ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 4 แตกหัก -- 4 - แว่นตา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 313
      1
      12 ม.ค. 55

    4 - แว่นตา

    วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน

    ฉันต้องไปพบยูออนวันนี้หลังเลิกเรียน แต่ฉันไม่แน่ใจว่าฉันพร้อมแล้วหรือยัง บางทีฉันน่าจะออกไปสูดอากาศเย็นๆ เพื่อทำใจให้สบายเสียหน่อยก่อน

    “เอสซี่!” โอเรวิ่งมาทักฉันทันที จากนั้นเขาก็...

    Happy birthday to you!

    Happy birthday to you!

    Happy birthday! Happy birthday!

    Happy birthday to you!

    ...ร้องเพลง Happy Birthday ให้ฉัน

    “สุขสันต์วันเกิด เอสซี่!” โอเรบอกพร้อมยิ้มกว้าง

    “เอ่อ... วันนี้เป็นวันที่ 20 พฤศจิฯ ใช่ไหม” ฉันถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

    “ใช่แล้ว” เด็กหนุ่มรับ “วันเกิดของเธอคือวันที่ 20 พฤศจิกายนไม่ใช่เหรอ”

    “เปล่าหรอก มันควรเป็นพรุ่งนี้ต่างหาก... วันที่ 21 น่ะ” ฉันพยายามคลี่ยิ้มบางๆ ให้เขา

    “ฮะ?” โอเรมีสีหน้าสับสนงงงวยเป็นอย่างมาก “นะ...นี่ผมเพิ่งทำผิดไปงั้นเหรอ”

    “ใช่...” ฉันรับเสียงอ่อนๆ

    “...ไม่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมทำพัง! น่าอายเหลือเกิน!” โอเรร้องพลางขยี้หัวตัวเอง

    “ฉันจะถือว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดล่วงหน้าแล้วกัน” ฉันรีบปลอบเขา “นายมีเสียงที่เพราะมากเลย!

    “โอ้ เอสซี่...”

    อย่างน้อยฉันก็ทำให้หลุดเอามือขยี้ผมตัวเองเล่นแล้วเงยหน้ามามองฉันได้

    “ยังไงก็ตาม นายรู้ว่าฉันเกิดวันไหนได้ยังไงเหรอ” ฉันจำได้ว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขา

    “อะ...เอ่อ ผมได้ยินมาจากใครบางคนน่ะ...”

    “อย่างนั้นเหรอ”

    “ชะ...ใช่” เขาบอก “ยังไงก็ตาม ผมจะร้องเพลงวันเกิดที่เหมาะสมให้เธอในวันพรุ่งนี้”

    “แต่ โอเร พรุ่งนี้ไม่มีเรียนนะ มันเป็นสุดสัปดาห์แล้ว”

    “หา...” โอเรอ้าปากกว้าง ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ “ทำไมผมถึงทำพังได้ขนาดนี้ในวันเดียวกันนี่”

    “อย่าห่วงเลย พรุ่งนี้ฉันจะมา” ฉันยิ้มให้เขา “ฉันอยากได้ยินนายร้องเพลงอีก”

    โอเรมองฉันด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วรับปากว่า

    “ผมจะพยายามให้ดีที่สุด!

    ฉันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันค่อนข้างจะแปลกอยู่ แต่ก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ โอเรอาจจะไม่ชอบถ้ามาได้ยินฉันพูดแบบนี้ แต่เขาก็ดูน่ารักเหลือเกินตอนที่ทำอะไรผิดพลาดไปหมด

    อย่างไรก็ตาม หลังได้เจอกับโอเร ฉันรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมามาก จึงเริ่มกล้าไปเผชิญหน้ากับหน้าที่ที่รออยู่

    “เอาละ ฉันทำมันได้น่า”

    ฉันบอกตัวเองพร้อมกระชับกำมือและพับแขนประกอบ จากนั้นก็เปิดประตูห้องทำงานของยูออนเข้าไป

    “ฉันกำลังรอยู่เลย”

    ยูออนเอ่ยทัก ฉันเห็นว่าเขาเตรียมแว่นตาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

    “เธอพร้อมหรือยัง”

    “พร้อมแล้ว” ฉันว่า “ฉันฝึกมาทุกวันเพื่อสิ่งนี้นี่นา ต้องทำได้สิ”

    เด็กหนุ่มส่งแว่นมาให้ฉันถือ ฉันสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยายหนาแน่นที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ ก่อนที่จะแตะมันเสียอีก สิ่งนั้นทำให้ฉันรู้สึกกดดันขึ้นมาเล็กน้อย

    “เธอแน่ใจว่าทำได้” นั่นคือคำพูดให้กำลังจากเขา

    “ยูออน...” ฉันมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วถามว่า “นายจะอยู่ข้างฉันใช่ไหม”

    “แน่นอน” เขารับปาก

    “อย่างนั้นฉันคงไม่มีอะไรต้องห่วง”

    ฉันยิ้มให้เขา แล้วหลับตาลง

    ...

    ท้องฟ้าที่เห็นเป็นสีซีเปียเหมือนภาพสมัยเก่า

    “เฮ่!ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งตะโกนขึ้น แต่ไม่เห็นภาพอีกแล้ว

    “ฮะ” เสียงนี้เป็นเสียงของผู้หญิง ฟังคล้ายเสียงมิสอาเซีย

    “เธอทำแว่นตก” เสียงแรกบอก

    “โอ้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะไม่ระวังขนาดนี้ ขอบคุณค่ะ คุณ...?”

    “ฉันชื่อซิด”

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้คุยกับเขา

    ส่วนสุดท้ายนั้นเหมือนจะเป็นความคิดของเจ้าของความทรงจำ หรือเจ้าของแว่น นั่นก็คือมิสอาเซีย

    แล้วภาพที่เห็นก็เปลี่ยนเป็นร้านกาแฟที่มีบรรยากาศเก่าๆ แห่งหนึ่ง

    “ซิด? แน่นอนว่าฉันรู้จัก เขาเป็นคนที่มีคะแนนสูงสุดในโรงเรียน เธอไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลยหรือ”

    เสียงผู้หญิงพูดขึ้น ฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงนี้อย่างบอกไม่ถูก

    “โอ้... ฉันไม่รู้เลยว่าเขาเหลือเชื่อขนาดนั้น” ครั้งนี้เป็นเสียงมิสอาเซีย

    “หืม...”

    “อะ...อะไร”

    “นี่ใช่อะไรที่เขาเรียกว่า 'รักแรกพบ' หรือเปล่านะ” เสียงผู้หญิงคนแรกถามคล้ายหยอกเล่น

    “มะ...ไม่! ไม่ใช่อย่างนั้น!

    “ถ้างั้นมันคืออะไรกันล่ะ”

    “ความรู้สึกชื่นชม... ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่”

    “เธอแน่ใจนะ”

    “แน่ใจสิ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอย่างนี้ ฉันเคยรู้สึกแบบเดียวกันตอนที่ฉันพบเธอ เอ็มม่า”

    เพราะเหตุนี้เองฉันถึงรู้สึกคุ้นเคย นั่นคือเสียงแม่นี่เอง

    “เธอหมายความว่าไง”

    “มันเป็นความลับน่ะ!

    ภาพที่เห็นกลายเป็นดำ... สลับจากฉากเหตุการณ์จริงมาเป็นความคิดคำนึง

    บางทีตอนนั้นฉันอาจจะเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ แต่แม้จะผ่านมาถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่ดี

    มันคือความรัก?

    ...หรือแค่ความชื่นชมธรรมดาเท่านั้น

    บางทีมันอาจจะเป็นแค่การหลงเสน่ห์ที่ใสซื่อ...เหมือนกับการที่มีใครบางคนที่คุณอยากติดตาม

    ในฐานะเด็กอ้างว้างที่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่ ฉันไม่มีใครให้เอาเป็นแบบอย่างเลย

    บางทีฉันอาจแค่อยากจะเติมเต็มช่องว่างภายในใจของฉันเองก็เท่านั้น

    ...

    ฉันคิดว่านี่น่าจะเป็นชิ้นส่วนความทรงจำของมิสอาเซีย

    ยังมีอีกหลายชิ้นรออยู่ข้างหน้า

    ฉันต้องพยายามต่อไป

    ...

    ฉากกลับมาที่ร้านกาแฟอีกครั้ง แม้จะเป็นที่เดิมแต่ที่นี่ก็มีของตกแต่งและสีสันที่ดูใหม่กว่า และครั้งนี้ฉันเห็นภาพคนด้วย ผู้หญิงสองคนกำลังนั่งคุยกับที่โต๊ะตัวหนึ่ง

    “อาเซีย! แม่หรือเอ็มม่าในวัยสาวเรียกเพื่อนของเธอ

    “ฮะ? มิสอาเซียตอบคล้ายเพิ่งตื่นจากภวังค์

    “บอกฉันมาตามจริง... ทำไมเธอถึงเลือกเรียนจิตวิทยา”

    มิสอาเซียก้มหน้านิ่ง ไม่ยอมตอบ

    “เป็นเพราะฉันกับซิดหรือเปล่า”

    “ฉันปิดอะไรเธอไม่ได้เลยสินะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแสดงความชื่นชมและออกเศร้าๆ

    “ทำไมล่ะ เธอไม่มีความฝันของเธอเองหรือ” แม่พูดเหมือนพยายามจะช่วยด้วยความเป็นห่วง

    “เอ็มม่า ฉันไม่แข็งแกร่งพอที่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงลำพัง ฉันมองหาใครบางคนที่จะช่วยนำทางฉันอยู่เสมอ”

    “แล้ว 'ใครบางคน' นั้นก็คือฉันกับซิด?

    “ใช่”

    “เธอต้องเข้าใจนะ เราไม่ใช่เด็กกันอีกแล้ว เราไม่สามารถอยู่ข้างเธอได้ตลอดชีวิตของเธอ ในท้ายที่สุดเธอก็ต้องเลือกทางของเธอเอง”

    “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจเรื่องนั้นดีกว่าใคร” มิสอาเซียรับเบาๆ

    ทุกอย่างกลับมามืดมิดอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ความคิดของมิสอาเซียดังขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง...

    ฉันไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้

    จนกระทั่งวันนั้น...

    ความคิดนั้นเชื่อมโยงไปยังอีกที่หนึ่ง สถานที่ที่เห็นนั้นคล้ายห้องทดลองวิจัยที่ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดได้ชัดนัก

    “นั่นนายกำลังทำอะไรอยู่” แม่ปรากฏขึ้นมาในฉากนั้น

    “งานวิจัยของเราต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติแน่นอน ที่เหลือก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้น” ซิดโผล่มาอีกคน สีหน้าเขาดูเคร่งเครียด

    “แล้วสิ่งนี้จะช่วยใครได้อย่างไร”

    แม่กวาดมือไปในความว่างเปล่าที่ฉันมองไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากฉากของห้องทดลอง แล้วตะคอกใส่ซิดว่า

    “นายมันบ้าไปแล้ว!

    “ฉันปรกติสมบูรณ์ดี” ซิดบอกเสียงเย็น

    “ไม่ นายไม่ใช่! เอ็มม่าเถียง “นายไม่ใช่ซิดที่ฉันรู้จัก!

    จากนั้นแม่ก็หันไปถามหาความช่วยเหลือจากอีกคน

    “อาเซีย พูดอะไรสักอย่างสิ!

    “ฉะ...ฉัน...” เสียงที่สั่นเทานั้นคือเสียงของมิสอาเซีย

    แล้วทุกอย่างถูกย้อมไปด้วยสีดำ...

    ฉันควรจะเลือกใครดี

    ฉันควรจะตามใคร

    ฉันไม่สามารถเลือกได้

    ไม่! ฉันไม่อยากเลือก

    ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย

    นี่คือ...

    บาปของฉัน

    ภาพเปลี่ยนไปเป็นสถานที่ที่ฉันไม่มีวันลืม นั่นคือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ของสถาบันเซ็น สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม

    “ฉันจะช่วยจบชีวิตที่แสนทุกข์ยากของเธอให้”

    ได้ยินเสียงคนพูดแต่มองไม่เห็นตัวคน

    “ลาก่อน!

    ปัง!!!

    ฉับพลันทันใดนั้นทุกอย่างก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงสด

    ฉันรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่รุนแรงพุ่งผ่านช่วงตัวของฉัน

    ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างประหนึ่งว่าร่างของฉันได้ถูกเจาะทะลุ

    ...

    “เอสซี่!

    ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ

    “เอสซี่!! เกิดอะไรขึ้น”

    แม้ว่าฉันกำลังหมดสติไปทีละน้อย แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ยังสามารถรับรู้ถึงมืออุ่นของเขาที่ประครองฉันไว้อยู่

    ดังนั้นฉันจึงรู้ว่า...

    ฉันจะไม่เป็นไร ฉันจะปลอดภัย


     

    เมื่อได้สติอีกครั้งฉันคิดว่าฉันหลงมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่พอขยี้ตามองไปรอบๆ แล้วเห็นยูออนนั่งอยู่ข้างๆ ฉันก็รู้แล้วว่าฉันอยู่ที่ไหน ที่นี่คือห้องทำงานของยูออนที่เดิมที่ฉันหมดสติไป

    “เธอไม่เป็นไรนะ”

    “คิดว่างั้น...”

    “ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น การอ่านวัตถุทำให้เธอเครียดเกินไปหรือเปล่า”

    “ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นสาเหตุหรอกนะ” ฉันตอบ “ก็จริงที่ฉันไม่สามารถอ่านได้ชัดนักหลังจากจุดจุดหนึ่ง แต่ว่า... สัมผัสนั่น... มันเหมือนกับว่ากระสุนได้พุ่งผ่านตัวฉัน”

    ยูออนดูตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น

    “นั่นคงเป็นวาระสุดท้ายของมิสอาเซีย...” ฉันบอก

    “เธอเห็นหรือเปล่าว่าใครคือฆาตกร”

    “ไม่... ฉันค่อยๆ สูญเสียสัมผัสไปเมื่อฉันอ่านไกลกว่าเดิม” ฉันส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความผิดหวัง “ฉันคงต้องอ่านแว่นตาใหม่อีกครั้งถ้าหากว่าฉันอยากเห็นอะไรชัดเจนกว่านี้”

    “ไม่ต้อง วันนี้พอเท่านี้” เด็กหนุ่มสั่ง “เธอพักได้แล้ว”

    “ฉันทำใหม่ในคราวหลังก็ได้” ฉันอาสา

    “ฉันไม่แน่ใจนักว่าฉันอยากให้เธอประสบกับมันอีกครั้ง”

    น้ำเสียงของเขาเจือความเป็นห่วงจนฉันอดประหลาดใจและยินดีในขณะเดียวกันไม่ได้

    “ยูออน...” ฉันเรียกเขาให้มองฉันตรงๆ พร้อมยิ้มให้ “อย่าห่วงเลย นายอยู่ข้างฉันนี่นา ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะดีเอง”

    “เอสซี่...”

    เสียงเดียวกันที่เคยเรียกตอนที่ฉันกำลังจะหมดสติไปเรียกชื่อฉันอีกครั้ง

    “...พรุ่งนี้เธอว่างหรือเปล่า”

    “ฮะ?” ฉันตามการเปลี่ยนเรื่องกะทันหันของเขาไม่ทัน

    “เธอลืมแล้วหรือ พรุ่งนี้วันเกิดเธอนะ” เด็กหนุ่มเตือน

    “โอ้! ฉันเกือบลืมไปเลย”

    ที่จริง ตอนโอเรมาร้องเพลงให้ฉันฟังฉันก็นึกขึ้นได้แล้ว แต่พอต้องไปผจญในความทรงจำของมิสอาเซียเพียงไม่กี่สิบนาที ฉันก็ลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย

    “ให้ฉันเลี้ยงเธอมื้อหนึ่งแล้วกัน” ยูออนเอ่ยขอ “ฉันอยากชดเชยให้สำหรับสิ่งที่เกิดในวันนี้”

    “นายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก”

    ฉันบอกไปอย่างนั้นก็จริง แต่พอเห็นหน้านิ่งๆ ที่ดูค่อนข้างจะผิดหวังของเขาแล้วฉันก็ต้องรีบเสริม

    “แต่ฉันไม่ว่าอะไรนะถ้าหากนายจะยืนกราน” ฉันบอกยิ้มๆ “ฉันเป็นคนประเภทที่จะไม่ปฏิเสธอาหารฟรีเสียด้วย”

    จังหวะนั้นเองยูออนก็คลี่ยิ้มออกมาบ้าง รอยยิ้มนั้นดูคล้ายรอยยิ้มของคนธรรมดาที่จริงใจ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มแบบนี้

    “มาเจอกันที่หน้าร้านนายบักส์ตอนเที่ยงพรุ่งนี้นะ” เขากำหนดเวลาและสถานที่นัดหมาย

    “ร้านนายบักส์ตอนเที่ยงงั้นเหรอ” นั่นทำให้ฉันระลึกถึงเรื่องที่อาน่อนนัดไว้ขึ้นมาได้

    “ทำไม มีอะไรไม่สะดวกอย่างนั้นหรือ”

    “เปล่าหรอก ก็แค่นึกขึ้นได้ว่ามีนัดต่อตอนบ่ายสามแถวนั้นพอดีน่ะ”

    “เข้าใจละ” ยูออนพยักหน้าเล็กน้อย “นัดใครไว้ล่ะ เพื่อนงั้นหรือ”

    “อื้ม เพื่อน”

    ...ใช้คำนี้เรียกไปก่อนก็ได้ละมั้ง แม้จะไม่รู้ว่าจะเรียกคนลามกนั่นว่าอะไรดีถึงจะเหมาะก็เถอะ

    “อย่างไรฉันก็ไม่รั้งตัวเธอไว้นานหรอก ตกลงว่าร้านนายบักส์ตอนเที่ยงตรงนะ” ยูออนถามย้ำ

    “รับทราบ” ฉันยิ้มรับไป

     

    ระหว่างเดินทางไปสวนเพกาซัสเพื่อฝึกต่อ ฉันก็ครุ่นคิดไปพลาง...

    ไม่นึกมาก่อนเลยว่ามิสอาเซียจะมีเรื่องที่ลังเลไม่กล้าตัดสินใจในอดีต แล้วคิดว่ามันคือบาปของเธอ

    ภาพแม่ที่เห็นก็ยิ่งทำให้ฉันสับสน แม่ดูเป็นคนที่มุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและคิดจะช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น แต่ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่แม่ไปก้าวก่ายเรื่องคนอื่นมากจะทำให้เกิดปัญหาตามมาหรือเปล่า บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เสียชีวิต

    ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกสับสนเหมือนมิสอาเซียเสียแล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี แต่ก็ยังไม่อยากยอมแพ้ในตอนนี้

    “เร็กซัส ฉันรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่” ฉันพูดขึ้นเมื่อจับสัมผัสของชายผมแดงได้ “คุณออกมาหน่อยได้ไหม ฉันอยากคุยกับคุณ”

    “มีอะไรหรือ” ชายร่างใหญ่ปรากฏตัวออกมา

    “คุณจำได้ไหมที่เราเคยคุยกับเกี่ยวกับกล่องของแพนโดร่าก่อนหน้านี้” ฉันเท้าความ “ใครบางคนที่ฉันรู้จักเคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เธอไม่สามารถเลือกได้ตอนที่เธอถูกบีบได้เลือกระหว่างคนสองคนที่เธอชื่นชม ดังนั้นเธอเลยไม่ได้ทำอะไรเลยในตอนท้าย และเธอก็คิดว่านั่นคือบาปของเธอ ...ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกอย่างนั้น”

    เร็กซัสนิ่งคิดสักพัก ก่อนบอก

    “ผมก็ไม่แน่ใจนัก แต่ว่า... ในโลกนี้ก็มีคนที่กลัวที่จะตัดสินใจเพราะว่าเขาไม่อยากรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ตามมาจากการตัดสินใจของเขา”

    เขาขยายความต่อว่า

    “ถ้าหากว่าใครบางคนตัดสินให้เธอ เธอก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระอะไรถ้าหากว่ามีบางอย่างผิดพลาดไป ในอีกแง่หนึ่ง คนที่เธอกล่าวถึงคงกลัวที่จะรับผิดชอบ”

    “แต่ว่า... เธออาจจะรู้สึกว่าทางที่มีให้เลือกไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง”

    “ใช่ มันอาจจะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องอยู่เลยก็ได้” ชายหนุ่มรับ “มันก็เหมือนกับคำถามที่ว่า ถ้าสามารถช่วยได้แค่คนเดียวระหว่างแม่กับเด็กที่ยังไม่เกิด... เธอจะเลือกที่จะช่วยใคร”

    เขากำสองมือยื่นมาข้างหน้าราวกับจะให้ฉันเลือก ซึ่งแน่นอนว่าฉันเลือกไม่ได้ และได้แต่ส่ายศีรษะ

    “มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ทั้งคู่ล้วนเป็นชีวิตที่มีค่า มันคงมีบางเวลาที่เธออาจรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ต้องเลือกอะไรแบบนั้นเช่นกัน แต่ถ้าหากเธอไม่เลือก เธอก็อาจจะเสียไปทั้งสองอย่าง”

    เขาค่อยๆ แบมือทั้งสองออกพร้อมๆ กัน

    “นั่นเป็นสาเหตุที่...” ฉันพยายามเรียบเรียงคำถาม “ที่มิสอาเซียคิดว่ามันเป็นความผิดของเธออย่างนั้นหรือ”

    เร็กซัสปิดตาลงแล้วพยักหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง

    “จะมีสักวันไหมที่ฉันจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้นเหมือนกัน” ฉันเอ่ยคล้ายถามตัวเองแต่ก็ถามเขาไปพร้อมๆ กัน “เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะสามารถละทิ้งความเชื่อหนึ่งเพื่อรักษาความเชื่อที่เหลือของฉันได้ไหม”

    ฉันนึกภาพสถานการณ์เช่นนั้นแล้วได้แต่ปฏิเสธ “นั่นช่างโหดร้ายเหลือเกิน...”

    “คนส่วนใหญ่จะพบว่ามันยากในสถานการณ์เช่นนั้น แต่...” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นต้น แล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาของฉัน “จำไว้นะ เอสซี่... ไม่ใช่ทุกคนโลกที่มีสิทธิ์ที่จะเลือก การมีทางเลือกไม่ใช่สิ่งที่แย่เสมอไป”

    “นั่นก็จริง”

    คำพูดนั้นเตือนให้ฉันคิดได้ ฉันไม่ควรมองโลกในแง่ร้ายไป เมื่อมีโอกาสให้เลือกก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

    “ขอบคุณมากค่ะ” ฉันบอกเขา “ฉันดีใจที่ได้คุยกับคุณแบบนี้”

    “ไม่เป็นไรครับ” เร็กซัสยิ้มให้ฉัน

    “คุณรู้ไหม... คุณอยู่ที่นี่เสมอเวลาที่ฉันขาดความมั่นใจ คุณเหมือนเทวดาคุ้มครองเลย” ฉันคลี่ยิ้มแบบเด็กๆ

    “ทะ...เทวดาคุ้มครอง” เร็กซัสพูดตะกุกตะกักด้วยท่าทางเขินอาย “ผะ...ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก”

    “คุณเป็น”

    หน้าเขาเริ่มกลายเป็นสีเดียวกับผมของเขา แล้วก็ดูเหมือนเขาจะทนอยู่ตรงนี้ต่อไม่ไหวจนต้องรีบจากไป

    ฉันหัวเราะยินดี ระบายความไม่สบายใจออกมากับเสียงหัวเราะนั้น แล้วก็เริ่มต้นการฝึกของวันนี้ตามปรกติ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×