ตอนที่ 4 : Chapter 2 [ 100% ]
2
“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย?” คนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้นอกระเบียงถามขึ้นมา ในมือของเขายังคงถือกีตาร์สีขาวซึ่งไม่ว่าจะดันทุรังดีดแค่ไหนมันก็ไม่ออกมาเป็นเพลงสักเพลงอยู่ดี
“มานี่สิ” แดนเจอร์เลื่อนเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้แล้วตบเบาๆ ให้ฉันไปนั่ง ฉันจึงเดินออกจากหลังผ้าม่าน และนั่งลงข้างๆ เขา “กำลังคิดอะไรอยู่” เขาถามพลางยื่นมือมาเกลี่ยผมออกจากใบหน้าให้ ฉันยิ้มบางๆ กลับไปก่อนจะตอบ
“กำลังนึกถึงเรื่องเก่าๆ”
“เรื่องไหน?” เขากอดกีตาร์เอาไว้ เลิกคิ้วมองอย่างรอคอยคำตอบ
“เรื่อยเปื่อย” ฉันยักไหล่ แดนเจอร์จึงเริ่มขมวดคิ้วเป็นเชิงบอกให้อธิบายมากกว่านี้หน่อย ฉันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “เรื่องชีวิตตอนอยู่อเมริกา เรื่องลุงกับป้า แล้วก็...เรื่องครั้งแรกที่ฉันเจอนาย”
แดนเจอร์ยิ้มมุมปากทันทีที่ได้ยินคำตอบ เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอดช้าๆ พลางทำสีหน้าเหมือนรำลึกความหลัง
“อา...ฉันจำได้แล้ว ตอนนั้นเธอตัวสั่นเป็นลูกนก เพราะว่ากลัวเครื่องบิน” เขายิ้มล้อเลียน ฉันเลยตีแขนเขาเบาๆ อย่างหมั่นไส้
หลังจากที่คบกัน ฉันก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้แดนเจอร์ฟังมากมาย ทั้งชีวิตอันแสนรันทดของตัวเอง เรื่องความทรงจำที่หายไป แถมยังสารภาพไปด้วยว่าเหตุผลจริงๆ ที่ทำให้ฉันร้องไห้ตอนเจอกับเขาครั้งแรก ไม่ใช่คิดถึงพ่อกับแม่ แต่เป็นเพราะฉันกลัวเครื่องบินมากๆ ต่างหาก L
แต่ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่เคยพูดให้เขาฟัง... เรื่องผู้ชายที่อยู่ในความทรงจำของฉันคนนั้น มันฟังดูเพ้อเจ้อมากเกินไปจนเขาอาจจะคิดว่าฉันบ้าก็ได้ ฉันจึงเลือกที่จะปิดมันเอาไว้ และรอดูว่าแดนเจอร์จะพูดอะไรออกมาบ้างหรือเปล่า ฉันเคยลองถามคำถามอ้อมๆ อย่างเช่นเขามีฝาแฝด หรือเราเคยเจอกันมาก่อนมั้ย แต่แดนเจอร์ก็ปฏิเสธ ฉันแอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ นอกจากใบหน้าแล้ว แดนเจอร์คนนี้กลับไม่มีอะไรเหมือนคนที่อยู่ในความทรงจำของฉันเลย เขามีนิสัยเจ้าเล่ห์ และเย็นชาเกินกว่า จะเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะร่าเริงแบบนั้น แถมดวงตาสีเทาเข้มของเขา ก็ไม่เคยฉายแววอ่อนโยน หรือแสนดีเหมือนที่ฉันเคยเห็นในความฝันเลย
“แต่ใครจะไปรู้ว่าฉันจะตกหลุมรักลูกนกตัวนั้นตั้งแต่แรกเห็น” เขาว่าพลางเอื้อมมือมาโอบไหล่ฉันไว้หลวมๆ
“ฮ่ะๆ เรื่องนั้นนายเคยบอกแล้ว... จำได้มั้ยตอนที่นายพลิกแผ่นดินหาที่อยู่ของฉัน เพื่อที่จะมาสารภาพรักน่ะ”
ฉันพูดกลั้วหัวเราะเมื่อนึกไปถึงตอนที่เขาวิ่งมากดออดหน้าห้องฉันด้วยความกระหืดกระหอบ ตอนนั้นฉันตกใจมากที่เห็นเขา เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก แหงล่ะ เขาเป็นถึงนักร้องชื่อดังระดับโลก แต่ฉันมันเป็นแค่จิตรกรต๊อกต๋อยที่อยู่ตรงซอกไหนของสังคมก็ยังไม่รู้เลย แต่เขากลับดั้นด้นค้นหาที่อยู่ของฉันจนเจอ และคำแรกที่ออกมาจากปากเขาก็คือ
‘ฉันชอบเธอ’
คิดแล้วก็ตลกดีนะ เรื่องระหว่างเรา มันแทบไม่มีความเป็นไปได้ด้วยซ้ำ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเร็วมากจนฉันไม่ทันได้ตั้งตัว
“หึ” แดนเจอร์หน้าม้านไปเมื่อฉันขุดเรื่องเก่าออกมาล้อ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสยยะยิ้มพลางเอื้อมมือมาขยี้ผมฉันอย่างหมั่นไส้
“อ่ะ” ฉันเลิกคิ้ว อยู่ๆ คนตรงหน้าก็ยื่นกีตาร์มาให้ “เล่นทีสิ ฉันจำคอร์ดเพลงนั้นไม่ได้แล้ว” เขาบอกอย่างละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ‘เพลงนั้น’ ที่ว่ามันคือเพลงอะไร ฉันย่นหน้าใส่แล้วหยิบกีตาร์มา
“จะบอกอะไรให้นะแดนเจอร์ ไคลน์... ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันยังไม่เคยเห็นนายจำคอร์ดเพลงอะไรได้เลยสักเพลง” ฉันยื่นหน้าเข้าไปพูดล้อเลียน แดนเจอร์จึงขยี้ผมฉันอีกรอบก่อนจะอัดพิษร้ายเข้าปอดครั้งหนึ่ง
ฉันหัวเราะ แล้วเริ่มไล้มือไปตามสายกีตาร์จนเกิดเป็นทำนองเพลงที่คุ้นเคยดี มันคือเพลง When you say nothing at all ของ Ronan Keating ซึ่งฉันจำได้ว่าฉันได้ยินมันครั้งแรก ตอนที่ดูหนังเรื่อง Nothing Hill กับแดนเจอร์ และไม่ว่าจะเป็นเพราะอินกับเนื้อหาของหนังหรืออะไรก็ตาม แต่มันก็ทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงโปรดของเราสองคนไปเลย
ถึงฉันจะชอบฟัง แต่ก็ไม่ชอบร้องหรอกนะ ดังนั้นหน้าที่ร้องนำจึงตกเป็นของเจ้าของผมสีควันบุหรี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปโดยปริยาย แดนเจอร์เริ่มร้องเพลงรักซึ้งๆ สวนทางกับเพลงที่เขาเคยร้องด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แสนจะมีเอกลักษณ์ และมันแปลกมากที่เขาสามารถร้องมันด้วยคีย์ต่ำทั้งเพลงโดยไม่เพี้ยนได้อย่างน่าอัศจรรย์
It's amazing how you can speak right to my heart
Without saying a word, you can light up the dark
Try as I may I could never explain what I hear when you don't say a thing
แดนเจอร์มองหน้าฉันพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ฉันยิ้มตอบ และก้มหน้าลงไล้มือไปตามคอร์ดกีตาร์ที่จำได้ขึ้นใจพร้อมกับนึกถึงภาพความทรงจำต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเรา แม้ว่าบางภาพ มันจะซ้อนทับอดีตอันเลือนรางของฉันก็ตาม
The smile on your face lets me know that you need me
There's a truth in your eyes saying you'll never leave me
The touch of your hand says you'll catch me whenever I fall
You say it best..when you say nothing at all...
หลังจากเล่นจบท่อนนี้ฉันก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ฉันหลุดขำออกมาเมื่อเห็นสีหน้าที่พยายามจะร้องเพลง
อย่างจริงจังเกินไปของแดนเจอร์ ทั้งๆ ที่เสียงของเขามันไม่ได้เข้ากับเพลงเลยสักนิด หมอนี่เป็นผู้ชายที่ทำให้เพลงรักทั้งโลกกลายเป็นเพลงปลุกใจได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ
“ขำอะไรของเธอ” แดนเจอร์ขมวดคิ้วถามหลังจากที่ฉันหยุดเล่นกีตาร์และเอาแต่ขำไม่หยุด
“เฮ้ๆ มันจะมากเกินไปแล้วนะ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลย” เขาพูดเสียงจริงจัง ฉันจึงกลั้นหัวเราะเอาไว้แต่ก็ยังคงอมยิ้มอยู่ดี
“บอกมาเลยดีกว่าว่าฉันร้องเพลงแล้วมันตลกตรงไหน” เขาถามด้วยน้ำเสียงงอนๆ และนั่นยิ่งทำให้คนตรงหน้าดูน่ารักอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้หญิงทั่วโลกต้องอิจฉาฉันจนคลั่งแน่ๆ ถ้าได้รู้ว่าอีตาผู้ชายขี้เก๊กนี่มีมุมน่ารักๆ อย่างคนอื่นเขาด้วย
“เปล่านี่ ฉันแค่คิดว่านายกลับไปร้องฮิพฮอพเหมือนเดิมน่าจะดีกว่า” ฉันบอกตามความคิดและหลุดขำออกมาอีกรอบ แดนเจอร์ทำท่าไม่พอใจได้แป๊บเดียว แต่สุดท้ายเขาก็หลุดยิ้มออกมาอยู่ดี เขานั่งมองฉันที่กำลังหัวเราะอยู่ด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย และการถูกจ้องซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ทำให้ฉันหัวเราะไม่ได้อีกต่อไป เสียงหัวเราะของฉันหยุดลงเหลือเพียงแค่รอยยิ้มบางๆ เท่านั้น
แดนเจอร์จ้องฉันด้วยดวงตาสีเทาเข้มของเขา มันเป็นสายตาแบบที่ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดทุกครั้งที่จ้องมอง... และเป็นอีกครั้ง ที่ใบหน้าของ ‘ผู้ชายคนนั้น’ ซ้อนทับขึ้นมา โดยที่ฉันไม่รู้ตัว
“หึ” แล้วสติของฉันก็ถูกเรียกกลับมา เมื่อคนตรงหน้าก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่มักจะปรากฏบนใบหน้าทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะทำเรื่องร้ายกาจ แดนเจอร์อัดบุหรี่เข้าปอดเป็นครั้งสุดท้ายแล้วทิ้งมันลงพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะรั้งท้ายทอยของฉันเข้าไปใกล้ และวินาทีต่อมา ริมฝีปากของเขาก็ทาบลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ฉันได้ตั้งตัว
ฉันนิ่งค้างด้วยความมึนงง ขณะที่ริมฝีปากร้อนจัดของแดนเจอร์ไล้ไปตามริมฝีปากบางของฉัน สัมผัสร้อนแรงนั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าร่างกำลังจะละลาย เขาประคองใบหน้าของฉันเอาไว้พร้อมกับขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก สัมผัสลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขารอคอยเวลานี้มานานแค่ไหน จูบของเขามันเนิ่นนานจนฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอตอบรับสัมผัสลึกล้ำที่เขามอบให้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แดนเจอร์ถอนริมฝีปากออกไปอย่างช้าๆ หน้าผากของเรายังคงแตะกันเบาๆ เขาสบตาฉัน ก่อนจะยิ้มมุมปากพลางพูดติดตลก
“พระเจ้าต้องลงโทษฉันแน่ๆ ที่เผลอกินของหวานก่อนอาหารหลักแบบนี้” พูดจบเขาก็ขบปลายจมูกฉันเบาๆ ก่อนจะเหยียบก้นบุหรี่ที่ทิ้งไว้ก่อนหน้านี้จนดับสนิทและลุกออกไป ปล่อยให้ฉันได้แต่นั่งทำหน้าไม่ถูกกับการกระทำอันอุกอาจนั่น
หึ แดนเจอร์ ไคลน์... อันตรายสมชื่อจริงๆ เลยนะผู้ชายคนนี้
04.40 A.M.
“มันคงจะไม่สายเกินไปใช่มั้ย ถ้าฉันจะบอกว่า ฉันรัก...”
พรึ่บ~!
ฉันวางรีโมตในมือลงหลังจากที่หน้าจอทีวีกลายเป็นสีดำสนิท ก่อนจะหันกลับมามองผู้ชายตัวใหญ่ที่นั่งโอบไหล่ฉันอยู่ แต่น้ำหนักตัวของเขาที่ทิ้งลงมาก็บ่งบอกให้รู้ว่าเขาได้หลับไปแล้ว
ฉันลุกขึ้นจากโซฟาอย่างระมัดระวังไม่ให้แดนเจอร์รู้สึกตัวพลางประคองศีรษะเขาให้ค่อยๆ เอนลงไปยังหมอนที่ฉันเอาวางไว้ให้ แต่ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสหมอนี่จะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะพอฉันทำท่าจะปล่อยมือออกจากหัวเขา แดนเจอร์ก็คว้าแขนของฉันเอาไว้และดึงให้ล้มลงไปบนตัวเขา ก่อนที่แขนยาวๆ จะตวัดมากอดฉันเอาไว้แน่น
“จะไปไหน” เขาถามเสียงอู้อี้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย” ฉันบอก (พยายาม) เสียงแข็ง แต่คนตัวสูงก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเชื่อฟังเลย ขาของเขาเริ่มก่ายลงมาราวกับเห็นฉันเป็นหมอนข้าง
“แดนเจอร์” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างชัดเจน แดนเจอร์จึงยอมลืมตาขึ้นมามองในที่สุด เขายิ้มมุมปากก่อนจะปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากเอวเพื่อจับผมของฉันที่ตกลงมาปรกหน้าไปทัดหูเอาไว้
“ก็ฉันหนาวนี่นา ขอกอดไว้แบบนี้อีกสักพักไม่ได้หรือไง”
“ไม่ต้องมาทำเสียงอ้อนแบบนั้นเลยนะ” ฉันยังคงตีหน้านิ่ง แม้ว่าใบหน้าออดอ้อนนิดๆ นั่นจะทำให้ใจฉันแกว่งไม่น้อยเลย “ถ้าหนาวก็ปล่อยสิ เดี๋ยวไปเอาผ้าห่มมาให้”
แดนเจอร์ย่นหน้ากับข้อเสนอของฉัน เขาแสร้งทำเป็นหลับตาลงก่อนจะกดหัวฉันให้ซบลงกับแผงอกกว้างของเขา
“ไม่อ่ะ อยู่แบบนี้อุ่นกว่าเยอะเลย”
“แดนเจอร์” ฉันเรียกชื่อเขาอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าถ้าเขาไม่ปล่อยล่ะก็ ฉันจะโกรธจริงๆ ด้วย แต่...
“ไม่เอา”
ทำไมทำเสียงเอาแต่ใจแบบนั้นล่ะฮะ
“แดน...”
“ลีอา” ฉันกำลังจะเอ่ยปากพูดให้เขาปล่อยอีกครั้ง แต่คนเอาแต่ใจก็เรียกชื่อฉันสวนขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ฉันจำต้องกลืนคำพูดลงไปในลำคอเหมือนเดิม แดนเจอร์ลืมตาขึ้นมาสบตากับฉันด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย
“รู้ใช่มั้ย ว่าฉันอยู่กับเธอได้อีกไม่กี่ชั่วโมง”
“อืม” ฉันตอบเสียงเบาราวกับเสียงกระซิบ
ใช่...ตอนที่เราดูทีวีอยู่ด้วยกันเขาบอกฉันว่า เขาจำเป็นต้องบินกลับไปทำงานต่อตอนเก้าโมงเช้า ซึ่งมันเหลืออีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
มันสั้นเกินไปจริงๆ นะ เวลาที่เราสองคนได้อยู่ด้วยกันเนี่ย
“ไปอยู่กับฉันมั้ย?”
“...” ฉันเงียบและสบตากับสายตาจริงจังที่อยู่ตรงหน้า
“ไปอเมริกากับฉันเถอะ ไปอยู่ด้วยกัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธออย่างดี เธอจะได้ทำทุกอย่างที่เธออยากทำ ไปได้ทุกๆ ที่ที่เธออยากไป ฉันจะประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าเธอคือผู้หญิงของฉัน แล้วฉันก็...”
“แดน” ฉันเรียกเอาไว้ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อ “นายก็รู้ว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
“...” สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นตัดพ้อเมื่อฉันพูดแบบนั้นออกมา
“เราก็เหมือนเดินอยู่บนคนละเส้นทางกัน นายเป็นซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังที่ยังไปได้อีกไกลในวงการบันเทิง แต่ฉันเป็นแค่จิตรกรต๊อกต๋อยที่ไม่ได้มีหน้าตาอะไรในสังคม... แต่นั่นคือสิ่งที่ฉันพอใจ และฉันอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะตาย ...นายเข้าใจฉันใช่มั้ย?” ฉันตอกย้ำเจตนารมณ์ของตัวเองที่เคยพูดให้เขาฟังไปแล้วตั้งไม่รู้กี่รอบ
ฉันไม่เคยอยากให้เขาเปิดเผยเรื่องของเรา ไม่ว่าจะกับใคร ฉันไม่อยากเข้าไปพัวพันกับวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนั่น ฉันไม่อยากโดนปาปารัซซี่ตามถ่ายรูป หรือเขียนข่าวต่างๆ นานาเกี่ยวกับฉันเหมือนที่คู่รักคนดังคู่อื่นต้องเจอ มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้าจะให้เลือก ฉันขอเลือกชีวิตอันสงบสุขแบบที่ฉันต้องการมากกว่าที่จะเลือกอยู่กับเขาอย่างเปิดเผย
ฉันอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นความลับไปตลอดกาล... หรือตราบเท่าที่ความสัมพันธ์ที่ว่านั่นมันจะยังคงอยู่... ก็เท่านั้นเอง
“ฉันขอโทษนะ” ฉันบอกหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง แดนเจอร์ถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้ม
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ ฉันงี่เง่าเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป ฉันแค่... ไม่ชอบที่เวลาของเรามันมีน้อยเกินไป ฉันอยากใช้เวลากับเธอให้นานกว่านี้อีกนิด แค่วินาทีเดียวก็ยังดี” เขาว่าพลางกดหัวฉันให้ซบลงกับแผงอกกว้างอีกครั้ง และกอดฉันเอาไว้แน่นกว่าเดิม ในขณะที่ฉันไม่คิดจะขัดขืนอีกต่อไป นี่คือสิ่งเดียวที่เขาขอจากฉัน และเป็นสิ่งเดียวที่ฉันสามารถมอบให้เขาได้
ตลอดเวลาที่คบกัน แดนเจอร์ไม่เคยทำอะไรที่ถือเป็นการล่วงเกินฉันเลย เขาไม่เคยขออะไรไปมากกว่าการกอดจูบเล็กๆ น้อยๆ ที่คู่รักที่ไหนก็ทำกัน เขาให้เกียรติฉันเสมอเหมือนกับที่ฉันให้เกียรติเขา และที่สำคัญไปกว่านั้น... เราไว้ใจซึ่งกันและกัน
นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราคบกันได้ยืนยาวขนาดนี้แม้ว่าจะแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลยก็ตาม
“นี่”
“หืม?”
“ไหนๆ ก็มาทั้งที... อยากได้ของที่ระลึกติดตัวก่อนกลับหน่อยมั้ยล่ะ” ฉันเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์จนแดนเจอร์ถึงกับหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“มาไม้ไหนเนี่ยยัยตัวแสบ”
หึ... อยากรู้ก็รอดูสิ J
วันต่อมา
“ข่าวต่อไป เป็นข่าวช็อกหน้าหนึ่งของวงการบันเทิงเลยทีเดียวค่ะ เมื่อแดนเจอร์ ไคลน์ นักร้องและนายแบบชื่อดังได้ออกมาเผยภาพเปลือยท่อนบนอวดหน้าท้องสุดแซบของเขาเป็นครั้งแรกบนสังคมออนไลน์ชื่อดัง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีนิตยสารเล่มไหน หรือช่างภาพสำนักใด ตื๊อให้หนุ่มคนนี้ถ่ายแบบเซ็กซี่ได้สำเร็จมาก่อน
แต่คุณผู้ชมคะ นอกจากจะเห็นกล้ามเนื้อหน้าท้องที่น่าหม่ำแล้ว สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาเหล่าบรรดาแฟนคลับทั่วโลกก็คือ รอยสักลวดลายประหลาดบริเวณหน้าท้องของเขา ซึ่งนักข่าวหลายสำนักต่างก็ลงความเห็นว่า เพราะรอยสักนี่หรือเปล่า ที่ทำให้แดนเจอร์ ไคลน์ ผู้ชายที่หวงร่างกายที่สุดในโลก ถึงกับลงทุนโชว์ซิกซ์แพ็คที่ตัวเองปิดบังไว้ภายใต้เสื้อผ้ามาตลอดชีวิตเกือบสามปี ในวงการบันเทิง เราไปฟังบทสัมภาษณ์ของเขากันเลยดีกว่าค่ะ”
“รอยสัก? ไม่ใช่ครับ มันคือลายเพนต์ธรรมดาๆ ต่างหาก แล้วอีกอย่างนะ ผมไม่ได้เปลื้องผ้าด้วย อันที่จริงผมแค่ถลกเสื้อขึ้นมานิดเดียวเท่านั้น”
“แต่ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยยอมให้ใครเห็นร่างกายของคุณเลยนี่คะ เป็นเพราะลายเพนต์นี่หรือเปล่าที่ทำให้คุณยอมอวดหุ่นฟิตๆ ให้แฟนๆ เห็น”
“ครับ” (ยิ้ม) “มันสวยมาก จนผมอดใจไม่ไหว ที่จะโชว์ให้ชาวโลกได้เห็น”
“แล้วได้ลายนี้มาจากไหน?”
(เงียบไปแป๊บหนึ่งก่อนจะตอบ) “ข้างถนนน่ะครับ J”
“ช่วยโชว์ให้ดูอีกทีได้มั้ย?”
“ไม่ได้ครับ” (เสียงนักข่าวโห่ร้องด้วยความเสียดาย)
“แล้วลายนั้นมีความหมายว่ายังไงคะ?”
“ความหมายเหรอ? เอ...อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ คงต้องไปถามคนวาดแล้วล่ะ อ้อ แล้วถ้าเจอเธอจริงๆ ล่ะก็ ฝากบอกด้วยนะครับ ว่าผมกำลังรอวันที่จะกลับไปให้เธอวาดให้อีกครั้งใจจะขาด^^”(เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกรอบ)
“คนวาดคนนั้นคือใครคะ?”
“คนพิเศษหรือเปล่าครับ?”
“เป็นคนในวงการหรือเปล่าคะ?”
(นักข่าวเริ่มรัวคำถาม พร้อมกับกรูกันเข้ามาจนการ์ดต้องมาแยกตัวแดนเจอร์ออกไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่)
“แดนเจอร์คะ!”
“ช่วยตอบคำถามด้วยครับ!”
พรึ่บ~!
ฉันกดปิดโทรทัศน์หลังจากที่ภาพข่าวดูวุ่นวายเมื่อนักข่าวพยายามจะตามไปขอสัมภาษณ์และถ่ายรูปแดนเจอร์กันเป็นพัลวัน
“เหลือเชื่อเลย” ฉันบ่นออกมาเบาๆ พร้อมกับกลอกตาด้วยความระอาใจ
นี่ถ้านักข่าวเกิดบ้าจี้ตามหาคนวาดนั่นขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ แน่นอนเลยว่าคนที่ซวยก็คือฉัน ฉันแค่วาดให้เขาเล่นๆ เองนะ ใครจะไปคิดว่าหมอนั่นจะดันอุตริถ่ายรูป แถมยังอัพลงทวิตเตอร์ให้คนได้เห็นกันทั่วโลกอีกต่างหาก บ้าไปแล้ว
แต่ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหน ฉันก็ทำได้แค่บ่นกับตัวเอง เพราะรู้ว่าถึงโทรไปโวยวาย แดนเจอร์ก็คงไม่สะทกสะท้านหรอก เขาคงจะพูดว่า ดีซะอีก จะได้ถือโอกาสเปิดตัวไปเลยไง ซึ่งฉันได้ยินมันทุกครั้งที่นักข่าวเริ่มได้เบาะแสเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องของเรา
ฉันถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะหันไปหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มสีที่ผสมไว้ในจานและแต้มมันลงบนเฟรมผ้าใบที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่ามาหลายวัน นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการกลับมาของหมอนั่นทำให้ฉันเกิดแรงบันดาลใจที่จะวาดรูปใหม่ขึ้นมาล่ะก็ ฉันจะไม่ให้อภัยเขาแน่ๆ สาบานได้
ก๊อกๆ
หือ? เสียงเคาะประตูงั้นเหรอ
ฉันชะงักมือที่กำลังจรดพู่กันลงบนเฟรมผ้าใบ และเงี่ยหูฟังให้แน่ใจอีกรอบ
ก๊อกๆ
ใช่จริงด้วยแฮะ แต่เท่าที่จำได้ ฉันว่าหน้าห้องของฉันมันมีออดให้กดนะ แล้วใครอุตริมาเคาะประตูกันล่ะเนี่ย มองไม่เห็นออดหรือยังไง?
ฉันวางพู่กันในมือลงและเดินไปที่หน้าประตู ตั้งใจว่าจะส่องตาแมวดูว่าใครมา แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตาแมวที่ประตูห้องฉันมันเสียมาสักพักแล้ว ลืมไปซะสนิทเลยแฮะ เห็นทีฉันคงจะต้องเขียนเตือนตัวเองไว้บ้างแล้วล่ะ ว่าควรจะไปตามช่างมาซ่อมเสียที
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาอีกครั้งทำเอาฉันสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะตะโกนถามออกไป
“ใครคะ?”
...
เงียบซะงั้น
ฉันขมวดคิ้วและตัดสินใจเปิดประตูออกไปดูว่าใครกันแน่ที่เป็นคนมาเคาะประตู ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมาเคาะห้องฉันเลยนะ นอกจากพวกช่างซ่อมที่ฉันเป็นคนตามมาเอง แต่ที่จำได้ฉันยังไม่ได้เรียกช่างมาซ่อมอะไรเลยนี่นา
แอด~
ฉันค่อยๆ แง้มประตูออกด้วยความระมัดระวัง เผื่อว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นคนท่าทางไม่น่าไว้ใจจะได้รีบปิดประตูหนีทัน แต่ก็ต้องชะงักไป เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วพบกับ...
“สวัสดีครับ (-A-)”
...
...
นี่มัน... ผู้ชายคนนั้นนี่!?
-- makok_num --
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถ้าเป็นไปได้สร้างพาร์ทแยกของสองคนนี้แบบยาวก็ได้นะครับ เคมีดีอยู่ 555555555555555555
พระเอกมาล้าว มาล้าวว
แล้วรันโซเรามาทำอะไรเนี้ยยย
แต่รันโซรู้ที่อยู่นางเอก และเป็นปริศนาขนาดนี้แสดงว่าต้องมีซัมธิงแน่นอน(คิดเอาเอง 555+)
แอบสงสารแดนเจอร์เหมือนกัน หล่อ ดี แล้วก็รักนางเอกมาด้วย T^T
ปล.รันโซน่ารักมากแม้ออกมานิดเดียว ><
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 4 ตุลาคม 2556 / 23:37
ส่งคะแนนให้แดนเจอร์เรื่อยๆ 555
รันโซรีบมาทำคะแนนเร๊ววว เค้าเริ่มจะรักแดนเจอร์แล้ว >0<
ยิ่งอ่านยิ่งอิจฉาโมนา แอร๊ย! ผู้ชาย...ผู้ชายของหล่อน!!
ทั้งรันโซทั้งแดนเจอร์ กรีดร้อง~ สุดจะทนแล้วนะฮ้ะ
อิจฉาแบบว่าสุดๆ...สุดๆ...สุดๆ.... T^T
ถึงกับทำให้อิตาแดนเจอร์ยอมเปลือย (ท่อนบน) เชียวเรอะ!
โฮะๆๆ ตอนบรรยายก็แอบจิ้นเล็กน้อยนะฮ้ะ ได้ใจเกิ้น -.,-
ว้ากๆๆๆๆ ทำไมรันโซฉันถึงโผล่ตอนจบ T___T
แต่เอ๊ะ คนที่มาเยือนใหม่นั่นใช่รันโซรึเปล่านะ?
เอ่อ.. มีความรู้สึกว่าอ่านตอนนี้แล้วมันสั้นไปเนาะ.. หรือว่าเรากำลังอินหว่าเลยรู้สึกแบบนั้น .. แว๊... ติดเสียแล้วอ่ะสิ
แต่เค้าก็ยังเชียร์รันโซพ่อสุดมึนที่น่ารักกก >3/
แดนเจอร์นีร้ายสมชื่อเลย อิอิ >w<
สู้ๆค่าไรเตอร์ *0*
ติดตามค่ะ
รันโซจ๋า ^^
หวานซะขนาด
แต่ว่ารู้สึกอยากให้คู่นี้อยู่กันแบบนี้ต่อไป แบบว่า ไม่อยากจะให้รันโซมาทำให้โมนาเปลี่ยนใจเลย
ไม่รู้สิ เราบอกไม่ถูกอะ คู่นี้มันน่ารักเกินจนไม่อยากให้คนที่สามเข้ามาเกี่ยว
ไรเตอร์แต่งได้ดีมากๆเลยค่ะ
แอบอิจฉาโมนาเบาๆ หุหุ
ปล. อัพเรื่องนี้แล้วก็อย่าลืมอัพเรื่องของซีเรียด้วยนะคะ รออ่านอยู่ค่ะ
แต่ว่าคงไม่ได้ตามอ่านแล้วล่ะ เพราะว่าชม.เน็ตหมด
บวกกับจะสอบไฟนอลแล้ว ยังไงจะมาตามอ่านทีหลังนะคะ
เขารักของเขากันดีแล้วจริงๆ T^T
ถ้าเป็น คงดิ้นตายยย อะ 5555555.