ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] EXO CHAN x BAEK ,(CHANBAEK) - Calories Love .

    ลำดับตอนที่ #5 : ♡ Calories Love Chapter : 400 kcal.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.31K
      29
      5 ธ.ค. 55

    Calories Love

    Pairing : CHANYEOL & BAEKHYUN (CHANBAEK)

    Chapter : 400 kcal.

     

     

     

     

    ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของผมนี้...

    ไม่ได้ต้องการหวังผลตอบแทนอะไรกลับมา เพียงแค่เขารู้สึกดีก็พอแล้ว

    ...

               

                “ล้อฉันเล่นหรือเปล่าเนี่ยแพคฮยอน!

                “ฉันเปล่าล้อเล่นนะคยองซู...ฉัน..ไม่น่าตอบตกลงไปเลย...โอย...เครียดจัง” แพคฮยอนที่นั่งคุยอยู่กับ คยองซูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกำลังวิตกกังวลที่จะต้องไปงานประกวดดาวเดือนของมหาลัย

     

                คยองซูเองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าทั้งคู่ไปตกลงปลงใจชวนกันไปงานได้ยังไง มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นสำหรับเขาอยู่เหมือนกันนะ...

               

                “อย่าเครียดไปเลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยนะ” พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่แพคฮยอนกลับยิ่งทำหน้าเครียดกว่าเดิม

    “เรื่องใหญ่สิ ก็ฉันเผลอตอบตกลงจะไปงาน แต่...ตอนนี้ฉันไม่อยากไปเลย”

    “โธ่ แพคฮยอนอ่า มันก็แค่งานประกวดเองนะ”

    “ฮื่อ...คยองซูอ่า ช่วยฉันที ฉันควรทำยังไง...” มืออวบอูมคว้าไปที่มือเรียวเล็กของคยองซูเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทอย่างเขา มีเหรอคยองซูจะอยู่เฉย เพื่อนเครียดขนาดนี้ไม่ช่วยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว...

    “ก็ได้”

    “จริงนะ..ฉันต้องทำยังไงดี” แพคฮยอนเริ่มมีความหวังเพิ่มมากขึ้น ส่วนคยองซูก็ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก

    “นายก็ไปงานประกวดตามที่รับปากไว้นั่นแหละ ไม่เห็นยาก”

    “โธ่...”

    “ไม่ต้องมาโธ่เลย”

    “ฉัน..ไม่อยาก”

    “นายต้องไปแพคฮยอน” พูดด้วยเสียงหนักแน่นจนอีกฝ่ายไม่กล้าขัด

    “คยองซูอ่า...ฉัน..”

    “ทำไมไม่อยากไปล่ะ?” คยองซูยิงคำถามไปอย่างตรงๆ ทำเอาแพคฮยอนสะอึก...

    “ก็ฉันกลัว”

    “มีอะไรให้กลัวงั้นเหรอ”

    “ไม่รู้สิ...ฉันไม่กล้า...”

    “เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยากจะเห็นหน้าหมอนั่นด้วย”

    “เฮ้อ...”

    “นี่! ฉันอุตส่าห์ไปเป็นเพื่อนด้วยนะ ถ้านายไม่ไปนายจะกลายเป็นคนผิดสัญญา รู้เปล่า?”

    “ฮื่อ...รู้...” ทำหน้าสำนึกผิดแล้วก้มหน้าลง คยองซูแอบลอบยิ้มเล็กๆ แล้วเลื่อนมือไปตบที่ไหล่หนาของแพคฮยอนอย่างให้กำลังใจ

    “ซื้อดอกไม้ไปให้ด้วยสิ”

    “ไม่เอานะ!” รีบยกมือทั้งสองโบกไปมา

    “แค่ให้ดอกไม้เอง จะไปยากอะไร”

    “คยองซูอ่า มันน่าอายมากนะรู้ไหม”

    “น่าอายตรงไหน” ยักไหล่อย่างไม่สนใจ แต่แพคฮยอนกำลังทำหน้าร้องไห้ได้ทุกเมื่อ นี่เขารู้สึกผิดมหันต์ที่ตัดสินใจขอคำปรึกษาจากคยองซู แต่ว่าถ้าไม่ปรึกษาคยองซูแล้วเขาจะไปปรึกษาใครล่ะ...

    “ไม่เอา ยังไงฉันก็ไม่ทำหรอก”

    “ดื้อจริงๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ” คยองซูส่ายหน้าไปมาแล้วล้มเลิกความคิดของตัวเองไป แต่แพคฮยอนก็ยังคงทำหน้าหนักใจเหมือนกับตัวเองกำลังแบกโลกทั้งใบเอาไว้

    “วันประกวดนี่มันวันไหนนะ”

    “ยังไม่รู้เลย”

    “คงอีกไม่นานหรอก ช่วงนี้กิจกรรมเริ่มเยอะแล้ว แค่เปิดเทอมไม่กี่วันเอง ฉันจะบ้าตาย” ตบหน้าผากหน้าตัวเองดังแปะก่อนที่เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

     

    วันนี้ทั้งคู่มีเรียนแค่ช่วงเช้า คยองซูเลยมานั่งเล่นที่บ้านของแพคฮยอนตั้งแต่เรียนเสร็จ เพราะกลับบ้านก็น่าเบื่อตายแถมยังได้รู้เรื่องอะไรดีๆ อีกด้วย รู้สึกว่าคนที่แพคฮยอนชอบที่ชื่อชานยอลอะไรนั่นจะเข้ามาวนเวียนในชีวิตเพื่อนสนิทของเขามากขึ้นซะแล้วสิ

     

    แต่ต่อให้เอาใครมาฉุด แพคฮยอนก็ไม่มีทางเริ่มก่อนอย่างแน่นอน...

    ชีวิตนี้ก็คงได้แต่แอบชอบเขาไปก็เท่านั้นแหละ

     

    “นี่แพคฮยอน”

    “หือ ว่าไง” เอียงคอเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปหาคยองซู

    “ฉันถามอะไรหน่อยสิ”

    “อ่ะ อื้อ...” แพคฮยอนขยับตัวเล็กน้อย เวลาที่คยองซูเริ่มทำเสียงที่จริงจังทีไรเขาจะต้องรู้สึกตื่นเต้นทุกที

    “นายชอบหมอนั่นจริงๆ เหรอ”

    “เอ๋? ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”

    “ตอบมาสิ ชอบเหรอ” อยากรู้คำตอบคนตรงหน้าให้ได้แล้วก็ทำหน้าจริงจังใส่ จนแพคฮยอนต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาที่กำลังจ้องมองมาอยู่

    “เปล่า...”

    “เปล่า?” ทำเสียงอย่างไม่เชื่อใจ เขารู้จักแพคฮยอนดีกว่าใครเสียอีกนะ เรื่องแค่นี้ไม่สามารถตบตาเขาได้หรอก

    “เปล่าจริงๆ ฉันก็แค่...รู้สึกปลื้มเฉยๆ ไม่ได้ชอบหรืออะไรเลย...”

    “ปลื้มอีกละ คราวก่อนก็บอกว่าปลื้ม อาการแบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าปลื้มหรอกนะ”

    “อ้าว...ไม่ใช่ปลื้มหรอกเหรอคยองซู...ฉัน...ไม่ได้ชอบชานยอล..เอ่อ...เลย...” แพคฮยอนส่ายหน้าแล้วปฏิเสธต่อไป

    “แน่ใจว่าแค่ปลื้ม?”

    “อื้อ...”

    “ปลื้มคือยังไง” ถามต่อไปเพื่อให้ได้คำตอบที่แน่ชัด จากนั้นคยองซูก็จะตีความด้วยเซนส์อันแรงกล้าของตัวเอง

    “ก็ปลื้มไง...”

    “ลองให้ความหมายของนายหน่อยสิ”

    “ก็...” แพคฮยอนทำหน้าครุ่นคิดอย่างน่ารัก...

     

    แพคฮยอนเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อตัวเองนึกถึงวันที่ชานยอลเดินเข้ามาช่วยเขาเก็บของที่หล่นกระจายอยู่เต็มพื้นอย่างมีน้ำใจ

     

    “วันนั้น...เขาช่วยฉันเก็บของที่หล่นอยู่ที่พื้น...ฉันรู้สึกอายมาก...แต่เขาเดินมาช่วยฉันเก็บของแถมยังยิ้มให้ เขามีน้ำใจ...ฉันรู้สึกอยากขอบคุณเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” แพคฮยอนยังจำใบหน้าของชานยอลได้ดี

    “ฉัน...ไม่รู้ว่าความรู้สึกปลื้มใจมันมาตอนไหน...แต่อยู่ดีๆ เขาก็ชอบมาให้ฉันเจออยู่บ่อยๆ มันอาจจะดูเป็นเรื่องตลกนะคยองซู...แต่ว่า...ฉันปลื้มที่เขามีน้ำใจ...เท่านั้นเอง” แพคฮยอนมองหน้าคยองซูที่กำลังตั้งใจฟัง

    “อือ...ฉันรู้สึกอยากจะทำอะไรสักอย่างเป็นการตอบแทนเขา”

    “นี่เหรอคำว่าปลื้มของนาย...อืม...”

    “ก็...ไม่มีอะไรมากหรอก มีแค่นี้แหละ...ฉันอธิบายไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่”

    “ฉันว่ามันต้องมีความรู้สึกอย่างอื่นด้วยแน่ๆ” หรี่ตาลงอย่างจับผิด แต่แพคฮยอนก็ได้แต่โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน

    “ไม่ใช่นะ ไม่มีอะไรแอบแฝงเลย...”

    “จริงนะ”

    “จริงๆ...นายก็รู้ว่าฉันเป็นยังไงนี่นา”

    “อื้ม ฉันรู้”

    “ไม่มีอะไรจริงๆ นะคยองซู”

    “โอเค เชื่อก็ได้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะ ขอฉันดูสถานการณ์ต่อไปเรื่อยๆ ก่อน เพื่อนที่แสนน่ารักของฉันกำลังมีความรักจริงหรือเปล่า” พูดจบก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาแพคฮยอนนั้นหน้าแดงเข้าไปใหญ่

    “คยองซูอ่า!

    “ฮ่าๆ...ก็มันจริงนี่นา”

    “ไม่มีความรักอะไรทั้งนั้นแหละน่า”

    “ไม่รู้...ฉันไม่รู้เรื่อง...” หันหน้าไปอีกทางแล้วหัวเราะอย่างพอใจเมื่อเขากำลังแหย่ให้อีกฝ่ายรู้สึกจนมุม

     

    แพคฮยอนก็ยังคงหน้าแดงอยู่อย่างนั้น แล้วก็ทำหน้ายู่ใส่คยองซูที่เอาแต่ล้อเขาไม่หยุด ความรู้สึกที่ออกมาจากตัวเขาเองนั้นมันไม่ได้มีอะไรแอบแฝงเลย

     

    เขาไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร มีเพียงแค่ความรู้สึกปลื้มใจอยู่เงียบๆ

     

    ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้...เพราะเขาเลือกที่ไม่อยากจะให้รู้เอง เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้ว แต่แพคฮยอนจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าอีกไม่นานความรู้สึกปลื้มใจนั้นกำลังจะกลายเป็นความรู้สึกอย่างอื่นแทน...

     

    ความรู้สึกนั้นก็คือความชอบ...โดยที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไร

     

     

    ...

    ...

     

    คณะนิเทศศาสตร์ในเวลาตอนเย็นนั้นตามความจริงแล้วจะมีนักศึกษาจำนวนไม่มากนัก แต่วันนี้มีกลุ่มรุ่นพี่โขยงใหญ่เกาะกลุ่มกันอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่าเป็นโขยงจริงๆ

     

    จะอะไรซะอีกล่ะ...ก็เพราะวันนี้มีซ้อมการแสดงของดาวและเดือนของคณะ รุ่นพี่ปีสองปีสามก็ต้องลงมาดูรุ่นน้องปีหนึ่งอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีจำนวนมากไปหน่อยจนห้องซ้อมเลยดูเล็กลงทันที...

     

    และปีนี้ถือเป็นปีที่คณะนิเทศศาสตร์รู้สึกมั่นใจกับรางวัลที่จะต้องได้ เพราะหน้าตาของดาวและเดือนคณะนั้นจัดได้ว่ามีคนสนใจมากที่สุดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะเดือนของคณะ ที่มีดีกรีความหล่อพุ่งพรวดจนฉุดแทบไม่อยู่

     

    ใบหน้าหล่อเหลาที่ตัดผมซอยไม่สั้นมากนักแต่มันก็รับกับใบหน้าเรียวยาวของเขา ดวงตาที่พราวเสน่ห์อยู่ตลอดเวลาและเสียงทุ้มนุ่มจนใครหลายๆ ต้องรู้สึกชอบผู้ชายคนนี้จนห้ามใจเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ นี่คือเม็ดเพชรงามของคณะนิเทศศาสตร์ในปีนี้จริงๆ

     

    “ซ้อมถึงกี่โมงวะ” จงอินถามและนั่งมองเซฮุนที่เดินไปหยิบจับอุปกรณ์และเครื่องดนตรีเล่นอย่างสนใจ ชานยอลที่นั่งไขว้ห้างและถือกีต้าร์ของรุ่นพี่อยู่นั้นส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้เวลา

    “ไม่รู้ดิ คงอีกสักพักหนึ่งอ่ะ แกกลับไปก่อนก็ได้นะ ดูเซฮุนมันดิ เริ่มซนแล้วเห็นไหม”

    “ช่างมันเถอะ มันคงไม่ทำของๆ เขาพังหรอก” ยักไหล่ให้อย่างไม่สนใจแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นแก้เบื่อ ชานยอลพยักหน้ารับก่อนที่จะก้มหน้าก้มหน้าจับคอร์ดกีต้าร์ก่อนที่จะเริ่มเกาเบาๆ จนเกิดเสียง

     

    การแสดงครั้งนี้ไม่มีอะไรมากนัก ชานยอลบอกความสามารถพิเศษของตัวเองไปเพราะเขาเล่นกีต้าร์เป็นงานอดิเรก แต่จริงๆ แล้วเขาก็มีงานอดิเรกอีกอย่างก็คือการถ่ายภาพ แต่จะไปให้ถ่ายภาพแสดงบนเวทีใครเขาจะไปเห็นภาพกันล่ะ เขาก็เลยต้องเล่นกีต้าร์แทน

     

    “พี่ครับ ผมจะเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ทั้งเพลงเลยนะ” ชานยอลลุกขึ้นเดินไปบอกรุ่นพี่ผู้ชายหนึ่งในกลุ่มนั้นแล้วยิ้มบางให้ ใครที่เป็นผู้หญิงในระแวกนั้นเป็นจะต้องอมยิ้มกับความน่ารักและสุภาพของชานยอลกันทุกคน

    “โอเคไม่มีปัญหา นายเลือกเพลงไว้เลยนะ เดี๋ยวพี่มาดูอีกที” เขาบอกกับชานยอล ร่างสูงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนที่จะขอตัวไปเลือกเพลงที่จะเล่น ชานยอลเดินไปวางกีต้าร์กับที่ตั้งก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อค้นหาเพลงที่เขาชอบ นิ้วเรียวยาวกดพิมพ์ชื่อเพลงลงไปก่อนที่จะเปิดคอร์ดเพลงนั้นขึ้นมาดูคร่าวๆ

     

    แล้วเพลงที่เขาเลือกก็คือเพลง If you really love me…

     

    เป็นแนวเพลงกลางๆ ฟังง่ายและให้ความรู้สึกคู่รักคู่หนึ่งที่ไม่เข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของกันและกันจนต้องเลิกรากันไป แต่ชานยอลมองเพลงนี้อีกแง่มุมหนึ่งก็คือถ้าคนเราเข้าใจความรู้สึกของกันและกันแล้วล่ะก็ทุกอย่างก็จะเดินไปด้วยดี ถ้ารักกันจริงๆ ก็ควรจะรอกัน เพื่อได้กลับมารักกันได้อีกครั้ง...

     

    “เพลงนี้แหละ” ชานยอลบอกกับตัวเองเลือกฟังเพลงนั้นอยู่ประมาณสามสี่รอบเพื่อฟังคอร์ดของเพลงก่อนที่จะนำมาดีดให้เป็นฟิงเกอร์สไตล์ของตัวเอง

     

    “จงอินครับ ผมหิว พาไปหาอะไรกินหน่อยสิ” เซฮุนเดินมาสะกิดจงอินที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่ข้างๆ ชานยอล

    “จะกินอะไร” จงอินถามเซฮุนโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง เพราะเขากำลังเล่นเกมอยู่เลยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำสีหน้ายังไง

    “อะไรก็ได้”

    “ไปซื้อขนมร้านค้าแถวๆ คณะเอาสิ” พยักเพยิดหน้าไปอย่างปัดๆ ตอนนี้เซฮุนกำลังทำหน้ายู่เพราะจงอินไม่ได้ให้ความสนใจเขาเลยสักนิดเดียว คนอุตส่าห์เดินมาพูดด้วยดีๆ แต่จงอินไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยเลย

    “เสียมารยาทที่สุดเลยนะครับ ไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยเนี่ย” พอเซฮุนพูดจบปุ๊บ จงอินก็กดพอสเกมอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเงยหน้ามองอย่างหาเรื่อง ร่างผอมบางของเซฮุนกอดอกขึ้นอย่างไม่พอใจ แก้มพองลมออกหน่อยๆ อย่างไม่ชอบใจ

    “อะไรของแก”

    “ก็ทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยล่ะครับ”

    “ก็เล่นเกมอยู่ไม่เห็นรึไง บ้าป่ะ” จงอินเริ่มทำหน้ายู่ใส่เซฮุนบ้าง

    “พอสเกมตั้งแต่แรกก็ได้นี่ครับ”

    “ก็มันกำลังถึงเวลสูงแล้วไง จะให้พอสไง?” เถียงกันไปมาอย่างเด็กๆ เซฮุนก็ไม่ยอมแพ้ แล้วก็กำกำปั้นของตัวเองตีเข้าไปที่ท่อนแขนของจงอินอย่างแรง

    “จงอินอ่า!

    “โอ้ย จะตีทำไมเนี่ย” ลูบแขนตัวเองป้อยๆ แล้วขยับตัวหนีจากเซฮุน

    “อ้าวๆ กลับคอนโดไปทะเลาะกันเลยไป” ชานยอลที่นั่งดูเพื่อนทั้งสองคนทะเลาะกันแล้วก็ต้องรีบพูดห้ามทัพ จงอินและเซฮุนต่างก็ไม่ยอมแพ้กัน

    “แกดูสิ มันมาตีฉันอ่ะ ฉันทำอะไรผิดวะ”

    “ผมไปเองก็ได้” เซฮุนมองหน้าจงอินอย่างงอนๆ แล้วก็หันหลังและเดินออกจากห้องซ้อมไปทันที จงอินมองหน้าชานยอลอย่างไม่เข้าใจ

    “ตามมันไปเดี๋ยวนี้เลย”

    “ห๊ะ?”

    “งอนจนแก้มมันจะแตกแล้ว พามันไปหาอะไรกินเลยไป” ชานยอลไล่จงอินให้ไปตามเซฮุนที่เดินออกจากห้องไป อีกฝ่ายก็ทำหน้างงอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ต้องจำใจลุกขึ้นและหยิบกระเป๋าของตัวเองและเซฮุนสะพายออกไปด้วย

     

    ชานยอลส่ายหน้าอย่างเอือมๆ ให้กับทั้งสองคน ไม่รู้อยู่ด้วยกันไปได้ยังไง ทะเลาะกันเป็นว่าเล่นอีกคนก็ไม่สนใจแถมยังชอบแกล้ง อีกคนก็งอนแล้วยังงอแงเหมือนเด็กๆ แต่สุดท้ายก็คืนดีกันเหมือนเดิม

     

    “นายเลือกเพลงได้ยัง” รุ่นพี่ผู้ชายที่อยู่ปีสามเดินเข้ามาถามชานยอล

    “ได้แล้วครับ เพลง If you really love me ของ Busker Busker ครับ”

    “แล้วเรื่องคอร์ดล่ะ แกะได้ใช่ไหม”

    “ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร ผมว่าจะปรับเปลี่ยนนิดหน่อย น่าจะซ้อมทันนะครับ” อธิบายให้รุนพี่ฟังแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

    “ผมขอเวลาแกะสักวันสองวันได้ไหมครับ แล้วค่อยมาซ้อมอีกที”

    “ได้สิ แต่มีเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์กับการซ้อมนะ” ชานยอลพยักหน้าอย่างเข้าใจ รุ่นพี่บอกให้เขากลับได้ก่อนที่จะเดินไปหาเพื่อนที่กลุ่มและปรึกษาเรื่องการแสดงต่อ

    “งั้นขอตัวก่อนนะครับ”

    “กลับบ้านดีๆ ล่ะ”

    “ครับ” ชานยอลโค้งให้กับรุ่นพี่ทุกคนก่อนที่จะสะพายกระเป๋าและเดินออกจากห้องซ้อมไป เขาร้องเพลง If you really love me ในลำคอเบาๆ เพลงนี้เป็นเพลงที่เขารู้สึกชอบอยู่ไม่น้อย ดนตรีแนวกลางๆ ฟังง่ายและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาแทนใครหลายๆ คนได้

     

    อีกหนึ่งอาทิตย์ในการซ้อมการแสดง คืนนี้เขาต้องแกะคอร์ดเพลงให้เสร็จแล้วจะได้เริ่มซ้อมได้ทันเวลา เพราะวันจริงเขาคงไม่อยากขายหน้าเล่นกีต้าร์ผิดคอร์ดหรอกนะ และก็คงไม่อยากให้แพคฮยอนที่เขาตั้งใจชวนมาดูการแสดงต้องหัวเราะกับการโชว์ห่วยของเขาเท่าไหร่นัก...

     

     

     

    ผมสามารถเห็นรอยยิ้มของเขาจากที่ไกลๆ ตรงนี้

    ดีกว่าผมเข้าไปใกล้เขาแล้วไม่เห็นอะไรเลย

    ...

     

                “แพคฮยอนอ่า งานประกวดมันเริ่มสี่โมงเย็นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังไม่มาอีก” คยองซูถามแพคฮยอนทางโทรศัพท์ เพราะตอนนี้งานประกวดดาวและเดือนของมหาลัยได้เริ่มไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

                (“คยองซูอ่า ฉันไม่กล้าไป”)

    “นายจะผิดสัญญานะ รีบๆ มาเลย ฉันรอนายอยู่ที่งานแล้วนะ” คยองซูเริ่มปรับเสียงเข้มให้แพคฮยอนเริ่มรู้สึกผิด

    (“ฉันจะไปงานทันเหรอ นี่มันเลยมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วนะ...”)

    “ไม่ทันก็ต้องทันแล้ว ออกจากบ้านมาเดี๋ยวนี้เลย ฉันให้เวลานายอีกยี่สิบนาทีนะ” บอกเองเสร็จสรรพและตัดบทโดยการวางสายจากแพคฮยอนไปโดยที่ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร

     

    แพคฮยอนกำโทรศัพท์มือของตัวเองอย่างวิตกกังวล ยังไงเขาก็ต้องไปงานประกวดตามที่คยองซูบอกใช่ไหม...ทำไมเรื่องแบบนี้เขาถึงไม่กล้า..ทำไมเขาถึงขี้ขลาดอย่างนี้นะ...

     

    พระเจ้าไม่ชอบที่จะให้เขายืนมองอยู่ห่างๆ อย่างนี้เลยเหรอ เขาอยากจะให้กำลังใจอยู่เงียบๆ และไม่อยากจะเปิดเผยตัวให้ใครได้รับรู้ เพราะเขาไม่ได้มีความสำคัญต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว...

     

     

    ...

    ...

     

    ลานกว้างที่เป็นเรียกได้ว่าเป็นลานใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดของมหาลัยนั้นถูกจัดให้เป็นงานประกวดดาวและเดือนของมหาวิทยาลัยเกาหลี มีนักศึกษาทุกคณะมาอยู่บริเวณสนามกันอย่างมากมาย และนั่งเป็นสัดส่วนแบ่งเป็นแต่ละคณะอย่างเป็นระเบียบ ทุกคนมีใบหน้าที่ตื่นเต้นและบางส่วนก็เดินไปมุงดูบอร์ดขนาดใหญ่ที่ติดรูปของดาวและเดือนคณะเอาไว้เพื่อบอกบ่งบอกหมายเลขประกวด

     

    “แกดูเดือนคณะนิเทศสิ หล่อชะมัดเลย”

    “ฉันว่าถ้าโชว์ความสามารถพิเศษได้ดี คงได้เป็นเดือนมหาลัยแน่ๆ เลย หล่อซะขนาดนี้” หญิงสาวพูดคุยกันกับกลุ่มเพื่อนแล้วมองรูปบอร์ดขนาดใหญ่ที่ข้างล่างเขียนชื่อกำกับเอาไว้ ปาร์ค ชานยอล...

     

    ชานยอลถูกให้ความสนใจแทบทุกคณะ และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดูดีที่สุดในบรรดาเดือนของคณะอื่นๆ เป็นที่รู้กันว่าคะแนนอาจจะถูกเทให้เดือนคณะนิเทศศาสตร์ก็เป็นได้

     

    คยองซูที่ยืนอยู่แถวๆ บอร์ดรูปนั้นชะเง้อคอมองหาร่างอวบๆ และหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาเพื่อโทรหาแพคฮยอนอีกครั้ง เพราะตอนนี้การแสดงของดาวและเดือนคณะอื่นๆ ก็ผ่านไปเยอะแล้ว อีกไม่กี่ลำดับก็จะถึงคณะนิเทศศาสตร์แล้วด้วย

    “ให้ตายสิ ทำไมยังไม่มาอีกนะ” บ่นกับตัวเองแล้วมองไปที่รูปของเดือนคณะนิเทศ

    “นายนี่นะ มาทำให้เพื่อนฉันกลายเป็นคนขี้อายหนักขึ้นแล้วรู้ตัวบ้างไหมเนี่ย” ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ ก่อนที่จะรอให้ปลายสายรับ

    “รับสิแพคฮยอน”

    (“คยองซูอ่า”) แพคฮยอนกดรับในเวลาไม่นานมากนัก เสียงจอแจดังแทรกออกมาจากโทรศัพท์มือถือบอกให้รู้ว่าอีกคนคงจะออกมาข้างนอกเรียบร้อยแล้ว

    “นายอยู่ไหนน่ะ คณะนิเทศใกล้จะออกมาแสดงแล้วนะ”

    (“ฉันอยู่หน้าประตูทางเข้า”)

    “เดินเข้ามาเลยนะ ฉันอยู่ตรงป้ายบอร์ดตรงทางเข้านั่นแหละ เร็วๆ เข้า” บอกก่อนที่จะวางสายไป

     

    คยองซูมองไปทางประตูทางเข้า แล้วไม่นานร่างอวบๆ ของแพคฮยอนก็ค่อยๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขา คยองซูโบกมือเป็นสัญญาณให้แพคฮยอนมองเห็น

     

    “ไปข้างหน้ากันเถอะ” รีบคว้าแขนของแพคฮยอนแล้วลากไปข้างหน้าเวทีเพื่อให้เห็นการแสดงได้ชัดๆ แต่ยิ่งใกล้จะถึงการแสดงของคณะนิเทศมากเท่าไหร่ คนก็มากขึ้นเท่านั้นแถมยังไปไม่ถึงหน้าเวทีอีกด้วย

     

    “ทำไมคนเยอะอย่างนี้เนี่ย เมื่อกี้ยังไม่เยอะขนาดนี้เลย” คยองซูบ่นแล้วพยายามเดินหาทางไปทางเวที แพคฮยอนที่เดินตามนั้นเริ่มรู้สึกตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก

    “คยองซูอ่า ฉัน...ตื่นเต้น”

    “อย่าเพิ่งตื่นเต้น นายยังไม่เห็นหน้าหมอนั่นเลย” บอกแล้วเดินจูงมือแพคฮยอนต่อไป

    “จะเจอหรือไม่เจอก็ตื่นเต้นอยู่แล้วแหละ” แพคฮยอนบอกอย่างซื่อๆ ก่อนที่จะพยายามทำให้ลมหายใจเข้าออกของตัวเองให้เป็นปกติ คยองซูส่ายหน้าไปมาให้กับความประหม่าของเพื่อนสนิทต่อเอง

    “เอาน่า นายอาจจะยังไม่ชิน เดี๋ยวพอชอบไปนานๆ แล้วนายก็จะปรับตัวได้เองแหละ”

    “คยองซู ฉันไม่ได้ชอบ...เอ่อ...สักหน่อยนะ...” ยู่หน้าอย่างเคืองๆ และเดินตามคยองซูต้อยๆ เหมือนเด็ก แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจแพคฮยอนเลยเพราะมัวแต่เดินหน้าหาพื้นที่หน้าเวทีอย่างตั้งใจ

    “มันก็เหมือนๆ กันแหละน่า จะชอบ จะปลื้มเนี่ย”

    “ฮื่อ...ไม่เห็นเหมือนเลย”

    “อย่าเถียงฉันได้ไหม รีบๆ เดินเข้า”

    “กะ...ก็ได้”

     

    เสียงประกาศจากพิธีกรคู่กำลังพูดถึงคณะนิเทศศาสตร์ในระหว่างที่รอและเซ็ตเครื่องเสียงให้เข้าที่ และเสียงกรี๊ดดังขึ้นทันทีที่ดาวและเดือนของคณะนิเทศศาสตร์จะได้ออกมาโชว์ความสามารถพิเศษของตัวเองในเวลาอีกไม่นานนี้

     

    หลายคนตื่นเต้นกับการแสดงโชว์เป็นอย่างมาก พิธีกรก็ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีเพื่อรอสัญญาณความพร้อมจากตัวแทนของดาวและเดือน การแสดงแรกจะเป็นการแนะนำตัวและโชว์ความสามารถรวมแล้วไม่เกินห้านาที และตัวแทนดาวของคณะจะเป็นฝ่ายเริ่มโชว์ก่อน

     

    เสียงปรบมือดังขึ้นเหมือนเป็นการให้กำลังใจและเตรียมตัวรับชมการแสดงของคณะนิเทศศาสตร์กันอย่างพร้อมเพรียง ดาวของคณะนิเทศศาสตร์ก็สวยไม่แพ้คณะอื่นเช่นกัน เธอออกมาแนะนำตัวอย่างมั่นใจก่อนที่จะเริ่มโชว์การแสดงที่เตรียมตัวมาอย่างดี

     

    เสียงปรบมือดังขึ้นภายในเวลาอันสั้น ดูเหมือนว่าการแสดงโชว์ความสามารถพิเศษของเธอสามารถให้ให้ผู้ชมนั้นชื่นชอบกันเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการแสดงโชว์ต่อไปอีกแล้ว เสียงกรี๊ดดังขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อพิธีกรกำลังพูดถึงเดือนของคณะนิเทศศาสตร์กันอย่างออกรส

     

    คยองซูและแพคฮยอนที่พยายามลากตัวเองให้มาใกล้เวทีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้นั้นถอนหายใจโล่งอกเมื่อมาได้ทันเวลาโชว์

     

    “กว่าจะเบียดเข้ามาได้ เหนื่อยชะมัด” คยองซูแทบจะปาดเหงื่อออกจากหน้าผากเนียนของตัวเอง แล้วมองหน้าแพคฮยอนที่เริ่มทำสีหน้าวิตกกัลวลและเริ่มยืนอยู่ไม่สุข

    “เป็นอะไรไป ยังไม่หายตื่นเต้นอีกเหรอ”

    “อ่ะ อืม...” เป่าลมออกจากปากเพื่อผ่อนคลาย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย คยองซูเห็นแล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

     

    อาการแบบนี้เหมือนกับเด็กที่เพิ่งหัดมีความรักไม่มีผิด

     

    “ทำใจให้สบาย ไม่ต้องคิดมากแล้วก็ดูการแสดงของชานยอลของนายซะ”

    “มะ ไม่ใช่ของฉันสักหน่อย คยองซูอ่า นายพูดอะไรแบบนี้ได้ยังไง...”

    “เอ้า ดูๆ หมอนั่นจะออกมาแล้ว ปรบมือเชียร์ด้วยนะ” คยองซูสะกิดแพคฮยอนที่เริ่มทำหน้าแดงๆ ใส่เขาให้หันไปสนใจบนเวทีแทน พิธีกรพูดส่งมอบพื้นที่เวทีให้กับเดือนคณะนิเทศศาสตร์เรียบร้อย พร้อมๆ กับเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดที่ดังลั่น...

     

    หัวใจแพคฮยอนกำลังเต้นแรงขึ้น...แรงขึ้นอย่างตื่นเต้น..

     

    เขาจะได้เห็นการแสดงของชานยอลแล้วสินะ...

     

    ร่างสูงเดินออกมาจากข้างเวทีพร้อมๆ กับกีต้าร์ตัวโปรดของตัวเอง บริเวณกลางเวทีมีเก้าอี้หนึ่งตัวและขาไมค์ ชานยอลยิ้มออกมาให้ผู้ชมและกรรมการและเดินไปที่เก้าอี้

     

    เสียงกรี๊ดยังคงดังอยู่เรื่อยๆ จนแพคฮยอนก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

     

    ร่างสูงเริ่มแนะนำตัวอย่างสบายๆ ด้วยพื้นฐานที่เคยเป็นประธานนักเรียนมาก่อนเลยไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับเขาเลย

     

    “สวัสดีนะครับ...ผม ปาร์ค ชานยอล คณะนิเทศศาสตร์ครับ...” แนะนำตัวเพียงแค่นั้น สั้นๆ แต่ก็รู้ได้ว่าเขาเป็นตัวแทนมาจากคณะนิเทศศาสตร์ เสียงกรี๊ดดังขึ้นอีกครั้งเพราะหลายๆ คนต้องการที่จะฟังเสียงของร่างสูง และเมื่อได้ฟังเสียงทุ้มนุ่มนั่นแล้วก็อดไม่ได้เลยที่จะหลงใหลในเสน่ห์ของชานยอล

     

    “เมื่อรู้จักชื่อผมแล้ว...งั้นก็มาฟังเพลงกันเลยดีกว่านะครับ” ยิ้มบางๆ ให้ทุกคนพร้อมๆ กับนั่งลงบนเก้าอี้ เขาจับกีต้าร์อย่างชำนาญและเริ่มขยับนิ้วเรียวทั้งสองข้าง...

     

    ทุกคนต่างพร้อมใจกันเงียบและตั้งใจดูการแสดง แม้กระทั่งแพคฮยอนเองก็ยังเผลอยืนนิ่งค้างอย่างไม่รู้ตัว ดวงตารีเรียวของแพคฮยอนนั้นมองไปยังใบหน้าของชานยอลอย่างตั้งใจ...พร้อมๆ กับเก็บเอารอยยิ้มเมื่อครู่นั่นเอาไว้ในความจำอย่างรวดเร็ว...

     

    เพราะแพคฮยอนชอบรอยยิ้มนั้นมาก...

     

    เสียงเกากีต้าร์ดังขึ้น นิ้วทั้งสิบทำหน้าที่อย่างชำนาญ และทำให้ทุกคนอึ้งกับความสามารถในการเล่นกีต้าร์ของชานยอลมาก มันเป็นการดีดแบบฟิงเกอร์สไตล์ทั้งหมด และมันก็ทำให้เสียงของกีต้าร์ดูไพเราะและดูมีเสน่ห์มากขึ้น

     

    ดนตรีเพลงแนวกลางๆ ของ If you really love me ที่ชานยอลแกะมันขึ้นมาทำให้หลายคนเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับอินโทรเพลง ชานยอลขยับตัวเข้าไปใกล้ไมค์มากขึ้นก่อนที่จะเปล่งเสียงทุ้มๆ ของตัวเองออกมาร้องในท่อนแรก

     

    사랑한단 말로는 사랑할 없군요

    แค่พูดบอกคุณว่ารัก แค่นั้น ผมรักคุณไม่ได้หรอก

    그대 상처 주네요 나의 뻔한 말이

    คำนั้นที่ผมพูดบอกคุณไปอย่างชัดเจน ได้ทำให้คุณเสียใจ

    너무 쉽게 뱉은 너무 쉬운 사랑은 

    ทั้งคำพูดที่พูดออกมาได้อย่างง่ายดาย และความรักที่แสนจะง่ายดาย

    거짓말이죠 그래 거짓말이죠

    ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวง ทุกอย่างต่างก็เป็นเรื่องโกหก

    무엇을 원하는지 얼마나 힘든 건지

    คุณต้องการอะไร มันเป็นอะไรที่หนักหนามากมั้ย

    신경 쓰지 않죠 쉽게 넘어 갔나요

    ผมไม่สนใจหรอกนะ มันเลยจุดนั้นมาแล้ว

    많이 힘들었나요 그대가 오늘은 헤어지자 말해요

    มันลำบากกับคุณมากมั้ย ที่วันนี้คุณบอกเลิกกับผม

     

    เพลงในท่อนแรกที่ชานยอลร้องออกมาสื่อถึงอารมณ์เศร้าเล็กน้อยและทำให้บรรยากาศนั้นดูเงียบและตั้งใจฟังเสียงทุ้มๆ ของชานยอลเป็นอย่างมาก เขาหลับตาร้องเพลงอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ มันทำให้เขาดูมีเสน่ห์ และท่อนฮุคก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในสนามนั้นรู้สึกถึงอารมณ์ที่ชานยอลกำลังถ่ายทอดออกมาจากเพลงได้จริงๆ

     

    정말로 사랑한담 기다려 주세요

    ถ้าคุณรักผมจริงๆ ก็ช่วยรอผมหน่อยนะ

    사랑한단

    รวมทั้งคำรักมากมายนั้นด้วย

    말들도 당신의 행동 하나 진심만을 원하죠

    ผมอยากให้สิ่งที่คุณแสดงออกมา เป็นสิ่งที่คุณต้องการจากใจ

    정말로 사랑한담 기다려 주세요

    ถ้าคุณรักผมจริงๆ ก็ช่วยรอผมหน่อยนะ

    그댈 위해 참아줘요

    ผมอดทนเพื่อคุณ

    당신의 행동 하나 아픈 추억 되가요

    ทุกการกระทำของคุณ ได้กลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดไปแล้ว

     

                ...ทุกคนอดไม่ได้ที่จะร้องเพลงนี้ตามไปกับชานยอล แม้กระทั้งแพคฮยอนเองก็รู้สึกใจเต้นกับเพลงที่ชานยอลเลือกมาร้อง ท่อนสุดท้ายของเพลงได้ดำเนินมาถึง เสียงทุ้มๆ และริมฝีปากที่จรดอยู่กับไมค์นั้นเปล่งออกมาถึงจุดพีคของเพลง

     

                    이젠사랑할 없군요 사랑한다 기다려 주세요

    ตอนนี้ผมรักคุณไม่ได้ ผมรักคุณ ช่วยรอผมหน่อยนะ

    사랑한단

    รวมทั้งคำรักมากมายนั้นด้วย

    말들도 당신의 행동 하나 진심만을 원하죠

    ผมอยากให้สิ่งที่คุณแสดงออกมา เป็นสิ่งที่คุณต้องการจากใจ

    정말로 사랑한담 기다려 주세요

    ถ้าคุณรักผมจริงๆ ก็ช่วยรอผมนะ

    그댈 위해 참아줘요

    ผมอดทนเพื่อคุณ

    당신의 행동 하나 아픈 추억 되가요

    ทุกการกระทำของคุณ ได้กลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดไปแล้ว

    정말로 사랑한다면

    ถ้าคุณรักผมจริงๆ...

     

                ถ้าผมรักคุณจริงๆ ประโยคสุดท้ายที่ลงเสียงหนักแน่และแผ่วเบาให้ได้อารมณ์ครั้งสุดท้ายของเพลง ชานยอลลืมตาขึ้นก่อนที่จะยิ้มให้กับทุกคนที่กำลังมองเขาอยู่

     

                “ช่วยรอผมหน่อยนะครับ...” ชานยอลยิ้มบางให้อีกครั้ง และก็สามารถเรียกเสียงกรี๊ดได้จากรอบทิศทาง เสียงปรบมือดังขึ้นสนั่น เพราะการแสดงที่ผ่านมาไม่มีใครเอากีต้าร์ขึ้นมาแล้วดีดเป็นฟิงเกอร์สไตล์เลยสักคนเดียว การเล่นแบบนี้ต้องใช้เวลาการฝึกนานพอสมควร และชานยอลก็สามารถเล่นฟิงเกอร์สไตล์ได้อย่างชำนาญที่สุด... และอาจจะเรียกคะแนนได้จากกรรมการได้เป็นอย่างมาก

     

                “ขอบคุณครับ” ลุกขึ้นโค้งขอบคุณแล้วยืนรอให้พิธีกรเดินออกมาสัมภาษณ์เขา แล้วก็เรียกเสียงกรี๊ดไปเรื่อยๆ เมื่อชานยอลโบกมือให้คนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเวที

     

    ดวงตากลมโตที่พราวเสน่ห์มองมาทางที่แพคฮยอนยืนอยู่พร้อมๆ กับโบกมือเรียวของตัวเองให้อีกฝ่าย แพคฮยอนที่ยืนมองอยู่นั้นแทบสะอึก และหันไปมองด้านหลัง มีนักศึกษาผู้หญิงมากมายกำลังยิ้มให้ชานยอลและโบกมือให้ทุกคน

     

    “การแสดงโชว์เมื่อครู่นี้ทำเอาสะกดทุกคนเอาไว้อยู่หมัดเลยนะครับ” พิธีกรชายพูดชื่นชมชานยอลทันทีที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ พร้อมๆ กับพิธีกรหญิง

    “ครับผม”

    “รู้สึกตื่นเต้นบ้างไหมคะเนี่ย”

    “นิดหน่อยน่ะครับ” ชานยอลตอบคำถามและยิ้มตลอดเวลา กล้องนับหลายสิบตัวกำลังรัวชัตเตอร์มาที่เขาจนเกิดเสียงดังอย่างน่าตกใจ

     

    เขากวาดสายตามองไปทั่วๆ แล้วก็มองมาทางด้านฝั่งขวาด้านหน้าเวทีที่เขาเพิ่งจะโบกมือทักทายไป เพราะเขามองเห็นแพคฮยอนยืนอยู่แล้วก็ส่งยิ้มไปให้อีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามองอยู่นะ

     

    “แพคฮยอน...ชานยอลของนายมองมาอ่ะ”

    “มะ...ไม่ใช่หรอก”

    “ไม่ใช่บ้าอะไรล่ะ ฉันไม่ได้ตาบอดนะ”

    “มีตั้งหลายคนที่อยู่ด้านหลังฉันนะคยองซู” แพคฮยอนตีที่แขนของเพื่อนของเองเบาๆ แล้วก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ชานยอลคงไม่ได้กำลังมองมาที่เขาอยู่หรอกนะ ใช่ไหม...

     

    “ไม่เชื่ออีก ไม่งั้นฉันจะโบกมือเรียกหมอนั่นแล้วนะ” ทำท่าจะยกมือแต่แพคฮยอนกลับยื้อมือเอาไว้

    “อย่านะ ฉันอาย...”

    “เอ้า มัวแต่อาย หมอนั่นเข้าไปหลังเวทีแล้วเห็นไหม” พยักเพยิดหน้าไปทางเวที แพคฮยอนมองไปก็เห็นแผ่นหลังที่เดินหายไปยังหลังเวทีแล้ว เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งใจ

     

    ยังไงซะเขาก็ไม่ได้กลายเป็นคนผิดสัญญาก็แล้วกัน เขามาตามที่ชานยอลชวนเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้เขาควรจะกลับเลยหรือว่าจะอยู่ต่อเพื่อรอฟังประกาศผล...

     

    “กลับกันเลยหรือเปล่า?”

    “กลับได้ไง รอฟังผลก่อนสิ”

    “อีกนานแน่เลย...”

    “เอาน่า อดทนหน่อย” บอกให้อีกฝ่ายอดทนรอ เขาไม่ค่อยชอบมายืนเบียดเสียดผู้คนมากมายในสนามแบบนี้เลย แพคฮยอนขยับตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มเบียดกับคนข้างๆ จนเผลอไปเหยียบเท้าของใครบางคนเข้า

     

    “โอ้ย!” เสียงร้องของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ดังขึ้น จนแพคฮยอนสะดุ้งแล้วก็ต้องรีบก้มหัวขอโทษอย่างรู้สึกผิด

    “อ๊ะ..ขอโทษนะฮะ ขอโทษจริงๆ มะ..ไม่ได้ตั้งใจน่ะ...” แพคฮยอนยกมือขอโทษอย่างยกใหญ่ แต่สีหน้าของเธอนั้นไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

    “นี่! หัดระวังไม่เป็นรึยังไง ตัวก็อ้วนแล้วยังมาเหยียบเท้าคนอื่นอีก เจ็บชะมัด!” เธอพูดด้วยเสียงแหลมจนข้างๆ เริ่มหันมามอง เธอหันไปบอกเพื่อนให้มารุมดูแพคฮยอน

    “ฉัน..มะ ไม่ได้ตั้งใจ...” แพคฮยอนทำหน้ารู้สึกผิดแล้วน้ำตาก็เหมือนเริ่มรื้นขอบตาอย่างห้ามไม่ได้

    “ชิ...ถอยไปไกลๆ เลยไป” เธอทำสีหน้าไม่พอใจแถมยังโบกมือไล่แพคฮยอนให้ออกห่างอย่างไร้มารยาท คยองซูที่ยืนดูอยู่ข้างๆ นั้นกำหมัดแน่นก่อนที่จะด่ากราดเช่นกัน

    “นี่เธอ! เป็นผู้หญิงซะเปล่า ไม่มีมารยาทเลยนะ ที่บ้านไม่ได้อบรมมารึไง ถึงได้ให้มาด่าคนอื่นเขาปาวๆ แบบนี้ เพื่อนฉันก็ขอโทษแล้วไง จะเอาอะไรอีก ยัยบ้า!

    “แก...กล้าว่าฉันเหรอ เพื่อนแกมาเหยียบเท้าฉันก่อนนะ!” เธอชี้หน้าคยองซูอย่างหาเรื่อง

     

    ส่วนแพคฮยอนก็พยายามดึงมือให้คยองซูหยุดพูด เพราะกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างคนรอบข้างก็เริ่มซุบซิบกันเสียงดังเรียบร้อยแล้ว

     

    “ก็ขอโทษแล้วไง ไม่ได้ยินรึไง หรือว่าหูหนวก?”

    “กรี๊ดดดดด” เธอร้องเสียงดังจนเพื่อนๆ เข้ามาห้ามและลากเธอไปอีกทางเพราะไม่อยากมีเรื่องในที่สาธารณะแบบนี้ อีกอย่างก็กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีอีกแล้ว คยองซูเบะปากใส่ผู้หญิงคนนั้นก่อนที่จะหันมามองแพคฮยอนที่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

    “อย่าไปสนใจเลย ยัยนั่นมันบ้า”

    “...”

    “แพคฮยอนอ่า”

    “อือ..” รับเสียงเบาจนคยองซูใจหาย

    “ไม่เป็นอะไรนะ อย่าทำหน้าแบบนี้สิ” คยองซูค่อยๆ บีบมือให้กำลังใจ

    “อือ...ไม่เป็นอะไรหรอก ฉัน...มันอ้วนเองแหละ”

    “โธ่! อ้วนแล้วไงอ่ะ อีกอย่าง นายก็ขอโทษยัยนั่นไปแล้วนี่ นายไม่ได้ตั้งใจเหยียบสักหน่อย จริงไหม?”

    “อือ แต่ฉัน...ก็ผิดนะ”

    “อย่าคิดมากสิ”

    “ก็ฉันผิดจริงๆ นี่นาคยองซู ฉันไปเหยียบเท้าเธอ แล้วน้ำหนักฉันก็ไม่ใช่น้อยๆ ฉันมันอ้วนนะ...”

     

    แพคฮยอนพูดด้วยเสียงที่ตัดพ้อ ก่อนที่จะค่อยๆ ก้มหน้ามองพื้น คยองซูเลยลากแพคฮยอนออกมาข้างนอกเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าแพคฮยอนกำลังรู้สึกแย่

     

    “อย่าใส่ใจ อย่าคิดมาก ไม่งั้นนายจะรู้สึกผิดอยู่แบบนี้นะ นายจะไปแคร์คนพวกนั้นทำไมกัน หืม?”

    “ก็ฉัน...”

    “...”

    “ก็ฉัน...ไม่ได้อยากเกิดมาอ้วน ...อ้วนแล้วมันผิดมากเหรอ คยองซู...” ถามเสียงสั่น เขารู้สึกว่าการที่มาพบเจอโลกภายนอกมันเป็นจริงมากขึ้น มันทำให้เขารู้จักผู้คนมากมาย ผู้คนที่มีหลายความคิด...

     

    มันทำให้เขารู้สึกว่า...เขามันก็แค่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนอ้วนที่ยืนคับพื้นที่ก็เท่านั้น...

     

    “ไม่ผิด...นายอ้วนแล้วยังไง อ้วนแล้วมันจะทำให้ฉันทิ้งนายไปงั้นเหรอ?” คยองซูถาม แพคฮยอนส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจับมือคยองซูเอาไว้ เพื่อนคนเดียวที่เขาสนิท...และรู้ใจเขามากที่สุด

    “แต่ถ้านายไม่อยากให้คนอื่นดูถูกนาย...นายก็ต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าคนอ้วนอย่างนายก็สามารถผอมได้...” ประโยคที่ฟังแล้วก็เข้าใจได้ทันที...

     

    คยองซูกำลังบอกให้แพคฮยอนเปลี่ยนแปลงตัวเอง...

     

    “ฉันต้องลดน้ำหนักเหรอ”

    “ใช่...”

    “ฉันทำไม่ได้หรอก...” หันหน้าไปอีกทางแต่คยองซูกลับเดินมาตรงหน้าของแพคฮยอน

    “นายทำได้แน่ ถ้านายต้องการจะทำมัน”

    “ฉัน...”

    “ตั้งใจสิ...เพื่อลบคำดูถูกพวกนั้น...”

     

    แพคฮยอนได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกต่อไป คำพูดของคยองซูยังคงดังอยู่ในหู...แววตาที่ไม่มั่นใจในตัวเองค่อยๆ ถูกคยองซูลบมันออกไป

     

    “นายทำได้แน่...คิดเสียว่าถ้านายหุ่นดีแล้ว นายสามารถมีความมั่นใจและเดินไปไหนต่อไหนได้อย่างสบายๆ นายสามารถใส่เสื้อผ้าสวยๆ นายสามารถลบคำสบประมาทของคนที่ดูถูกนายเอาไว้ได้ และอีกอย่างชานยอลของนายต้องรู้สึกแปลกใจที่นายผอมลง...”

    “ชะ ชานยอลเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคยองซู...”

    “จะเกี่ยวไม่เกี่ยวก็ช่างเถอะ แต่ว่านายต้องเลือกแล้วล่ะว่า..จะถูกให้คนพวกนั้นว่านายต่อไปหรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่...”

     

    คยองซูด้วยพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนตรงหน้า แพคฮยอนก้มหน้ามองพื้นแล้วก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทของตัวเอง

     

    “ฉัน..จะเปลี่ยนตัวเองให้ได้...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คุยคุยคุยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    มึนมาก แต่งเสร็จตี 5 บ้าไปแล้ว ยาวมากสามสิบเปอร์ที่เหลือเนี่ย

    เล่นเอาคอมร้อนมาก นิ้วอ่อนแรงมาก นี่พูดเลย เพลียมากกกกกกกกกก

     

    ไม่พูดอะไรแล้ว เจอกันในทวิตแล้วกันค่า > <
     



    ฟังเพลงนี้เพลินๆ ดีกว่า if you really love me - busker busker (:

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×