ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] EXO CHAN x BAEK ,(CHANBAEK) - Calories Love .

    ลำดับตอนที่ #16 : ♡ Calories Love Chapter : 1300 kcal. happy ending :)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.82K
      38
      20 ม.ค. 56

    Calories Love

    Pairing : CHANYEOL & BAEKHYUN (CHANBAEK)

    Chapter : 1300 kcal. The end.

     

     

     

     

    ทุกอย่างต้องเดินไปด้วยดี

    ถ้าเชื่อว่ามันดี...

    ...

     

    ช่วงเวลาของเซฮุนดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้วที่เขาใช้ชีวิตกับการไปไหนมาไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีจงอิน เพราะเขาเป็นคนเลือกเองทั้งนั้น เลือกที่จะอยู่คนเดียวเพราะตอนนี้เหมือนกับเขาถอยมาตั้งหลัก ไม่ใช่ว่าจะตัดการความเป็นเพื่อนกับจงอิน แต่เขาเพียงแค่ขอเวลาอยู่กับตัวเองบ้างจะดีกว่ากับการที่เมื่อก่อนเขาเอาแต่เกาะติดจงอินแจเหมือนกับเด็ก

     

    เซฮุนแต่งตัวไปเรียนในตอนบ่ายเช่นเคย ใบหน้าเรียวแก้มดูตอบลงเล็กน้อยซึ่งช่วงนี้เขาทานอะไรมากไม่ค่อยได้เพราะเป็นผลพวงมาจากความเครียดเลยทำให้โรคกระเพาะกำเริบ ซึ่งตอนนี้ยาก็หมดไปแล้วด้วย

     

    ร่างผอมๆ เดินลงบันไดพร้อมๆ กับถือกุญแจรถเอาไว้ในมือและมองดูนาฬิกาข้อมือปรากฏกว่าตอนนี้ก็สายมาแล้วเขาเลยต้องรีบไปที่คณะตัวเอง

     

    “ผมไปก่อนนะครับแม่” ร้องบอกผู้เป็นแม่ด้วยเสียงเบาๆ และเดินออกจากบ้านไป

     

    ตอนนี้เขาเริ่มชินกับการขับรถเองไปเรียบร้อยแล้ว เซฮุนใช้เวลาไม่นานก็มาถึงตัวคณะจนได้ อากาศในตอนบ่ายไม่ได้ร้อนอะไรมากนักจึงทำให้เขารู้สึกไม่หงุดหงิด แต่ดูเหมือนว่าการพลาดอาหารในตอนเที่ยงกำลังจะทำให้เขาปวดท้อง...

     

    อาการปวดจี๊ดเบาๆ กำลังปะทุขึ้นมา

     

    “มาปวดท้องอะไรตอนนี้เนี่ย” บ่นกับตัวเองก่อนที่จะเดินเอามือกุมที่ท้องแล้วไปที่หน้าลิฟต์

     

    ความเจ็บปวดจากบริเวณกระเพาะของเซฮุนมาเป็นระยะๆ จนน่ารำคาญ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะโดดเรียนแล้วขับรถไปหาหมอที่โรงพยาบาลเลยดีกว่าไหม ถ้าอาการกำเริบหนักขึ้นมีหวังเป็นลมแน่ๆ

     

    “ให้ตายสิ...” เซฮุนเดินออกมาจากลิฟต์แล้วเดินลากเท้าไปที่ห้องเรียน ป่านนี้ก็เริ่มเรียนกันไปนานแล้วเพราะเขาเข้าสายเกือบหนึ่งชั่วโมง

    “เอาไงดีนะ” ลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วก็อาการปวดก็กำเริบขึ้นมาอีกจนเขาต้องงอตัวอยู่หน้าห้องเรียน

    “โอ้ย...” ร้องเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นโดยใช้ฝ่ามือยันเอาไว้ เหงื่อเริ่มผุดเล็กๆ ที่หน้าผาก เซฮุนต้องใช้ช่วงเวลาที่อาการปวดนั้นหายไปในการรีบเดินไปที่หน้าลิฟต์

     

    เขาควรจะไปหาหมอได้แล้วสินะ

     

    เมื่อเซฮุนลงมาที่ชั้นล่างก็ต้องรีบคว้ากุญแจรถออกมาแล้วตรงไปที่รถทันที เขาสตาร์ทอย่างรวดเร็วและขับออกตัวไปที่โรงพยาบาลของมหาลัย เวลานี้ถ้าขืนขับออกไปข้างนอกมีหวังได้ตายก่อนแน่ๆ

     

    เซฮุนขับรถด้วยความเร็วพอสมควรในการไปที่โรงพยาบาลของมหาลัย เขารีบดับเครื่องลงทันทีก่อนที่จะเปิดประตูออกไปและเดินเข้าไปยังแผนกฉุกเฉิน

     

    แต่ทุกๆ ย่างก้าวนั้นช่างลำบากเสียเหลือเกิน ทำไมคนในโรงพยาบาลถึงเต็มไปหมด ดวงตาเรียวของเขาเริ่มพร่ามัวเพราะอาการปวดในท้องนั้นกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง เซฮุนพยายามถ่างตาเพื่อมองทางข้างหน้าแต่ก็ไม่ผลเลยสักนิดเดียว

     

    แต่ตอนนี้ที่เขารู้สึกได้ก็คือ...

    เขากำลังล้มลงกับพื้นและภาพทุกอย่างก็ดับลง

     

    ร่างผอมบางนั้นทรุดตัวลงกับพื้นโดยที่ไม่ทันจะเดินไปถึงแผนกฉุกเฉินเลย มีพยาบาลหลายคนรีบวิ่งกรูเข้ามาหาร่างผอมๆ นั้นจะช่วยพยุงขึ้น ส่วนบุรุษพยาบาลก็เตรียมเตียงเอาไว้ให้คนป่วยอย่างนวดเร็ว

     

    ...

     

    “อือ...” เซฮุนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนที่จะเอามือกุมที่ท้อง เสียงจอแจดังอยู่รอบๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองเพดานสีขาว ไม่นานก็มีผู้ชายใส่เสื้อกาวน์เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เตียงเขา เซฮุนหันหน้าไปมองแล้วค่อยๆ ปรับสายตาให้ภาพชัดขึ้น

    “ยังปวดท้องอยู่ไหมครับ” น้ำเสียงทุ้มๆ เอ่ยถามอย่างสุภาพ เซฮุนพยักหน้าเล็กๆ ให้ ก่อนที่จะมองใบหน้าของผู้ชายคนนี้อย่างชัดๆ

     

    ใบหน้าเรียวยาวได้รูปและผมสั้นถูกตัดเข้าทรงอย่างดี จมูกเรียวโด่งสวยงามพร้อมกับแว่นสายตากรอบใหญ่สีดำที่ใส่แล้วดูไม่เชยเลยสักนิดเดียว บริเวณเสื้อกาวมีเข็มกลัดติดชื่อเอาไว้ เซฮุนอ่านชื่อได้ลางๆ ว่า

     

    ‘Jia Heng Li’

     

    “ปวดมากไหมครับ” ถามอีกครั้งก่อนที่จะจดอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษที่ถืออยู่และเอาสเตทโตสโคปมาวัดเสียงของชีพจรของเขา

    “ครับ...ต้องพยายามทานอาหารให้ตรงเวลานะ ไม่งั้นจะปวดท้องแบบนี้เอาได้” เขาพูดแล้วยิ้มบางๆ ให้กับเซฮุน

    “ครับ...” เซฮุนตอบเสียงเบาหวิว ใบหน้าซูบผอมยิ่งทำให้คุณหมอที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้รู้สึกเป็นห่วงโดยอัตโนมัติ

    “คนไข้อาจจะมีแผลในกระเพาะได้นะครับ ยังไงก็ระวังด้วยนะครับ”

    “ครับ”

    “นอนพักอีกสักหน่อยแล้วกันเนอะ” เซฮุนพยักหน้าให้เล็กๆ เพราะตอนนี้แม้แต่ขยับตัวเขาก็ยังไม่กล้าเลย คุณหมอคนนี้เวลาพูดแล้วทำไมถึงดูน่าฟังจังนะ...

     

    เซฮุนรู้สึกว่าคนหน้ากำลังดึงดูดให้เขามองใบหน้าสวยๆ นั้นอย่างลืมตัว

    เขากระพริบตาปริบๆ อย่างช้าๆ และฟังคุณหมอพูดต่อไป

     

    “ถ้าปวดท้องเมื่อไหร่เรียกหมอได้นะ...”

    “...”

    “ได้ยินรึเปล่าเอ่ยคนไข้”

     

    เซฮุนเอาแต่มองเลยไม่ได้ตั้งใจฟังที่คุณหมอตรงหน้านี้พูด

     

    “คนไข้ครับ...คุณเซฮุนครับ ได้ยินหมอรึเปล่าเอ่ย?” คุณหมอเจี้ยเหิงโบกมือตรงหน้าของเซฮุนให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

    “อ่ะ เอ่อ ครับ..ขอโทษครับ...ผมแค่เหม่อไปหน่อย”

    “สงสัยยังจะมึนอยู่ งั้นก็พักผ่อนนะครับ” ยิ้มให้บางๆ อย่างเป็นมิตร เซฮุนรู้สึกว่าเวลาที่คุณหมอตรงหน้านี้พูดแล้วมันดูน่าฟังอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สิ...

     

    แต่มันน่าฟังจริงๆ นะ...

     

    “เอ่อ...คุณหมอครับ”

    “หืม?” คุณหมอเอียงคอเล็กน้อยแล้วตั้งใจรอฟังเซฮุนพูด

    “คุณหมอว่างไหม...ชวนผมคุยจะได้รึเปล่า” เสียงเล็กๆ ถามออกไป เพราะเขามักจะเกิดอาการไม่อยากอยู่เดียวเมื่อตัวเองกำลังป่วย เขาอยากมีคนอยู่ข้างๆ เขาจะได้ไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป คนหมอยิ้มให้เซฮุนหนึ่งครั้งก่อนที่จะเดินไปเอาเก้าอี้มาไว้ข้างเตียงและนั่งลง

    “เอาล่ะ คนไข้ชื่อเซฮุนใช่ไหม อืม..ตามประวัติที่ดูในใบนี้แล้วอยู่คณะนิเทศศาสตร์ปีสอง หน้าก็ใช้ได้...แต่หล่อไม่สู้หมอหรอกนะ...อ้อ ลืมแนะนำตัวไปเลย หมอชื่อเจี้ยเหิงนะ แต่ว่าทุกคนจะเรียกหมอว่าคริส” คุณหมอพูดร่ายยาวจนเซฮุนที่นอนปวดท้องอยู่นั้นหลุดขำออกมาเบาๆ

    “อ่าครับ...ใช่แล้ว” เซฮุนยิ้มให้คุณหมอ ก่อนที่จะตั้งใจฟังคนตรงหน้านี้พูดต่อไป

    “เครียดลงกระเพาะรึเปล่าน่ะเรา”

    “นิดหน่อยครับ”

    “งั้นเหรอ อย่าเครียดบ่อยนะ มันจะทำให้เราปวดท้อง พอปวดท้องแล้วก็ทรมานใช่ไหมล่ะ หมอก็ทำงานหนัก เอ๊ะ หมอล้อเล่นนะ” คุณหมอพูดติดตลกอีกครั้งและมันก็ทำให้เซฮุนยิ้มออกมาได้ เขาไม่เคยหลุดยิ้มบ่อยๆ แบบนี้มาก่อนเลย คุณหมอคนนี้ตลกจัง

    “ทำไมทุกคนถึงเรียกหมอว่าคริสล่ะครับ”

    “อ๋อ คริสเป็นชื่อเล่นของหมอน่ะ จริงๆ หมออยู่ปีสี่เอง นายเรียกหมอว่าพี่ก็ได้นะ ไม่ต้องเรียกหมอหรอก เรียกพี่ดูเป็นกันเองกว่าเนอะๆ ว่าไหม?” ชวนคุยเหมือนกับคนที่เคยสนิทกันมาก่อน เซฮุนพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะเรียกชื่อคริสแทนที่จะแทนคำว่าคุณหมอ

    “ครับพี่คริส”

    “ดีมากเลย” ยกนิ้วให้กับเซฮุน

    “เราผอมมากเลยนะ ทานข้าวน้อยเหรอ หืม?”

    “ครับ ช่วงนี้ทานอะไรไม่ค่อยได้ แต่จริงๆ แล้วก็เป็นทานจุนะ”

    “งั้นต้องทานเยอะๆ นะ ถ้าว่างแล้วเดี๋ยวหมอจะพาไปเลี้ยงเอง”

    “ฮะๆ เอางั้นเลยเหรอครับ”

    “เพื่อคนไข้ พี่ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” ยืดตัวเล็กน้อย จนเซฮุนหัวเราะให้กับความทะเล้นของคุณหมอไม่เต็มตัว จริงๆ แล้วคุณหมอคนนี้ก็ตลกเหมือนกันนะ

    “งั้นผมจะทานเยอะๆ ให้พี่คริสหมดตูดเลย”

    “พี่ขอคิดดูก่อนนะ” คริสเปลี่ยนเป็นเสียงตลกๆ เมื่อเซฮุนบอกจะทำให้เขาหมดตูด

    “พี่คริสตลกจังเลยครับ”

    “พี่เป็นหมอนะ ไม่ได้เป็นตลก”

    “อ๋า~~~” เซฮุนทำหน้าเอ๋อทันทีที่ได้ยินประโยดร้ายๆ ออกมาจากปากคุณหมอ

    “ฮ่าๆ แล้วนี่เรามีเรียนอีกรึเปล่าน่ะ”

    “ไม่มีแล้วครับ จริงๆ มีเรียนก่อนที่จะมาที่โรงพยาบาลน่ะครับ แล้วอาการมันก็กำเริบขึ้นมาจนผมต้องขับรถมาที่นี่”

    “โห ปวดท้องแล้วยังขับรถมาที่นี่อีก เก่งจังเลยนะเรา”

    “ถ้าไม่มาผมคงตายแน่ๆ เลย”

    “แล้วถ้าขับรถอยู่เกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำไงเนี่ย ไม่ดีเลยนะ ทีหลังให้เพื่อนขับให้นะ รู้เปล่า”

    “อ่า...ครับ...”

    “คนไข้คนนี้รู้สึกว่าจะดื้อไม่เบานะ”

    “ผมเปล่านะพี่คริส”

    “ฮ่าๆ นี่ไง เถียงหมอไม่ดีนะครับ”

    “พี่คริส ผมไม่ดื้อนะ ฮื่อ...อย่าว่าผมสิ ผมแค่ไม่อยากรบกวนเพื่อนที่กำลังเรียนอยู่ต่างหาก” เซฮุนยู่หน้าเล็กน้อยก่อนที่คริสจะหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับความน่ารักของคนไข้

    “นี่ไง ไม่ต้องแก้ตัวเลย”

    “ฮื่อ”

    “ฮ่าๆ” หัวเราะอย่างชอบใจที่คนตรงหน้านี้เถียงเขาไม่ได้

    “พี่คุยสนุกจัง” ชมคริสแล้วยิ้มให้ เขาผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อได้คุยเรื่องสนุกๆ และได้หัวเราะ นี่เป็นการพูดคุยกับคนแปลกหน้าครั้งแรกที่เขาประทับใจมากจริงๆ

     

    แปลกเนอะ...

    คุณหมอที่มหาลัยนี่มีคนที่หน้าดีขนาดนี้ด้วยเหรอเนี่ย...

     

    ถ้าไม่บอกว่าเป็นหมอเขาก็คงนึกว่าอยู่คณะเดียวกับเสียอีก

     

    “ให้พี่ไปคุยเป็นเพื่อนที่บ้านไหมล่ะ”

    “อ๋า...”

    “ฮ่าๆ พี่ล้อเล่นน่ะ”

    “รู้แล้วครับ ถ้าผมให้ไปคุยจริงๆ พี่ก็คงไม่ไปหรอก”

    “รู้ได้ยังไงน่ะ พี่อาจจะไปก็ได้นะ ใครจะไปรู้” ทำหน้าทะเล้นใส่เซฮุนจนอีกฝ่ายเริ่มหมั่นไส้ ตอนนี้เขารู้สึกช่องว่าว่างระหว่างคนแปลกหน้านั้นหายไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาทั้งสองคุยกันถูกคอเหมือนกับเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี

    “งั้น ไปก็ไปสิครับ”

    “โธ่ แรงเหมือนกันนะเรา”

    “ฮ่าๆๆ / ฮ่าๆ...” ทั้งคู่หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เซฮุนชอบคุณหมอคนนี้จัง...

     

    อยากให้คุณหมอพี่คริสไปคุยด้วยที่บ้านอย่างที่บอกจริงๆ เขาจะได้ไม่รู้สึกเบื่อกับเรื่องเดิมๆ อีกต่อไป

    จริงๆ นะ...พี่คริสคุยสนุกจริงๆ เขาเป็นคุณหมอที่น่ารักมากคนหนึ่งเลยก็ว่าได้...

     

    และแล้วจุดเริ่มต้นของเซฮุนก็ค่อยๆ เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันได้รู้ตัว...

     

     

    ไม่อยากห่าง...

    ห่างไม่ได้...ก็เพราะมัน...คิดถึง

    ...

     

    “หือ...ชานยอลของนายนี่มันคนเอ๋อชัดๆ”

    “อ่า..คยองซูอ่า ฉันตกใจมากๆ เลยนะที่ชานยอลเขา..เอ่อ...นั่นแหละ”

    “รู้ได้ยังไงเนี่ย”

    “นั่นสิ”

    “แต่ก็ดีแล้วนะ ที่หมอนั่นไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนนั้นชานยอลมีอาการยังไงบ้างเหรอ” คยองซูที่นั่งฟังแพคฮยอนเล่าเรื่องที่ชานยอลรู้ความจริงนั้นถามออกไปอย่างอยากรู้

    “ก็...ไม่มีอาการอะไรนะ...ฉันจำได้แค่ว่าชานยอลว่า...ฉันจะเหมือนเดิมรึเปล่าอะไรทำนองนี้น่ะ” เขาบอกไปตามจริง คยองซูแทบจะตบหน้าผากตัวเองอย่างเหลืออด

     

    สงสัยหมอนี่คงจะไม่อยากให้แพคฮยอนเขาของเลิกชอบสินะ

     

    “รู้ไมหว่าหมอนั้นมันเริ่มรู้สึกหวงนายน่ะ”

    “เห? หวงงั้นเหรอ ไม่เห็นจะรู้สึกเลย”

    “อีกหน่อยก็รู้สึกเองแหละน่ะ”

    “จริงเหรอ อ่า..จะเป็นไปได้เหรอ ชานยอลไม่ได้ชอบฉันสักหน่อยนี่นา...”

    “เชื่อฉันเถอะน่า” คยองซูบอกอย่างมั่งใจ

     

    Rrrrrrr Rrrrrrr~~~~

    เสียงโทรศัพท์มือถือของแพคฮยอนก็ดังขึ้นทัน คยองซูยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับคนตัวเล็ก แพคฮยอนยู่ปากเล็กๆ ใส่อย่างเขินอายก่อนที่จะกดรับ

     

    “อ่ะ อื้ม ว่าไงเหรอ”

     

    ฟันธงร้อยทั้งร้อยก็ต้องเป็นชานยอลที่โทรเข้ามาเพราะจากการที่คยองซูสังเกตใบหน้าที่กำลังยิ้มเขินนั่นแล้ว จะเป็นใครไม่ได้จริงๆ

     

    “อื้อ เรียนเสร็จพอดีน่ะ...อยู่ใต้คณะ...อือ...ก็ได้...ได้...ครับ สวัสดีครับ...” แพคฮยอนพูดเพียงไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสายลง เมื่อได้ทีคยองซูก็แซวทันที

    “โอ้ยยย อิจฉาจริงจริ๊ง!

    “นี่แหนะ อิจฉาอะไรเล่า” ตีไปแขนคยองซูอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วทำหน้าเขินอย่างบอกไม่ถูก ก็เพราะเมื่อครู่ชานยอลเพิ่งจะโทรชวนไปกินข้าวหลังเลิกคลาสของตัวเอง

    “หมอนั่นโทรมาทำไมอ่ะ”

    “ก็...ชวนไปกินข้าวน่ะ”

    “กินข้าว~~~

    “ฮื่อ...”

    “พอรู้ความจริงว่านานยชอบแล้วก็อ่อยนายใช่เล่นเลยนะ”

    “เอ๋ ชานยอลจะทำทำไมเหรอ?”

    “โธ่ ถ้าไม่ใช่อ่อยแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ”

    “ก็แค่คุยกันเหมือนเมื่อก่อนนะ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย...ชานยอลเขาก็เหมือนเดิมนะคยองซู” แพคฮยอนบอกหน้าซื่อ แต่คยองซูรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่เชื่อก็ลองคอยดูต่อไปล่ะ เซนส์เขาไม่เคยพลาดเลยสักนิดเดียว

    “รอดูแล้วกัน มันต้องมีอะไรแน่ๆ”

    (U_U)” แพคฮยอนหลับตาอย่างไม่เข้าใจก่อนที่จะโยกหัวไปมาอย่างใช้ความคิด

    “ดูทำเข้า น่ารักตายล่ะ แหม”

    “คยองซูอ่ะ ล้ออีกแล้ว”

    “ชิ ไปหาแฟนนายเลย”

    “ฟะ แฟนอะไรกันล่ะ มะ ไม่ใช่นะ ฮื่อ...”

    “หน้าแดงเลย คิคิ~” คยองซูเอามือปิดปากหัวเราะที่หน้าแพคฮยอนเริ่มแดงเมื่อถูกเขาแหย่เล่นๆ จนคนตัวเล็กต้องเอามือทั้งสองรีบปิดแก้มของตัวเองเอาไว้อย่างอายๆ

    “คยองซูบ้า (;_  ;///)” พูดแล้วก็จะทำหน้าร้องไห้ จนอีกฝ่ายเลิกแซวไปจนได้

     

    ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ร่างสูงของคริสก็เดินมาแถวบริเวณหน้าคณะ แพคฮยอนเหลือบไปเหนพอดีเพราะความสูงและใบหน้าที่โดดเด่นและมีหลายคนหันไปมองร่างสูงนั้นอย่างสนใจ

     

    “อ๊ะ พี่คริสนี่ มาทำอะไรนะ ไปหาพี่คริสกันคยองซู” คนตัวเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้และวิ่งเหยาะๆ ไปหาร่างสูง

    “พี่คริสครับ มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

    “มาหาเราไง” พูดด้วยเสียงนุ่มๆ ก่อนที่จะยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลไปให้คนตัวเล็ก

    “อะไรครับ” แพคฮยอนถามอย่างอยากรู้

    “ของฝากน่ะ พอดีที่บ้านไปต่างประเทศมา เขาซื้อขนมมาเยอะเลยพี่เลยแบ่งมาให้เรา”

    “จริงเหรอครับ ขอบคุณนะ พี่ไม่ต้องมานี่ก็ได้นะ ที่วอร์ดก็ยุ่งอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”

    “พี่กำลังจะกลับพอดีน่ะ วันนี้กลับเร็ว...อ่อ แล้วทานอะไรยังล่ะ? ไปทานข้าวกันไหม” คริสเอ่ยชวนคนตัวเล็ก คยองซูที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นได้ทีก็รีบแซว

    “รายนั้นเขาดูเหมือนจะไม่ว่างแล้วนะครับพี่คริส ฮ่าๆ”

    “จริงเหรอเนี่ย”

    “อ่า...”

    “งั้นไม่เป็นไร ไว้วันหลังดีกว่าเนอะ”

    “แพคฮยอนเขามีนัดกับแฟนน่ะครับ”

    “หือ...แฟนเลยเหรอ ไม่เบาเลยนะเรา” คริสทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มบางๆ ไปให้ ส่วนแพคฮยอนนี่สิ เขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว

    “มะ ไม่ใช่นะครับพี่คริส คยองซูเขามั่ว”

    “ฮ่าๆ ร้ายจริงๆ สองคนนี้...งั้นพี่ไปก่อนนะครับ ไว้ค่อยคุยกันใหม่เนอะ”

    “ครับ ขอบคุณสำหรับขนมมากๆ นะ”

    “ไม่เป็นไรๆ พี่ไปก่อนนะครับ”

    “แล้วเจอกันครับ / บ๊ายบายครับพี่คริส” ทั้งแพคฮยอนและคยองซูโบกมือให้กับคริสก่อนที่รถยนต์คันสีดำจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากตัวคณะไป

    “ขนม อยากกินขนม~~~” คยองซูสนใจถุงกระดาษสีน้ำตาลที่อยู่ในมือแพคฮยอนเป็นอย่างมากแล้วทั้งคู่ก็เดินไปที่โต๊ะเหมือนเดิมก่อนจะพบกับขนมจากประเทศออสเตเลียมากมาย

    “อ้ากก ทิมแทม กินเลยได้ไหม” คยองซูพุ่งเข้าไปหาทิมแทมอย่างรวดเร็ว บิสกิตเคลือบช็อกโกแลตถูกฉีกซองออกมาทันที

    “อร่อยจัง...” ทำหน้าอย่างมีความสุขก่อนที่จะมองดูขนมถุงอื่นอย่างละลานตา แพคฮยอนเลือกทิมแทมรสมิลค์ขึ้นมาแล้วฉีกซอง ความอร่อยของบิสกิตจากออสเตเลียอร่อยถูกปากแพคฮยอนมาก เขาเคี้ยวตุ้ยๆ จนแก้มตุ่ย แล้วโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     

    “ครับ..งั่ม...” แพคฮยอนรับสายแล้วเคี้ยวทิมแทมต่อไป

    (“อยู่หน้าคณะแล้วนะ”) เสียงอันคุ้นเคยของชานยอลบอกกับแพคฮยอนอยู่ในสาย

    “อ่ะ อื้อ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” แพคฮยอนบอกอย่างรวดเร็วแล้วแบ่งขนมให้คยองซูครึ่งหนึ่งก่อนที่จะขอตัวออกไปหาชานยอล

    “โชคดีมีความสุขนะแพคน้อย ฮิๆ” คยองซูร้องบอกในคณะที่แพคฮยอนเดินออกไปหน้าคณะ คนตัวเล็กหันมาทำปากยู่ใส่ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป

     

    คนตัวเล็กวิ่งเหยาะๆ ออกมาที่หน้าคณะ เขามองเห็นร่างสูงที่สวมเสื้อยืดสีขาวข้างในและเสื้อยีนสีเข้มทับอีกชั้น ไม่ว่าชานยอลจะใส่อะไรก็ดูดีไปหมด รอยยิ้มกว้างปรากฏพร้อมกับโบกมือให้แพคฮยอนเล็กน้อย

     

    “หิวมากกกกก” ลากเสียงยาวแล้วเหลือบไปเห็นถุงกระดาษอยู่ในมือของแพคฮยอน

    “ถุงอะไรเหรอ”

    “อ๋อ ถุงขนมน่ะ พี่คริสเอามาฝากนะ”

    “พี่คริสนี่...ที่อยู่คณะแพทย์ใช่รึเปล่า” ชานยอลเหมือนจะจำผู้ชายคนนนี้ได้ลางๆ เพราะแพคฮยอนเคยเล่าให้ฟังว่าพี่เขาเรียนอยู่ปีสี่คณะแพทย์ศาสตร์

    “อื้อ ใช่แล้วๆ ดูสิ ขนมเพียบเลย” แพคฮยอนกางถุงออกให้ชานยอลดู

    “กินไหม”

    “เอาไว้ก่อน ตอนนี้ไปกินข้าวดีกว่า” ชานยอลบอกแล้วเดินนำไปยังรถของเขาเอง แพคฮยอนเดินตามหลังต๊อกแต๊กเหมือนเด็กอย่างเคย

     

    คนตัวสูงกดปลดล็อครถแล้วเปิดประตูให้แพคฮยอนก่อนที่ตัวเขาเองจะเดินไปฝั่งคนขับ ชานยอลเป็นแบบนี้เสมอๆ เขามักจะคอยเปิดประตูให้คนตัวเล็กอย่างติดนิสัย ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าแพคฮยอนดูตัวเล็กกว่าเขามาก เลยต้องคอยดูแลเหมือนเด็กๆ ที่เปิดประตูเองไม่ได้อะไรทำนองนั้น

     

    “ขอบคุณนะ” บอกขอบคุณร่างสูงอย่างน่ารักและเข้าไปนั่งอย่างเรียบร้อย

     

    ชานยอลยิ้มให้กับความน่ารักของแพคฮยอนเสมอๆ แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่แพคฮยอนก็จะขอบคุณเขาเสมอเมื่อเวลาเขาทำอะไรให้

     

    “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” ชานยอลถามในขณะขับรถ แพคฮยอนนึกไม่ออกเลยให้ชานยอลเป็นคนเลือกเองบ้าง

    “อะไรก็ได้ ตามใจนายเลย”

    “น่ารักจริงๆ ตามใจฉันด้วย” ชานยอลพูดลอยๆ ขึ้นมาโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าแพคฮยอนจะรู้สึกยังไง

     

    แล้วแพคฮยอนก็เริ่มเขินเพราะชานยอลบอกว่าเขาน่ารัก...

    จะตั้งใจพูดหรือไม่ได้ตั้งก็ตามที แบบถ้าพูดบ่อยๆ มันก็ไม่ไหวนะ

     

    “อ๋า... (_ _///)” เฉหน้ามองไปทางหน้าต่างอายๆ ชานยอลแอบหันไปมองใบหน้าด้านข้างอย่างชอบใจ แก้มเนียนขาวนั้นดูมีเลือดฝาดเล็กน้อย...

     

    แก้มแดงด้วยแฮะ...น่ารักดี

     

    “หน้าแดงแล้วนะ”

    “อ๊ะ (///_ _///)!!!” แพคฮยอนรีบเอามือทั้งสองข้างกุมแก้มของตัวเองเอาไว้อย่างน่ารัก นั่นก็ยิ่งทำให้ชานยอลหัวเราะออกมาเบาๆ ให้กับความไร้เดียงสา

    “โอเค ไม่พูดแล้วๆ กินข้าวกันๆ” ชานยอลเลิกล้อแล้วหันไปสนใจรถบนถนนแทน

     

    ยิ่งทำให้แพคฮยอนเขิน เขาเองก็ยิ่งรู้สึกชอบ...

     

     

    ...

     

    ชานยอลพาแพคฮยอนมาร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวบ้าน เป็นอาหารพื้นๆ แต่รสชาดถูกปากและอร่อยมากเลยทีเดียว เพราะชอบมาบ่อยๆ ระหว่างที่จะกลับบ้าน

    “วันนี้เรียนเหนื่อยไหม”

    “ไม่หรอก ชินแล้ว นายล่ะ...”

    “วันนี้เหนื่อยอ่ะ ซ้อมท่องบทอะไรก็ไม่รู้”

    “เหมือนจะยากจัง บทละครเหรอ”

    “ทำนองนั้นแหละ เหนื่อยจริงๆ”

    “เหนื่อยก็พักเนอะ” แพคฮยอนบอกกับร่างสูงแล้วยิ้มเล็กๆ ให้

     

    นะ...น่ารักชะมัด...

    ใครสอนให้ยิ้มแบบนี้นะ บ้าไปแล้ว

     

    ชานยอลได้แต่คิดในใจแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้ เขาไม่ควรที่จะกระโตกกระตากเผลอพูดอะไรบ้าๆ เหมือนกับคราวที่แล้ว เมื่อคิดถึงตอนนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองถามคนตัวเล็กนี่ไปได้ยังไง ขาดสติจริงๆ เลย

     

    “อ่า...นาย...”

    “หืม...” แพคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองชานยอลเพราะเมื่อครู่เขากำลังสนใจกับขวดพริกไทยน่ารักๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ

    “ถามอะไรหน่อยได้ไหม” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจเล็กน้อย เขายิ้มออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายจะได้ดูเชื่อใจ แต่จริงๆ แล้วแพคฮยอนกำลังกลัวรอยยิ้มแบบนี้อยู่ต่างหากล่ะ

     

    ร้อยทั้งร้อยกับคำถามแบบนี้ คนที่ถูกถามต้องวิตกกังวลกันบ้างล่ะ

     

    อยู่ๆ ชานยอลก็อยากจะรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เลยหลุดปากถามแพคฮยอนไปจนได้ คนตัวเล็กตั้งใจฟังคำถามของชานยอลอยู่เงียบๆ

     

    “คือว่า แค่ลองถามนะ”

    “อ่ะ อือ..”

    “นาย...”

    “??”

     

    ชานยอลกลับมาคิดอยู่ในใจใหม่อีกครั้ง

    เขาควรจะถามออกไปดีไหมนะ...

    ก็คนมันอยากรู้นี่ ถามๆ ไปเถอะ อาจจะไม่มีอะไรเสียหายหรอก มั้ง...

     

    “นาย...ชอบฉันตรงไหนเหรอ”

    !!!” แพคฮยอนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย จนมือกระตุกไปแทบจะขนกับขวดพริกไทย ดวงตาเรียวเล็กเริ่มมองไปทางอื่น

     

    จะบ้าเหรอ...ถามคำถามแบบนี้ออกมาทำไมกัน

     

    “อ่ะ เอ่อ...”

    “บอกหน่อยสิ” ชานยอลยังคงอยากให้แพคฮยอนพูด คนตัวเล็กเริ่มทำตัวไม่ถูกและอยู่ไม่สุข นี่เขาอุตส่าห์ปรับตัวให้ไม่รู้สึกเขินอายเวลาคุยกับชานยอลได้ในระดับหนึ่งแล้วเชียวนะ พอมาเจอคำถามแบบนี้สิ่งที่พยายามทำมากลับสูญเปล่าไปเลย

    “นะ..อยากรู้น่ะ”

    “มะ ไม่เอาหรอก”

    “ทำไมล่ะ” ชานยอลเริ่มทำหน้ายู่ที่แพคฮยอนไม่ยอมบอกเขา ส่วนคคนตัวเล็กก็เริ่มมีพวงแก้มสีแดงระเรื่อขึ้นมาเรียบร้อย

     

    ยิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ ชานยอลก็ยิ่งเอ็นดูแพคฮยอนมากขึ้นเท่านั้น

    เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างแพคฮยอนนั้นจะทำให้เขากลายเป็นคนถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่แพคฮยอนเป็นฝ่ายมาชอบเขาด้วยซ้ำ

     

    แต่ทำไม เขาถึงรู้สึกดีกับคนๆ นี้กันนะ...

     

    (_ _///)” แพคฮยอนเฉหน้าไปอีกทางเพราะความเขินอาย ไม่อยากบอกเลยจริงๆ มันน่าอายมากๆ เรื่องอะไรเขาจะบอกกันล่ะ ไม่มีทางหรอก

    “อยากรู้...บอกหน่อยนะ”

    “ไม่เอา ไม่บอกหรอก”

    “โธ่ ก็แค่อยากรู้เอง...”

    “มะ ไม่เอาแล้ว สั่งอาหารดีกว่า” แพคฮยอนเปลี่ยนเรื่อง จนร่างสูงตัดสินใจไม่เซ้าซี้ต่อไป เพราะว่าแพคฮยอนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานั้นเริ่มทำตัวไม่ถูกเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

     

    นี่เป็นอีกวันที่ชานยอลได้เห็นใบหน้าเล็กๆ นี้กำลังเขินอายเขา

    น่ารักจนบอกไม่ถูก แล้วก็ไม่เคยเบื่อเลยที่ได้เห็นมัน...

     

    ...

     

    “เอ่อ ขอบคุณนะที่พาไปเลี้ยงข้าว” แพคฮยอนบอกในขณะที่ยืนอยู่หน้าบ้านของตัวเอง

    “อื้ม ไม่เป็นไรหรอก”

    “งั้น...งั้นฉันเข้าบ้านก่อนนะ” แพคฮยอนชี้นิ้วไปทางด้านหลังแล้วเตรียมจะหมุนตัว แต่ชานยอลร้องทักไว้เสียก่อน

    “นี่..จะไม่ยอมจริงๆ เหรอ”

    “เอ๋ บอก...?” แพคฮยอนเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชานยอลพูด แต่สักพักก็เข้าใจทันทีว่าร่างสูงหมายความว่าอย่างไร

    “มะ ไม่บอกหรอก” ก้มหน้างุดมองพื้นอย่างเขินแล้ววางมือไม่ถูกที่

    “ไม่บอกจริงๆ เหรอ” ชานยอลทำเสียงกระเหง้ากระหงอดกับคนตัวเล็ก ก็เขาอยากรู้จริงๆ นี่นา

    “ไม่เอา ไม่บอก”

    “เสียใจจัง...”

    “ฉันเข้าบ้านแล้วนะ” แพคฮยอนเลี่ยงที่จะไม่พูดกับชานยอลต่อ แล้วโบกมือให้เล็กๆ เขารีบเปิดประตูบ้านก่อนที่ชานยอลจะพูดอะไรขึ้นมา แพคฮยอนหันไปมองชานยอลอีกครั้ง ก็ยังอีกฝ่ายทำหน้ายู่ใส่ แล้วก็อดยิ้มไม่ได้เพราะชานยอลนั้นทำตัวเหมือนเด็กเข้าไปทุกที

    “บายครับ” ชานยอลโบกมือให้ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินเข้าไปในบ้าน

     

    ร่างสูงเปิดประตูรถเข้าไปนั่งในรถก่อนที่ส่ายหน้าเบาๆ ให้กับตัวเองและหลุดยิ้มออกมา

     

    “ร้ายจริงๆ เลยนะ ไม่ยอมบอกกันเลยใช่ไหม”

     

    ชานยอลพูดกับตัวเองแล้วสตาร์ทรถก่อนที่จะรถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปออกไป

     

    ...

     

    ไม่ว่าจะนั่งก็แล้ว...เดินก็แล้ว...ดูโทรทัศน์ก็แล้ว เล่นกีต้าร์ก็แล้ว นอนตีลังกาก็แล้ว ชานยอลก็ยังรู้สึกแปลกๆ เขานอนมองโทรศัพท์มือที่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ อยู่นาน และก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมา

     

    เลื่อนไปรายชื่ออันคุ้นเลย

     

    แพคฮยอน...

     

    “จะทำอะไรอยู่นะ” พึมพำแล้วมองไปที่นาฬิกา ตอนนี้ก็เวลาสามทุ่มกว่าแล้ว สงสัยคงยังไม่นอนแน่ๆ เลย จะโทรไปหาดีไหมนะ...

    “โอ้ยยย นอนไปสิวะ จะไปพะวงถึงเขาทำไมเนี่ย” ชานยอลรู้สึกเหมือนคนบ้า ทั้งๆ ที่แพคฮยอนเป็นฝ่ายชอบเขานี่นา ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นอยู่ภายในตัวเขา

     

    ตอนนี้เขาเหมือนเป็นฝ่ายวิ่งไล่ตามแพคฮยอนแล้วเสียเอง...

    ชานยอลกำลังเสียสติ...

     

    “ทำอะไรอยู่นะ โอ้ย...ส่งข้อความไปแกล้งดีกว่า” สุดท้ายก็ต้องแพ้ความอดทน แม้จะไม่มีอะไรคุยแต่ก็จะหาเรื่องแกล้งอีกฝ่ายให้ได้

     

    ชานยอลพิมพ์ข้อความลงในมือถืออย่างรวดเร็ว

     

    นอนรึยัง ฉันจะนอนแล้วแต่ก็รอนายบอกเรื่องนั้นอยู่ ถ้าไม่บอกก็นอนไม่หลับแล้วนะ

     

    ชานยอลส่งอีโมติคอนรูปแลบลิ้นไปอีกตอนท้ายประโยคและกดส่งไปทันที คราวนี้เขาก็เริ่มกังวลแล้วว่าแพคฮยอนจะตอบกลับมาว่ายังไง แต่ถ้านานเกินไปชานยอลก็มีสิทธิ์ใจแป้วได้

     

    ติ๊ง!

    เสียงข้อความดังขึ้น ชานยอลกระเด้งตัวขึ้นมาและกดเปิดดูอย่างตื่นเต้น

     

    นอนได้แล้วนะ

     

    ข้อความสั้นๆ ของแพคฮยอนทำให้ชานยอลหน้ายู่ นี่มันไม่ใช่คำตอบนี่นา เขาอยากให้แพคฮยอนพิมพ์ประโยคยาวๆ มาหาเขามากกว่านี้

     

    ชานยอลกดพิมพ์ไปอีก

     

    ไม่เอา ไม่นอน ใส่รูปหน้าบึ้งไปให้แถมท้ายเพื่อบ่งบอกว่าเขากำลังโกรธอยู่ ไม่กี่วินาทีข้อความก็เด้งกลับมา

     

    ไม่มีเรียนเหรอ

     

    ชานยอลอ่านข้อความแล้วกลิ้งไปมาบนเตียงอย่างเพลินๆ ก่อนที่จะกดพิมพ์ตอบกลับไป

     

    มี...แต่รอนายอยู่นั่นแหละ

    รออะไรเหรอ?

    รอบอกเรื่องนั้นไง...

    ไม่เอาหรอก น่าอายจะตาย...

    บอกเถอะนะครับ

    ...ไม่บอก

    จะไม่บอกจริงๆ เหรอ

    อื้อ...ไม่บอก

    ฉันต้องทำยังไงนะ นายถึงจะยอมบอก

    ไม่รู้สิ แต่ไม่ยอมบอกหรอกนะ

    โกรธนะ

    ขอโทษ...

    อ๊ะ...บอกฉันสิ คิคิคิคิ จะได้หายโกรธ

    ไม่ต้องมาหลอกกันเลย

    คิคิคิคิคิคิคิคิคิคิ

    ชานยอลบ้า...

    บ้าเพราะนายนั่นแหละ

     

    พอมาถึงประโยคนี้ที่ชานยอลส่งไปมันก็เว้นช่วงเวลาตอบจากแพคฮยอนไปสักพัก เขาพิมพ์อะไรผิดหรือเปล่านะ ชานยอลอ่านทวนประโยคที่เขาพิมพ์เมื่อครู่ก็เพิ่งนึกได้ว่าแพคฮยอนชอบเขาอยู่ และเขาก็ไม่เขาที่จะพิมพ์ประโยคที่ดูกำกวมแบบนั้น

     

    ดึกแล้ว...นอนกันดีกว่า...ฝันดีนะแพคฮยอน

     

    ชานยอลพิมพ์ข้อความสุดท้ายไปหาแพคฮยอนก่อนที่จะตัดสินใจนอน แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายามที่จะอยากรู้ความทำไมแพคฮยอนถึงชอบเขาหรอกนะ เขาอยากรู้จริงๆ...

     

    ติ๊ง!

    ฝันดี ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง...

     

    เป็นข้อความที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ ชานยอลอมยิ้มก่อนที่จะปิดไฟหัวเตียงและหลับตาไปพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้า

     

    ก็ทำตัวน่ารักแบบนี้ไง...เขาถึงชอบ...

     

     

    ...

     

    สัปดาห์แห่งการซ้อมละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์นั้นทำให้ชานยอลต้องกลับคอนโดดึกในทุกวัน เขาต้องช่วยเล่นละครเวทีให้กับรุนพี่จนไม่เป็นอันทำอะไรเลย ชานยอลต้องซ้อม ต้องร้อง ต้องวิ่ง ต้องกระโดดในบทตัวเอกที่เขาได้รับ และตอนนี้เขาก็กำลังนอนพักอยู่ที่พื้นโรงละครอย่างหมดแรง

               

                ชานยอลยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูบอกเวลาตีสองกว่าๆ ร่างกายตอนนี้เขากำลังเหนื่อยล้าและต้องการกลับคอนโดเอามากๆ หลายวันแล้วที่เขาต้องนอนดึกอีกมันก็ทำให้เขาดูหงุดหงิด

     

    เพราะเขายังไม่ได้คุยกับแพคฮยอนเลย...

    หลายวันมานี้เขายุ่งจนปลีกตัวไปหาคนตัวเล็กไม่ได้เลยสักวัน เพราะอีกไม่กีวันละครเวทีก็จะจัดแสดงแล้วเขาเลยเกรงใจรุ่นพี่เลยต้องซ้อมอยู่อย่างนั้น

     

    ชานยอลลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปที่กระเป๋าที่วางอยู่ข้างล่าง

    ตอนนี้เป็นเวลาพัก ยังคงพอมีเวลา...

     

    เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดต่อสายไปยังแพคฮยอน แต่เสียงสัญญาณนั้นยังไม่ทันดังเขาก็ต้องรีบกดวาง

     

    ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่รู้ว่าอีกคนจะนอนแล้วรึยัง เขาไม่อยากโทรไปหาตอนดึกๆ เสียเท่าไหร่นัก ชานยอลถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะส่ายหน้าไปมาแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม

     

    ทำไมถึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก

    ชานยอลกำลังจะเป็นบ้าเพราะแพคฮยอนไปแล้วแน่ๆ นี่แค่ไม่ได้คุยกันเป็นอาทิตย์เขายังรู้สึกหงุดหงิดถึงขนาดนี้ ทำไมนะ...

     

    สรุปใครกันแน่นะที่เป็นฝ่ายวิ่งตาม

    ความจริงต้องแพคฮยอนที่ต้องคอยตามเขาไม่ได้หรือไง แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลับกลายเป็นเขาเองเสียได้ที่ต้องวิ่งไล่ตามเอง...

     

    “เฮ้อ...” ชานยอลถอนหายใจแล้วเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปอย่างลวกๆ แล้วเดินไปนั่งพักที่เก้าอี้เพื่อรอซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนที่จะกลับ

     

    วันต่อมา...

    ชานยอลซื้อบัตรการเข้าดูละครเวทีจากรุ่นพี่สองใบแล้วเขาก็รีบเอาไปให้แพคฮยอนที่คณะก่อนที่จะกลับไปซ้อมบทละครต่อไป

     

    เขาโทรนัดให้แพคฮยอนมาเจอกันที่ใต้คณะชานยอลยืนรออยู่สักพักเขาที่เขาจะมองเห็นคนตัวเล็กๆ ใส่เสื้อแขนยาวสีเหลืองดำลายขวางดินมาพร้อมกับคยองซู

     

    ใบหน้าเรียวเล็กนั้นกำลังประดับไปด้วยยยิ้มในขณะที่กำลังเดินออกมา ชานยอลมองแพคฮยอนอยู่อย่างนั้นก่อนที่อีกคนจะมองหาชานยอลและทั้งคู่ก็ได้สบตากัน...

     

    ไม่ได้เจอหน้าตั้งหลายวัน...

    รู้สึกแปลกๆ ใจหัวใจยังไงก็ไม่รู้ แต่วันนี้ก็ได้เจอกันแล้วนะ...ดีใจจัง

     

    ชานยอลยิ้มกว้างให้กับคนตัวเล็ก เขาเดินไปหาก่อนที่ทักทายทั้งคู่

     

    “นี่บัตรเข้าดูบทละครเวทีรอบปฐมทัศน์ ต้องไปดูฉันให้ได้นะ” ชานยอลยื่นบัตรเข้าชมให้กับแพคฮยอนสองใบเพื่อไปดูพร้อมๆ กับคยองซู แพคฮยอนเลื่อนมือไปรับก่อนที่จะยิ้มขอบคุณให้กับร่างสูง

    “ขอบคุณนะ”

    “นายแสดงเป็นใครเหรอชานยอล” คยองซูถามอย่างอยากรู้ ส่วนร่างสูงส่ายหน้าไปมา

    “ไม่บอกหรอก ไว้ไปดูเอาเองนะ”

    “โธ่ บอกก็ไม่ได้ เดี๋ยวไม่ให้แพคฮยอนไปดูเลยนี่”

    “ถ้าบอกก็ไม่สนุกสิ อย่าลืมไปดูนะ พรุ่งนี้แล้ว มาเร็วๆ ล่ะ” ชานยอลบอกแล้วมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เขาต้องไปที่โรงละครแล้ว วันนี้จะเป็นวันที่ซ้อมหนักที่สุด

    “ฉันต้องไปแล้วนะ วันนี้ต้องซ้อมหนักเลย หาเวลาปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย” ชานยอลบ่นเล็กน้อยส่วนแพคฮยอนก็ยิ้มให้เขาก่อนที่จะพูดด้วยเสียงนุ่มๆ

    “สู้ๆ นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปดูนาย”

     

    แค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้นก็ทำให้ชานยอลรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที เขายิ้มกว้างอย่างที่ชอบทำและพยักให้กับคนตัวเล็ก อยากจะอยู่คุยให้นานกว่านี้และอยากจะพาไปทานข้าวเหมือนเดิม เอาไว้หลังละครเวทีจบก็แล้วกัน ชานยอลจะทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาอยากทำทั้งหมดเลย

     

    ตอนนี้ชานยอลให้ความสำคัญกับแพคฮยอนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวแล้ว...

     

     

    ...

     

    จนถึงวันจริงของงานแสดงละครเวที ชานยอลไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้อีกแล้ว เขาจะต้องอยู่ที่หลังโรงละครเพื่อแต่งตัว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนที่จะโทรออกไปหาแพคฮยอน

     

    สัญญาณดังอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครรับ ชานยอลกดวางก่อนที่จะทำหน้ามุ่ยจนรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่แต่งหน้าให้ถามอย่างสงสัย

     

    “โทรหาแฟนไม่ติดเหรอคะคุณน้อง หน้าบูดเชียว” เอ่ยแซวไปตามประสาแล้วลงรองพื้นบนใบหน้าให้ชานยอลต่อไป ร่างสูงยู่ปากก่อนที่จะพิมพ์ข้อความไปหาแทน จริงๆ เขาอยากได้ยินเสียงแพคฮยอนมากต่างหากล่ะ

    “เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมเลย”

    “ทะเลาะกันเหรอจ้ะ”

    “เปล่าครับ เขาอาจจะเรียนอยู่ก็ได้” ชานยอลบอกไปอย่างไม่รู้ว่าแพคฮยอนกำลังทำอะไรอยู่

    “แล้วเขาจะมาดูน้องแสดงไหมจ้ะ นี่ได้แสดงเป็นตัวเอกเลยนะ ไม่มาคงไม่ได้แล้ว” เธอชวนชานยอลคุยไปเรื่อย

    “เอาบัตรไปให้แล้วครับ เขาคงจะมา”

    “แหมๆ พูดเสียงอ่อยซะด้วย นี่กลัวเขาจะไม่มาดูน้องเหรอ เป็นแฟนกันก็ต้องมาดูแฟนเล่นละครสิ” เธอพูดอย่างที่ไม่คิดมากอะไร

    “ตอนนี้ยังเรียกว่าเป็นแฟนไม่ได้หรอกครับพี่”

    “อ้าว! ทำไมล่ะ คุยกันอยู่ตั้งนานก็นึกว่าแฟนซะอีก ทำไมไม่บอกพี่ล่ะเนี่ย” เธอทำเสียงแปลกใจแล้วก็ปัดแป้งต่อไป ชานยอลยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะถามรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้านี้ต่อ

    “พี่ ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งสิ”

    “ว่ามาเลย”

    “ถ้ามีคนๆ หนึ่งชอบเราอยู่ แล้วเขาไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย แล้วพอนานๆ วันเข้ากลายเป็นเราเสียเองที่คอยเอาแต่ต้องการอยากจะคุย อยากจะเจอหน้าซะเอง แบบนี้มันเป็นสิ่งที่ผิดปกติใช่รึเปล่าครับ?” ชานยอลถามออกไปเพื่อขอความเห็นจากรุ่นพี่บ้าง เธอยิ้มก่อนที่จะตอบอย่างมั่นใจ

    “เอาง่ายๆ ป่ะ” ชานยอลพยักหน้า

    “น้องชอบเขาแล้วไง”

    “หา...”

    “นั่นแหละ ตามนั้น...ไปบอกชอบคนนั้นเลยเร็วๆ อย่าช้านะ ช้าอดนะจ้ะ พี่เตือนไว้ก่อนเลย ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไปสำหรับเราหรอก ถ้าเราไม่สนใจก็บอกเขาตรงๆ แต่ถ้าเราชอบเขา ก็ไปบอกซะ” เธอแนะนำชานยอลจนอีกฝ่ายรู้สึกจุกพูดไม่อะไรออก

     

    ชอบ...

    ชอบแพคฮยอนแล้วงั้นเหรอ

     

    “ชอบเหรอครับ”

    “ลองถามตัวเองดูว่า อยากจะเจอหน้าคนๆ นั้นไหม อยากส่งข้อความหาทุกวัน อยากไปทานข้าวด้วยกัน อยากไปไหนด้วย อยากสัมผัส อยากกอดอะไรทำนองเนี้ย! อยากรึเปล่า” เธอถามชานยอลก่อนที่จะหัวเราะอย่างเขินๆ ออกมาเบาๆ ชานยอลทำหน้าเอ๋อเล็กน้อยแล้วเริ่มเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

     

    “คิดดูดีๆ” เธอบอกแค่นั้นก่อนที่ชานยอลจะไม่ได้ถามอะไรต่อ

     

    ทุกอย่างเป็นไปตามความจริงที่รุ่นพี่พูดจริงๆ...

    นี่เขาเผลอชอบผู้ชายตัวเล็กๆ อย่างแพคฮยอนไปแล้วเหรอ...ตลกตัวเองจัง

     

    ชานยอลเผลอยิ้มให้กับตัวเองก่อนที่จะโพล่งขึ้นมาจนรุ่นพี่ที่กำลังตั้งใจเขียนคิ้วให้เขาอยู่นั้นต้องร้องตกใจ

     

    “พี่ครับ! ขอบคุณที่แนะนำนะ ผมว่าผมคิดอะไรดีๆ ออกแล้วล่ะ”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องแบบนี้พี่ถนัด คิๆ” เธอหัวเราะให้เล็กน้อยก่อนที่จะเขียนคิ้วให้ชานยอลต่อไป

     

    ชานยอลแอบอมยิ้มให้กับตัวเองแล้วอยู่ๆ หัวใจเขาเต้นแรง

    บ้าน่า...นี่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นสักหน่อย

     

     

    ชานยอลเตรียมตัวเพื่อที่จะออกไปเล่นในฉากแรก เขาทำสมาธิอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเดินออกไปตามสัญญาณที่รุ่นพี่ทำเอาไว้

     

    ขอให้การแสดงผ่านไปด้วยดีด้วยเถอะ...

     

     

                ...

    เสียงปรบมือดังสนั่นอย่างภาคภูมิใจ การแสดงจบลงด้วยดี หวังว่าแพคฮยอนจะมาดูที่เขาแสดงนะ...ชานยอลโค้งเก้าสิบองศษก่อนที่ทุกคนจะถยอยเข้าไปที่หลังเวที ชานยอลรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและส่งข้อความไปหาแพคฮยอน

     

    อย่าเพิ่งกลับนะ ขอคุยด้วยหน่อย

     

    ส่งไปแล้วและรีบไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างเครื่องสำอางออก ชานยอลสะพายกระเป๋าเรียบร้อยและเดินออกจากห้องแต่งตัว

     

    “ขอบคุณมากๆ ครับพี่ๆ ผมกลับก่อนนะ”

    “จ้า ขอบใจมากนะชานยอล อย่าลืมไปงานเลี้ยงล่ะ”

    “ครับ ไม่ลืมครับ” ชานยอลโค้งให้รุ่นพี่ก่อนที่จะรีบเดินออกไปทันที

     

    ไม่บอกก็คงไม่รู้หรอกว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าหัวใจของชานยอลจะต้องระเบิดยิ่งกว่าตอนออกไปที่หน้าเวทีครั้งแรกเสียอีก...

     

    ชานยอลเดินไปออกไปบริเวณหน้างานหลังจากที่ล้างเครื่องสำอางเรียบร้อย เขามองเห็นแพคฮยอนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าที่เก้าอี้ไม่ไกลจากเขามาก เขามองหาคยองซูแต่ก็ไม่พบอาจจะกลับไปก่อนแล้วก็ได้ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะเขาต้องการที่จะคุยกับแพคฮยอนแค่สองคนจริงๆ

     

    ชานยอลเดินไปทางด้านหลังของคนตัวเล็กก่อนที่จะสะกิดที่ไหล่เบาๆ แพคฮยอนหันขวับไปมองแล้วยิ้ม

     

    “แสดงเก่งมากๆ เลยนะ”

    “ขอบใจนะ ฉันผิดคิวตั้งเยอะแหนะ”

    “ไม่เห็นรู้เลย”

    “ฉันเก่งไงล่ะ” ชานยอลทำหน้าทะเล้นให้กับคนตัวเล็ก

    “อ๋า...”

     

    หลงตัวเองไม่เบาเนอะ...คนเราเนี่ย...

     

    ชานยอลหัวเราะก่อนที่จะชวนแพคฮยอนเดินออกมาจากหน้างานเพราะคนกำลังทยอยออกมาเยอะมาก อีกอย่างตอนนี้เขาคงไม่มีเวลาที่จะไปถ่ายรูปรวมอะไรทั้งสิ้น แม้จะเปลี่ยนชุด ล้างเครื่องสำอางแล้วก็ตามก็ยังมีคนเข้ามาขอถ่ายรูปจนแทบจะหลบไม่ทัน

     

    “ไปตรงนู้นกัน เดี๋ยวคนอื่นเห็นฉัน”

    “ทำไมล่ะ?” แพคฮยอนทำหน้างง

    “ทุกคนกำลังตามตัวฉันไปถ่ายรูปน่ะ”

    “แล้วทำไมไม่ได้ถ่ายรูปก่อนล่ะ ฉันรอได้นะ...” แพคฮยอนบอกไปอย่างซื่อๆ นั่นก็ยิ่งทำให้ชานยอลนึกหมั่นเขี้ยวกับความเกรงใจนี่เสียจริงๆ

     

    ไม่เอาหรอก ตอนนี้เขาอยากคุยกับแพคฮยอนมากที่สุดแล้ว

     

    “นี่...แล้วจะกลับบ้านเลยรึเปล่าน่ะ” ชานยอลถามในขณะที่พวกเขาเดินห่างออกมาคุยจากบริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว

    “อื้อ กลับเลย ส่วนคยองซูก็ขอตัวกลับไปก่อนน่ะ”

    “งั้นเหรอ” ชานยอลพยักหน้า

    “เอ้อนี่ มาถ่ายรูปคู่กันดีกว่า”

    “เอ๋...” แพคฮยอนทำหน้างงเมื่อชานยอลชวนถ่ายรูป เพราะเมื่อกี้ยังหนีการถ่ายรูปออกมาเลยนี่นา

    “ยิ้มด้วยนะ” ชานยอลล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ คนตัวเล็กทำตัวเก้ๆ กังยืนไม่ถูกแต่ก็พยายามยิ้มให้กล้อง ชานยอลกดปุ่มถ่ายก่อนที่จะเลื่อนไปใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ไม่หลุดเฟรม

     

    แต่บางทีแพคฮยอนก็รู้สึกว่ามันใกล้เกินไป...

    ใกล้จนกลัวว่าจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังดังเต้นแรง

     

    “ยิ้ม...” ชานยอลพูดแล้วก็ยิ้มให้กล้องหน้า แพคฮยอนก็ยิ้มตามจนตาหยี แล้วมันก็เรียกรอยยิ้มพอใจจากชานยอลจนได้

     

    ก็ยิ้มแบบนี้ไง เขาเลยชอบ...

     

    ชานยอลมองรูปที่จอก่อนที่จะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าตามเดิม

     

    “อ่ะ เอ่อ...มีเรื่องอะไรคุยรึเปล่าน่ะ” แพคฮยอนถามออกไปในขณะที่ชานยอลยืนมองเขาอยู่โดยที่ไม่พูดอะไรเลย นี่เขากำลังถูกมองนานเกินไปแล้วนะ...

    “มีสิ”

    “อือ” แพคฮยอนเงียบรอฟัง ก่อนที่ชานยอลจะทำท่าทีแปลกๆ ออกมา

    “เอ่อ..นาย...” ชานยอลเริ่มรู้สึกประหม่า

    “นาย...ยังชอบฉันอยู่ไหม” ชานยอลพูดเสียงเบาแต่แพคฮยอนได้ยินมันชัดเจน คนตัวเล็กเฉหน้าไปทางอื่นก่อนที่มือไม้จะเก้ๆ กังๆ วางไม่ถูกที่ แพคฮยอนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วหน้าที่ชานยอลถามเขาแบบนี้

    “เอ่อ...”

    “ว่าไง...ชอบฉันอยู่รึเปล่า...” ชานยอลถามอีกครั้งด้วยเสียงที่ดูจริงจังเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งคู่มีเสียงหัวใจที่เต้นแรงพอๆ กันเลยก็ว่าได้

     

    ไม่รู้ทำไมชานยอลถึงถามออกไป...แต่มันก็เพราะว่าความชัวร์ยังไงล่ะ...

     

    “...เอ่อ...ก็” ริมฝีปากเล็กๆ นั้นเริ่มขยับอย่างยากลำบาก ส่วนชานยอลเองก็เหลียวมองไปทางด้านหลัง มีเสียงดังจอแจรบกวนเขาจึงต้องคว้าข้อมือคนตัวเล็กไปเดินไปที่ที่ไม่มีคนแทน

    “ตรงนั้นเสียงดัง คุยตรงนี้แล้วกันเนอะ” ชานยอลบอกกับคนตัวเล็กหลังจากที่พวกเขาเดินมายังหลังตึก

    “คราวนี้จะตอบฉันได้รึยัง” ชานยอลเดาเข้าไปใกล้แพคฮยอนอีก

     

    แต่แพคฮยอนดันกลับเดินถอยหลังอย่างกลัวๆ แผ่นหลังเล็กๆ นั้นติดกับผนักตึกเมื่อขานยอลเดินตามเขามาเรื่อยๆ

     

    “อ่า..เอ่อ...อย่า เดินมาเข้าสิ ไม่มีทางเดินแล้วนะ..” แพคฮยอนก้มหน้าพูดก่อนที่ชานยอลจะหลุดยิ้มกว้างออกมาให้กับความน่ารัก

    “ก็นายไม่ตอบฉันสักทีนี่นา...”

    “ฉัน..ฉัน...คะ เคยบอกไปแล้วนี่...” แพคฮยอนพูดเสียงเบา ส่วนชานยอลไม่ยอม

    “บอกอีกหน่อยไม่ได้เหรอ”

    “เอ่อ...”

    “นะ...”

    “ฉัน...” แพคฮยอนหันหน้าไปไม่ถูกทางเพราะชานยอลเอาแต่ตามเขาอยู่อย่างนั้น ทำไมจะต้องคอยกดดันคนอย่างเขาด้วยเนี่ย ชานยอลบ้าจริงๆ

    “ฉันก็ยัง...ชะ ชอบ...นายอยู่” แพคฮยอนพูดเสียงเบามาก เบาจนชานยอลแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย แค่นี้เขาก็พอใจแล้วล่ะ เขามั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้านี้สามารถทำให้เขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

    “ไม่ค่อยได้ยิน แต่ก็ได้ยินแหละ”

    “อ่ะ...อื้ม...” ตอนนี้ใบหน้าเรียวเล็กของแพคฮยอนนั้นรื้อสีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด คนตัวเล็กขยับตัวอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนที่จะเผลอสบตาของชานยอล

    “เอ่อ...”

    “เป็นแฟนกันไหม...”

     

    ยังไม่ทันที่แพคฮยอนจะหาเรื่องมาคุย ชานยอลก็โพล่งออกมาเสียก่อน นั่นมันก็ทำให้แพคฮยอนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น โลกทุกอย่างหยุดหมุนในทันที คนตรงหน้ายิ้มบางๆ ให้กับแพคฮยอน

     

    แพคฮยอนลืมหายใจ...ลืม...ลืมทุกอย่างแม้กระทั่งกระพริบตา

    มีเพียงเสียงทุ้มนุ่มที่ดังก้องอยู่ในหัวจนเสียงหัวใจนั้นไม่สามารถเต้นกลบเสียงของชานยอลได้เลย

     

    จะเป็นลม...

    รู้สึกตัวของเขากำลังจะลอยไปที่ไหนสักแห่ง...

    แพคฮยอนกำลังเหมือนคนสิ้นสติ

     

    “ฉันแห้วเหรอเนี่ย...ทำไมไม่ตอบล่ะ หืม?” ชานยอลทำหน้ายู่เล็กน้อยก่อนที่จะถามคนตัวเล็กต่อ แต่แพคฮยอนก็เอาแต่นิ่งค้างเหมือนกับโดนแช่แข็งอยู่อย่างนั้น ชานยอลเลยอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ เขายกมือโบกไปมาตรงหน้าคนตัวเล็ก

    “นี่...”

    “อ่ะ!” แพคฮยอนหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาทันทีที่เขารู้สึกตัวว่ากำลังยืนทำอะไรอยู่ พวงแก้มแดงไปจนถึงใบหู แพคฮยอนทำตัวเลิกลั่กอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำถามของชานยอล

     

    มันเป็นคำถามที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมัน

     

    “ต้องให้ตามอีกรอบรึเปล่า...” ชานยอลบอกออกไป แต่แพคฮยอนเอาแต่ส่ายหน้า

    “เอ่อ..” ใบ้กิน...พูดไม่ออก...และกำลังดีใจอย่างถึงที่สุด...

    “รู้ไหม...ฉันชอบนายตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงแม้นายจะไม่บอกฉันก็ตามที แต่ฉันจะบอกนายเองนะ”

    “...”

    “ตั้งแต่รอยยิ้มของนายเข้ามาอยู่ในสายตาของฉัน ภาพทุกอย่างของฉันก็ค่อยๆ มีนายเข้ามา ไม่รู้ทำไมช่วงเวลาที่ฉันไม่ได้เจอนาย ฉันก็เอาแต่คิดถึงนาย ฉันชอบแกล้งนายนะ เพราะนายมักจะเขินเวลาฉันแกล้งแล้วฉันก็ชอบแก้มแดงๆ นี้ด้วย...” ชานยอลเลื่อนนิ้วไปจิ้มที่แก้มของแพคฮยอนเบาๆ จนคนตัวเล็กห่อตัวเล็กอย่างเขินอาย แต่ก็ไม่พูดอะไร

    “เนี่ย..ชอบนะ...เป็นแฟนกัน...” ชานยอลกระซิบบอกที่ข้างใบหู

     

    เขาหวังเอาไว้อยู่มากกับการที่แพคฮยอนจะตอบตกลงเขา เพราะเขาก็ชอบแพคฮยอนมากจริงๆ

     

    “ฉัน...”

    “...” ชานยอลเงียบรอให้แพคฮยอนค่อยๆ พูดอย่างไม่เร่งรีบ

    “ฉันไม่รีบ...แต่ขอคำตอบภายในตอนนี้นะ...” แพคฮยอนสะดุ้งเมื่อชานยอลไม่ให้เวลาเขาคิดนานกว่านี้เลย

    “เร็วจัง...”

    “ว่าไง...เป็นแฟนกันไหมครับ?”

    “...”

     

    แพคฮยอนแทบสิ้นสติ ปากมันขยับยากอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ดีใจที่ชานยอลชอบเขา ทุกสิ่งที่เขาทำให้ร่างสูงนั้นไม่เคยจะสูญเปล่า...ไม่เคยเลย...

     

    ควรจะเดินต่อไปไหม เมื่ออีกฝ่ายต้องการจะเดินไปกับเขา

     

    “อ่ะ...อื้อ...”

    “มันต้องแน่นอนอยู่แล้วสิ” ชานยอลยิ้มแล้วคว้าแพคฮยอนเข้ามากอดในอ้อม แพคฮยอนสะดุ้งฮวบและตัวเกร็งทันที คางมนของร่างสูงเกยอยู่บนหัวทุยๆ ชานยอลยิ้มอย่างพอใจก่อนจะพูดออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ปล่อยคนตัวเล็กจากอ้อมกอด

    “นายเป็นคนพิเศษสำหรับฉันนะ เป็นคนพิเศษตั้งแต่ครั้งแรกเลย...”

    “...”

    “อ่า...ผมหอมจัง” ชานยอลจรดจมูดโด่งลงที่กลุ่มเส้นผมนุ่มของแพคฮยอน คนตัวเล็กน้อยก่อนที่จะยืนเอ๋อไปไม่ถูก

    “อ๊ะ..(_ _////)

     

    ชานยอลค่อยๆ ปล่อยแพคฮยอนออกจากอ้อมกอด ใบหน้าเรียวเล็กก้มมองแต่พื้นไม่ยอมมองหน้าร่างสูงเลย ก็จะให้มองได้ยังไงล่ะ แค่โดนขอเป็นแฟนก็ตั้งตัวไม่ถูกแล้ว แถมยังถูกกอดอีก ดีแค่ไหหนแล้วที่เขาไม่เป็นลมล้มพับไปต่อหน้าน่ะ...

     

    ร่างสูงก้มมองใบหน้าของแพคฮยอนแล้วเขาก็ค่อยๆ เลื่อนใบหน้าลงต่ำก่อนที่ประทับริมฝีปากของตัวเองไปที่เรียวปากเล็กน้อยแพคฮยอนเบาๆ...

     

    ริมฝีปากนุ่มๆ ของแพคฮยอนถูกชานยอลช่วงชิงเป็นที่เรียบร้อย ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขามีสิทธิ์ล้มต่อหน้าชานยอลแน่นอน เข่าทั้งสองข้างอ่อนแรงและกำลังจะทรุดลงกับพื้น ชานยอลเลื่อนมือไปประคองที่ไหล่เล็กทั้งสองของอีกฝ่าย

     

    เขาหลับตาและกดริมฝีปากของตัวเล็กน้อย...

    เจ้าของริมฝีปากนี้เป็นของชานยอลเรียบร้อยแล้ว

     

    ชานยอลค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกมาแล้วจูบเบาๆ ที่แก้มนิ่มแล้วดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดแน่น...

     

    “ตื่นเต้นจัง...”

    “...” แพคฮยอนเงียบเพราะตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นนอกเสียจากเสียงหัวใจของเขาและชานยอลที่กำลังดังอยู่

    “ขอบคุณนะ...สำหรับทุกอย่าง ขอบคุณที่ชอบกัน และฉันก็ชอบนาย...”

    “อ่ะ อือ...” เสียงอู้อี้ดังขึ้น แพคฮยอนค่อยๆ เลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นโอบรอบเอวของชานยอล

     

    แพคฮยอนแอบยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดของชานยอล กลิ่นตัวหอมๆ ในระยะใกล้ๆ นี้ทำให้เขาหลับตาลงอย่างช้าๆ

     

    ขอบคุณนะ...ปาร์ค ชานยอล...

    ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้รู้ว่าความพยายามนี้ไม่เคยสูญเปล่าเลย...

     

     

     

     

    , Happy ending

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คุยยยยยย!!!!

    อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

    จบแล้ว จบแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยย

    ลากเลือดเลย ตอนจบเป็นอะไรที่แต่งยากมากจริงๆ กดดัน แล้วบอกว่าจะเสร็จตตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

    แต่น็อคซะก่อน เพลียมากเลยยยย งานเยอะมากแล้วก็ต้องเร่งปั่นให้จบเพราะถ้าส่งต้นฉบับช้า

    ก็พิมพ์ไม่ทันแน่ๆ ฮรืออออออออออออ

     

    จบไปแล้วนะคะฟิคเรื่องที่สองของแม็ก

    คนสั่งเข้ามาเยอะมากจริงๆ ผลตอบดีจริงๆ แม้นจะไม่มี nc เราก็ฟินได้เนอะ

    แต่ก่อนแม็กแต่ง nc เยอะมากเลยนะ แต่งจนเบื่อแล้ว

    55555555555555555555555555 เอาเป็นว่าใครที่รอรูปเล่มอยู่อีกไม่นานก็จะได้พิมพ์แล้วเนอะ

    รอกันอีกนิด รับรองได้แน่นอนค่า

    ส่วนใครจะไปรับงานฟิคก็มาเจอกันได้เลย โปรโมทตลอด บูธ F6 พี่แม็กของน้องฮุน

    มาทักทาย ขอลายเซ็น จับมือถ่ายรูป ยืมตังค์(อันนี้ไม่ใช่ย่ะ)

    แล้วก็มีสินค้าแฟนอาร์ตที่แม็กทำเองหมดทุกอย่าง ไม่ซ้ำใครเลย

    มาอุดหนุนกันได้ ไม่ซื้อไม่ว่า มาดูกันก่อน ชอบค่อยซื้อ อิอิ

    รักนะคะคนดีของแม็ก

     

    แล้วเจอกันเรื่องหน้า only aim สิ่งเดียวที่ปรารถนา .

                                                                                                             

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×