ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 4 แตกหัก -- 5 - จดหมาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 311
      1
      14 ม.ค. 55

    5 - จดหมาย

    วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    ฉันตื่นเช้าขึ้นมาทักทายแม่ในกรอบรูปด้วยความรู้สึกสดชื่น

    รู้สึกดีจริงๆ ที่ได้ตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้ว่านี่เป็นวันเสาร์ที่ไม่ต้องไปเรียน แต่ถึงอย่างไรภารกิจในวันนี้ของฉันก็ดูจะมีอยู่มากมาย ดังนั้นจะมามัวชักช้าอยู่ไม่ได้

    เริ่มแรกฉันวิ่งออกกำลังกายจากที่บ้านไปที่สวนเพกาซัส แล้วแวะฝึกพลังจิต จากนั้นก็วิ่งกลับบ้านมาเตรียมตัวไปโรงเรียน

    แน่นอนว่าสาเหตุที่ฉันต้องไปโรงเรียนในวันเสาร์ที่ไม่มีเรียนเช่นนี้เป็นเพราะเหตุผลพิเศษ

    ฉันจะไปเอาของขวัญวันเกิดของฉันจากเพื่อนของฉัน

    “ถึงแล้ว” ฉันวิ่งเข้าประตูโรงเรียนอย่างกระตือรือร้น

    วันนี้เป็นวันที่ฉันรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากกว่าทั่วไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเชื่อแล้วทำให้สัมฤทธิ์ผลเช่นนั้นเอง หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น อย่างไรฉันก็พอใจที่วันนี้เริ่มต้นได้ด้วยดี

    เมื่อมาถึงระเบียงโค้ง ฉันก็รีบร้องทักเป้าหมายการมาเยือนของฉัน

    “โอเร!

    “ดะ...เดี๋ยว ผมยังไม่พร้อม!” โอเรดูจะสะดุ้งตกใจเล็กน้อยที่ฉันโผล่พรวดเข้ามา

    “นายจะให้ฉันลองเข้ามาใหม่เหรอ” ฉันถาม

    “ปะ...เปล่า” เขาส่ายหน้า “คือว่าผมทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกเมื่อวานนี้ ดังนั้นผมจึงพบว่ามันน่าอายที่จะร้องเพลงต่อหน้าเธอวันนี้น่ะ!

    “แต่ฉันก็มาที่นี่มีจะมาฟังนายร้องเพลงเป็นพิเศษเลยนะ...”

    “ผะ...ผมขอโทษ” โอเรรีบพูด

    ฉันเห็นว่าเขาดูรนรานและทำตัวไม่ค่อยถูกจริงๆ ฉันว่าฉันควรช่วยเขาเสียหน่อย

    “ถ้างั้น เราลองมาหาอย่างอื่นทำกันเพื่อให้นายรู้สึกสบายใจขึ้นดีไหม”

    “เธอมีไอเดียอะไรดีๆ เหรอ”

    “ไหนดูสิ...” ฉันลองเค้นสมองคิด “ลองมาเล่นเกมกันดูเป็นไง เกมที่ง่ายพอสำหรับเราสองคนที่จะเล่น... เอาเป็น... เกมทายไพ่สูงต่ำเป็นไง”

    “มันเป็นเกมแบบไหนเหรอ”

    ฉันเลือกใบออกจากสำรับที่เริ่มพกติดตัวจนชินออกมาแค่สิบใบ เป็นไพ่ที่เลขสองถึงสิบและไพ่เอซอีกใบแทนเลขหนึ่ง จากนั้นก็อธิบายวิธีเล่นเกมให้โอเรฟัง

    “มันเล่นง่ายมากเลย ตอนแรก ฉันจะสุ่มวางไพ่เจ็ดใบจากสิบใบที่มีเลขหนึ่งถึงสิบ โดยใช้เอซแทนเลขหนึ่งนะ จากนั้น ฉันจะเปิดไพ่ใบแรก”

    ฉันหงายไพ่ประกอบ หน้าไพ่คือหกโพธิ์แดง

    “ได้เลขหกล่ะ” ฉันบอก “จากนั้นนายก็ทายต่อว่าไพ่ใบต่อไปเป็นเลยอะไร มากกว่าหรือต่ำกว่าใบเดิม...ซึ่งในกรณีนี้ก็คือมากกว่าหรือต่ำกว่าหก นายจะชนะถ้านายสามารถทายได้ถูกทั้งหมด คิดว่าไงล่ะ”

    “ฟังดูน่าสนุกดีนะ ลองดูก็ได้” โอเรกล่าวพลางยิ้มเหมือนเด็กๆ

    “นายเริ่มก่อนได้เลย!” ฉันท้า

    “โอเค อย่างนั้นก็สูง”

    ไพ่ที่เปิดออกมาเป็นแปดดอกจิก

    “ได้แปด นายทายถูก!

    “ต่อไปก็ต่ำ”

    ผลคือสี่โพธิ์ดำ

    “ถูก”

    “ฉันจะทายต่ำอีกครั้ง”

    เปิดไพ่มาเป็นเอซหัวใจ

    “ถูกต้อง”

    “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทายสูงใช่ไหม” โอเรยิ้มแหย

    “ใช่ ถูกแล้ว” ฉันเปิดไพ่ต่อทันที เลขที่ปรากฏคือห้า

    “ครั้งนี้ผมจะทายต่ำ”

    แล้วก็ได้ไพ่ที่ต่ำว่าห้า...สามข้าวหลามตัด

    “ถูกต้อง นายเกือบทำได้แล้ว!” ฉันเชียร์ไปด้วย

    “อันสุดท้ายผมขอทายต่ำ” โอเรบอก “ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงเลือกสูงมากกว่าในสถานการณ์แบบนี้

    แต่ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นเลขที่น้อยกว่า”

    แล้วผลก็ออกมาเป็นสอง

    “ถูกต้อง! ว้าว! นายทายถูกหมดเลย!

    “เย้! ผมทำได้!” เด็กหนุ่มยินดีไปด้วย

    “ตาฉันเล่นบ้างนะ”

    ...

    ปรากฏว่าฉันสามารถทายได้ถูกหมดเช่นกัน หลังนั้นเราก็เล่นกันต่ออีกสองสามครั้ง และทายถูกหมดกันทั้งคู่

    “ถ้าเป็นอย่างนี้ เราคงไม่มีวันหาผู้ชนะได้” โอเรออกความเห็นพร้อมยิ้มบางๆ

    “ฉันคิดว่าเราคงเล่นทายไพ่สูงต่ำกับผู้มีพลังจิตไม่ได้” ฉันก็คลี่ยิ้มเจื่อนๆ ไปกับเขาด้วย

    “ก็จริงนะ”

    “ว่าแต่ นายรู้สึกยังไงบ้าง” ฉันเปลี่ยนเรื่อง “รู้สึกประหม่าน้อยลงหรือยังตอนนี้”

    “ฮะ?” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังตามไม่ทัน

    “ฉันเฝ้ารอที่จะได้ยินของขวัญวันเกิดของฉันอยู่นะ”

    ฉันบอกพร้อมยิ้มกว้าง คำพูดที่ว่า เฝ้ารอที่ได้ยินของขวัญวันเกิดนี่ฟังไม่ค่อยคุ้นหูเอาเสียเลย แต่นั่นก็ทำให้มันพิเศษ

    “นั่นสิ ผมจะร้องเพลงให้เธอ”

    กล่าวจบ เด็กหนุ่มก็ยืนตัวตรง สูดหายแล้วเข้าลึก แล้วก็ร้อง...

    Happy birthday to you!

    Happy birthday to you!

    Happy birthday! Happy birthday!

    Happy birthday to you!

    เขาปรบมือแล้วเปลี่ยนไปพูดธรรมดาว่า

    “สุขสันต์วันเกิดนะ เอสซี่!

    ฉันปรบมือคลอไปด้วย พลางบอก

    “นั่นวิเศษมากเลย ฉันอยากฟังอีก อยากได้ยินนายร้องเพลงอื่นด้วย”

    “ฮะ?

    เด็กหนุ่มดูไม่ค่อยแน่ใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วยอมตามทันที

    “ก็ได้”

    โอเรร้องเพลงให้ฉันฟังต่ออีกหลายเพลงซึ่งเป็นเพลงสำหรับเด็กซึ่งก็เหมาะกับเขาดีทีเดียว หัวใจฉันล่องลอยไปเมื่อฉันได้ยินเสียงอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนเด็กของเขา ฉันรู้สึกราวกับว่าฉันได้เข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งโดยสมบูรณ์แบบ ได้กลับเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้ง


     

    จะว่าไปตั้งแต่ได้พบโอเรในวันนี้ ฉันก็ได้ทำตัวเหมือนเด็กๆ ตั้งหลายอย่าง ทั้งร้องขอขวัญอย่างเอาแต่ใจ ร้องจะฟังเพลงมากกว่าเดิม แล้วก็ยังเล่นเกมเด็กๆ กับเขาอีก

    ถึงจะดูงี่เง่าไปบ้าง แต่นานๆ ทีได้ทำอย่างนี้ก็ทำให้รู้สึกสนุก เป็นอิสระ และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ

    สุดท้ายโอเรก็ร้องเพลงจนเริ่มรู้สึกเหนื่อย เขาพ่นลมที่เป็นคำร้องท่อนสุดท้ายออกจากปาก แล้วบอกว่า

    “ผมไม่เคยร้องเพลงเยอะขนาดนี้มานานแล้ว”

    “ขอบคุณนะ!” ฉันขอบคุณเขาอีกครั้ง

    “ผมหวังว่าเธอจะชอบของขวัญวันเกิดนะ ผมไม่มีอะไรที่ผมสามารถให้ได้ ก็เลย...”

    “แน่นอน ฉันชอบมัน” ฉันรีบบอก “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้มาเลย”

    แล้วเราสองคนก็ยิ้มไปด้วยกันท่ามกลางทิวทัศน์ของฟ้ากว้างที่เห็นได้จากระเบียง

     

    “ถ้าจำไม่ผิด ร้านนายบักส์น่าจะอยู่ที่หัวมุมนี่เอง”

    ฉันบอกลาโอเรตั้งแต่เวลาสิบเอ็ดนาฬิกาเพื่อเตรียมตัวเดินทางมาพบยูออนตามนัด

    ระหว่างเดินไปฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันช่างๆ คุ้น เหมือนตอนวันมิราจที่ผ่านมาไม่มีผิด ฉันต้องไปพบโอเรในตอนเช้า ยูออนนัดให้มาเจอตอนเที่ยง แล้วช่วงบ่ายก็ต้องไปกับอาน่อน นี่ถ้าหากว่าฉันแยกร่างได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องมาวิ่งวุ่นอะไรแบบนี้

    พอมาถึงร้านกาแฟนายบักส์ ฉันก็บอกว่ามีเด็กหนุ่มผู้นิยมแต่งตัวด้วยชุดโทนสีน้ำเงินมายืนรอฉันอยู่ก่อนแล้ว

    “ยูออน!” ฉันโบกมือทักเขา

    “เธอมาเร็ว” เขาว่า

    “นายก็เหมือนกัน”

    จากนั้นเราก็ย้ายเข้าไปนั่งในร้าน

    “วันนี้เป็นวันเกิดเธอ ดังนั้นเธอจะสั่งอะไรมากินก็ได้ตามต้องการ” ยูออนบอกหลังจากที่พนักงานเอาเมนูมาให้

    “นายแน่ใจนะ ถ้าหากว่าฉันสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่แพงที่สุดในร้านล่ะ” ฉันแหย่ถาม

    “เชิญเลย” เขาตอบอย่างสบายๆ

    “งั้นฉันไม่เกรงใจล่ะนะ” ฉันยิ้มกริ่มเต็มที่ขณะกวาดสายตาดูรายการของที่สั่งได้ “ไหนดูสิ...”

    ที่นี่เป็นร้านกาแฟ ของที่ขึ้นชื่อจึงหนีไม่พ้นกาแฟ อาหารอย่างอื่นก็มีให้เลือกไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นขนมที่ไว้กินคู่กับกาแฟเสียมากกว่า

    ถึงจะพูดไปว่าไม่เกรงใจ แต่ฉันก็ยังไม่ค่อยรู้สึกหิวนัก จึงว่าจะสั่งแค่เครื่องดื่มมาก่อน

    “นายอยากดื่มอะไรล่ะ ฉันจะสั่งให้”

    พอเลือกของที่จะสั่งได้แล้วฉันก็ถามเขาบ้าง ยูออนวางเมนูลงไว้ข้างตัวเฉยๆ ไม่ได้เปิดดูเลย

    “ฉันขอชาเขียวปั่นก็แล้วกัน”

    “ได้” ฉันรับแล้วหันไปบอกกับพนักงานว่า “ขอกาแฟดำแล้วก็ชาเขียวปั่นค่ะ”

    “กรุณารอสักครู่นะครับ” พนักงานเสิร์ฟจดรายการแล้วเดินจากไป

    “เธอสั่งกาแฟดำไปเหรอ” ยูออนถาม

    “ใช่ กาแฟดำที่นี่รสชาติดีมากเลยนะ” นึกถึงครั้งสุดท้ายที่ได้ดื่มกาแฟดำของที่นี่ก็ทำให้ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้

    หลังฟังคำพูดนั้นจบยูออนก็มองฉันอย่างครุ่นคิดเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร

    “ขอโทษที่ทำให้รอนะครับ นี่ของที่คุณสั่ง” พนักชายเสิร์ฟวางแก้วกระดาษมีฝาปิดและหลอดเจาะเรียบร้อยสองแก้วลงบนโต๊ะ “ชาเขียวปั่นและกาแฟดำ”

    ยูออนดูแก้วตรงหน้าเขาแล้วบอก

    “คอยเดี๋ยวก่อน กลิ่นนี้มันกาแฟดำนี่”

    “โอ้ นั่นของฉันเอง” ฉันว่า

    “โอ้ ผมขอโทษด้วย” พนักงานเสิร์ฟพูด “ผมนึกว่าจะมีแต่หนุ่มมาดเข้มอย่างคุณเท่านั้นที่จะดื่มกาแฟดำ”

    ยูออนตีหน้านิ่งตายสนิท...

    ฉันพยายามอย่างมากที่จะไม่หลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น แต่แน่นอนว่าอาการของฉันย่อมไม่สามารถหลุดลอดออกไปจากสายตาของเขา

    “มีอะไรน่าขำนักหนา” ยูออนถาม

    “ลองสักหน่อยน่า ดื่มกาแฟดำนั่นไป” ฉันชักชวน

    “พูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว รสนิยมของแต่ละคนไม่เกี่ยวอะไรกับเพศ” เด็กหนุ่มพริ้มตากล่าวคำบรรยาย “ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่มีกฎหมายระบุว่าผู้ชายต้องดื่มกาแฟดำด้วย”

    แล้วคราวนี้ฉันก็หัวเราะออกมาจริงๆ

    “หยุดหัวเราะได้แล้ว!

    ฉันค่อยๆ แสร้งทำเป็นไอกลบเกลื่อนจนเสียงหัวเราะหมดไป

    “นายก็รู้... ฉันชอบคิดว่านายดูสงบและเยือกเย็น... แต่ฉันไม่แน่ใจแล้วว่าฉันยังคิดอย่างนั้นในตอนนี้” ฉันบอกยิ้มๆ

    “แล้วนั่นมันเป็นเรื่องแย่หรือไง”

    “เปล่าหรอก ฉันชอบแบบนี้มากกว่า”

    ยูออนที่ดูหลุดๆ นี่แหละตลกดี... ฉันคิดอย่างนั้นแต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป

    เมื่อฉันและยูออนจัดการเครื่องดื่มของแต่ละคนกันหมด ฉันก็รู้สึกอิ่มท้องแล้ว เลยบอกขอบคุณยูออนที่เลี้ยงแล้วให้เขาไปจ่ายเงินได้

    “เธอไม่ค่อยได้สั่งเท่าไหร่เลย เธอแน่ใจหรือว่าพอแล้ว” คนอาสาจะเลี้ยงยังไม่ยอมลุกไปชำระเงิน

    “แน่ใจสิ”

    “แต่วันนี้เป็นวันเกิดเธอนะ เธอสามารถสั่งได้มากกว่านี้ เธอควรสั่งชีสเค้ก โดนัท ฟรุตสลัด มัฟฟิน พาร์เฟต์ พาย พุดดิง และแซนด์วิช”

    ฉันฟังรายการของหวานที่เขากล่าวมาแล้วกะพริบตาปริบๆ

    “ยูออน ฉันรู้ว่านายจ้างฉันมาเพราะความสามารถของฉัน และฉันอาจต่างจากคนทั่วไป แต่...กระเพาะฉันก็มีขนาดเท่ากระเพาะคนธรรมดานะ”

    “ยะ...อย่างนั้นหรือ” ยูออนดูมีอาการอายๆ อยู่เล็กน้อย

    “แต่ถ้านายอยากกินพวกนั้น นายก็สั่งมาได้นะ”

    เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ

    “ฉันแค่อยากนั่งตรงนี้ต่ออีกพัก” เขาบอก

    “อ้อ นั่งต่อก็ได้ไม่เป็นไร วันนี้คนดูไม่ค่อยเยอะ เราคงไม่ได้แย่งที่ใครหรอก”

    พูดจบก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง จนฉันคิดว่าควรลองชวนคุยเรื่องอื่น

    “นายรู้สึกไหมว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน นี่ก็ครบสามสัปดาห์แล้วที่ฉันมาอยู่ที่สถาบันเซ็น”

    “เธอชอบที่นี่ไหม” เมื่อถามเสร็จ เขาก็รีบพูดต่อว่า “ขอโทษ นั่นคงเป็นคำถามที่ไม่เหมาะเท่าไหร่ ฉันให้เธอมาเห็นคดีฆาตกรรม แล้วเธอก็หมดสติไปด้วยเมื่อวานนี้ มันคงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี”

    “ก็ถูกของนายนะ” เรื่องนี้ฉันต้องยอมรับ “มีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา แต่ฉันก็ไม่เสียใจ ถ้าฉันไม่ได้มาที่นี่ ฉันคงไม่ได้รู้หลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่าฉันยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันกำลังเข้าใจมันมากขึ้น ดังนั้นฉันก็ต้องขอบคุณนายจริงๆ ที่ชวนฉันมา”

    “...ฉันไม่ได้ทำอะไรที่คู่ควรกับคำขอบคุณของเธอเลย” ยูออนพูดแล้วค่อยๆ หลบสายตามองต่ำ “ที่จริงแล้ว ฉัน...”

    ฉันส่งสายตาสงสัยรอคอยให้เขาพูดต่อ

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

    เด็กหนุ่มแก้ จากนั้นเขาก็หันไปหยิบอะไรบางอย่างออกจากถุงกระดาษที่เขาถือติดตัวมาด้วย

    “เอานี่ไป”

    ยูออนยื่นก้อนสีเขียวเหลืองใบหนึ่งข้ามโต๊ะมาให้ฉัน

    ฉันยื่นมือไปรับอย่างงงๆ

    “นั่นคือของขวัญวันเกิดของเธอ” เขาบอก

    “ขอโทษนะที่ถาม แต่ว่า...นี่คืออะไร” ฉันหมุนของในมือไปมาเพื่อสำรวจดู มันมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบาเหมือนตุ๊กตายัดนุ่น “มันดูเหมือนมิสเตอร์พัฟฟี่อยู่บ้าง...”

    “นั่นก็เพราะมันคือมิสเตอร์พัฟฟี่...” ยูออนอธิบายอย่างรวดเร็ว “ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า มันคือหมอนอิงรูปมิสเตอร์พัฟฟี่ เป็นคอลเล็กชันพิเศษที่ขายเพียงจำนวนจำกัดเท่านั้น”

    “ฉะ...ฉันเข้าใจละ” ฉันรับอึ้งๆ ดูเหมือนยูออนจะเห็นว่านี่เป็นของสำคัญมาก “แต่ว่าทำไมนายถึงเลือกสิ่งนี้มาให้ฉันล่ะ”

    “ฉันใช้เวลาตั้งหลายวันเพื่อที่จะหาของสุดจะหายากชิ้นนี้มา ถ้าเธอไม่ชอบ ฉันเอามันคืนก็ได้ ฉันก็อยากได้มันเหมือนกัน”

    เขาเชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อยขณะพูด ฉันสังเกตเห็นว่าเขาหน้าแดงนิดหน่อยด้วย ดูท่าเขาจะชอบมิสเตอร์พัฟฟี่มากจริงๆ

    ระหว่างที่ฉันมัวแต่สังเกตสีหน้าของเขาอยู่นั้น ยูออนก็เอื้อมมือมาหยิบมิสเตอร์พัฟฟี่ที่ฉันจับไว้หลวมๆ ไปจากมือฉัน

    “...ฉันไม่ได้พูดสักหน่อยว่าฉันไม่ชอบมัน! ฉันคิดว่านั่นเป็นของขวัญของฉัน! เอาคืนมานะ!” ฉันรีบแย่งของขวัญของฉันกลับมา

    “ดูแลมันให้ดีละ” เขายอมส่งมันให้ในท้ายที่สุด

    “รับรองได้เลย” ฉันยิ้มรับ แล้วบอกเสริมด้วยว่า “มันนานมากที่ฉันไม่ได้ของขวัญอย่างเป็นทางการเช่นนี้ ของขวัญชิ้นนี้ทำให้ฉันดีใจมากเลย ขอบคุณนะ”

    “ไม่เป็นไร” ยูออนพูดเสียงเย็น แต่หน้าเขาดูไม่ได้เย็นไปด้วยนัก ท่าทางจะยังอายที่มาแย่งมิสเตอร์พัฟฟี่ไปจากฉันเมื่อครู่

    “ได้ยินว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณผู้หญิงใช่ไหมครับ” พนักงานเสิร์ฟคนเดิมถามขึ้น ในมือของเขาถือถาดใส่คัพเค้กปักเทียนแท่งเล็กเล่มหนึ่งมาด้วย

    “เอ๊ะ เอ่อ... ใช่ค่ะ”

    “ยินดีด้วยนะครับ ช่วงนี้เป็นบริการพิเศษของร้านเรา เราจะแถมคัพเค้กสุดพิเศษให้คนที่มากินที่นี่ในวันเกิดของเขา” ว่าแล้วเขาก็วางเค้กลงตรงกลางโต๊ะ “เดี๋ยวผมจุดเทียนให้เลยนะครับ”

    ฉันมองไปทางยูออน เห็นเขาพยักหน้าอนุญาต ฉันก็เลยบอกอนุญาตต่อกับพนักงานคนนั้นไป

    เทียนสว่างวูบอยู่กลางเค้กชิ้นเล็กดูแล้วมีขนาดกะทัดรัดพอดีกัน

    “อธิษฐานแล้วเป่าเทียนสิ” ยูออนบอก

    ฉันหลับตาลงแล้วอธิษฐานในใจ จากนั้นก็เป่าเทียน

    “เธอขออะไร” เขาถาม

    “เดี๋ยวมันก็ไม่ได้ผลสิถ้าฉันบอกนาย” ฉันว่า

    “...อ้อ”

    ฉันยิ้มให้เขาพลางแบ่งคัพเค้กวันเกิดของฉันให้ครึ่งหนึ่ง

    บางทีมันอาจจะเป็นไปไม่ได้...

    แต่ฉันหวังว่า...

    ฉันหวังว่าฉันจะเห็นรอยยิ้มที่แท้จริงของยูออนสักวันหนึ่ง

    ...

    “ฉันจะไม่ลืมวันนี้เลย” ฉันพูดหลังที่พวกเรากินเค้กเสร็จ ชำระเงินเรียบร้อย แล้วออกมาจากร้านแล้ว “ไว้มาที่นี่กันใหม่อีกแล้วกัน”

    “ได้แน่นอน” ยูออนตอบ

    ดูเหมือนการที่พนักงานคนนั้นเอาเค้กมาให้ฉันจะชดเชยเรื่องที่เขาเคยเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ผิดได้

    เด็กหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือแล้วถามขึ้นว่า

    “เกือบสามโมงแล้ว เธอนัดเพื่อนที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

    “ไม่ต้องหรอก ฉันไปเองได้ จุดนัดพบก็อยู่แถวๆ นี้เอง”

    จริงๆ อาน่อนบอกเอาไว้แค่ว่า ใกล้ๆ ร้านกาแฟนายบักส์ เท่านั้น ซึ่งจากจุดที่เรายืนอยู่กันนี่ก็ถือว่าใกล้มากแล้ว ดังนั้นก็ถือว่ายูออนมาส่งฉันเรียบร้อยแล้วล่ะนะ

    “อย่างนั้นฉันจะรอจนกว่าเพื่อนเธอจะมาก็แล้วกัน”

    “นายไม่มีอะไรที่ต้องรีบกลับไปทำเหรอ”

    “ก็ไม่มีเป็นพิเศษ”

    “งั้นเหรอ ฉันนึกว่านายงานยุ่งเกือบตลอดเสียอีก เอาเถอะ ถ้าอยากรอเป็นเพื่อนก็รออยู่ตรงนี้แหละ”

    ทั้งฉันและยูออนต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งยูออนถามขึ้นว่า

    “ฉันขอถามหน่อยได้ไหมว่าเพื่อนของเธอคือใคร”

    “ก็เป็นคนที่ฉันเคยไปขอความช่วยเหลือน่ะ”

    “ดูเหมือนเธอไม่ค่อยอยากให้ฉันเจอเพื่อนคนนี้ของเธอเลย” ยูออนตั้งข้อสังเกต

    “ก็ไม่ใช่อะไร เป็นเพราะว่าฉันนึกภาพนายกับเขาเจอกันแล้วจะเป็นยังไงไม่ออก”

    ที่พูดไปนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง ส่วนอีกผลหนึ่งที่หนักหนายิ่งกว่าที่ฉันอยากบอกไปก็คือ ฉันเคยขอให้อาน่อนสืบเรื่องของยูออน ดังนั้นถ้ามาเจอกันตอนนี้อาจทำให้เข้าใจผิด และต้องอธิบายกันยาวได้

    เขาอย่างนั้นเหรอ...” ยูออนพึมพำเบาๆ แต่บังเอิญว่าฉันอยู่ใกล้จนได้ยินเข้า

    “ใช่ เพื่อนฉันเป็นผู้ชาย” ฉันยืนยันเต็มเสียง “จะมีเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอ” ทีเขายังว่าเรื่องเพศไม่เกี่ยวกับรสนิยมเลย

    “ฉันแค่เข้าใจว่าเพื่อนที่เธอบอกเป็นผู้หญิงมาตลอด” เขาบอก “ยังไงถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายก็อยากเตือนให้เธอระวังตัวมากกว่าเดิม”

    “อืม...” ฉันรับเบาๆ ...กับนายอาน่อนนี่ฉันควรจะระวังตัวให้มากจริงๆ

    “ยูออน ที่จริงนายดูใส่ใจคนอื่นมากกว่าที่เห็นภายนอกนะ” ฉันกล่าว “แต่คนส่วนใหญ่คงไม่รู้ได้จากคำพูดของนาย”

    เห็นเขานิ่งเงียบไม่ตอบคำ ฉันเลยพูดต่อ

    “แต่เป็นแบบนี้ไปก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันมั่นใจว่าสักวันหนึ่งนายจะเจอใครบางคนที่จะยอมรับนายในแบบที่นายเป็น”

    “เธอเป็นไง”

    “ฮะ?” ฉันฟังไม่ค่อยถนัดนัก เขากำลังถามฉันว่า แล้วผู้ชายที่ฉันชอบเป็นแบบไหน อย่างนั้นหรือ

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” ยูออนดูเหมือนจะรีบกลับคำ

    แล้วฉันก็เห็นร่างสูงในแจ็กเกตเขียวเดินเข้ามาในกรอบการมองเห็นของฉันพลางโบกมือให้

    “ทางนี้! ทางนี้!” อาน่อนตะโกนเรียกฉัน

    “นู่นไง เพื่อนฉันมาแล้ว” ฉันชี้ไปที่อาน่อนให้ยูออนดู “ฉันไปก่อนนะ”

    ว่าแล้วก็โบกมือลาแล้ววิ่งออกไป

    “อะ...อื้ม”

    เมื่อไปถึงจุดที่อาน่อนยืนอยู่ ฉันก็รีบถาม

    “ฉันมาแล้ว ดังนั้นสารภาพออกมาได้แล้วว่า ทำไมนายถึงชวนฉันออกมาวันนี้”

    “ฉันไม่ได้บอกไปแล้วเมื่อวันก่อนหรือไง” เขาทำหน้าเครียดจากนั้นก็เปลี่ยนมายิ้มแฉ่ง “นี่คือการเดตอยู่แล้ว!

    ฉันได้แต่ลอบถอนหายใจ

    “เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่นายดูเหมือนจะมีจุดประสงค์อื่นซ่อนอยู่ด้วย ถ้ามันไม่สำคัญ ฉันจะกลับบ้านละ”

    “เฮ่ อย่ารีบร้อนนักสิ!” อีกฝ่ายรีบห้าม “วันนี้เป็นวันเกิดของเธอไม่ใช่เหรอ”

    “นายรู้ได้ไง” ฉันตกใจนะนี่ที่เขาก็รู้ด้วย

    “ฉันเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับเธอ จำได้ไหม”

    “จริงด้วย นายเคยทำเรื่องอย่างนั้น” พอมีคนเตือนแล้วก็นึกได้ทันที “ฉันเกือบลืมไปแล้วว่านายเป็นบุคคลอันตรายที่สุดที่มีข้อมูลของฉันอยู่”

    “ขอบคุณที่ชม” อาน่อนโค้งรับอย่างโออ่า

    “นั่นไม่ใช่คำชมสักหน่อย” ฉันเถียงแล้วทำหน้ามุ่ย

    จากนั้นอาน่อนก็กล่อมให้ฉันใจเย็น ด้วยการชวนให้ฉันเลือกเข้าร้านอะไรก็ได้แต่อยากกิน เดี๋ยวเขาเลี้ยงเอง จริงอยู่ที่ย่านนี้ก็มีร้านน่ากินอยู่หลายร้านแต่เนื่องจากฉันเพิ่งกินกับยูออนมา เลยได้แต่ปฏิเสธและบอกเหตุผลไปตามตรง

    “แสดงว่าเธอไปกินกับยูออนมาเรียบร้อยแล้วสินะ”

    “ใช่ เขาบอกว่าจะเลี้ยงเป็นการชดเชยและฉลองวันเกิดฉันไปในตัวน่ะ”

    “ชดเชยเรื่องอะไร”

    “เรื่องที่เขาคิดไปเองว่าเขาทำฉันลำบาก”

    “อ้อ แปลว่าเขาขอคืนดีกับเธอแล้ว”

    “ก็ไม่เชิง เขาไม่รู้นี่ว่าฉันไม่ได้ไว้ใจเขาเต็มที่ แล้วฉันก็ยังรู้สึกว่าเขายังมีเรื่องที่ปิดฉันอยู่ แต่ยังไงมุมมองของฉันที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นนะ”

    พูดไปจนจบฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าฉันจะมาเปิดเผยว่าคิดยังไงกับยูออนให้อาน่อนฟังทำไมนี่ ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากบอกอาน่อนตามจริงขึ้นมาเมื่อเขาชวนคุยเรื่อยๆ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

    “งั้นที่เธอถืออยู่นั่นก็เป็นของขวัญวันเกิดที่เขาให้เธองั้นสิ”

    ฉันมองไปที่ถุงใส่หมอนมิสเตอร์พัฟฟี่ในมือตามที่อาน่อนชี้มา

    “อื้ม” อย่างไรบอกไปขนาดนี้ไป บอกเรื่องนี้ไปด้วยก็คงไม่มีปัญหา

    “ฉันช่วยถือให้นะ”

    “ไม่เป็น...”

    ยังไม่พูดได้จบประโยค มือของอาน่อนก็มาจับมือฉันที่ถือถุงอยู่ แล้วค่อยๆ แกะออกไปอย่างเบามือ

    “กรุณาให้เกียรติสุภาพบุรุษได้ทำหน้าที่หน่อยเถอะครับคุณผู้หญิง” เขาพูดยิ้ม

    “นายเป็นสุภาพบุรุษที่ตรงไหนกัน” ฉันแย้งเสียงดัง “แต่ก็... ขอบใจนะ”

    ไหนๆ ถุงนั่นก็ไปอยู่ในมือของเขาแล้ว คงเปล่าประโยชน์ที่จะไปแย่งคืนมา

    “ถึงเธอจะกินมาแล้วก็เถอะ แต่ฉันยังไม่ได้กินอะไรมาเลยนะ” อาน่อนเปลี่ยนเรื่องพูดพลางกวาดตามองร้านอาหารรอบๆ บริเวณ “ช่วยเลือกให้หน่อยสิว่ากินไรดี”

    “นายชอบอะไรล่ะ” ฉันถาม

    อาน่อนบอกรายการของประหลาดๆ ที่เขาเอานำยำรวมกันเป็นข้าวต้มให้ฉันกินตอนป่วยให้ฉันฟังอีกครั้ง แน่นอนว่าข้าวต้มนั่นฉันไม่มีทางกินแล้ว และแค่นึกถึงก็รู้สึกสยองกับรสนิยมของนายคนนี้แล้ว

    ฟังจากที่เขาพูดมา ฉันก็สรุปว่าให้เขาไปซื้อชาเขียวปั่นของร้านนายบักส์มาลองกินดู ถ้ายูออนชอบมัน อาน่อนก็น่าจะชอบด้วย แต่ก็แปลก ทำไมฉันถึงได้โยงความชอบของสองคนนี่เข้าด้วยกันได้

    “เป็นไงบ้าง” ฉันถามถึงรสชาติของเครื่องดื่มที่เขาถือเดินไปด้วยระหว่างเที่ยวชมร้านต่างๆ ในย่านนี้

    “ก็พอใช้ได้นะ ฉันคิดว่า”

    คิดว่างั้นหรือ”

    “พอว่าฉันเป็นพวกที่ทนทานต่ออาหารทุกชนิด กินได้แม้แต่ของแย่ๆ น่ะ ประสาทรับรสเลยอาจไม่ดีนัก”

    ถ้าเขากินข้าวต้มที่เขาเคยทำให้ฉันกินลงไปได้ ฉันก็เห็นจะจริงตามที่เขาพูด แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า

    “ไม่มีของที่ไม่ชอบ แพ้ หรือต้องเลี่ยงเลยหรือ”

    “ฉันกินได้ทุกอย่างแหละ มันดีกว่าอดอยากเป็นไหนๆ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนเล่าต่อ “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันเคยอยู่ในคาราวานพ่อค้า ไม่ใช่ว่าพวกเราจะมีอาหารเพียงพอให้กินทุกคนกันตลอดหรอกนะ”

    ฟังดูชีวิตของเขาคงผ่านความลำบากมาเยอะเหมือนกัน แม้ฉันจะเป็นเด็กกำพร้าก็ยังดูจะเทียบกับเขาไม่ได้ และในตอนนี้ฉันก็มีผู้ปกครองดูแลแล้วด้วย

    “ยังไงก็ตาม นั่นเป็นเพียงอดีต ตอนนี้ฉันแข็งแรงฟิตปั๋งเต็มที่” อาน่อนบอกด้วยรอยยิ้มพร้อมทำท่าเบ่งกล้ามประกอบ

    “และก็ลามกด้วย” ฉันช่วยเสริมให้

    เด็กหนุ่มฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ อย่างไม่ถือสาอะไร

    อาน่อนซื้อขนมจากร้านข้างทางมากิน แล้วก็แบ่งฉันด้วยนิดหน่อย เมื่อกินเสร็จแล้วก็บอกว่า

    “เอาละ จานเรียกน้ำย่อยเสร็จเรียบร้อย ทีนี้เราก็จะไปต่อกันที่จานหลัก”

    “ฮะ? ยังมีอีกเหรอ” หลงนึกว่าแค่เดินเป็นเพื่อนนายนี่จนกว่าจะกินเสร็จก็จบหมดแล้วเสียอีก

    “แน่นอน” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มยิงฟัน “ฉันจะทำให้เธอลืมวันเกิดนี้ไม่ลงเลย”

    “แล้วเราจะไปที่ไหนกันล่ะ” ฉันถามเมื่อเขาพาฉันมาขึ้นรถเมล์

    “เดี๋ยวเธอก็เห็นเอง” เขาบอกแล้วจูงมือฉันก้าวขึ้นรถไปด้วย

    แม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์ชวนฉันล่วงหน้าตั้งสองวันเพื่อมาฉลองวันเกิดให้ฉันทั้งที ดังนั้นฉันจะลองไปดูหน่อยแล้วกันว่า วันเกิดที่ลืมไม่ลงที่ว่านั่นจะเป็นอย่างไร

     

    “ที่นี่เป็นไง สวยไหม” อาน่อนถามความคิดเห็นจากฉัน

    ปลายทางของรถเมล์ที่อาน่อนพาฉันขึ้นคือชายทะเลแห่งหนึ่งซึ่งมีทิวทัศน์ที่จัดได้ว่างดงามมาก หาดทรายขาวโอบทะเลเป็นแนวโค้งที่สวยงาม

    เมฆบนฟ้าเรียงตัวกันเป็นรูปร่างไม่ต่างจากมิสเตอร์พัฟฟี่ ถ้ายูออนหรือโอเรมาเห็นคงต้องปริปากชมแน่นอน

    เมื่อมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาเย็นพอดี อีกไม่นานก็คงได้เห็นพระอาทิตย์อัสดง แล้วฉันก็ชอบช่วงเวลานั้นมาก

    แต่ถึงจะประทับใจอย่างไร ฉันก็ไม่อยากเอ่ยปากบอกอาน่อนตรงๆ อยู่ดี จึงเลือกตอบไปว่า

    “...ฉันไม่รู้ว่าคนอย่างนายมีประสาทรับรู้ด้านสุนทรียภาพด้วย”

    “แน่นอน ฉันรู้จักชื่นชมความงามของเธออยู่ตลอดเวลา”

    “เงียบไปเลย” ฉันสั่ง

    “มันเป็นคำชมนะ เธอน่าจะยินดีสิ” เขาว่า

    ฉันหยุดพูดไปพักเพื่อมองดวงตะวันที่กำลังลับฟ้าลงสู่ทะเล

    “ดังนั้น สำหรับจานหลักของเรา...” เสียงอาน่อนดังขึ้นที่ด้านข้าง “ก็คือของขวัญวันเกิดของเธอ”

    เขาส่งของสิ่งหนึ่งมาให้ฉัน

    “อ...อ...อะ...อะ...อะไรนี่!!

    ฉันตกใจจนแทบเขวี้ยงสิ่งนั้นทิ้งราวกับว่ามันเป็นงู ดีที่ยังยั้งตัวเองไว้ได้ทัน

    “มันคือชุดชั้นในสีดำไง” อาน่อนต้องด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก

    ปึก!

    ฉันศอกใส่เขาไปเป็นการลงโทษ

    “คนลามก!! เอามันไปไกลๆ จากฉันเลย!!” ว่าพลางยัดเยียดสิ่งที่เขาให้มาคืนไป “นั่นมันน่าสยองและน่ารังเกียจมาก! นายคิดอะไรของนาย!

    “ฮะ ฉันคิดว่าคนส่วนใหญ่จะดีใจเสียอีกที่ได้ของขวัญ” เขาพูดด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์มาก

    “มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของขวัญด้วยอยู่แล้ว! ไม่มีอะไรที่น่ายินดีที่ได้ชุดชั้นในมาเป็นของขวัญวันเกิด!

    “อย่างนั้นหรอกเหรอ” อาน่อนมีสีหน้าสำนึกผิด “ฉันไม่รู้นี่ ฉันไม่เคยให้ลองขวัญใครมาก่อน”

    “นายไม่มีสามัญสำนึกอย่างคนธรรมดาบ้างเลยหรือไงหา”

    “ฉันคิดว่าเธอชอบสีดำ แล้วฉันก็อยากให้อะไรที่เธอสามารถใช้ได้ตลอดเวลา” เขาดูเหมือนไม่รู้เรื่องจริงๆ ว่าทำผิดพลาดไปที่ตรงไหน

    แต่ฉันก็ยังไม่เลิกโวยวาย

    “แล้วนั่นนำมาถึงชุดชั้นในได้ยังไง”

    แค่นึกภาพเขาเข้าไปซื้อชุดชั้นในผู้หญิงเพียงลำพังเพื่อนำมาเป็นของขวัญให้ฉัน ฉันก็แทบจินตนาการไม่ออกแล้วว่าเขาต้องใจกล้า หน้าด้านไร้ยางอาย ปิดกั้นการรับรู้ถึงมุมมองของคนอื่นที่มีต่อตัวเอง หรือขาดสามัญสำนึกของปรกติชนมากเพียงไร

    คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

    วันนี้กลายเป็นวันเกิดที่ลืมไม่ลงจริงๆ ...

    ซ่า~!

    น้ำทะเลที่เต็มไปด้วยกลิ่นเกลือกระทบใส่หน้าฉัน

    “...”

    ลืมตาขึ้นมากะพริบตาปริบๆ ก็เห็นว่าคงหนีไม่พ้นอาน่อนที่เป็นตัวการกวักน้ำมาแน่นอน

    “นายทำอะไร”

    “ฉันไม่อยากเห็นเธอเศร้า” เขาบอกยิ้มๆ

    “แล้วมันเป็นความผิดของใครกันเล่า” ฉันโกรธขึ้นมาทันที “ห้ามหนีนะ”

    ซ่า~!

    ขณะที่วิ่งเข้าไปใกล้ตัวการก่อเรื่องทั้งหมดฉันก็โดนสาดน้ำใส่อีกครั้ง น้ำทะเลทั้งทำให้ฉันเดือดและเย็นลงในเวลาเดียวกัน

    ฉันถอดถุงเท้าและรองเท้าระหว่างที่วิ่งไล่เขาข้ามหาดทราย

    ทะเลเงียบสงบ และสายลมก็พัดผ่านอย่างอ่อนละมุน

    ฉันสัมผัสได้ถึงน้ำที่เต้นอยู่รอบๆ เท้าของฉันเมื่อฉันย่ำเข้าไปในเขตแดนของมัน

    ความโกรธของฉันค่อยๆ กลายเป็นเสียงหัวเราะ

    มันแปลกเหลือเกิน... แต่ก็วิเศษมากด้วย...


     

     

    ราตรีนี้ประดับไปด้วยดวงดาราสุกสกาวพราวนภา

    เมื่อลงมาจากรถเมล์ที่มาส่งถึงป้ายในเมือง สายตาของฉันก็ถูกสะกดไว้ด้วยมนตร์มายาจากท้องฟ้าสีน้ำเงินแสนสวยเกินบรรยายที่เบื้องบน

    “เอาละ ถึงเวลาสำหรับของหวานแล้ว” เสียงอาน่อนเรียกฉันให้กลับมามองเขา

    “นี่มันก็ดึกแล้ว ฉันว่าเราพอเท่านี้ก่อนดีกว่า” ฉันบอก

    “ไม่ได้ ไม่มีเวลาไหนดีเท่าคืนนี้” เขาว่า “โรงแรมม่าน...”

    ปึ้ก!

    คงไม่ต้องบอกว่าอาน่อนโดนเล่นงานอย่างไร

    ...ทำไมนายไม่เลิกพูดไร้สาระเสียที” ฉันปัดมือทำความสะอาดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากตัวเขา “นายก็น่าจะรู้นี่นาว่านายไม่ได้แย่เท่าไหร่เวลาที่นายไม่เปิดปากโง่ๆ นั่น”

    “นี่เธอเพิ่งชมฉันหรือ” เด็กหนุ่มยังคงคิดเข้าข้างตัวเองได้

    “เปล่า ฉันเพิ่งให้คำแนะนำในฐานะเพื่อน” ฉันขึ้นเสียงเถียงกลับ

    “แต่มันก็ถือว่าเป็นคำชม ไม่ใช่เหรอ”

    “นายฟังฉันอยู่หรือเปล่านี่”

    อาน่อนยิ้มและหัวเราะเบาๆ อย่างที่เขาชอบทำ

    “โอ้ ดูนั่นสิ!” พริบตานั้นเขาก็ชี้ขึ้นไปบนฟ้า “ดาวตกแน่ะ! มาอธิษฐานกันดีกว่า!

    ฉันมองประกายหางสีขาวสายหนึ่งวาดพาดผ่านฟ้าครามพลางตั้งจิตขอพรเงียบๆ

    “เธออธิษฐานขออะไร” อาน่อนถามเมื่อดาวหางลับสายตาไป

    “ฉันไม่บอกคนลามกหรอกย่ะ” ฉันว่า แล้วออกเดิน

    “โอ้ ไม่เอาน่า” คนถามรีบตามฉันมา “บอกหน่อย!

    ฉันหัวเราะคิกคัก แล้วพูดย้ำคำเดิม

    “ฉันไม่บอกนายหรอก”

    ฉันอธิษฐาน...ให้ความสุขนี้ดำเนินต่อไปตราบนานเท่านาน

     

    เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า

    ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันออกไปข้างนอกจากดึกป่านนี้...

    รู้สึกว่าไม่ได้สนุกขนาดนี้มานานแล้วเช่นกัน

    ฉันวางถุงใส่ของลงที่พื้น ถอดรองเท้าไปพลางหยิบกุญแจออกมา ทว่าก่อนที่จะได้ไขประตูบ้านเข้าไป สายตาฉันก็ไปสะดุดกับขอบของซองกระดาษที่โผล่ออกมาจากตู้รับที่ข้างประตูเสียก่อน

    “จดหมายงั้นเหรอ” ฉันหยิบซองนั้นมาดู “จากใครกันนะ”

    เข้าไปในบ้าน เก็บของให้เรียบร้อย เปิดไฟแล้วจึงค่อยเห็นว่าที่หน้าซองจ่าชื่อคนส่งไว้ว่า

    “มิสอาเซีย! เป็นไปไม่ได้น่า!

    ตราประทับที่ลงไว้เป็นวันที่ 17 พฤศจิกายน นั่นก็คือเมื่อสามวันก่อน

    “เกิดอะไรขึ้นกันนี่”

    แล้วฉันก็ค่อยๆ แกะจดหมายออกมาอ่าน

     

    ถึง เอสซึ่...

    เธออาจจะสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้รับจดหมายจากฉันเอาในตอนนี้ ฉันบอกญาติของฉันไว้ว่าให้ช่วยส่งจดหมายนี่ให้เธอหากเกิดอะไรขึ้นกับฉัน

    ใช่แล้ว เอสซี่ ถ้าเธอกำลังอ่านอยู่ ก็แปลว่าฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

    หลังจากที่ได้คุยกับเธอเมื่อในวันนี้ ฉันก็รู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องทำบางอย่างเพื่อแก้ไขความผิดของฉัน...แม้ว่ามันจะเป็นอะไรเพียงเล็กน้อยที่ฉันสามารถทำได้ก็ตาม บางทีมันอาจสายไปแล้วสำหรับฉันที่จะทำสิ่งนี้ แต่ถ้าไม่ลงมือ ฉันก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป

    ฉันเคยทำผิดไปเมื่อนานมาแล้วโดยการไม่ทำอะไรเลยเพื่อหยุดโศกนาฏกรรมนั้น แล้วมันก็นำมาสู่โศกนาฏกรรมต่อๆ มาในภายหลัง ฉันน่าจะตระหนักได้ตั้งแต่ตอนที่เอ็มม่าตายไป แต่ฉันก็กลัวเหลือเกินว่าอาจมีใครค้นพบทุกอย่างเข้า

    เธอพูดถูก เอสซี่ สิ่งที่ฉันทำมีเพียงแต่หนีเท่านั้น

    ฉันเคยหวังว่าจะหาทางออกเจอ...หนทางชำระบาปของฉัน แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ได้แต่กักขังตัวเองเอาไว้ภายใน

    ฉันขอโทษนะเอสซี่ X-note ที่อยู่ในสร้อยคอเธอนั้นไม่สมบูรณ์

    ตอนที่ฉันรู้ว่าเอ็มม่ากำลังเขียนบันทึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนนั้น ฉันก็ได้ขโมยข้อมูลมา ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะลบมันทิ้ง แต่ฉันก็ไม่ได้ทำเพราะยังเคารพเอ็มม่าอยู่ ฉันเลือกที่จะเอาเนื้อหาส่วนที่สำคัญของมันออกไป... นั่นคือบันทึกในครึ่งหลัง และนำมันไปซ่อนไปที่อื่นแทน

    ฉันเก็บมันไว้ในสร้อยคอเส้นที่เหมือนกันกับที่เจอมาและซ่อนมันไว้ในสถาบันเซ็น

    ตามหามันให้พบถ้าเธออยากรู้ความจริง ...นี่คือทุกอย่างที่ฉันสามารถบอกเธอได้

    อย่าลืมว่าคำตอบนั้นอยู่ใกล้กว่าที่เธอคิดเสมอ

    ขอให้ชีวิตของเธอจงมีแต่ความสุข

     

    “เรื่องเป็นอย่างนี้เอง...” ฉันพึมพำหลังอ่านจดหมายจบ

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเนื้อหาของ X-note นั้นไม่ครบ

    แต่เมื่อคิดว่ามิสอาเซียรู้ว่าเธอกำลังจะตายในตอนที่เขียนจดหมายนี่แล้ว...

    ฉันก็ได้แต่พับจดหมายแล้วเอามาแนบอก

    มิสอาเซีย... เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ...

    ฉันตัดสินใจว่าจะไปค้นให้ทั่วสถาบันเซ็นเพื่อหาคำตอบของเรื่องนี้ ฉันจะหา X-note อีกครึ่งที่เหลือให้เจอจงได้

    แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะลงมือปฏิบัติการพรุ่งนี้แล้วกัน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×