ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Carnival of Love เกมรักราตรีเลือด

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอน ชิงช้าสวรรค์ โดย 111

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 562
      0
      23 พ.ค. 59




    Carnival of love เกมรักราตรีเลือด

    ชิงช้าสวรรค์ โดย 111

     คืนนั้น แสงไฟสว่างไสวกลบดาวบนท้องฟ้าจนมิด เพลงครื้นเครงดังแว่วมาจากสวนสนุกลึกลับที่แอบแฝงในม่านหมอกหนา แสงหลากสีสันวับแวมสลับตามจังหวะแห่งดนตรี
                          ท่ามกลางเมฆหมอกมัวหม่น วงล้อสูงเสียดฟ้ากำลังหมุน กระเช้าแกว่งไกวไปมา เสียงเหล็กเสียดสีกันดังเอี๊ยดอาด ดวงไฟภายในก่อเกิดแสงเงาวูบไหว มันหมุนทวนเข็มนาฬิกา วนซ้ำไปซ้ำมาท่ามกลางบทเพลงเริงร่าที่แสนเยียบเย็น กลีบกุหลาบสีน้ำเงินโปรยปรายพร่างพรมไปทั่ว พร้อมประกายกากเพชรระยับ
                          แว่วเสียงปริศนาของใครคนหนึ่งหัวเราะแหลม ก้องกังวานชวนหนาวเยือก...ร่างผอมเกร็งยืนอยู่ในกระเช้าเอนไหวบนวงล้อหมุน เสื้อที่สวมเป็นสีขาวสลับแดงและเหลืองตัดกันฉูดฉาด แต่งระบายพองฟูตามแขนและคอดูน่าขัน ผมหยิกพองสีสนิมเหล็ก ใบหน้าขาวโพลน จมูกและแก้มแดงจัด ดวงตาข้างขวาวาดดวงดาวสีน้ำเงิน  ริมฝีปากสีแดงแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม เสียงหัวเราะของมันเสียดแหลมในความเงียบงัน
                          เสียงวงล้อชิงช้าสวรรค์ดังเอี๊ยดอาด เจ้าตัวตลกกรีดนิ้วขาวซีดตามซี่กรงเหล็ก อีกมือกรีดกรายสลัดกลีบดอกกุหลาบสีน้ำเงินให้ร่วงพราว ริมฝีปากสีแดงราวเปรอะไปด้วยคราบเลือด ยิ้มกว้างแล้วร้องเรียก
                          "มัวช้าอะไรเล่า หญิงงาม...มาที่นี่สิ ดอกไม้แห่งความฝันอยู่ที่นี่แล้ว มาเถิดมา แล้วความฝันของสาวน้อยจะเป็นจริง"

                          ดวงตางามกะพริบถี่หลุดจากภวังค์ บานกระจกสะท้อนภาพหญิงสาวใบหน้าเรียวรี ผมของหล่อนดำสนิทยิ่งกว่าปีกรัตติกาล ปักช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงิน มองคล้ายเทพธิดาแห่งความฝัน ชุดกระโปรงสุ่มสีเดียวกันเผยเนินอกและลำคอเรียวระหง ระบายชายกระโปรงประดับลวดลายกุหลาบยาวระพื้นราวท้องคลื่นกำมะหยี่
                          หล่อนนั่งในความมืด...ความมืดนั้นกลืนกินทุกสิ่งสรรพอย่างเหี้ยมเกรียม แสงสว่างสีน้ำเงินโอบล้อมให้เหน็บหนาว ลมหวีดหวิวดังถากถาง หิมะครวญเพลงเย้ยหยัน ดวงตาของหล่อนล่องลอยราวไร้ความรู้สึก ไม่ยิน ไม่ยลสิ่งรอบกาย ริมฝีปากแดงจัดดุจหยดทับทิมขยับเบาคล้ายพึมพำ เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเครือในลำคอ
                          "โอ้ดรุณี แห่งราตรี ที่มืดหม่น         นางเวียนวน นางว่ายไป ในหมอกหนา
                          นางร่ายรำ นางช้ำชอก ตรอมอุรา        ปรารถนา จะพาตน พ้นโลกีย์"
                          เสียงร้องของหล่อนกังวานใส สะท้อนก้องดั่งลมหวิวผ่านทิวสน แล้วพลันเสียงนั้นกลับสั่นสะท้าน สะอื้นไห้แผ่วเบาราวลมล้าชะงักงัน มือเรียวบางยื่นไปที่โต๊ะตรงหน้า ฉวยคมมีดวาววับมาพินิจ...ประกายของมันวับแวมเย้ายวน
                          เพียงชั่ววินาที หญิงสาวก็หันคมมีดเข้าลำตัว ปักลงที่กลางหัวใจ!
                          ดวงตามืดมน...เลื่อนลอย ไร้ความเจ็บปวด...ไร้น้ำตา...ไร้คำอำลา
                          แสงไฟบนเวทีค่อยๆ ดับมืดไป พร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องยาวนาน สนั่นไปทั่วทั้งโรงละคร ม่านสีเลือดนกเคลื่อนปิด เสียงปรบมือยังไม่จางหาย...

                          'ไอริณ' ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่หล่อนเพิ่งแสดงบทโสเภณีผู้อื้อฉาวที่จบชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าตัวตาย
                          "ไอริณจ๊ะ มีคนฝากดอกไม้ช่อยักษ์มาให้คุณด้วยนะ แล้วก็ยังมีจดหมายและของขวัญจากแฟนๆ กองเบ้อเริ่มเต็มโต๊ะเลย" ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกด้วยรอยยิ้มชื่นชม ไอริณปรายตามองกองจดหมายและของขวัญบนโต๊ะ แล้วหยุดที่กุหลาบช่อโต...การ์ดเล็กๆ ปักอยู่บนช่อดอกไม้
                          'แด่นักแสดงคนเก่งของผม...
                          นาวิน'
                          ใบหน้าของหญิงสาวเฉยชา หล่อนเดินผ่านกุหลาบช่อนั้นอย่างไม่ใส่ใจ ในวันนี้ไม่มีของขวัญชิ้นไหนพิเศษที่สุดสำหรับหล่อน แท้จริงแล้ว ไม่ว่าวันนี้หรือทุกๆ วัน ก็ไม่มีอะไรที่หล่อนพอใจ ตราบใดที่ยังอยู่ในโรงละครแห่งนี้
                          "ฉันเห็นผู้ชมแถวหน้าเช็ดน้ำตากันใหญ่เลย"
                          "เสียงเพลงสุดท้ายของหล่อนสะกดทุกคน"
                          เสียงชื่นชมดังระงม ไอริณเดินผ่านคนเหล่านั้นออกไปด้านหลัง ใบหน้าเรียบเฉยและเยือกเย็น ราวราชินีน้ำแข็ง หญิงสาวฉวยแผ่นกระดาษบนโต๊ะเตรียมท่องบทละครเรื่องต่อไป  ช่างทำผม และช่างแต่งหน้ารีบตรงรี่เข้ามาจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้หล่อน ไอริณยืนนิ่งเป็นหุ่นให้พวกเขา ปากสีแดงจัดยังคงท่องบท ดวงตาดำขลับดูเย็นชา
                          ไอริณเป็นนักแสดง...เป็นสมบัติล้ำค่าของโรงละครแห่งนี้ ใครๆ ก็รู้ดี รวมถึงตัวหล่อนเองด้วย เสียงของหญิงสาวไพเราะยิ่งกว่าเสียงไนติงเกล และท่วงท่าเต้นรำของหล่อน พลิ้วไหวแสนสวยยิ่งกว่ายามผีเสื้อขยับปีก
                          ริมฝีปากแดงจัดยิ้ม...โรงละครเล็กๆ แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของหล่อน ไอริณจะต้องได้เต้นรำที่โรงละครกลางนครหลวงอันยิ่งใหญ่ เคลื่อนไหวลีลาการแสดง และส่งเสียงร้องเพลงกังวานใสที่นั่น
                          อีกไม่นานหรอก อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น
                          ความฝันของหญิงสาวจะเป็นจริง ไอริณจะต้องโลดแล่นท่ามกลางแสงไฟที่โรงละครมหึมารูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนั้น ฟังเสียงปรบมือกระหึ่มก้องที่หล่อนจะไม่มีวันลืม นานมาแล้วในวัยเด็ก หล่อนเคยดูนักแสดงคนหนึ่งแสดงที่โรงละครชื่อดังนั่น หญิงสาวคนนั้นสวยสง่า เสียงหวานและใสกังวานราวกับสายลมไหว หล่อนจะต้องเป็นแบบนั้นให้ได้
                          บทละครเรื่อง 'เจ้าหญิงน้ำแข็ง' คือเรื่องที่เธอคนนั้นแสดง
                          ไอริณกระตุกยิ้มอย่างมั่นใจ หล่อนจะต้องเป็นเจ้าหญิงน้ำแข็งที่สวยสง่ากว่านักแสดงสาวคนนั้นอย่างแน่นอน
                          หญิงสาวกำบทละครเรื่องต่อไปในมือแน่น ความปรารถนานั้นเผาผลาญหล่อนให้ร้อนรน
                          อยากให้ถึงวันนั้นให้ไวที่สุด...

                          รถมาเซราติ ปี '64 แล่นไปในตรอกมืดแล้วเลี้ยวจอดเทียบบาทวิถีหน้าทาวน์เฮาส์สไตล์ยุโรป ในความสลัว มุขประตูและหน้าต่างชดช้อยราวเถาวัลย์แลดูน่าพิสมัย เห็นรูปปั้นเทพเจ้ากรีกประดับตามเสาหินเรียงราย
    ไอริณดับเครื่องยนต์ลงก้าวลงมายืนบนพื้นหิน หล่อนสวมชุดกระโปรงยาวครึ่งน่อง  เรียวขาสวยสวมถุงน่องและรองเท้าส้นสูงทรงประณีต ผมดำสนิทมัดรวบตึง  เผยให้เห็นใบหน้ารีกระจ่างใส
                          ท้องฟ้าคืนนี้มืดกว่าปกติ แสงไฟตามบ้านเรือนและตึกแถวปิดสนิท เห็นเพียงไฟกิ่งข้างทางที่กะพริบถี่ เสียงเพลง เฟอร์ อีลีสเซ ของบีโธเฟ่น ดังแผ่วมาจากที่ใดสักแห่ง...ไวโอลินหยอกล้อกับเปียโนและปิโกโล่(1) เป็นท่วงทำนองครื้นเครงชวนฝัน ในบรรยากาศอันเงียบงัน ชวนให้นึกถึงเจ้านกตัวกระจิ๊ดกำลังขยับปีกซุกซน หญิงสาวหลับตาลงได้กลิ่นควันจากเตาขนมปังปิ้งโชยมา คละเคล้ากับกลิ่นฮอทดอก ปะปนกลิ่นเนยคลุกข้าวโพดคั่วและมาการูนหอมหวานในสายลม
                          รถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านหลังไอริณไป หญิงสาวจึงหลุดจากภวังค์ แล้วพบว่าหล่อนไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น ไอริณสะบัดศีรษะ เดินมาหยุดที่หน้าร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง  ป้ายเหล็กเอียงกะเท่เร่ที่หน้าร้านแกว่งไกวไปมา สลักชื่อร้านด้วยตัวอักษรสีขาวเด่นเบียดเสียดกัน
     
                          กิจการร้านอาหารนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อของหล่อน แต่หญิงสาวไม่ได้มีเวลาดูแลมากนัก โชคดีที่มี 'นาวิน' คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงดูแลกิจการให้ เขาเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ฝันจะเป็นพ่อครัว...หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงแววตาสดใสแต่มุ่งมั่นของเขา ก็ได้แต่ภาวนาขอให้ความฝันของเขาเป็นจริงสักวัน
                          ไอริณเดินขึ้นบันไดไปเปิดประตู ตรงลูกบิด มีป้ายไม้โอ๊คลงสีภาพพ่อครัวถือจานพิชซ่าหอมฉุยหญิงสาวมองผ่านไปขณะไขกุญแจแล้วเปิดประตูออก นึกแปลกใจที่ภายในเงียบสงัด มืดสนิท 
                          หล่อนมองฝ่าความมืดเข้าไป ตรงชั้นล่างของทาวน์เฮาส์เป็นร้านอาหารอิตาเลียนเล็กๆ แสงจันทร์อ่อนๆ สาดผ่านหน้าต่างเข้ามา ให้มองเห็นห้องอาหารซึ่งอัดแน่นด้วยชั้นไม้สูงจรดเพดาน ประดับเถาองุ่น ตุ๊กตากระเบื้อง โมเดลชิงช้าสวรรค์ หม้าหมุนจำลอง สาวน้อยเริงระบำ และสวนสนุกไขลาน เรียงรายเป็นแถบสลับกับกรอบรูประเกะระกะ  ตรงมุมห้องมีช่อดอกไม้แห้งสลับกับรูปปั้นหินอ่อนสุดประณีต  กรอบรูปตัวตลกท่าทางประหลาดเอียงกะเท่เร่ตรงผนังอีกด้าน
                          ไอริณถอดเสื้อโค้ดตัวยาวออกแขวนที่ข้างประตู แล้วควานหาสวิชต์ไฟบนผนัง
                          "แต่น...แตน...แต๊นนนน!!"
                          ฉับพลัน! ใบหน้าขาวโพลนของใครสักคนก็กระโดดโผล่มาตรงหน้าหล่อน หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว ทิ้งกระเป๋าลงกับพื้น ผงะถอยหลังและจ้องมองริมฝีปากกว้างสีแดงจัดยิ้มแป้นตรงหน้าอย่างตกใจ
                          "ขอต้อนรับคุณสุภาพสตรีที่งดงามที่สุดในค่ำคืนนี้เข้าสู่ราตรีอันสุขสันต์ สำราญกับมื้ออาหารสุดหรู!!!"
                          แล้วไฟในห้องก็สว่างพรึ่บโดยพร้อมเพรียง!!
                          ตรงหน้าหล่อน เป็นพนักงานเสิร์ฟหนุ่มในชุดขาวสะอาดตาสวมผ้ากันเปื้อน บนใบหน้ามีหน้ากากยิ้มแฉ่งขาวโพลน ปากแดงกว้างยิ้มแย้ม ดวงตาเบิกบาน สองมือประคองจานอาหารหอมกรุ่น
                          "นาวิน!" ไอริณพ่นลมหายใจขณะมองชายสวมหน้ากากตรงหน้าอย่างเอือมระอา หล่อนก้มลงเก็บบทละครและกระเป๋าที่ทำตกบนพื้น ก่อนจะเดินผ่านชายหนุ่มแล้วขึ้นบันไดไป
                          "ว่าแต่คุณจะรีบไปไหนกันครับ มาฉลองหน่อยสิ" ชายหนุ่มวิ่งเร็วรี่ไปวางจานอาหารบนโต๊ะ แล้วเดินตามหญิงสาวไป "วันนี้คุณแสดงได้ดีมากเลยนะ ผมไปชมละครของคุณมาด้วย...พอชมเสร็จ ก็รีบกลับมาทำอาหารรอฉลองเลย จริงสิ! ผมได้ฝากช่อดอกไม้ให้คุณ...คุณได้รับไหม ?"
                          หญิงสาวเหลียวกลับมา "พรุ่งนี้โทรฯ บอกแม่บ้านให้มาทำความสะอาดด้วยนะ ฉันรู้สึกว่าหล่อนเบี้ยวงานมาสองวันแล้ว"
                          ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากตัวตลกชะงักไป เขามองหญิงสาว...หน้ากากขาวที่สวมนั้นยังเปี่ยมรอยยิ้ม
                          "แม่บ้านบอกว่าหล่อนไม่สบาย ขอลางานหนึ่งอาทิตย์ ผมเคยบอกคุณแล้ว แต่คุณลืม...นั่นสิ คุณคงจะลืมจริงๆ" ประโยคสุดท้ายเขาหยุดหัวเราะให้กับตัวเองอย่างนึกขัน...ทว่าแผ่วเบาจนเกือบกระซิบ
                          "งั้นก็จ้างแม่บ้านคนใหม่" หญิงสาวเหลียวมาบอกอย่างหงุดหงิด โดยไม่นึกใส่ใจ "เอาล่ะ..ฉันต้องไปท่องบทแล้ว"
                          "เดี๋ยวก่อนสิครับ" ชายหนุ่มรีบวิ่งขึ้นบันได พยายามรั้งหล่อนไว้ด้วยการดึงมือเล็กๆ นั้น ครั้นหญิงสาวเหลียวมาเลิกคิ้วมอง เขาก็ชะงักไป... นาวินปล่อยมือออกแล้วถอยหลังกลับมา ภายใต้หน้ากากขาวโพลน ริมฝีปากของเขายังเปี่ยมรอยยิ้ม
                          "วันนี้คุณทำงานเหนื่อยไหม ผมทดลองสูตรอาหารใหม่ อยากให้ที่รักชิมก่อนคนแรก" ชายหนุ่มผู้สวมหน้ากากพยักเพยิดไปทางโต๊ะอาหารที่เขาจัดเตรียมไว้ "ผมจะหัดทำอาหารไว้หลายๆ อย่าง อีกไม่นาน ผมจะได้เป็นผู้ช่วยพ่อครัว แล้วหลังจากนั้น ผมก็จะกลายเป็นพ่อครัว" เขาถอดหน้ากากยิ้มแฉ่งออก เผยให้เห็นใบหน้าคมสันแต่อ่อนโยน ดวงตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความฝันอันสดใส
                          ไอริณมองอาหารบนโต๊ะ หญิงสาวชอบอาหารอิตาเลียน แต่ก็ใช่ว่าพ่อครัวทุกคนจะได้ถูกใจหล่อน นอกจากพ่อแล้วก็มีเพียงนาวินเท่านั้น
                          หล่อนเหลียวกลับมามองชายหนุ่มแล้วยิ้ม
                          "พรุ่งนี้ค่อยอุ่นในไมโครเวฟ อร่อยหรือไม่ ฉันจะบอกวันหลัง" พูดจบ หล่อนก็กลับไปก้มหน้างุดอยู่กับบทละคร แล้วพึมพำพูดคนเดียว "ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก แต่ยังต้องท่องบทละครเจ้าหญิงน้ำแข็ง ละครเรื่องนี้จะกำหนดอนาคตของฉัน"
                          ในอีกไม่กี่เดือน จะมีเทศกาลประกวดละครเวที และคณะละครของหล่อนจะส่งเรื่องเจ้าหญิงน้ำแข็งเข้าประกวด...หล่อนจะต้องเข้ารอบสุดท้ายให้ได้
                          รอบสุดท้าย...ที่จะได้แสดงต่อหน้าสายตากรรมการและผู้คนนับพันในโรงละครมหึมาที่หล่อนฝัน
                          "เดี๋ยวผมจะชงนมอุ่นๆ ให้นะครับ" นาวินเกาะบันได ขณะตะโกนบอก...แต่ไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับมา
                           "งั้น..." ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ดวงตาของเขาเป็นประกาย "คืนนี้ผมขอให้ในความฝันของคุณ...มีผมอยู่ในนั้น"
                          นี่คือประโยคราตรีสวัสดิ์ที่เขาพูดซ้ำซากอยู่ทุกคืน แต่ 'เจ้าหญิงน้ำแข็ง' ของเขา...คงไม่เคยได้ฟัง
                          ที่โต๊ะอาหาร อาหารในจานชามยังคงเฉาอยู่ที่เดิม นาวินหัวเราะเบาๆ เขาถอนหายใจแล้วยิ้ม สองมือชายหนุ่มเก็บอาหารเหล่านั้นไปไว้ในตู้ ดวงตาของเขายังเปี่ยมด้วยรอยยิ้มไม่เคยจางหาย...

                          หน้าต่างเหล็กดัดเปิดออก เสียงดนตรีครื้นเครงดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง...ไกลแสนไกล คลับคล้ายจังหวะขยับเขยื้อนของแมวเจ้าเล่ห์ที่กำลังไล่จับหนูชาญฉลาด ชวนให้นึกถึงเทศกาลรื่นเริงในค่ำคืนตระการตา ไอริณกะพริบตาถี่ๆ มองออกไปในม่านหมอก หล่อนเห็นแสงไฟวับแวมจากที่ไกลๆ ชิงช้าสวรรค์ โดดเด่นอยู่ท่ามกลางเต้นท์หลากสีและลูกโป่งสวรรค์ลอยล่องเต็มท้องฟ้า คลับคล้ายใครสักคนส่งเสียงร้องเรียกหล่อนให้ไปเยือน
                          หญิงสาวสะบัดศีรษะแรงๆ อีกที หล่อนเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วเลิกใส่ใจ บางทีหล่อนอาจจะทำงานหนักเกินไป เสียงวงดนตรีออเคลสตร้าในโรงละครคงดังไป มันถึงได้แว่วอยู่ในหูตลอดเวลา ไอริณทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้ ถอนหายใจแล้วเปิดอ่านบทละครอย่างตั้งใจ
                          เสียงไวโอลินดังขึ้น เป็นท่วงทำนองเย้าหยอกให้ขบขัน บางคราวกลับแผ่วกระซิบราวเสียงหัวเราะปนสะอื้นไห้  ไอริณวางบทละครในมือลง...คงเป็นนาวิน เพลงนี้เป็นเพลงที่เขาเล่นเมื่อหลายปีก่อน หญิงสาวยังจำได้ดี...วันนั้นฟ้าสดใส ขบวนแห่งานเทศกาลกำลังเคลื่อนไปบนท้องถนน เด็กๆ กระโดดขี่คอพ่อแม่ดูเหล่าหญิงชายในเครื่องแต่งกายวิจิตร และบนบาทวิถีหน้าร้านชำ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เปิดหมวกสีซอฝรั่งเป็นทำนองสนุกสนานคละเคล้าเสียงเพลงขบวนแห่ ลีลาท่วงท่าครื้นเครงจนคนต้องเหลียวมองด้วยรอยยิ้มขำขัน...นาวินนั่นเอง
                          ใครๆ ก็ชอบเขาทั้งนั้น คงเพราะเขามีดวงตาแจ่มใสเป็นนิจ มีรอยยิ้มที่เป็นมิตรและอ่อนโยน ทุกครั้งที่เขาเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า เขาจะมีความสุขตลอดเวลา...และความสุขนั้นก็ทำให้ทุกคนที่มาทานอาหารที่นี่กลับไปด้วยรอยยิ้ม
    ไอริณหวนนึกถึงร้านอาหารที่หล่อนได้รบตกทอดมาจากพ่อ พ่อเป็นเชฟฝีมือดี ในวัยเด็ก หล่อนเคยลิ้มรสอาหารของพ่อ จำได้ว่ารสชาติแบบนั้นไม่มีวันที่หล่อนจะหาได้ที่ไหนอีกแล้ว
                          ดวงตาของหญิงสาวเรียบเฉย เมื่อนึกถึงวันที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน นับจากนั้นร้านอาหารแห่งนี้ก็ไร้ลูกค้า และใกล้จะปิดกิจการ นาวิน...พนักงานร้านและลูกศิษย์คนโปรดของพ่อ ทำทุกวิถีทางไม่ให้ไอริณปิดร้านอาหาร เขาควานหาเชฟฝีมือดีมาประจำ พยายามตกแต่งร้านเสียใหม่ให้ร้านมีชีวิตชีวา และไม่นาน...ร้านอาหารของพ่อก็กลับมาอีกครั้ง หญิงสาวยังจำแววตามุ่งมั่นและดื้อดึงของนาวินในวันนั้นได้ดี
                          'ผมสัญญากับเขาแล้ว จะดูแลร้านอาหารของเขา และดูแลลูกสาวของเขา...ต่อให้ตาย ผมก็ไม่ผิดสัญญา'
                          นับจากวันนั้นเขาก็กลายเป็นเงาข้างกายหล่อน คอยดูแลร้านอาหารให้อย่างสุดความสามารถ ไม่เพียงแค่นั้น เขายังคอยช่วยเหลือและดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับชีวิตของหล่อน...หล่อนยังจำคำสัญญาของเขา ในวันที่ล่องเรือในแม่น้ำด้วยกัน...
                          'ถ้าทางข้างหน้าเป็นธารน้ำกั้นคุณไว้ ต่อให้ผมต้องนอนเป็นสะพาน เพื่อให้คุณเหยียบข้าม...ผมก็ยินดี'
                          นานเท่าไหร่แล้วที่หล่อนไม่เคยขอบคุณเขา...มันคงไม่จำเป็นสินะ...สำหรับเขา คงไม่ต้องการคำขอบคุณกระมัง...
                          คืนนั้น ไอริณนอนหลับตอนตีสี่...หล่อนสัมผัสเลือนรางได้ว่ามืออ่อนโยนของใครสักคนห่มผ้าให้ และจูบเบาๆ ที่หน้าผาก ได้กลิ่นดอกกุหลาบใกล้ๆ
                          เหมือนทุกคืน ดอกกุหลาบหนึ่งดอกจะวางอยู่ข้างเตียงของหล่อน ใครสักคนกระซิบเอ่ยราตรีสวัสดิ์
                          "พบกันในความฝันนะครับ ที่รักของผม"

                          เสียงกระดิ่งสั่นไหวที่หน้าประตูกระจกร้านอาหารบ่งบอกว่ามีแขกมาเยือน
                          "มาแล้วครับ!"  พ่อหนุ่มอารมณ์ดี ฮัมเพลงสนุกสนาน วิ่งลงบันไดผ่านชิงช้าสวรรค์จำลองที่กำลังหมุนวนส่งเสียงเพลงเป็นจังหวะเริงร่า ในมือของเขาแบกกระดานดำเล็กๆ ไปด้วย
                          นาวินเปิดประตูกระจกออกไป ลมยามเช้าพัดมาปะทะผิวหน้าพร้อมกับเสียงดนตรีปริศนา ชายหนุ่มวางกระดานดำบอกเมนูอาหารเด็ดประจำวันบนขาตั้งหน้าร้าน เขาเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นซองจดหมายสีน้ำตาลวางอยู่บนพื้นก่อนจะฉวยมันขึ้นมาเปิด เห็นบัตรเล็กๆ สีน้ำตาลไม้โอ๊กสองใบ นาวินเหลียวซ้ายแลขวามองหาที่มาของจดหมาย เห็นแต่ท้องถนนว่างเปล่า จังหวะหนึ่งลมพัดมาพาป้ายชื่อร้านแกว่งกวัด ชายหนุ่มขมวดคิ้วขณะเพ่งอ่านข้อความ
                          'Carnival of Love สวนสนุกพิสูจน์รัก'

    อ่านตอนนี้ต่อในรูปเล่มเต็ม ที่นี่


     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×