ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บทกวีของนางฟ้าสีน้ำเงิน

    ลำดับตอนที่ #36 : นิราศล่องใต้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 249
      4
      4 พ.ย. 59

    นิราศล่องใต้
    นามปากกา กุหลาบน้ำเงิน และ หิมาลายัน
    ข้าพเจ้าและกวีหนุ่มผู้หนึ่งได้ออกเดินทางพร้อมกันไปยังดินแดนทางตอนใต้
    ระหว่างเส้นทาง ข้าพเจ้าและหิมาลายันได้บันทึกการเดินทางเป็นบทกวีไว้ ณ ที่นี้



     




    โอ้จำจากเจ้าไกลไปทักษิณ
    อำลาถิ่นเชียงใหม่ใจผวา
    ต้องจากเจ้าจอมใจไปไกลตา
    รวดอุราร้าวรานปานขาดรอน

    ถึงสารภีพี่พะวงเพระห่วงหา
    ปาดน้ำตาตัดเยื่อใยไม่ใจอ่อน
    จำหยุดรัก หยุดถวิล สิ้นอาวรณ์
    จากนคร จรจากเจ้า คงเข้าใจ

    ฟ้าหม่นหมอกหมองหม่นจิตจำลาจาก
    ต้องพลัดพรากชอกช้ำเพราะกรรมไฉน
    ถึงลำพูนผ่านลำปางป่วนฤทัย
    ดั่งมือใครขยำย่ำซ้ำอุรา

    มีขุนตาลกั้นเขตเขาให้เราข้าม
    มีเเม่น้ำวางก้ามอย่างวางท่า
    มีรถม้าเก่าก่อนกาลเนิ่นนานมา
    แต่ไม่มีแก้วตาพาปวดใจ

    ถึงเมืองตากลมตากช่างร้อนนัก
    เกรงลมจักรังเเกแม่แก้มใส
    วอนลมร้ายอย่ากลายกล้ำแกล้งโฉมใจ
    จึงฝากรัก ผ่านลมไป ถึงแก้วตา

    เจ้าอยู่บ้านคงเอิบอิ่มแม่นิ่มน้อง
    พี่เดินทางน้ำตาต้องนองใบหน้า
    ผ่านนคร กำเเพงเพชรเช็ดแก้มขวา
    เหลือเเก้มซ้ายไว้เพราะว่ารอยจูบนั้น

    หวิว-หวิวหวาด หวาดหวั่นไหว ในภวังค์
    เผลอเเลหลังเหลียวเห็นเป็นฟ้ากั้น
    มิเห็นน้องนวลนาง สะอื้นพลัน
    ใจประหวั่นวอนฟ้าเมตตาที

    ภาพบ้านเมืองก็เรืองรองดอกน้องเอ๋ย
    แต่มิเคยสดใสในใจพี่
    ถึงสบบาตร บาดใจตรมตรงฤดี
    บาดใจพี่ ที่ร้าวรานเพราะขาดใจ

    ผ่านดอยหน่อ ยืนยง ตรงตระหง่าน
    ด้วยรักมั่น หมายปอง น้องตาใส
    แม้นลมหนาว ลมร้อน ลมฝนใด
    มิอาจให้หาญ ทำลายหัก รักมั่นคง

    แม้นหินผา อาจกร่อนพังดังคำว่า
    เหมือนหยดน้ำเซาะหินผาพาลุ่มหบง
    เเต่ใจพี่มีสิ่งเดียวเกี่ยวอ่อนลง
    คือน้ำตานวลอนงค์หยลงใจ

    เมืองบอระเพ็ดเข็ดขมตรมอาสัญ
    แดนสวรรคฺหวั่นหวาดสะเทือนไหว
    เมืองเทพีไม่มีเจ้าพี่เศร้าใจ
    พาร่ำไห้ ฤทัยขม ขื่นระทม

    เมืองสวรรค์ แต่พลันร้อน จนอ่อนไหว
    เหมือนมีไฟ เผาข้างทาง อย่างขื่นขม
    แต่ไม่ร้อน เท่าไฟใจ ไหม้อกตรม
    ลมคิดถึง คือลม ที่ส่งไป

    เเล้วเบือนหน้า หนีกลิ่น ยางถนน
    สุดจะทน พี่ก่นเศร้า น้ำตาไหล
    หวนคำนึง ถึงกลิ่นแก้ม แม่ขวัญใจ
    กลิ่นหอมใด ฤาเทียมเท่า เจ้านวลนาง

    คิดถึงกลิ่น แก้มใส ในหน้าหนาว
    คิดถึงหอม น้ำอบเจ้า พราวฟ้าสาง
    คิดถึงผม เจ้าสลวย สวยสะพร่าง
    ความคิดถึง ระหว่างทาง คอนสวรรค์

    ผ่านพลันแสง แสงอื่นใด ไฉนเทียบ
    ฤาจะเปรียบ แสงในตา แม่มิ่งขวัญ
    เนตรดารา พราวระยับ ดับแสงจันทร์
    ใจพี่พลัน อ่อนระทวย เพียงสบตา

    เฉียดอุทัย จนชัยนาท ใจขาดเจ้า
    เห็นท้องทุ่ง ปลูกข้าว ยาวหนักหนา
    คิดถึงภาพ เจ้าวิ่งเล่น ระเริงตา
    มีพี่ยา คอยวิ่งไล่ ในกองฟาง

    มองท้องทุ่ง รวงรอง ริ้วไสว
    วิถีไทย แผ่นดิน ถิ่นนากว้าง
    เกษตรกรรม เก่าแก่ ใกล้เลือนราง
    พี่ถอนใจ พลางเร่งสู่ สิงห์บุรี

    สิงห์บุรี เมืองนี้ พี่สิงสู่
    ผ่านมาอยู่ เเรมทาง หว่างวันนี้
    ใจขาดคน เคยกอด ยอดชีวี
    สิงห์บุรี บันทึกไว้ ห่างไกลเธอ

    เห็นนกน้อย คอยคู่ อยู่เสาไฟ
    ห่วงยาใจ เจ้าคงคอย พี่เสมอ
    ป่านฉะนี้ เป็นเช่นไร ใคร่พบเจอ
    พี่พร่ำเพ้อ พะวงหวง ห่วงเกินทน

    คิดถึงกัน บ้างไหม กรอยใจพี่
    ห่วงคนดี หนึ่งวัน อันสับสน
    เหมือนห่างไกล หลายปี พี่หมองหม่น
    คิดถึงจน เพ้อพร่ำ เป็นคำกลอน

    ผ่านร้านเเกง ชื่อโบราณ รสมือเยี่ยม
    มิอาจเทียม เทียบจวัก เจ้าบังอร
    หอมกลิ่นเเกง ยังติดปาก เจ้าตักป้อน
    หลงแกงร้อน รสมือนาง ดังต้องมนต์

    พอเดินทาง อาภัพนัก ที่รักจ๋า
    เรื่องห้องน้ำ ห้องท่า น่าฉงน
    จะอาบน้ำ อ่างทอง ต้องน้ำวน
    คิดถึงมือ ซุกวน ของเจ้านัก

    เห็นลั่นทม ที่ระทม สุดขมขื่น
    น้ำตารื้น ตะวันลา ดังลารัก
    แสงสายันห์ พาใจ ให้เศร้านัก
    จึงประจักษ์ ยามไร้เจ้า พี่เศร้าใจ

    ทำได้เพียง ส่งใจ กลับไปสู่
    แม่ยอดชู้ ภู่ภมร ก่อนวันใหม่
    ความคิดถึง ห่วงหา นำพาไป
    ส่งเยื่อใย ไปให้ จากชัยโย

    ถึงอยุธยาพาคำนึงถึงยาใจ
    อกพี่ไหม้เพราะพรากรักร่างผอมโซ
    หวังยารักจากยาใจแทบร้องโฮ
    แสร้งใจโต อดยารัก ผ่านอยุธยา

    ฟุ้งเขม่า เถ้าควัน โรงงานใหญ่
    เมืองหมองไหม้ มลพิษ ห่มผืนหล้า
    รัตติกาล กางม่านมืด ปกคลุมมา
    ฟากนภา มืดสลัว ทั่วเเผ่นดิน

    ถึงปทุม รถราเเล่น เร่งเเรงร้าย
    อันตราย ใจพี่ แทบปลิวสิ้้น
    ครองสติ มิประมาท ป้องชีวิน
    วอนฟ้าดิน ปกปัก รักษาที

    รัตติกาล ผ่านฟ้า จันทราสกาว
    ดาราพราว วาววับ จับราตรี
    แวะนิทรา พำนักถิ่น เพชรบุรี
    นครคีรี เริงร่า ตระกาลตา

    ถึงยามดึก นึกร้อนรุ่ม ยุงชุมชุก
    ดังไฟสุม ทรวงสวาท พิฆาตฆ่า
    แสนทุกทน แทบแดดิ้น สิ้นชีวา
    ผลาญอุรา เพราะไฟรัก ที่ลุกแรง

    เร่งเดินทาง ถึงประจวบ จนรุ่งเช้า
    แดดแผดเผา แผ่นผืนหล้า ดังฟ้าแกล้ง
    กลางเปลวแดด ดังเห็นนาง ร่างจำแลง
    ทุกหนแห่ง เห็นเพียงภาพโฉมตรู

    ถึงยามสาย เห็นชายเขา เขียวชอุ่ม
    งามชื้นชุ่ม เชิดตระหง่่าน เป็นแนวคู่
    ต้นไม้สวย สองข้างทาง ช่างน่าดู
    แม่ยอดชู้ มาชม คงชอบใจ

    เลียบชายหาด อ่าวประจวบ จบขุนเขา
    มองเห็นเจ้า เรือน้อย ลอยเลใส
    โยกโคลงเคลง วังเวง ว้าเหว่ใจ
    นึกถึงเรา ร้างคู่ ผู้เปลี่ยวดาย

    หนทางสู่ ชุมพรมี ไม้ยืนต้น
    ทางถนน เรียบสวย เป็นเส้นสาย
    เงาไม้ใหญ่ สองข้างทาง วาดลวดลาย
    มองคลับคล้าย ลายภูษา เจ้านารี

    เห็นฟ้าครึ้ม ลึกล้ำ ดูดำหม่น
    นึกห่วงน้อง นวลนางอยู่ไกลที่
    คงทุกข์เศร้า โศกศัลย์รำพันมี
    เพราะคิดถึง พี่ยา ที่มาไกล

    ใคร่วอนฟ้า ฝากลม ไปห่มน้อง
    โอบขวัญปอง ปาดเช็ด น้ำตาให้
    แต่หวั่นลม รังแก แม่โฉมใจ
    เจ้าเเก้มใส จะชอกช้ำ เพราะเเรงลม

    เขาภาคใต้ ไม่โล้นเเล้ง เหมือนเมืองเหนือ
    ไกลสุดเมื่อ มองเห็น เป็นทิวร่ม
    เขียวชอุ่ม ชุ่มชื้น ช่างชวนชม
    พลันขื่นชม เสียดายป่า ล้านนาไทย

    ที่บ้านเรา เขาเผาป่า จนชิบหาย
    ผลาญทำลาย ธรรมชาติ เสียมอดไหม้
    โอ้ยอดรัก อยู่ทางนั้น พี่ห่วงใย
    จอมยาใจ จะหมองจิต เพราะพิษควัน

    จากชุมพร ประตู สู่เมืองใต้
    เหลียวหลังไป ปานขาดดิ้น แทบอาสัญ
    ถึงสุราษฎ์ ธานี พี่โศกพลัน
    หทัยหวั่น หวิวหวาด เพราะขาดนวล

    ตาลตะโหนด ต้นมะพร้าว ยืนตระหง่าน
    เมฆครึ้มมา พาลมฝน หล่นพัดหวน
    ใบตาลดยก โอนเอน ดุเรรวน
    พิศเเล้วชวน นึกถึงใจ คนรวนเร

    ถึงที่หมาย นครศรี ธรรมราช
    ธรรมชาติ ชื่นชมชวน สลวลเส
    เขียวขจี วิถีประมง เมืองชาวเล
    ท้องคลื้นเร่ ซัดหาด สาดกระจาย

    รัฐจะทำ รงถ่านหิน ณ ถิ่นนี้
    โอ้ชีวี ชาวประมง คงชิบหาย
    นั่นคือแผน พัฒนา พาวอดวาย
    มลพิษร้าย คงรุกราน ผลาญประชา

    ชาวประมง บอกไม่เอา เขาต่อต้าน
    เขาคัดค้าน ใจขืนข่ม ตรมนักหนา
    นวลมาเห็น คงหมองใจ เจ้าน้องยา
    ทั้งหมู่ปลา จะหนีหาย วายชีวัน

    ข้าล่องใต้ มาไกล ในคราวนี้
    ต้องห่างที่ ถิ่นชียงใหม่ เปลี่ยวใจฉัน
    จึงจูบมือ จับปากกา  เขียนกลอนพลัน
    มิให้วัน เว้นว่างนาน ผ่านเลยไป


    ที่ครวญคร่ำ รำพัน อย่ารำคาญ
    เดินทางนาน นึกเศร้า แสร้งร่ำไห้
    ตามประสา นักเลงกลอน ที่เปลี่ยวใจ
    เป็นกวี ไร้คู่ ผู้ดียวดาย




     

    http://image.dek-d.com/23/927491/105053070



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×