตอนนี้กำลังป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคของผู้ชรา แม้เขาจะลอบพิจารณาดูท่านอยู่เป็นครู่ใหญ่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการผิดปกติอย่างใดก็ตามที
“ทำไมต้องเป็นงามฉวีล่ะครับคุณย่า” เขาข้องใจนัก ว่าเหตุไฉน ม.ร.ว. ศกุนตลา ธราดล คุณย่าของเขาถึงได้เอ็นดูรักใคร่เด็กกำพร้าที่มีคนเอามาทิ้งไว้ให้เลี้ยงเสียนักหนา และยิ่งกว่านั้น ยังอนุญาตให้เธอใช้นามสกุล ‘ธราดล’ เฉกเช่นเดียวกันกับเขาซึ่งเป็นหลานแท้ๆโดยสายเลือด
อันที่จริงเขาเองก็มิได้รังเกียจแม่สาวน้อยที่เคยเห็นติดตามคุณย่าต้อยๆมาแต่เล็กแต่น้อยนั่นซักนิด
งามฉวีที่เขาจำได้ หล่อนมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ใบหน้าเล็กนวลผ่อง ผิวเนื้อขาวอมชมพูระเรื่อเนียนละเอียด ดวงตากลมโตแววหวาน จมูกเล็กเชิดรั้น ปากเล็กอิ่มสวยได้รูป อย่างที่เรียกว่าปากนิดจมูกหน่อย น่ารักอย่างกับตุ๊กตาญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเจ้าหล่อนน่ารักสมวัยสิบสองขวบปีตามที่เขาได้เห็นในตอนนั้น
แต่นั่น มันก็เมื่อสิบปีผ่านมาแล้ว ก่อนที่เขาจะไปเรียนต่างประเทศ และก็มิได้มีความสนิทสิเน่หาอะไรเป็นพิเศษ กับหญิงสาวที่คุณย่าขอร้องให้รับเป็นเจ้าสาว เกินไปกว่าจะมองเห็นว่าหล่อนเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นน้องเป็นนุ่ง
ที่สำคัญ เขายังไม่คิดจะแต่งงานในตอนนี้
ในวัยยี่สิบเก้าปี สำหรับมหาบัณฑิตเกียรตินิยมด้านบริหารการเงิน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับไอวี่ลีกแห่งสหรัฐอเมริกา และเพิ่งได้หาประสบการณ์การทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติมาแค่ห้าปี มันยังเร็วเกินไปที่จะรีบหาห่วงมาผูกคอตัวเองเสียแต่ตอนนี้
หรือบางทีคุณหญิงศกุนตลาอาจจะระแคะระคาย เหตุผลหนึ่งที่เขากลับมาเมืองไทย นอกจากเพื่อมารับงานในบริษัทค้าขายส่งออกสินค้าเกษตรใหญ่โตของครอบครัวเพราะทนต่อคำอ้อนวอนขอร้องของบิดาและมารดาไม่ได้แล้วนั้น...นั่นเพราะเขาเพิ่งอกหักจากหญิงสาวที่คบหากันมานานถึงเจ็ดปีเต็ม...วิรงรอง เสาวภาคย์
“เพราะว่าครอบครัวเราติดค้างแม่ของงามฉวีไว้ ย่าถึงอยากขอร้องหลาน ปีย์อย่าได้ปฏิเสธน้องเลยนะ” น้ำเสียงของคุณหญิงฟังดูวิงวอนจนเขานึกแปลกใจ
คิ้วเข้มดำดกหนาเป็นปื้นเหนือดวงตาคมคายจริงจังเอาเรื่องนั่นเลิกสูง
“ติดค้าง...ติดค้างเรื่องอะไรหรือครับ...แล้วแม่ของงามฉวีนี่เป็นใคร ทำไมคุณย่าถึงได้รักใคร่เด็กคนนั้นนักหนา” ขนาดที่ว่าจะยกเขาซึ่งเป็นหลานชายสุดที่รักของท่าน ให้ไปเป็นสามีของเจ้าหล่อน
ปริศนาเรื่องบิดาและมารดาของงามฉวี...เป็นเรื่องที่ใครๆต่างก็สงสัยกันมานาน แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้ได้ นอกจากคุณหญิงศกุนตลาคุณย่าของเขาเพียงคนเดียว ซึ่งเปรียบเสมือนร่มเงาไม้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มกันภัยให้งามฉวี ที่ถูกกระทบกระเทียบว่าเจ้าหล่อนเป็นแค่กาฝากของสกุล ‘ธราดล’
คุณหญิงศกุนตลามีสีหน้าหนักใจ กับความลับคับอกที่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยบอกกับใครได้ เพราะได้รับปากกับ ‘ม.ล.นวลพรรณ’ มารดาของงามฉวีก่อนที่จะสิ้นใจตาย ว่าจะเก็บเรื่องชาติตระกูลของเด็กหญิงไว้เป็นความลับ
เสียงถอนใจแผ่วอย่างหดหู่ระคนเศร้าสร้อย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสองปีก่อน เท่ากับอายุของเด็กน้อยที่ท่านรับอุปการะเอาไว้ และเลี้ยงดูเฉกเช่นลูกหลานในไส้
‘นั่นอะไรกันนวล เธอไปเอาเด็กแดงๆที่ไหนมาอุ้ม’ คุณหญิงศกุนตลาทักถามคนที่หายตัวไปกว่าปีอย่างตกใจ ในวันที่ฟ้าร้องครืน นวลพรรณหอบเด็กหญิงตัวน้อยในห่อผ้ามาพบท่านกลางดึก
ดวงหน้าซีดเซียวอิดโรยเงยใบหน้าคลอหยาดหยดน้ำตาขึ้นมามองท่านอย่างสำนึกผิด
‘ลูกสาว...ลูกสาวของนวลเองค่ะคุณป้าหญิง’
‘อะไรนะ...นี่ที่เธอหายไปเป็นปีๆนี่ก็...’
ร่างแบบบางอรชรอ้อนแอ้นดูซูบผอมลงไปจนผิดหูผิดตา สะอึกสะอื้นใบหน้านองน้ำตาอย่างน่าสงสาร เงยหน้าขึ้นมามองท่านอย่างวิงวอน
‘ค่ะ...นวลผิดพลาดไปแล้ว’ คำตอบนั่นทำเอาท่านใจหายวาบ รู้สึกผิดที่ต้นเหตุส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะตัวท่านเอง
‘โธ่...นวลพรรณ’ ท่านได้แต่พึมพำอย่างสงสาร ‘แล้วพ่อของเด็กเล่า’
‘เขาเป็นคนใต้...เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาสามัญ ที่ไม่มีอะไรเทียบชั้นกับพี่ปรัชญ์ได้ นอกจากเขารักนวล’ คนเล่าเสียงสั่นอย่างสะเทือนใจที่หลีกลี้หอบลูกหนีหน้าเขามาเพราะเหตุผลสำคัญ
‘แล้วทำไม ถึงอุ้มลูกหนีมาอย่างนี้ เขาตบตี หรือทำร้ายอะไรเธอใช่ไหม’ ถามกลับไปอย่างตระหนก
นวลพรรณส่ายหน้า น้ำตาคลอหน่วย
‘ไม่ค่ะ...โชติเขารักนวลมาก...แต่นวลไม่ได้รักเขา...นวลคิดว่าเขาจะช่วยให้นวลลืมพี่ปรัชญ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่เลย นวลอยู่กับเขาเหมือนคนทรยศที่ตัวอยู่กับเขาแต่หัวใจคิดถึงสามีคนอื่นตลอด’
คนฟังปวดร้าวหัวใจแทน พร้อมกับคิดว่าเป็นความผิดของตนไม่น้อยที่เรื่องราวเป็นอย่างนี้
‘สามีคนอื่น’ ที่นวลพรรณพูดถึง...ก็คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิงศกุนตลา นามว่า ม.ล.ปรัชญ์ ธราดล
ม.ล.นวลพรรณ หมั้นหมายกับ ม.ล.ปรัชญ์ บุตรชายคนโตของคุณหญิงศกุนตลามาแต่เล็กแต่น้อยด้วยสายสัมพันธ์อันดีของสองตระกูลเก่าแก่ และความเห็นชอบของผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่ว่าปรัชญ์ในวัยหนุ่มคะนอง พลาดท่าไปทำเลขาสาวตั้งท้อง และก็ยืนยันว่ารักใคร่จะแต่งงานกันให้ได้ แม้จะต้องถูกตัดขาดจากสกุลธราดล และไม่ได้ทรัพย์สมบัติอะไรไปเลย ก็ยอมเสียสละ
แต่ในฐานะที่ ม.ล.ปรัชญ์ คือบุตรชายสืบสกุลเพียงคนเดียวของท่านกับ ม.ร.ว.ปราบ ธราดล คนเป็นแม่ไม่มีใครรับได้กับการสูญเสียลูกชายที่ยินยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารัก
เมื่อต้องการรักษาวงศ์ตระกูล บวกกับความดื้อรั้นของบุตรชายในตอนนั้น ท่านจึงต้องแบกหน้าไปขอถอนหมั้น ม.ล.นวลพรรณ จนกลายเป็นเรื่องผิดใจบาดหมางใหญ่โตกับสกุล ‘นฤทธิ์ภูบาล’ ทำให้ไม่อาจมองหน้ากันได้สนิทใจมาจนถึงทุกวันนี้
หลังงานแต่งงานของ ม.ล.ปรัญช์ นวลพรรณก็เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวซึมเศร้าเพราะยังทำใจไม่ได้ หนีหน้าผู้คนในสังคมเพราะอับอายที่ถูกถอนหมั้น กลายเป็นหม้ายขันหมากทั้งที่จวนเจียนจะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว กระทั่งหนีหายตัวไปจากครอบครัวเป็นเวลากว่าปี และก็เพิ่งกลับมานั่งตรงหน้าคุณหญิงในตอนนั้น
‘มีอะไรจะให้ป้าช่วยก็บอกมาเถอะนะนวลพรรณ ขอให้ป้าได้ชดใช้ให้กับเธอบ้าง’
รอยยิ้มจางๆอย่างซาบซึ้งใจยิ้มให้กับท่าน
‘คุณป้าหญิงคงทราบดีว่าทางบ้านนวลไม่มีใครยอมรับยัยหนูกับสามีของนวลได้แน่ๆ’
ความเจ้ายศเจ้าอย่างของบิดาและมารดาทำให้นวลพรรณไม่กล้าเอาหลานไปให้ตากับยายได้ดูแล เกรงจะถูกรังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเลือดครึ่งหนึ่งในตัวแกนั้น มาจากผู้ชายไร้สกุลรุนชาติที่พวกท่านไม่มีวันยอมรับเขาได้เด็ดขาด
ดวงตาทอดแววเศร้ามองเด็กน้อยที่ขดตัวหลับสนิทในห่อผ้าขนหนูสีมอ
‘พ่อของแกก็คงไม่มีปัญญาจะเลี้ยงดูให้ดีได้...เขาเป็นแค่ผู้ชายหาเช้ากินค่ำ นวลสงสารลูก กลัวแกไม่มีอนาคต’
ดวงหน้าเศร้าแหงนเงยขึ้นมองท่านด้วยสายตาวิงวอน
‘และนวลก็เพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานนี้ว่าตัวเองเป็นโรคร้ายคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน นวลนึกไม่ออกจริงๆว่าจะวางใจให้ใครเลี้ยงลูกนวลได้อีกแล้ว นอกจากคุณป้าหญิง’
คุณหญิงศกุนตลายกมือขึ้นมาทาบอกเมื่อได้ยินอย่างนั้น รู้สึกตกใจพร้อมเห็นใจต่อโชคชะตาของนวลพรรณพร้อมลูกสาวตัวน้อย
‘นวลถึงอยากเอาลูกมาฝากให้คุณป้าหญิงช่วยกรุณาเลี้ยงดูแกให้เติบใหญ่เป็นกุลสตรีที่ดีพร้อม’ มารดาผู้กำลังจะพลัดพรากจากลูกน้อยน้ำตาหลั่งรินไหลปานจะขาดใจ ยามที่ต้องตัดใจมอบเลือดเนื้อเชื้อไขให้คนอื่นดูแล
‘นวลรู้ว่าป้าหญิงรักและเอ็นดูนวลมาก ก็อยากขอความเมตตานั่นไปถึงลูกนวลด้วย แกอาภัพนัก ที่ต้องกำพร้าแม่แต่ยังเล็ก แถมตายายก็ยังไม่ยอมรับ’ ภาพของนวลพรรณในตอนนั้น ทำให้คุณหญิงสะเทือนใจอย่างรุนแรง และสัญญากับตัวเองว่าจะให้ความรักเอ็นดู เลี้ยงดูบุตรสาวของนวลพรรณให้ดีที่สุด เพื่อชดใช้แทนบุตรชายของท่านเองด้วย
เพราะหากไม่ผิดหวังจากปรัชญ์แล้ว นวลพรรณก็คงไม่เตลิดไปไกลจนทำเรื่องผิดพลาดใหญ่โตให้เรื่องราวบานปลายกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมอย่างนั้น
ท่านนั่งมองหญิงสาวกล่อมลูกน้อยด้วยความเศร้าสร้อย ตั้งแต่กลางดึกจวบจนรุ่งสางกว่าที่นวลพรรณจะยื่นบุตรสาวตัวแดงใบหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อยในห่อผ้าให้กับท่านด้วยความอาลัย
เพียงแค่เห็นใบหน้าไร้เดียงสา สบดวงตากลมแป๋วดำสนิทของเจ้าตัวเล็กที่รับมา ท่านก็ตกหลุมรัก นึกเอ็นดูเวทนาในทันที
‘ชื่ออะไรหรือเจ้าตัวเล็กนี้ หน้าตาน่าเกลียดน่าชังนัก’
‘พรรณตั้งชื่อแกว่างามค่ะ... ชื่อจริงยังไม่มี ยังไม่ได้พาไปแจ้งเกิดเลยค่ะ’
‘นั่นเป็นธุระที่ป้าจะจัดการดูแลต่อไปเองเธอไม่ต้องเป็นห่วง’ ท่านรับคำให้วางใจ
‘ชื่องามมันสั้นไป ป้าขอตั้งให้ว่างามฉวีก็แล้วกันนะ เพราะผิวพรรณผุดผ่องสดใส งามเหลือเกิน’
นวลพรรณยิ้มทั้งน้ำตา ยามเห็นท่านประคบประหงมดูแลบุตรสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดูรักใคร่ ให้ไว้วางใจได้แล้วว่าต่อจากนี้ลูกสาวเธอจะมีคุณหญิงศกุนตลาเลี้ยงดูเป็นที่พึ่ง
เจ้าหล่อนจึงกลับไปหาครอบครัว เพื่อรักษาตัวดูแล และก็เสียชีวิตในอีกสามเดือนต่อมา ด้วยโรคมะเร็ง โดยไม่มีใครได้รู้ระแคะระคายเรื่องของงามฉวีทั้งนั้น
เช่นเดียวกับความบาดหมางของ ‘ธราดล’ กับ ‘นฤทธิ์ภูบาล’ ก็ดูท่าว่าจะต่อกันไม่ติดอีกเลย
การตายของม.ล.นวลพรรณ เป็นเรื่องโศกเศร้า ที่แม้แต่ ม.ล.ปรัชญ์ เองก็คิดว่าเขาเองก็มีส่วนผิดที่ทอดทิ้งคู่หมั้นไปแต่งงานกับหญิงอื่น แม้เรื่องราวนั้นจะผ่านมานานกว่ายี่สิบกว่าปี แต่ก็ยังเป็นบาดแผลอยู่ในใจของทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่เว้นแม้แต่ ‘รุจี’ ผู้หญิงที่ลูกชายเลือกแต่งงานด้วย
การถือกำเนิดของปิโยรส ทำให้คุณหญิงศกุนตลาต้องละทิ้งเกียรติยศ เพื่อร่วมรับผิดชอบการกระทำของบุตรชาย หากวันใดที่ไร้ท่านเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยให้งามฉวี ปิโยรสจึงควรมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ ตามความคิดเห็นของท่าน
อีกทั้งงามฉวีที่ท่านเลี้ยงดูอบรมมาอย่างดี มีคุณสมบัติเพียบพร้อมครบถ้วนทุกประการควรคู่กับหลานชายที่ท่านรักยิ่ง แผนการจับคู่ที่เหมาะสมเสียยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกจึงเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ เมื่อทราบว่า ปิโยรสได้เลิกรากับผู้หญิงที่คบหามานานหลายปีแล้ว ใครกันจะเหมาะสมที่จะดูแลงามฉวี และเป็นภรรยาที่ดีของปิโยรส ได้เท่ากับเขาทั้งสองคนอีกเป็นไม่มี
“ว่าไงครับคุณย่า?” เสียงท้วงทวงถามขึ้น เมื่อเห็นคุณย่าของเขานิ่งไปนานแสนนาน เหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่อีกขอบฟ้าที่ไกลโพ้นจนเกินกว่าเขาจะเอื้อมไปถึง
คุณหญิงศกุนตลาเงยหน้ามามองหลานชาย ยิ้มจางๆ ในตายังมีแววโศก
“ย่าจะเล่าให้ปีย์ฟังเมื่อย่าพร้อม”
ชายหนุ่มลอบทอดถอนใจ...รอคุณย่าพร้อมแล้วเมื่อไหร่กัน เขานั้นอยากรู้เหตุผลเสียแต่ตอนนี้ เหตุผลดีๆที่อาจจะช่วยให้เขาตัดสินใจว่าจะรับหรือปฏิเสธเด็กสาวคนนั้นดี
“แล้วคุณย่าจะไม่ถามผมหน่อยหรือไรครับ ว่าพร้อมที่จะแต่งงานกับเด็กงามนั่นด้วยหรือเปล่า?”
“ย่าถึงอยากให้ปีย์เจอน้องก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ หมั้นหมายกันไว้ก่อนก็ดี”
“โธ่...ย่าครับ” เขาครวญ ทำหน้าเหมือนจะขาดใจตาย “ขอให้ปีย์ช่วยเรื่องอื่นไม่ได้หรือไร เรื่องหมั้นเรื่องแต่งอะไรนี่มันเรื่องใหญ่นะครับ...คนจะมาเป็นเมียปีย์ ต้องอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย ปีย์อยากเลือกของปีย์เอง”
“ย่าถึงขอให้ปีย์หมั้นกับงามไว้ก่อน ทำความรู้จักน้อง รับรองว่าปีย์จะไม่มีทางปฏิเสธแน่ๆ”
ปิโยรสได้แต่ถอนหายใจ ไม่อาจปฏิเสธ ม.ร.ว.ศกุนตลาได้เต็มปากเต็มคำ เพราะก่อนจะมาพบท่านที่คฤหาสน์หลังนี้ ทั้งบิดาและมารดา ก็กำชับกำชามานักหนาว่า ให้ตามใจท่านทุกอย่าง...คงไม่คิดว่า คำขอร้องของคุณหญิงจะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้...แต่งงาน มันคือชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเขาเลยนะ
แม้ปิโยรสไม่รู้ถึงเรื่องขัดเคืองใจระหว่างบิดามารดาและคุณย่าของเขา ไม่รู้ว่าทำไมทั้งรุจีและปรัชญ์ถึงไม่กล้ามาสู้หน้าคุณหญิงศกุนตลาด้วยตัวเอง แต่กลับส่งเขามาเป็นทนายหน้าหอแทนตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเล็กนั่นแล้ว ทั้งสองคนเกรงใจคุณหญิงเอามากๆเลยทีเดียว เช่นเดียวกับที่ใครๆก็รู้ว่า ผู้เป็นใหญ่ในสกุลธราดล ที่ทุกคนต่างเคารพให้ความยำเกรง ก็คือผู้หญิงวัยเฉียดแปดสิบที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขายามนี้
“แล้วนี่แกอยู่ไหนล่ะครับ ไหนๆก็มาแล้ว เรียกมาทำความรู้จักกันเลยสิครับ จะได้ไม่เสียเวลา”
คุณหญิงยิ้มอย่างพอใจ เมื่อหลานชายไม่ได้ปฏิเสธคำขอร้องของท่าน แม้จะไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทำความรู้จักกับงามฉวีนักก็ตามทีเถอะ แต่ท่านเชื่อมั่นในสายตาอันเฉียบคมของตัวเองว่าปิโยรสจะไม่มีทางปฏิเสธความน่ารักและคุณสมบัติกุลสตรีดีพร้อมของหญิงสาวที่ท่านเลี้ยงดูอบรมมากับมือ
“งามไปสอบวันสุดท้าย เสร็จแล้วก็คงไปฉลองกันต่อกับเพื่อนๆ”
“อะไรนะครับ นี่ยังเรียนไม่จบอีกหรือ?” เขาทำหน้างันไป
“เทอมสุดท้ายแล้ว...น้องยี่สิบเอ็ด จะครบยี่สิบสองในเดือนหน้า เกิดวันเดียวกับปีย์เลยนะ” นั่นเป็นสิ่งที่ท่านตั้งใจ คือแจ้งเกิดเด็กน้อยในวัยสองเดือนให้ตรงกับวันเกิดของหลานชาย พร้อมแผนการบางอย่างในใจ ที่คิดและเก็บเอาไว้ร่วมยี่สิบปี
ปิโยรส สมควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลงามฉวี ที่ถือกำเนิดอย่างน่าสงสาร เพราะการมีเขาบนโลกนี้
ปิโยรสแอบถอนใจ เข้าใจแล้วว่าที่คุณย่าจำวันเกิดเขาได้ไม่เคยพลาดซักปี เห็นจะเป็นเพราะว่างามฉวีเกิดวันเดียวกันกับเขา ท่านเลยพลอยจำวันเกิดเขาได้ด้วย
“งานนี้ สงสัยมีคนหาว่าผมหลอกเด็ก”
“ใครเด็ก...อายุยี่สิบสอง เรียนจบปริญญาตรีนี่ไม่เด็ก แต่งงานได้แล้ว ปีหน้า ปีย์เองก็สามสิบแล้ว ถือว่าเป็นวัยเริ่มต้นสร้างครอบครัวของผู้ชาย”
“ผู้ชายเดี๋ยวนี้แต่งงานกันสี่สิบ”
“แต่งสี่สิบ ย่าเห็นทีจะรออุ้มเหลนไม่ไหว”
คำพูดของคุณหญิงศกุนตลา ทำให้ปิโยรสรู้สึกประหลาดพิลึก นี่คุณหญิงย่าของเขาเห็นหลานชายเป็นอะไร วัวพ่อพันธ์งั้นหรือไง ถึงจะให้แต่งงาน มีลูกกับผู้หญิงซักคนได้โดยไม่สอบถามถึงความรักเลยซักนิด
เขาไม่เห็นด้วยสุดๆ....กับการที่ผู้ชายอย่างเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครซักคนจนก่อให้เกิดชีวิตใหม่ได้ สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นไปด้วยความรักมากกว่าอย่างอื่น
เพราะถ้าถือเรื่องความต้องการจากฮอร์โมนเป็นแรงขับ ก็อาจจะได้แค่เซ็กส์ที่ตื่นเต้น เร้าใจ เป็นไปตามความคึกคะนอง แต่ในวัยยี่สิบเก้าปี เขาผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาแล้ว
สำหรับผู้หญิงที่จะให้เขาแต่งงานด้วย ยังไงเขาก็อยากให้มีความรักเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่...ชีวิตครอบครัวที่เขาตั้งใจว่าจะสร้างขึ้นมาพร้อมกับผู้หญิงอันเป็นที่รัก คนที่เพียบพร้อมจะเป็นทั้งเมียและแม่ของลูก อยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิตที่เหลือ
เมียในทัศนคติที่เขาชื่นชมคือ ผู้หญิงสมัยใหม่ คล่องแคล่ว เป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ทำงานนอกบ้านและดูแลตัวเองได้ มีหน้าที่การงานดี เป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง เข้ากับสังคมและครอบครัวของเขาได้เป็นอย่างดี
แต่เท่าที่ฟังว่าที่เจ้าสาวที่คุณหญิงย่าเลือกให้ ดูท่าหล่อนจะใกล้เคียงหญิงสาวในอุดมคติของเขาอยู่เพียงไม่กี่ข้อ
ก็คงต้องดูกันต่อไป...เห็นท่าไม่ไหวยังไง เขาคงต้องชิ่ง...เมื่อชีวิตนี้ ตั้งใจที่จะแต่งงานเพียงครั้งเดียว...มีเมียเพียงคนเดียว ยังไงก็ขอได้ใช้ชีวิตหนุ่มให้คุ้มกับที่เกิดมาเป็น ปิโยรส ธราดล ผู้ชายที่ทั้งหล่อและรวย แถมเพิ่งได้กลับมาอยู่ในสถานะโสดหมาดๆอีกครั้งหนึ่ง
“อะไรน่ะ ตรี?” งามฉวีมองกล่องกำมะหยี่สีแดงผูกริบบิ้นที่ตรีเทพยื่นให้อย่างงงๆ
“ของขวัญวันเรียนจบ” คนให้ของขวัญตอบอย่างขัดเขินนิดๆ รวบรวมความกล้าที่สุดแล้วที่จะมาสารภาพรักกับหญิงสาว และจะเอ่ยปากขอคบหาเธอเป็นแฟน เพราะคิดว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายในวันนี้ ถ้าเขาไม่รีบคว้าไว้ ก่อนที่งามฉวีจะเข้าไปในเขตรั้วรอบขอบชิดของคฤหาสน์หลังใหญ่โต
“ผลสอบยังไม่ออกเลย รู้ได้ไงว่าจบ” งามฉวีไม่ยอมรับของขวัญที่เขายื่นให้ กลับถามเล่นลิ้น พร้อมหยิบหนังสือและกระเป๋าถือเตรียมก้าวลงจากรถ
“ว่าที่บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่ามาถ่อมตัวเลย คะแนนสอบได้เต็มทุกครั้ง ถ้าอาจารย์ไม่ให้จบ ตรีจะไปยืนแก้ผ้าประท้วงหน้าคณะเลย”
งามฉวีหัวเราะคิกคัก กับคนหน้ามู่ทู่พูดสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง
“ตรีไม่บอกก่อน งามจะได้ไม่ต้องอ่านหนังสือไปสอบ” ตอบขำๆ
“พูดอย่างนี้ อยากเห็นตรีแก้ผ้าหรือไง” คนถามทำตาโต ทั้งที่มีดวงตาตี่เล็กตามเชื้อสายกากี่นั้งของบรรพบุรุษ
หากคนถูกถามกลับยิ้มพราว จนลักยิ้มสองข้างแก้มบุ๋มลึกเป็นเสน่ห์แสนน่ารักของเจ้าตัว
“เปล่า อยากรู้ว่าจะกล้าทำอย่างที่พูดรึเปล่าต่างหาก” อมยิ้มขำๆตอบกลับไป
“กล้าสิ...ถ้าทำเพื่องามตรีกล้าอยู่แล้ว” ดวงตายามตอบแสนมุ่งมั่นหนักแน่น งามฉวีหน้างันไป เข้าใจความหมายโดยนัย เพราะไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดจะไม่รู้ว่ามีหนุ่มจีบ
“เราขอตัวเข้าบ้านก่อนนะ”
“ของขวัญล่ะ” ตรีเทพรีบทักท้วงไว้
ใบหน้านวลดูหนักใจเล็กน้อยกับของกำนัลที่ดูท่าว่าจะราคาแพง สมฐานะของคนให้ซึ่งเป็นถึงเจ้าสัวน้อยโรงงานซอสปรุงรสที่ขายดิบขายดี
“งามไม่มีอะไรให้ตรีตอบแทนหรอกนะ”
“ตรีก็ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทน ขอแค่งามรับความหวังดีของเราเอาไว้ก็พอ”
แววตาครุ่นคิดเลื่อนลงมองกล่องของขวัญในมือตรีเทพ คาดเดาจากกล่องว่าน่าจะเป็นเครื่องประดับมีราคา
“เดือนหน้าจะถึงวันเกิดงาม ตรีค่อยเอาให้ตอนนั้นดีไหม เป็นวาระโอกาสที่เหมาะจะให้ของขวัญกันมากกว่า”
“ตรีซื้อให้ใหม่ก็ได้” หนุ่มหล่อพ่อรวย ทายาทโรงงานซีอิ้วร้อยล้านยังตื๊อไม่เลิก
“เปลืองตังค์”
“ก็ตังค์ตรี”
“ใช่ที่ไหน ตังค์ปะป๊ากับมาม๊าของตรีต่างหากล่ะ” แอบค้อนนิดๆ ตอนทักท้วงเขา แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่นานกิจการทั้งหมดทั้งมวลก็คงตกทอดมาเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ตรีเทพหัวเราะร่าเริงตอบอย่างขัดเขิน
“นั่นแหละน่า มันก็ของตรีทั้งนั้นแหละ”
“เราจะรับตอนวันเกิดก็แล้วกัน เก็บไว้ให้ด้วยนะ” ตัดบทแล้วก้าวลงจากรถ ไปเปิดประตูเล็กด้านข้างประตูอัลลอยด์บานใหญ่โตของคฤหาสน์ธราดล ก่อนก้าวเข้าไปในบ้าน ยังหันมาโบกมือให้เขา
ตรีเทพมองตามร่างแบบบางสมส่วนที่เดินลับกายหายไปยังคฤหาสน์หลังโตนั่นอย่างใจหายนิดๆ มองกล่องของขวัญในมือที่อุตส่าห์ไปเดินเลือกซื้ออยู่ตั้งนานกว่าจะได้มา แต่แล้วก็ต้องเป็นหมันอยู่กับเขาต่อ และคงต้องรอไปจนกว่าจะถึงเดือนหน้าในวันเกิดของงามฉวี
“เฮ้อ! จีบยากจีบเย็นจริงๆ ไม่เห็นว่าสวยนี่ ตรีไม่อดทนรอหรอกนะ” ตรีเทพบ่นตามหลังร่างบางไป ก่อนจะอมยิ้ม เพราะเมื่อคิดถึงงามฉวีครั้งใด เขาก็มีความสุขยิ้มได้ทุกครั้ง แม้จะได้แต่ร้องเพลงรอสาวเจ้าอยู่อย่างนี้ เพราะเธอไม่มีท่าทีใดๆกับเขาเป็นพิเศษ
แต่ถึงตอนนี้ ก็ไม่เห็นมีผู้ชายหน้าไหนได้ใกล้ชิด หรือมีภาษีเหนือกว่าเขา ที่พยายามรุกคืบ ขยับความใกล้ชิด จากเพื่อนมาเป็นแฟนให้ได้...ยังไงเสีย เขาก็จะไม่ท้อ และหาทางพิชิตใจงามฉวีให้ได้ในที่สุด
แม่ของลูกเขา...ต้องเป็นเธอคนเดียวเท่านั้น...ตรีเทพหมายมั่นอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะเข้าเกียร์ตวัดพวงมาลัย เหยียบคันเร่งรถสปอร์ตสีแดงโฉบเฉี่ยวของขวัญวันเรียนจบที่ปะป๊ากับมาม๊าให้มาตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ออกจากขอบเขตรั้วของคฤหาสน์ธราดล
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

153 ความคิดเห็น
-
#60 รวิณาธิตรา (จากตอนที่ 1)วันที่ 10 สิงหาคม 2555 / 13:33มาแอดไว้ก่อน ขออนุญาตคขำคนเขียน ฟอนท์ใหญ่มวาก กร๊ากกก#600
-
#48 way8003 (จากตอนที่ 1)วันที่ 7 สิงหาคม 2555 / 09:08งาม ช่ือเพราะจัง แต่ชีวิตช่างอาภัพ#480
-
#10 september (จากตอนที่ 1)วันที่ 7 กรกฎาคม 2555 / 08:22สนุกมากค่ะ น่าตามติดมาก#100
-
#8 fsn (จากตอนที่ 1)วันที่ 6 กรกฎาคม 2555 / 23:31เรื่องนี้น่าติดตามคะ ว่าแต่ว่า เรื่องเก่านี้จะลงต่อหรือเปล่าคะ ยังคิดถึงอยู่#80
-
#4 lullana (จากตอนที่ 1)วันที่ 6 กรกฎาคม 2555 / 13:16เอากำลังใจจจจจจจจจจจจจมาฝากกกกกกกกกกกกกกกกกกจ้าพี่นาย#40
-
#2 usa zaza (จากตอนที่ 1)วันที่ 6 กรกฎาคม 2555 / 01:00สนุกๆๆๆๆ อิอิ พระเอกเจอนางเอกแล้วจะว่าไงเนี่ย#20