ตอนที่ 33 : *Flip Love*: Chapter 29 ตัวอักษรที่ไม่ปรากฏ (100%)
Chapter 29 ตัวอักษรที่ไม่ปรากฏ
บนเตียงหลังใหญ่ที่ผ้าปูผืนเข้มตัดกับร่างบอบบางของดงเฮที่นอนฟุบหมดแรงตั้งแต่กิจกรรมรักที่ยาวนานจบลงยามใกล้ฟ้าสาง คิบอมที่ได้ใจจัดหนักยิ่งกว่าคนโดนยาเองเสียอีก ไม่ยอมปล่อยให้คนที่ได้ชื่อว่า เป็นคนรักกันแล้วหยุดพักแม้สักนิด จนสุดท้ายที่ดงเฮเริ่มจะไม่ไหว บอกทั้งที่ครางหวานหูว่า จะไม่ยอมให้เขากดอีกสองอาทิตย์เท่านั้นแหละ จึงได้หยุดจริงๆ...แม้ความจริงถึงดงเฮไม่ยอม เขาก็หาทางกดจนได้หรอก แต่ไม่อยากบังคับปนสงสาร (ขนาดสงสารแล้วเหอะ ==”)
“อือ...” เสียงหวานครางออกมาจากลำคอเล็กน้อยเมื่อกายบางที่อ่อนแรงขยับเปลี่ยนท่าทางการนอนอย่างลำบาก จากท่านอนที่โชว์แผ่นหลังบางที่มีร่องรอยสีกุหลาบกระจายอยู่ทั่วเปลี่ยนเป็นตะแคงตัวนอนหันหน้าไปทางระเบียงห้องกว้างที่มีแสงยามบ่ายส่องผ่านอากาศความเย็นเข้ามาจนคิ้วเรียวเริ่มขมวด ดงเฮพยายามพลิกตัวเปลี่ยนท่านอนอีกครั้งแต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยประสาทสัมผัสอีกอย่างหนึ่ง
กลิ่นหอมๆที่คุ้นเคยเรียกให้จมูกโด่งสูดอากาศเข้าลึก เรียกร้องให้ดวงตาหวานลืมขึ้นหาที่มาได้ไม่ยาก เปลือกตาสีขาวกระพริบสองสามครั้งก็เปิดขึ้น ภาพตรงหน้าเป็นร่างสูงที่เพิ่งจะเปลี่ยนสถานะเป็นคนรักนั่งอยู่ริมขอบเตียงในสภาพที่มีเพียงกางเกงขายาวท่อนล่างเท่านั้น
“ยอมตื่นแล้วเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยเจือเสียงหัวเราะต่ำ ก็เขาพอจะรู้สาเหตุที่ทำให้ คนรัก เขาตื่นเสียทีนี่นะ
เค๊กก้อนเล็กทรงครึ่งวงกลมบนจานแบนๆกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือหนาของคิบอม เนื้อแป้งนุ่มถูกคลุมด้วยวิปปิ้งครีมสีขาวสะอาดตาโค้งไปตามรูปทรง ด้านบนมีเพียงตุ้กตาน้ำตาลเป็นรูปปลาตัวน้อยวางคู่กับสตรอเบอร์รี่สีแดงสดที่เชฟใหญ่ตัดให้มันกลายเป็นรูปหัวใจวางใกล้กัน
“...น่ารักจัง” เสียงหวานที่แหบแห้งเอ่ยออกมาทั้งที่ตายังปิดไม่เต็มที่ ขณะที่แขนเรียวพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
“ของขวัญง้อคืนดี...กับ....ฉลองสละโสด”
เสียงเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม เช่นเดียวกับคนฟัง ยิ้มหวานๆจากคนที่ดูยังอิดโรย(จากเมื่อคืน) ยิ้มออกมาให้คนมองได้ใจเต้นเล่น
“อร่อยรึเปล่าก็ไม่รู้” เสียงหวานเจือแหบบอกแกล้งเอาคืนคนที่จัดหนักเขาเมื่อคืนเล็กๆ ดงเฮที่พอลืมตาตื่นแล้วเห็นเค๊กก้อนน้อยนี่เขาก็รู้ทันทีว่าคิบอมคงรีบตื่นมาอบให้เขาตั้งแต่เช้า มันกลายเป็นสิ่งที่เหมือนคำสัญญาระหว่างกันไปแล้ว เมื่อคิบอมทำผิดดงเฮจะได้กินเค๊กเสมอ
“พูดอย่างนี้ต้องพิสูจน์” เชฟหนุ่มตักเค๊กคำเล็กยื่นให้ ปากเรียวบางที่ช้ำแดงก็อ้างับเข้าไปด้วยความหิวทันที
“เอาสตรอเบอร์รี่ด้วยสิ” แม้ว่าเคี้ยวแก้มตุ่ยอยู่แต่ก็บอกขอคำต่อไปทันที
“สตรอเบอร์รี่มีแค่ลูกเดียวนะ ต้องแบ่งให้ฉันด้วยสิ” ว่าจบมือหนาก็ส่งสตรอเบอร์รี่สีสดจ่อไปที่ปากบาง ดงเฮอ้าปากงับไปอย่างไม่เข้าใจแต่กัดเข้าปากไม่ทันจะหมด ปากหนาก็ส่งเข้ามาดันสตรอเบอร์รี่เจ้ากรรมเข้าไป
“อื้อ!!” รสหวานฉ่ำหวานเจือเปรี้ยวตีกันสร้างความหอมเจือไปทั่วโพรงปากนิ่ม คิบอมยกยิ้มพอใจเล็กๆเมื่อรสชาตินั้นหวานล้ำและมีวี่แววว่าอีกคนก็ถูกใจไม่ต่างกัน
เชฟหนุ่มผละริมฝีปากออกมาชื่นชมผลงานของตัวเองเล็กๆ เมื่อเรียวปากแดงช้ำนั้นดูแดงขึ้นมาอีกจากผลไม้สีสดทั้งยังฉ่ำชื่น อดไม่ไหวที่จะก้มลงไปกดจูบแรงอีกครั้ง
“อื้อออ” ดงเฮตีอกหนาเปลือยเปล่าอย่างงอนๆ แล้วยิ่งคำถามต่อมายิ่งทำให้อยากจะตีลงไปแรงๆอีกครั้ง
“แล้วตกลงอร่อยรึเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้....รู้แต่ว่าต้องเพิ่มอีกอย่างนึงด้วย” ทั้งยังเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง
“อะ อะไร” อดีตเพลย์บอยเสียเซล์ฟเล็กๆ เมื่อกลัวทำพลาด กลัวคนรักโกรธอะไรอีก
“ก็มันต้องเป็นเค๊กแทนคำขอโทษไง เมื่อคืนไม่รู้ใครกันแน่ที่โดนยา อึดเป็นบ้า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” ปากบางยู่เข้าหากันยามเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ที่ร้องบอกว่าเหนื่อยตั้งหลายครั้ง ร่างสูงก็ไม่ยอมหยุด ถึงแม้ว่าความจริงยาที่เขากินเข้าไปอาจจะยังมีฤทธิ์อยู่บ้างแต่ร่างกายเขาเกินทนแล้วจะสู้แรงรึก็ไม่ได้ ทำได้แค่ขู่ไม่ให้กดอีกสองอาทิตย์แค่นั้น
“หึหึ” คิบอมหัวเราะถูกใจ เม้มยิ้มเต็มที่ แต่เสียงหัวเราะในลำคอนั้นกลับเรียกค้อนวงเล็กจากดงเฮมาแทน
“ยังจะมาหัวเราะอีก” ริมฝีปากที่ยังยู่ไม่ยอมปล่อยถูกริมฝีปากหนายื่นมากดจูบเบาๆ ใบหน้าคมก็ยังไม่ผละไปไหนพลางเอ่ย
“ก็ฉันเพิ่งรู้นี่นา......ว่าเซ็กซ์ของคนที่รักกัน มันเป็นยังไง”
“.....(.////.).....”
ไม่มีเสียงหวานใดๆตอบกลับมา มีแต่ตาหวานที่หลบสายตาคมไปพร้อมกับแก้มแดงๆ คนมองทนไม่ไหวต้องก้มลงจรดจมูกโด่งลงสูดกลิ่นหอมแรงๆ
เห็นที่ว่าคิบอมจะเจอจุดอ่อนคนรักเข้าซะแล้ว......ก็แค่พูดออกมาให้ตรงกับที่ หัวใจ บอกออกมา
RRRrrrr
ในเวลาช่วงบ่ายสาม เวลาของการเลิกคาบเรียน เสียงโทรศัพท์ที่ฮยอกแจได้ยินจนคุ้นหูดังขึ้นเรียกให้เจ้าของเครื่องอย่างซีวอนกดรับอย่างทุกที
แม้ว่าจะเหมือนไม่สนใจแต่มือบางที่เก็บของไปพลางหันไปฟังซองมินบ่นเรื่องพ่อเขาโทรตามทุกวันช่วงนี้ไปพลาง แต่กระนั้นใจกลับอยู่ที่ร่างสูงที่ยืนห่างออกไปอีกหน่อยเพื่อรับโทรศัพท์
// วันนี้ก็อีกแล้วเหรอ มิรินชักไม่ชอบแล้วนะ //
เสียงหญิงสาวที่กระเหง้ากระงอดผ่านมาตามสายไม่ต่างจากที่ผ่านมา แต่ไม่รู้ทำไมซีวอนถึงรู้สึกว่า มันช่างสร้างความยุ่งยากใจให้เขามากขึ้นกว่าเดิม
“ผมบอกคุณแล้วนะ ว่าผมไม่อยากให้เกิดเรื่องอะไรอีก คราวก่อนฮยอกแจถูกจับตัวไป ผมก็ไม่ได้อยู่ดูแล ยิ่งตอนนี้ฮยอกแจ เขา...” ...สวยขึ้น...
เสียงทุ้มพยายามอธิบายบอกอย่างใจเย็น แม้ว่าเหตุผลที่ยกมาจะดูไม่ตรงกับความรู้สึกในใจเท่าไหร่ ในเมื่อคามคิดของเขาที่มันบอกให้อยู่กับฮยอกแจตลอด 24 ชั่วโมงมีเพียงอยากเดียวคือ...หวงแหน
// อะไรล่ะ ฮยอกแจนั่นทำไมอีก มิรินเบื่อมากๆแล้วนะรู้มั้ย ซีวอนเปลี่ยนไปนะ ไม่มารอรับมิริน ตั้งเป็นอาทิตย์ๆแล้ว ไม่พามิรินไปไหนเลยด้วย //
ซีวอนที่เงียบไปไม่เอ่ยต่อเพราะสิ่งในใจกับสิ่งที่จะพูดไม่ตรงกัน เขาอยากจะบอกออกไปว่า ตอนนี้ ฮยอกแจ สวย...สวยเหลือเกินจนเขาไม่กล้าที่จะผละไปไหนแม้สักนาที
“ ผมขอโทษ แต่ผมกลัวฮยอกแจเป็นอันตรายอีก... ” เสียงเอ่ยออกมาเหมือนคนจำทน
// จะกลัวอะไรนักหนา มิรินสวยกว่าตั้งเยอะ ไม่รู้ล่ะ วันนี้พามิรินไปดินเนอร์แก้ตัวเลย //
“แต่ผมนัดกับฮยอกแจเอาไว้แล้ว เป็นวันพรุ่งนี้ได้มั้ย” นัดเล็กๆระหว่างเขากับฮยอกแจที่มีทุกวันนั่นคือ ทำอาหารด้วยกันที่คอนโด ฮยอกแจชอบกินอาหารที่ทำเอง แล้วเขาก็ชอบที่ฮยอกแจทำอาหารให้เขากินด้วย เลยไม่แปลกเลยที่จะมีช่วงเวลาหวานๆในการทำอาหารพร้อมกันได้ทุกวัน
// นัดอะไรกัน //
“..ก็แค่ ทำอาหารง่ายๆทานที่คอนโดน่ะ”
// มารับมิรินไปด้วย มิรินจะไป!!! //
เสียงหญิงสาวว่าอย่างไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอะไรเพราะกดตัดสายไปในทันที ซีวอนถอนหายใจหนักออกมา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความหนักใจนั้นเบาบางลงเลย
ดวงตาหวานมองเห็นคนที่รักถอนหายใจหนักพร้อมกับการลดโทรศัพท์ในมือลงบอกว่าการคุยผ่านสายได้จบลงแล้ว ฮยอกแจจึงได้หันกลับมาหาซองมินที่ยังนั่งรอคยูฮยอนที่ไปหาอาจารย์เรื่องงานก็กำลังล้อเรียวอุคเรื่องที่เยซองไปกินข้าวด้วยที่บ้านทุกวันไม่เลิกไปพลาง
“ฮยอกครับ...” ซีวอนเอ่ยเรียกฮยอกแจเบาๆ ร่างบางจึงหันมาหาพร้อมสายตาที่เอ่ยถาม
“วันนี้...วันนี้มิรินเขาจะมาทานข้าวที่ห้องด้วยนะ” คิ้วเข้มขมวดเล็กๆยามเอ่ยบอกแสดงความลำบากใจให้เห็น
“....อย่างงั้นเหรอ...” ฮยอกแจรับคำเบาๆ ปากบางเม้มเล็กๆขณะที่คิดถึงว่าบรรยากาศของอาหารมื้อเย็นนี้จะเป็นยังไง
“...เอ่อ ไม่เป็นไรใช่มั้ย” คำถามที่เอ่ยอย่างห่วงใยในความรู้สึก แต่ก็เหมือนออกตัวแทนหญิงสาวอีกคน
“ไม่หรอก...แต่ว่า ฉันกลับบ้านก็ได้นะถ้าซีวอนวันนี้ไม่สะดวก” เสียงบอกออกมาอย่างปกติ แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนมันเจือน้ำเสียงเศร้าเอาไว้จนร้อนรนบอกปฏิเสธไม่ทัน
“ไม่หรอกครับ ไม่ต้องกลับ มิรินเขาแค่มากินข้าวเย็นด้วยแค่นั้นน่ะ ผมไม่ได้พาเขาไปกินข้าวหลายวันแล้ว” ซีวอนคว้าเอามือนุ่มมาจับไว้พลางบอกระรัวเร็วจนฮยอกแจได้แต่พยักหน้ารับน้อยๆอย่างไม่แน่ใจ
และอย่างทุกทีเมื่อถึงเวลาช่วงเย็น ซีวอนและฮยอกแจช่วยเตรียมของเท่าทีมือหนาๆนั้นจะทำได้ ฮยอกแจใจเย็นและทำอาหารด้วยความคล่องแคล่วจนร่างสูงแทบไม่ต้องช่วยเลย แต่เรื่องอะไรจะปล่อยให้เวลาที่ได้อยู่กันสองคนปล่อยไปเฉยๆ ถึงแม้ว่าจะมีทุกวันก็ตาม จนซีวอนรู้สึกว่ามันขาดไปไม่ได้แล้ว บรรยากาศของคนรักที่ล้อมรอบเขาไว้
“ผมไปรับมิรินที่บ้าน ไม่นานเดี๋ยวก็มานะครับ” เสียงทุ้มบอกฮยอกแจที่กำลังหั่นกิมจิให้เป็นชิ้นพอดีคำไว้สำหรับผัดกับเนื้อ ฮยอกแจหันมารับคำน้อยๆ แล้วซีวอนก็ออกจากห้องไป
...หากเป็นไม่มีเรื่องนั้น...เขาคงกล้าแสดงความเป็นเจ้าของได้มากกว่านี้...
ร่างบางที่ยื่นเหม่ออยู่หน้าเตาไม่รู้ตัวว่ายืนไปนานเท่าไหร่ แต่แล้วก็รู้สึกตัวเมื่อกลิ่นไหม้คลุ้งเข้าจมูกเล็ก...ผัดกิมจิของเขาดำซะแล้ว
“เฮ้อ..ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ” ฮยอกแจถอหายใจออกมาเมื่อของสดที่มีไม่เหลืออะไรให้ทำแทนผัดกิมจิแล้ว กิมจิที่มีก็เอามาผัดไม่ได้ คงต้องเอาส่วนดำๆออก บางส่วนยังพอกินได้...คงไม่เป็นไรหรอก
แล้วอาหารสามอย่างที่ทำเต็มที่ก็วางอยู่บนโต๊ะ อาหารง่ายๆที่ซีวอนบอกว่าอร่อยและชอบ จนกินได้ทุกวัน แกงกิมจิเต้าหู้ ไข่ม้วน และซุปสาหร่าย ขาดก็แต่ผัดกิมจิที่พลาดไป ฮยอกแจจัดโต๊ะไปเรื่อยๆจนได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาจึงได้เดินออกจากห้องครัวไป
“สะ สวัสดีฮะ คุณมิริน” ฮยอกแจออกมาทั้งที่ยังใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่เอ่ยทักหญิงสาวที่ก้าวเข้ามาอย่างคุ้นเคย มือเรียวเหวี่ยงกระเป๋าแบรนด์เนมลงบนโซฟาแล้วกระแทกตัวลงนั่งเหมือนไม่พอใจอะไรมา
“ค่ะ คุณฮยอกแจ” ทั้งที่เอ่ยรับเสียงกระแทกกระทั้น และไม่ได้ทักทายกลับแต่อย่างใด มือเรียวยกขึ้นกอดอกอิ่ม สะบัดผมยาวที่เคลียหลังบาง หันหลังให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ตามเข้ามาทีหลัง
“มิริน คุณจะงอนทำไม ผมก็ไปรับคุณมาแล้วไง” ซีวอนเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจ เมื่อในระหว่างทางที่มาหญิงสาวก็โวยวายต่อว่าไม่หยุด ว่าไปรับช้า ปล่อยให้รอตั้งนาน เลิกเรียนตั้งแต่บ่ายทำไมเพิ่งมา สารพัดจนเขาไม่อยากจะพูดแล้ว
“........” หญิงสาวไม่เอ่ยอะไร ซีวอนถอนหายใจออกมาอย่างไม่คิดปกปิดแล้วกันไปสบตาฮยอกแจที่ยืนนิ่ง มือบางกับจันแน่น ไม่กล้าเอ่ยอะไรในสถานการณ์แบบนี้
“อาหารเสร็จรึยังครับฮยอก ผมไปช่วยนะ” ร่างสูงก้าวเท้าเข้าหาหมายจะเดินนำเข้าครัวไป แต่ฮยอกแจกลับยกมือบอกว่าไม่ต้อง
“เสร็จแล้วล่ะ หิวรึยังฮะ ถ้าหิวแล้ว เราทานกันเลยก็ได้”
“.........” หญิงสาวคนเดียวหันมามองฮยอกแจที่เหมือนจะเอ่ยกับตัวเธอ มิรินลุกขึ้นแล้วหันไปยู่หน้าใส่ซีวอนแล้วเดินเข้าส่วนของห้องครัวไปเป็นคนแรก
ฮยอกแจที่เห็นซีวอนถอนหายใจอีกเป็นครั้งที่สามตั้งแต่กลับเข้ามาก็ยิ้มให้บางๆ มือนิ่มยื่นไปจับมือกร้านดึงเบาๆให้เดินตามเข้าห้องครัวไป ซีวอนยกยิ้มรับอย่างเหนื่อยอ่อน ความยุ่งยากที่มิรินสร้างขึ้นถูกรอยยิ้มหวานของคนที่เขารักชะล้างไปอย่างง่ายดาย
“มีแค่นี้เหรอ ผัดกิมจิก็ดูแปลกๆ กินได้รึเปล่าก็ไม่รู้ ทำไมไม่สั่งมาล่ะ มิรินอยากกินสลัดแซลมอนนะ”
หญิงสาวหัวสูงเอ่ยออกมาอย่างไม่ไว้หน้าคนทำอาหาร หยิบเอาส้อมเขี่ยไปที่ผัดกิมจิสีคล้ำ จนคนทำใจเสีย แม้ว่าอาจจะคิดอยู่บ้างแล้วว่ามันอาจจะเป็นอย่างนี้ แต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฮยอกแจทำเป็นหันไปรินน้ำทั้งที่มือบางเริ่มสั่นเหมือนคนหมดแรง
“มิริน แต่ผมก็บอกแล้วนะว่า เราทำอาหารง่ายกินกันน่ะ”
“หึ...ไม่รู้!!” เสียงหวานสะบัดใส่ร่างสูงห้วนๆอย่างเอาแต่ใจ
ซีวอนเงียบไปเพราะไม่รู้จะว่ายังไงดี หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงโทรสั่งมาให้ทันทีหรือไม่ก็ขับรถออกไปซื้อกลับมาให้ แต่นี่เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและน่ารำคาญไปซะหมด
“งั้นคุณก็นั่งรอก่อน ผมทานข้าวกับฮยอกแจเสร็จแล้วจะไปส่ง”
“เรื่องอะไรล่ะ!!”
“แล้วคุณจะเอายังไง!” ซีวอนเผลอตวาดเสียงดังจนหญิงสาวที่ถูกดูแลตามใจจนเสียคนเริ่มกลั่นน้ำตาออกมา ริมฝีปากเคลือบสีสดเม้มแน่น คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน
“เฮ้อออ...โอเคๆไม่ต้องร้องนะ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวร้องไห้เสียงถอนหายใจหนักๆบอกให้รู้ถึงผลของการปะทะทางวาทะครั้งนี้ ชเวมิรินเป็นฝ่ายได้ชัย ร่างสูงเดินเข้ามาจับไหล่ ลูบผมหญิงสาวอย่างปลอบโยน
“ฮึก....ทำไมต้องตวาดมิรินต่อหน้าคนอื่นด้วย”
“...ขอโทษนะ ผมขอโทษ”
....ราวกับไร้ตัวตน...หรือหากมีตัวตนก็เป็นแค่...คนอื่น...
ฮยอกแจยืนมองภาพแสนซึ้งใจตรงหน้า แค่เพียงเรื่องแค่นี้ ซีวอนยังยอมให้แล้วเรื่องใหญ่ๆมีหรือจะไม่ยอม...นี่ซินะ คือเหตุผลของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและซีวอนที่เกิดขึ้น
ซีวอนหันมาหาฮยอกแจด้วยสีหน้าลำบากใจประคองมิรินให้ยืนขึ้นพลางบอกว่าจะพาไปทานอาหารตามที่หญิงสาวต้องการ ฮยอกแจพยักหน้ารับ และมองทั้งสองคนเดินออกจากห้องไป
ก้อนเสียดที่ตีเข้ามาแน่นถูกกดลงไปให้ลึกอีกครั้ง ร่างบางหันมาจัดการเอาอาหารบนโต๊ะที่ไม่มีโอกาสให้ใครได้ลิ้มรสทั้งหมดเทลงทิ้งไม่เหลือ เขารู้ว่าซีวอนคงพามิรินไปทานอาหารดีๆ อาหารธรรมดาอย่างนี้คงไม่ต้องการแล้ว
...อีกไม่นานเขาก็คงเหมือนกัน...คนธรรมดาที่ไม่คู่ควรกับของเลอค่าใดๆ...คงถูกทิ้งไม่ใยดี...
....
....
“มิริน ผมขอร้องอย่าทำแบบนี้อีก ฮยอกแจจะรู้สึกไม่ดี” หลังจากที่ซีวอนพาไปทานมื้อเย็นตามใจหญิงสาวทุกอย่าง แล้วขับรถพากลับมาส่งที่บ้าน เสียงทุ้มก็เอ่ยบอกอย่างจริงจังทั้งที่ยังอยู่ในรถที่จอดนิ่ง เขาอยากจะรีบกลับไปหาฮยอกแจจึงไม่คิดจะลงจากรถให้เสียเวลาแล้ว
“ทำไมต้องแคร์กันขนาดนั้นด้วย ก็แค่คนที่พี่ฮีชอลเลือกมาผิดน่ะแหละ ดีไม่ดีเขาจะได้คนอื่นมาแทน” ชเวมิรินที่เห็นว่าซีวอนเริ่มให้ความสนใจกับฮยอกแจจนเกินไป เกินกว่าที่ตนเองได้รับ ก็สร้างเรื่องงอแงให้ร่างสูงกลับมาเอาใจตนเองเหมือนเดิม เช่นอย่างวันนี้
“ทำไมพูดแบบนี้อีกแล้ว” ร่างสูงที่มักจะได้ยินมิรินพูดถึงฮยอกแจในทางไม่ดีเสมอก็นึกไม่ชอบใจ หารู้ไม่ที่หญิงสาวเอ่ยออกมานั้นตั้งใจให้ซีวอนฟังแต่เรื่องแย่ๆของฮยอกแจที่หล่อนสร้างขึ้นทั้งนั้น
“นี่ ซีวอนไม่ได้ถามถึงหนังสือให้มิรินเลยนะ ทำไมไม่ถามล่ะ รู้รึเปล่าเพื่อนมิรินไปถามกับพี่ฮีชอลยังได้เรื่องมากกว่าอีก”
“...ผม...ไม่รู้จะถามอะไร แล้วฮยอกแจคงยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก”
ซีวอนพยายามเอ่ยเลี่ยงถึงเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด หวังว่าอย่างน้อยเรื่องนี้จะจบได้โดยที่ฮยอกแจไม่รู้ และมิรินไม่เสียใจ
“งั้นนี่เลย” มือเรียวคว้าเอากระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆในกระเป๋าตนเองมาจรดตัวอักษรลงไป เห็นไกลๆเป็นประโยคสั้นบ้างยาวบ้างสามสี่บรรทัด
“เอาใส่กระเป๋าตังค์ซีวอนไว้เลยนะ คภถามที่มิรินอยากรู้ มีโอกาสแล้วถามให้มิรินด้วย”
มิรินจัดการเสียบกระดาษโน๊ตใบเล็กเข้าในกระเป๋าตังค์ของซีวอนเรียบร้อย ตาคมทำได้แค่มองตามการกระทำนั้น จนเจ้าของร่างอรชรเปิดประตูเดินเข้าบ้านตระกูลชเวไป
ซีวอนขับรถกลับมาไม่นานก็ถึง ระหว่างทางในใจก็คิดห่วงความรู้สึกของฮยอกแจไม่ได้ขาด ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่าว่าช่วงหลังมานี่ฮยอกแจพูดน้อยลง และเหม่อบ่อยๆจนเขาเริ่มเป็นห่วง
“ฮยอกทานแล้วฮะ พี่ซึงโฮล่ะฮะ”
กึก...
ทันทีที่ก้าวเข้ามาห้องชุดของตัวเอง ซีวอนก็ชะงักกึก เมื่อเสียงหวานเอ่ยชื่อ ผู้ชายคนที่เขาอยากจะเจอและอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่เขารักกับผู้ชายคนนั้นมากที่สุด
“ช่วงนี้หิมะตก องุ่นที่ไร่คงไม่ออกผลเลยซินะฮะ”
“......” ซีวอนที่รู้เพียงว่าชายหนุ่มที่ชื่อว่า ยุนซึงโฮ เป็นลูกชายของไร่องุ่นที่อยู่ติดกันกับไร่ของบ้านฮยอกแจ แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโทรมาหาคนรักของเขาแทบทุกวันอย่างนี้ แถมฮยอกแจยังไม่มีท่าทีรำคาญหรือปฏิเสธที่จะไม่รับสายเลย
“ฮยอกใส่เสื้อสามชั้นแล้วฮะ ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ พี่ซึงโฮก็ใส่.!!!..”
ปึง!
เสียงกระแทกของลงบนโต๊ะเรียกให้ฮยอกแจสะดุ้งหันมาหาที่มาของเสียง ซีวอนโยนกระเป๋าสตางค์และกุญแจรถลงบนโต๊ะข้างชั้นหนังสืออย่างแรงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป อยากจะเอาน้ำเย็นๆเรียกสติ เพราะเพียงแค่ได้ยินฮยอกแจเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกันก็แทบจะเข้าไปกระชากโทรศัพท์ทันที
ฮยอกแจที่เห็นว่า ท่าทางของซีวอนเหมือนไม่พอใจ หรืออาจจะโกรธนั้น ก็นึกว่าคงไม่พ้นเป็นเรื่องของมิริน...ซีวอนอาจจะโกรธเขาที่เป็นต้นเหตุให้มิรินไม่พอใจก็ได้
ฮยอกแจเอ่ยกับปลายสายอีกเล็กน้อยแล้วก็วางสายลง ร่างเล็กจะเดินไปหาก็สะดุดเข้ากับของที่ซีวอนโยนส่งๆด้วยความไม่พอใจขึ้นมาจากพื้น กุญแจรถและ...กระเป๋าสตางค์
“ทำอะไรน่ะ!!!”
เสียงทุ้มตวาดดังลั่นห้องชุด เมื่อเห็นว่ากระเป๋าเงินของตนเองที่มีกระดาษโน๊ตของมิรินเสียบอยู่อย่างหมิ่นเหม่นั้นกำลังอยู่ในมือเรียว
ฮยอกแจที่สะดุ้งจนสุดตัว เมื่อข้อมือบางถูกกระชากโดยมือหนา ทั้งที่เขาไม่ทันจะทำอะไรเพียงแค่หยิบขึ้นมาแค่นั้น
“ฉะฉัน...ขอโทษ” ตาหวานเบิกโตอย่างตกใจสีหน้าหวาดๆของฮยอกแจเรียกให้สติของคนหึงและกลัวความผิดกลับมาได้ มือหนาที่กำข้อมือบางคลายออกเมื่อรู้ตัวว่าตนเองเผลอบีบอย่างแรง
“ผะ...ผมขอโทษ คุณเจ็บรึเปล่า ผมไม่ได้ตั้งใจ” เสียงทุ้มรีบเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงนุ่มลง นิ้วมือหนาลูบตรงข้อมือเล็กขึ้นสีแดงจากแรงกดเพียงนิดของเขา
“...ไม่หรอก...” เสียงหวานสั่นไม่ต่างกับมือเล็กทั้งสองข้าง ตาหวานก้มต่ำไม่สบนัยน์ตาที่มองมาอย่างห่วงใย
“ฉะฉัน ไปอาบน้ำก่อนนะ” ฮยอกแจที่เก็บเอาน้ำตาตนเองไม่ไหวแล้ว บิดข้อมือออกมาจากมือหนาที่ยังจับไว้หลวมๆออกแล้วเดินหายเข้าห้องน้ำไป
เสียงน้ำจากก๊อกน้ำไหลไม่ขาดนั้นช่วยกลบเสียงร้องไห้เบาๆที่ดังลอดอออกมาได้ดี ภาพที่สะท้อนอยู่บนกระจกเป็นภาพของร่างบอบบาง ใบหน้าเรียวสวย ผิวขาวใสดั่งหิมะ แต่กลับมีหยาดน้ำตาเปื้อนแก้มจนชื้น
“ฮึก....”
...รู้ว่าไม่มีสิทธิ์...เป็นแค่หุ่นกระบอกที่ถูกเชิดด้วยความรัก ไม่มีสิทธิใดๆ...ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม
“...ฉันไม่ได้...อยากจะวุ่นวาย หรือทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไปทุกอย่างนะ” เสียงหวานบอกทั้งสะอื้นกับตัวเองเบาๆ อยากจะให้ซีวอนรู้ว่าเขาไม่ได้อยากก้าวเลยเส้นที่ถูกขีดไว้เลย
“...ฮึก...ปวดใจจัง...”
เท้ายาวที่ก้าววนไปมาอยู่หน้าห้องน้ำด้วยความกังวลใจ นึกโทษตัวเองที่เผลอทำร้ายความรู้สึกคนที่ตนรักไป อย่างชัดเจน ครั้งแรก...โดยหารู้ไม่ว่า หัวใจดวงน้อยดวงนั้นถูกทำร้ายทำลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว...
บรรยากาศยามค่ำคืนที่แสนอึดอัด เมื่อห้องชุดกว้างที่มีคนอยู่แค่สองคนกลับไม่มีบทสนทนาใดๆเอ่ยออกมาเลย บรรยากาศที่ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจจากอีกคนชัดเจน
ซีวอนที่คิดว่าวันนี้เขาถอนหายใจจนนับไม่ได้แล้วอย่างเหนื่อยอ่อน ร่างหนามองฮยอกแจที่กำลังจัดเรียงหน้ารายงานอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ความจริงกำลังอึดอัด จนต้องหาอะไรทำด้วยการเอารายงานที่เรียบร้อยแล้วเหลือแต่ส่ง มาทวนดูซ้ำไปมา แต่จนแล้วก็ต้องลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือ เตรียมเข้านอนจนได้ เมื่อความมืดโปรยตัวมานอนเกือบค่อนคืนแล้ว
ซีวอนที่รอโอกาสให้ฮยอกแจเก็บของเตรียมเข้านอนอยู่ไม่ปล่อยให้ลอยไป ร่างสูงลุกจากโซฟาเดินตามฮยอกแจเข้าด้านในห้องนอนติดๆ
แขนยาวโอบร่างเล็กเข้าชิดจากด้านหลัง หน้าคมวางลงไปลาดไหล่บางแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มที่แสนนุ่มนวล
“ฮยอกแจ ผมขอโทษ...”
หลังจากคิดวนไปวนมาอยู่นานก็ตัดสินใจเอ่ยขอโทษให้จริงจังอีกครั้ง ไม่อยากให้มันค้างคาความรู้สึกกันอยู่อย่างนี้
ฮยอกแจเม้มเรียวปากบางเข้าหากันพลางมองลงต่ำอย่างใช้ความคิด ร่างสูงที่เห็นฮยอกแจเงียบไปก็เอ่ยต่อ
“ผมไม่ได้ตั้งใจ และผมไม่ได้คิดว่าวุ่นวายกับของของผมด้วย อย่าคิดมากนะ” เหมือนว่าซีวอนจะจับทางได้ว่าฮยอกแจคงคิดว่าเขาไปยุ่งกับของส่วนตัวร่างสูงมากไป แต่ว่ามันมีความกว่านั้น นั่นคือความจริงที่เขาไม่ได้เป็น...คนที่รัก
“...ฉันแค่หยิบขึ้นมาจากพื้นน่ะ มันหล่นอยู่” เสียงหวานเอ่ยบอกเบาๆอย่างน่าสงสาร เมื่อดูแล้วว่ายังคงกลัวว่าซีวอนจะเข้าใจผิดอยู่ ก้อนบางอย่างกำลังเคลื่อนมาจุกอยู่ที่คอใกล้กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตารอมร่อ
“ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน หรือว่าจะเป็นอะไร ผมก็ให้คุณดูได้หมดทุกอย่าง ถ้าคุณอยากดู”
เสียงทุ้มบอกด้วยน้ำเสียงชัดเจนจริงจัง จนน้ำตาที่กลั้นไว้เริ่มไหลคลอออกมา บางปากเม้มแน่นพยายามรั้งหยาดน้ำใสนั้นเอาไว้
“ผมขอโทษนะคนดี” ริมฝีปากหนาก้มจูบที่ขมับบางปลอบเบาๆ และกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ฮยอกแจพยักหน้ารับเบาๆ เมื่อความสุขน้อยนิดที่รับแบ่งมาแผ่ซ่านในหัวใจ
...แค่คุณบอกแค่นี้ ฉันก็ยอมอยู่ตรงนี้ เจ็บแบบนี้ต่อไป...จนกว่าจะถึงวันที่หมดค่าลง
_.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._.Flip Love._.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._
70%
กลุ่มก้อนอากาศสีขาวยามเช้าที่ลอยต่ำบดบังทัศนวิสัยด้านหน้า บ่งบอกให้รู้ว่าอากาศในเช้าวันนี้ช่างหนาวเย็นเกินกว่าจะมีใครออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างที่ทำเป็นประจำ
เช้าวันนี้ฮยอกแจตื่นตั้งแต่เช้า ทั้งที่ไม่มีเรียน เนื่องด้วยเหตุผลแค่เพียงว่า ยังไม่อยากพบหน้าคนที่นอนเคียงข้างกัน
ฮยอกแจที่ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าและแปะโน๊ตทิ้งไว้แค่ว่า ‘ฉันออกไปข้างนอกนะ’ แค่นั้น แล้วหนีออกมาเพื่อทำใจ อยากจะหนีจากสิ่งรอบกายหลายอย่างที่มันทำให้หัวใจเขาสับสนจนไม่มีเวลาได้นั่งเงียบๆคิดอะไรที่ทำให้ยิ้มได้มานานแค่ไหนแล้ว
ร่างบางของฮยอกแจในชุดเสื้อโค๊ตตัวใหญ่สีน้ำตาลครีมนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวประจำของเขา ที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องมาอ่านนิทานให้เด็กๆที่สวนสาธารณะแห่งฟังอยู่เสมอ ครั้นแล้ววันนี้กลับไร้ร่างเล็กๆมากมายมาออล้อมอย่างทุกทีด้วยอากาศที่หนาวจัดในช่วงปลายปี
ดวงตาใสที่ไร้แว่นแก้วบดบัง โครงหน้าสวยที่รับกับกลุ่มผมนุ่มสีอ่อนนั้นช่างดูไร้แววประกายสดใส นัยน์ตาเจือความเศร้ามองเหม่อออกไปไร้จุดหมาย เพราะหัวใจมันกำลังทำงานหนัก
นึกย้อนกลับไป หลังจากที่เขาถูกพี่ฮีชอลจับไปตัดผมเปลี่ยนตัวเองใหม่ จนคนในมหา’ลัยสนใจและจับจ้อง เข้ามาจีบไม่ได้หยุด ร้อนถึงซีวอนที่ไม่ยอมให้เขาได้ห่างไปไหนเลยซักนิดถึงขนาดไปที่บ้านเขา พร้อมขอมารดาด้วยท่าทีจริงจัง
‘ผมขออนุญาตให้ฮยอกแจค้างที่คอนโดผมจนกว่าเหตุการณ์จะปลอดภัยนะครับ’
พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า อาจจะมีซ้อมพิธีจนดึก เขาจะได้ไปรับส่งสะดวก คุณแม่นักเขียนที่เห็นว่าซีวอนบอกอย่างจริงใจถึงแม้จะมีเรื่องนั้นติดอยู่แต่ก็ลองให้โอกาสดูเผื่อว่าอะไรๆจะไม่แย่อย่างที่คิด หลังจากนั้นร่างสูงไปรับไปส่ง ตามเป็นเงาไม่ได้ขาด
แม้ว่าจะมีโทรศัพท์จากผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดของซีวอน...ชเวมิริน โทรมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ผละขอตัวไปอย่างทุกทีจนเผลอคิดไปว่า เรื่องมันกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีใช่มั้ย...
แต่แล้วสิ่งที่มาตอกย้ำให้ความเจ็บนั้นชัดเจนขึ้นมา...เรื่องเมื่อวานนี้...ใจดวงน้อยเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง มือบางจับไปที่ตำแหน่งของหัวใจกดมันลงไปเบาๆเมื่อมันยังร้องบอกว่า ทรมานเหลือเกิน
มันแทบทนไม่ไหว อึดอัดในใจเหมือนกำลังถูกกักอยู่ในโลกที่ถูกกำหนดไว้แล้ว หลอกไว้แล้วว่าต้องเดินไปตามทางที่เขาตั้งกับดักความรักให้เดินหลงเข้าไป จนเขาได้สิ่งที่เจ้าของกับดักหวัง แล้วก็ปล่อยให้เหยื่อกลับออกมาพร้อมบาดแผล...
RRRrrr เสียงโทรศัพท์ของฮยอกแจเรียกให้ร่างบางหลุดจากภวังค์ความคิด หากคิดว่าเป็นชายหนุ่มคนรักเป็นเข้าของสายคงคิดผิด เมื่อชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นเป็นรุ่นพี่คนสวย
“หวัดดีฮะ พี่ฮีชอล”
// ฮยอกวันนี้ไม่มีเรียนใช่มั้ย //
“ใช่ฮะ”
// งั้นเรามาหาพี่ที่ห้องอาจารย์ทึกกี้ได้มั้ยจ้ะ // เสียงหวานของรุ่นพี่บอกอย่างอารมณ์ดีมีหรือที่คนฟังจะไม่ตอบรับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ฮยอกแจที่ไม่รอให้เสียเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ร่างบางก็มาอยู่ที่หน้าห้องของอาจารย์ตาสวยแล้ว
“อาจารย์ฮะ ผมว่าปีนี้เราซ้อมกับหนังสือจริงเลยก็ได้นะฮะ” เสียงของฮีชอลที่กำลังเอ่ยอยู่ดังขึ้นขณะที่ฮยอกแจเคาะประตูเบาๆแล้วเปิดเข้าไป
“อ้าว ฮยอกแจ มาแล้วเหรอ” รุ่นน้องร่างเล็กก้มทักทายอาจารย์และรุ่นพี่ทั้งสอง แล้วไปนั่งข้างๆฮีชอลตามที่ลีทึกบอก
“ครูก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ให้ฮยอกแจคุ้นกับหนังสือก่อนบ้างก็ดีนะ” คำพูดคุยที่ฮยอกแจได้แต่มองตามตาปริบๆ
“เป็นไงบ้างเรา สวยขึ้นเยอะนะ แต่ทำไมดูไม่ค่อยร่าเริงเลยล่ะ” อาจารย์คนสวยที่เอ่ยทักฮยอกแจ พร้อมกับเอื้อมมาลูบเสนผมนิ่มอย่างเอ็นดู
“เอ่อ ก็ดีฮะ เรื่อยๆ” คำตอบที่ไม่ลงรายละเอียดและหลีกเลี่ยงคำถาม ทำให้ลีทึกและฮีชอลสบตาเข้าใจกัน
“นี่ ปลายสัปดาห์หน้า เราจะทำพิธีมอบหนังสือแล้วนะ ต้องซ้อมกันแล้วล่ะ” ฮีชอลหันมาบอกฮยอกแจที่ได้ยินก็ดูตกใจและอึ้งไปเล็กน้อย
“กำหนดวันแล้วเหรอฮะ” เสียงหวานถามเบาๆ รู้สึกเหมือนวันที่ขีดเส้นไว้ใกล้เข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ใช่แล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรมากหรอก พิธีที่ต้องทำหน้าทุกคนน่ะแป้ปเดียว แต่เวลาที่เราต้องสร้างความคุ้นชินกับหนังสือน่ะนานหน่อย ใช่มั้ยฮะอาจารย์ทึกกี้” ฮีชอลหันไปพยักเพยิดหน้ากับอาขารย์คนสวยที่ยิ้มรับมา
“งั้นเหรอฮะ ผมจะพยายาม...” เสียงหวานที่บอกว่าจะพยายาม แต่กลับดูไม่มั่นใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ทำให้ฮีชอลตัดสินใจถามคำถามที่ตนสงสัยมานานออกไป
“ฮยอกแจ...มีปัญหาอยู่ใช่มั้ย...ความรักของเราน่ะ”
“.......” ดวงตาเรียวไหวระริกไปมานั้นเงยขึ้นสบรุ่นพี่ด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ มือเรียวยื่นไปจับมือเล็กที่กำกันแน่นของฮยอกแจเบาๆ
“พี่กับอาจารย์ทึกกี้ดูออกนะ ว่านายกับซีวอนและชเวมิริน มันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าที่เห็น”
“......ถ้าเรายังไม่กล้าเล่าก็ไม่เป็นไรนะ แต่ครูอยากให้รู้ว่า เราสองคน รับฟังได้” อาจารย์ตาสวยเอ่ยสมทบด้วยอีกคนเมื่อเห็นว่าฮยอกแจดูลังเล
“ผม...ผมคิดว่า...ความรักที่ผมมีอยู่ตอนนี้...มันอาจจะไม่ใช่รักแท้น่ะฮะ” เสียงหวานเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาๆอย่างช้าๆ
“ทำไมเราถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“...เพราะผม...ผมแค่รักเขาข้างเดียวน่ะฮะ” ฮยอกแจก้มหน้าลงต่ำอีกครั้ง การเล่าเรื่องที่ปวดหัวใจนี้ออกมาก็เหมือนตอกเข็มเล็กๆลงในใจเพิ่มลงอีกเล่ม
“........” ฮีชอลหันไปสบตากับอาจารย์ตาสวยราวกับทำความเข้าใจและจะหาทางออกของเรื่องนี้ยังไง
“แล้วเราลองถามเขาดูรึยังล่ะ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้นะ” ลีทีกบอกลูกศิษย์ร่างเล็กที่ไม่เคยมีความมั่นใจในตัวเองเลย
“นั่นสิ ถึงถ้ามันเป็นแค่ความรักข้างเดียว เราก็พยายามให้มันกลายมันเป็นความรักจากคนสองคนได้นี่นา พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยฮยอกแจ...” มือเรียวบีบมือเล็กของรุ่นน้องแล้วเอ่ยต่อ
“..........”
“เราต้องสู้ อย่าก้มหน้าให้ใคร อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้ทำให้เต็มที่...พี่มั่นใจว่าเราทำได้”
“ครูก็เชื่อนะฮยอกแจ ว่าเราต้องเจอรักแท้แน่นอน อาจจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แต่นั่นมันคือบทพิสูจน์ไม่ใช่เหรอ” อาจารย์ตาสวยจ้องลึกเข้าไปในแก้วใสสีน้ำตาลที่เริ่มมีประกายกลับเข้ามา
“...ฮะ พี่ฮีชอล อาจารย์ทึกกี้...ผมจะเข้มแข็งจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“ไม่ต้องทำเพื่อใครหรอก...ทำเพื่อความรักของเราเองนั่นแหละดีที่สุดแล้วนะ” ฮีชอลลูบผมนิ่มของรุ่นน้องด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้น ไม่ต่างกับฮยอกแจที่ยิ้มรับ
“ดีแล้ว เอาล่ะ เรามาเริ่มคุยเรื่องงานพิธีดีกว่านะ”
ทั้งสามคนนั่งคุยนัดแนะเรื่องงาน และการจัดพิธี ฮีชอลที่สอนการอ่านบทกล่าวการรับหนังสือให้ฮยอกแจที่ในช่วงแรกตื่นเต้นจนอ่านผิดอ่านถูกไปหมด โดยมีอาจารย์คนสวยคอยแนะเพิ่มเติมเป็นระยะ
“ฮีชอลเอา หนังสือ มารึเปล่าน่ะ” ลีทึกเอ่ยถามลูกศิษย์ร่างบางที่รับคำแล้วลุกขึ้นไปหยิบกล่องกระดาษสีขาวล้วนมาเปิดออก ด้สนในมีหนังสือเล่มสีเขียวขอบทองเก่าอยู่หนึ่งเล่ม ซึ่งไม่ต้องบอกว่ามันคือ หนังสือเล่มสำคัญ นั่นเอง
“ลองเปิดดูซิ ฮยอกแจ” ฮีชอลเลื่อนหนังสือมาตรงหน้าให้ รุ่นต่อไป ลองเปิดดู
ปลายนิ้วเรียวลูบเบาๆที่ปกสีเขียวเข้ม แล้วค่อยๆเปิดหน้าปกหนานั้นออก กระดาษด้านในสีเหลืองทองตรงกลางหน้าแรกมีสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโซลตีตราเอาไว้ด้วยน้ำหมึกสีทองที่ดูคล้ำลงไปตามกาลเวลา หน้าถัดมาก็เป็นกฏข้อบัญญัติที่ฮยอกแจจำได้ว่า ฮีชอลเคยกล่าวปฏิญาณไว้ครั้งเมื่อวัน พิธีเปิดหนังสือ
มือบางค่อยๆเปิดดูหน้าต่อไปอย่างระมัดระวัง เปิดไปทีละหน้า ทีละหน้าแต่กลับไม่มีตัวอักษรอะไรปรากฏให้เห็นเลยแม้ซักนิด จนคิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างประหลาดใจ
“อาจารย์ทึกกี้ พี่ฮีชอล ทำไมถึงไม่มีอะไรเลยล่ะฮะ” คำถามที่ทำให้เจ้าของชื่อทั้งสองคนหันไปสบตากันยิ้มๆ
“ก็เพราะว่า เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของ...” ลีทึกเอ่ยบอก ก่อนที่ฮีชอลจะเอ่ยรับ
“และก็ยังไม่ได้ทำตามกฏของหนังสือน่ะซิ”
“.....” ดวงแก้วใสมองอดีตผู้ครอบครองหนังสือ และ รุ่นปัจจุบันตาแป๋ว ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
“หนังสือในตำนาน เล่มนี้น่ะถึงจะได้เป็นผู้ครอบครองแล้ว ก็ยังมองไม่เห็นอะไรข้างในหรอกนะ...เพราะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ครอบครองคนปัจจุบันมีรักแท้ได้แล้วจริงๆ ตัวอักษรข้างในจึงจะเผยให้ได้เห็น”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้ พี่ฮีชอลก็มองเห็นตัวอักษรในหนังสือเหรอฮะ” คำถามน่าเอ็นดูกับท่าทางประหลาดใจทำให้คนมองทั้งสองคนยิ้มให้กัน
“ใช่แล้ว...อาจารย์ทึกกี้ก็มองเห็นนะ”
“อ่า..ใช่จริงๆด้วย แสดงว่าคนที่เคยเป็นผู้ครอบครองจะมองเห็นหมดเลยงั้นเหรอฮะ”
“ใช่จ้ะ ทุกคนที่เป็นผู้ครอบครองจะมองเห็นหมดเลย”
“...มหัศจรรย์มากเลยฮะ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาราวกับไม่เชื่อสายตา
ฮยอกแจลูบบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าไปมาอย่างทึ่งๆ หน้ากระดาษสีทองนี้จะปรากฏตัวอักษรมากมายในสายตาคนที่ถูกเลือกแล้วว่า หัวใจบริสุทธ์และค้นพบรักแท้เท่านั้น
“......” รุ่นปัจจุบันและอดีตผู้ครอบครองลองรุ่นต่อไปที่ถูกเลือกมาอย่างปลื้มไม่น้อย หากเป็นคนทั่วไปคงถามมากมาย ว่าในหนังสือเขียนว่าอะไร ทำยังไงจะมองเห็น โกหกรึเปล่า แต่นี่ฮยอกแจเชื่อและนั่งมองหนังสือเงียบๆอย่างทึ่งๆ
“อ่า ใช่แล้วฮยอกแจ เราอาจจะรู้แล้วแต่พี่ต้องบอกอีกครั้งนะ ว่าหนังสือจะอยู่ที่เราอย่างน้อย 1 เดือน หรือเข้าใจง่ายๆว่า ทำพิธีมอบหนังสือแล้วอย่างน้อย 1 เดือน ถึงจะเริ่มหารุ่นต่อไปได้น่ะ”
ฮยอกแจหยุดมือที่ลูบพยักหน้ารับเบาๆ คิดถึงช่วงเวลาที่ถูกกำหนดไว้...
...อย่างน้อยหนึ่งเดือน...ถ้าซีวอนไม่ได้รักเขาจริงๆ...เวลาแค่หนึ่งเดือนให้ได้ยืนอยู่เคียงข้างคงเพียงพอแล้วล่ะ...
_.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._.Flip Love._.~;*’¯’*;~._.~;*’¯’*;~._
“จงอุน แกจะไปไหนอีกห๊ะ”
เสียงเรียวแหลมของคุณนายตระกูลคิมตวาดดังลั่นจากบันไดก้าวบนสุดลงมายังด้านล่างที่มีร่างของลูกชายคนเดียวหยุดยืนอยู่หน้าประตู
เยซองถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เขากลับมาบ้านมาสองวันแล้ว แต่ผู้เป็นมารดากลับเพิ่งเจอหน้าเขาตอนที่กำลังจะออกจากบ้าน หน้าคมส่ายไปมาอย่างเซ็งๆแล้วก้าวเดินต่อโดยไม่สนใจจะตอบคำถาม
“........”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันกลับมาไม่คิดจะเจอหน้ากันเลยใช่มั้ย” คิมจีอันนายหญิงใหญ่ของบ้านตะโกนเรียกชื่อลูกชายที่ไม่แต่สนใจก้าวเดินต่อไปไม่หยุด ขณะที่เดินกึ่งวิ่งลงมาจากบันได
“คิมจงอุน จงอุน หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงแหลมยังคงเรียกชื่อลูกชายตามหลังมา แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อร่างสูงกระโดดขึ้นรถที่ขับกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว
รถคันหรูที่แล่นมาด้วยความเร็วสูง จอดนิ่งลงที่หน้าบ้านหลังเล็กสองชั้น คนขับร่างสูงที่ฟุบลงบนพวงมาลัยนิ่งๆ หลับตาลงเรียกสติที่มันดิ่งลงให้กลับขึ้นมา แล้วจึงได้ก้าวลงจากรถ
“อ้าว ทำไมมาตอนนี้ล่ะไหนว่ากลับบ้านไง” เรียวอุดที่ได้ยินเสียงรถก็เปิดประตูออกมาดู ก็เห็นเยซองเดินตรงเข้ามาหาที่ประตูบ้านแล้ว
“เยซอง...” ร่างเล็กตัวแข็งนิ่งเมื่อร่างสูงวางศีรษะลงบนไหล่เล็ก มือหนาจับเอวบางไว้นิ่ง ไม่เอ่ยสิ่งใด
“...มีอะไรเหรอ เป็นอะไรไปน่ะ”
เรียวอุคที่เห็นคนรักแปลกไปเอ่ยถามพลางยกมือเล็กขึ้นแตะแผ่นหลังกว้างอย่างที่บอกว่า เขาอยู่ตรงนี้
“......เรียกใหม่ได้มั้ย...” แล้วเสียงทุ้มก็เอ่ยคำออกมาทั้งที่ยังแนบหน้าผากไว้บนไหล่ของคนรัก
“เรียกอะไรเหรอ?”
“...เรียกชื่อฉันอีกได้มั้ย...เรียกอีก...”
“....เยซอง...”
“......”
“...เยซอง”
ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจ แต่เรียวอุคก็เรียกชื่อนั้นซ้ำๆ มือเล็กที่ยังวางอยู่บนแผ่นหลังลูบขึ้นลงปลอบให้คนรักที่เหมือนกำลังเศร้าใจนั้นสงบลง
“อะไรกันจ้ะ มายืนสวีทกันหน้าบ้านอย่างนี้ เดี๋ยวเขาก็รู้กันหมดหรอกว่า แม่มีลูกเขยแล้วน่ะ”
คิมฮยอซอนที่มองเห็นเหตุการณ์แต่แรกเอ่ยทักลูกสาว(?)และลูกเขยที่พอได้ยินแล้วก็ผละออกจากกันช้าๆ หญิงสาวสูงวัยเรียกให้เข้ามาในบ้านจะได้ช่วยกันทำอาหารเย็นทานกัน เธอไม่รู้ว่าเยซองมีปัญหาอะไร เธอรู้เพียงแค่ว่าบรรยากาศที่อบอุ่นของครอบครัวเธอจะช่วยทำให้จิตใจที่เศร้าหมองนั่นดีขึ้นแน่นอน
เรียวอุคที่ได้แต่มองตามหลังกว้างที่เดินตามมารดาตนเองเข้าครัวไป เขารู้ว่าคนรักมีปัญหาอะไรบางอย่าง เยซองอาจจะยังไม่พร้อมที่จะบอก แต่เขาก็อยากให้รู้ว่าไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็พร้อมจะเคียงข้างและเข้าใจได้เสมอ
TBC.
เยเรียวเขามีอะไรมากกว่าที่คิดนะคะ ที่พี่เย่เขาขรึมเขาไม่ได้อารมณ์ขึ้นๆลงๆน้าาาา
เขาเครียดจากที่บ้านมาเลยอยากสดใสเป็นตัวของตัวเองกับคนรักบ้าง
ตอนหน้า งานมอบหนังสือ และ....หนุ่มตัวหอมอีกคน เขาคัมแบ็คแล้ว ค่า อิอิ
ปล.ที่กิ้บบอกว่า วอนฮยอก จัดยาววววว<<< ไม่ใช่จัดหนักอย่างนั้นน้าาาา ใครเข้าใจผิดยกมือหน่อยเร็ว คึคึ
ปลล.คนที่รอเอ็นซี อีกประมาณ สามสี่ตอนขึ้นไป หรือไม่ก็มาแบบไม่ให้รู้ตัวเลยค่าาาา5555
ขอบคุณที่ยังรออ่านอยู่เสมอนะคะ ^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ คะแนนโหวต และที่เข้ามาอ่านทุกคนค่ะ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่เย่มีปมอะไยย
มีเค้าอยู่ด้วยทั้งคน
วอนแกรีบกำจัดมิรินให้ออกไปจากวงโคจร
ของแกกับฮยอกด่วนเลยก่อนที่แกจะเสียฮยอกไป
ไม่ชัดเจนสักทีนะ
อะไร โลเล โซเซ เป็นไม้หลักปักในเลน
หนักแน่นหน่อยเพ่!!!
ฮยอกมีชู้เลย เราเชียร์
วอนเองก็มีใจมาแล้ว เพียงแต่โลเล ไม่หนักแนน่น
ฮยอกก็สู้เพื่อความรักของตัวเองกับวอนนะ
เอาใจช่วย
หมันไส้วอนอยากให้ซึงโฮมาแทน 555555555555555
แห้วรับประทานแน่พ่อคุณ
บอกได้คำเดียวว่าอยากตบมิรินมากกกก
เกลียดทุกคนที่ทำให้ฮยอกแจร้องไห้
แงงงงงงงงไม่เอาอ่า
สงสารฮยอก
วอนทำตัวดีๆหน่อยๆ อย่าไปตามใจนังนั่นมาก
ฮยอกเอ๊ยยยย หนูตัดสินใจจะสู้แล้วนะ ลุยเลยสิลูก เขี่ยยัยมิรินด้าทิ้งไปเลย (พี่จะบอกอะไรให้นะตอนนี้น่ะคุณชายเชวหลงเมียระดับ10อ่ะ ชี้ไปที่ปลาแล้วบอกว่าเป็นนกนะมันยังเชื่อเล้ย!)
อยากส่งฮยอกให้พี่ซึงโฮแทนแล้วเนี่ย