คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : งานวิวาห์อันอึมครึม
Chapter 7 งานวิวาห์อันอึมครึม
เมื่อหายนะมาจ่อที่คอหอย เท้าและขากลับไม่กระดิก
นายกรัฐมนตรีหนุ่มเบิกตาตะลึงค้าง กลิ่นหอมของดอกไม้ประหลาดฉุนรุนแรงจนเขาแทบสำลัก และเสียงหัวเราะกังวานหวานช่างเย็นเยือกจนเสียวสะท้านไปถึงไขสันหลัง นายกรัฐมนตรีพยายามยกเท้าถอยหลัง แต่น่าประหลาดเมื่อชีวิตตกในห้วงวิกฤติ ขาและแขนกับอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนขยับเขยื้อนไม่ได้ ราวกับมันปฏิเสธที่จะฟังคำสั่งเสียอย่างนั้น
ทุกสรรพสิ่งพลันมืดมิด และดวงตาของเขาพลันบอดสนิท เสียงกรีดร้องและหัวเราะปริศนา กระหน่ำอยู่ในโสตประสาทของชายหนุ่ม เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะปิดกั้นเสียงนั้น เช่น ยกมือขึ้นมาปิดหู หรือปัดมือไปมารอบกายอย่างคนบ้าคลั่ง หวังว่า ‘เสียง’ นั่นจะถูกสะบัดกระเด็นไปให้ไกล
แต่ดูเหมือนจะไร้ผล เสียงหัวเราะเป็นคลื่นความถี่ที่น่าสะพรึงกลัว มันทำลายจิตประสาทของชายหนุ่ม นายกรัฐมนตรีทรุดฮวบลงกับพื้น แผดเสียงร้องดังลั่นอย่างทรมาน
“ท่านนายกฯ!!!”
ประตูไม้โอ๊คทาสีขาวเปิดผัวะเข้ามา ชายหนุ่มผมบรอนด์ในเสื้อโค้ทตัวยาวสีน้ำตาลแก่ยืนอยู่ที่ประตู เขาเบิกตากว้าง มองไปยังร่างของนายกรัฐมนตรีหนุ่มที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น สองมือสะเปะสะปะปัดไปทั่วราวกับคนไร้สติ ปากกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรีบเข้าประคองผู้บริหารอาณาจักรทันใด ทว่านายกรัฐมนตรีกลับรีบเอามือปัดป้องอย่างหวาดหวั่น ดวงตาเหลือกลาน ท่าทางคลุ้มคลั่ง
“ท่านนายกฯ! กระผมเลอร์คิแมร์ รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศเองขอรับ” เลอร์คิแมร์ตะโกนกรอกหูนายกฯหนุ่ม ดูเหมือนจะได้ผล อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์แต่ดวงตายังมองไปรอบกายอย่างหวาดหวั่น
เลอร์คิแมร์ มองไปรอบห้อง ก่อนจะเห็นแว่นตาของท่านนายกฯหลุดตกบนพื้น เลนส์ขวาแตกเป็นรอยร้าว เขารีบก้มลงเก็บแว่นนั้นส่งให้นายกรัฐมนตรี
“ท่านนายกฯ มันเกิดอะไรขึ้น”
นายกฯหนุ่มรีบใส่แว่นอย่างกระวนกระวายพยายามหอบหายใจอย่างหนัก ขณะมองรัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศนิ่งนาน ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้างคล้ายยังติดตาในภาพฝันร้ายอันน่าสะพรึง...ก่อนที่จะส่ายหน้า
“ไม่...ไม่มีอะไร...แค่...” นายกรัฐมนตรีนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงหายใจรุนแรงของเขา “แค่...แว่นตก...มองไม่เห็นอะไร...แค่นั้นเอง”
เลอร์คิแมร์ไม่ได้พูดอะไร เขามองนายกฯหนุ่ม อย่างเงียบเชียบ เลอร์คิแมร์ไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูด ท่านนายกฯจะต้องเห็นอะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมพูด อย่างไรก็ตาม เลอร์คิแมร์รู้ดีว่าต่อให้พยายามถามหรือคาดคั้นเพียงใด นายกรัฐมนตรีแห่งอาณาจักร...ก็ไม่มีทางพูด
และจนเวลาผ่านไปหลายปีต่อมา นายกฯหนุ่มก็ยังไม่ยอมปริปากบอกใครว่า ในวันนั้น เขามองเห็นอะไร เป็นไปได้ว่าแม้แต่เขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ มันคงจะเป็นความลับตราบนานเท่านาน
งานวิวาห์ในวันนี้โอบล้อมด้วยสีเทาหม่นชวนโศก
บทเพลงวิวาห์กังวาน ฝูงนกกาสีดำโผบินว่อนเต็มท้องฟ้า มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนหวาดหวั่น เหล่าวงออเคลสตร้าพยายามบรรเลงดนตรีแสนสุขเป็นเกียรติให้คู่บ่าวสาวจำนวนนับสิบคู่ที่มาร่วมพิธีวิวาห์ ทว่าเสียงเพลงเหล่านั้นกลับถูกบดบังด้วยเสียงฟ้าร้องครืนคราวราวข่มขู่ เสียงวิโอล่าไร้พลังชวนหงอยเหงา เสียงปิโกโร่พาให้ว้าเหว่ และเสียงฮาร์พที่ควรจะนุ่มนวลกลับฟังดูแผ่วกระซิกอย่างอ้อยอิ่ง แม้กระทั่งเหล่านักดนตรีที่พยายามฉีกยิ้มแก้มบาน โยกตัวสร้างบรรยากาศครื้นเครง ก็ไม่ได้ช่วยให้งานรื่นเริงขึ้น พวกเขาดูเหมือนหุ่นปั้นฉีกยิ้ม ที่โยกไปมาอย่างแข็งกระด้างราวไร้ชีวิตเสียมากกว่า
โรซ่าจูงมือโรมเข้าไปนั่งตรงม้านั่งแถวหน้า วิหารสูงชะลูดถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีชมพูและขาวส่งกลิ่นจรุงหอมฟุ้ง ทว่าเจ้าดอกไม้เหล่านั้นกลับซบซึมเซาและหม่นเศร้า ใบเหี่ยวแห้งราวกับมันสิ้นหวังที่จะผลิบานในฤดูกาลครึ้มฝน ฟ้าเป็นสีเทาส่งเสียงคำรามเป็นระยะ เมฆดำกระจายปกคลุมทั่วเป็นรูปคล้ายใบหน้าปีศาจกำลังแสยะยิ้ม ทุกที่มืดสลัวเป็นสีเทา จนเมอร์ติ หัวหน้าแม่บ้านต้องระดมคนไปช่วยจุดเทียนตามเชิง และจุดคบไฟให้สว่าง น่าประหลาดที่แม้กระทั่งเปลวไฟก็ยังไหวระริกริบหรี่อย่างสิ้นพลังจนน่ากลัวว่ามันจะดับ
ไม่ไกลจากวิหารมากนัก เสียงตอกตะปูดังกึกก้องเป็นจังหวะ ฟังดูวังเวงพิลึก โรมเหลียวมองออกไปนอกหน้าต่างวิหาร ซาริน่า อัศวินสาวเดินวนไปมา ในมือกุมดาบเพื่อรักษาความปลอดภัย ไกลออกไป ท่ามกลางอากาศหม่นหมอง กรรมกรสาวใบหน้าขาวซีดคนหนึ่งกำลังตอกตะปูซ่อมหลังคาที่ถล่มเพราะพายุ ฟังดูเผินๆ คล้ายเสียงตอกโลงศพเสียมากกว่า ดวงตาของหล่อนเลื่อนลอย และมือนั้นทำงานไปราวเครื่องจักรไร้ชีวิต
โรมละสายตาจากกรรมกรแล้วกอดโรซ่าแน่น วันนี้เด็กชายหวีผมเรียบแปล้ เพราะถูก แม่บ้านจับเอาน้ำมันทาผมเสียจนมันวาวแทบส่องกระจกได้ ส่วนโรซ่าก็หน้าขาวยิ่งกว่ากระเบื้อง หล่อนโดนผัดแป้งหนาเสียจนจะจามออกมาไม่รู้กี่ครั้ง ทุกคนในงานใส่ชุดสีขาว ชายผ้าแต่ละคนสะบัดพลิ้วและเลื่อนลอยดังหนึ่งวิญญาณเคลื่อนไหว
หน้าปะรำพิธี นายกรัฐมนตรีเดินเข้ามา ใบหน้าของเขาดูแก่ลงกว่าครั้งล่าสุดที่โรมเห็นไปสิบปี แว่นข้างหนึ่งของนายกฯแตกร้าว และผมของเขาเป็นสีเทาทั้งหัว ท่าทางอ่อนล้าและคล้ายคนหมดแรง เสียงแขกเหรื่อเงียบลง ทุกคนต่างนิ่งฟังปราศรัยจากท่านนายกฯ
“ถ้างานวันนี้ผ่านไปได้ดี” นายกรัฐมนตรีมองทุกคนในงาน “ก็เท่ากับมีผู้ต้านทานคำสาปร้ายของ ‘นาง’ ได้สำเร็จ อาณาจักรของเราก็จะหลุดจากความสิ้นหวัง ทุกคนจะเปี่ยมสุขและเต็มไปด้วยความรัก”
ระฆังวิวาห์ลั่นกังวาน ประตูวิหารเปิดออก ส่งเสียงเอี๊ยดอาดดังสนั่นราวกับเสียงภูตผีกรีดร้อง วงดนตรีโหมบรรเลงเพลงชื่นมื่นที่ฟังแล้วชวนหดหู่เสียมากกว่า เจ้าสาวคล้องแขนเจ้าบ่าวเจ้ามาในวิหาร พวกหล่อนใส่ชุดสีขาวเหมือนกันหมด ไร้เครื่องประดับกายใดๆ ใบหน้าแต่ละคนขาวซีด มองดูผิวเผิน คล้ายกลุ่มดวงวิญญาณไร้ชีวิตกำลังเดินเข้ามาอย่างเลื่อนลอย
“ครั้นนั้น กิลเลี่ยน ก็กล่าวแก่หญิงคนรักของเขาว่า” นักบวชเปาโล ผู้ยืนอยู่หน้าปะรำพิธี เปิดคัมภีร์แห่งอทรัมมาซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของอาณาจักร ฝุ่นฟุ้งตลบ กระดาษแต่ละแผ่นเป็นสีเหลืองและแห้งกรอบ ตัวอักษรเลือนราง “ฟังเถิดแองบาโฟเนีย ยอดรักแห่งข้า จากนี้ไปด้วยอำนาจแห่งสัตยาบรรณ จุมพิตแห่งเจ้าจะประทับที่ริมฝีปากของกิลเลี่ยนชั่วนิรันดร์ ดวงตาของเขาจะไม่มองเห็นใครนอกจากแองบาโฟเนีย หูของเขาจะยินเพียงเสียงนาง และริมฝีปากของเขาจะพร่ำบอกรักแองบาโฟเนียเพียงผู้เดียว”
เสียงของนักบวชแห้งแหบและแผ่วเบาขณะอ่านคัมภีร์แห่งอทรัมมา โรมซุกตัวกอดโรซ่าแน่น ผู้ฟังหลายคนร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยเฉพาะดอลล่า ดัชเชสแห่งแคว้นน้ำตา
ตำนาน ความรักของกิลเลี่ยนและแองบาโฟเนีย ปรากฏในคัมภีร์อทรัมมา เป็นนิทานปรัมปราที่ชาวอาณาจักรในม่านหมอกทุกคนรู้จัก เรื่องราวของราชันนักรบผู้หลงรักบุตรีของศัตรู ในอดีต พ่อเคยเล่านานเรื่องนี้ให้ลูกๆฟังก่อนนอน แต่โรมไม่ค่อยซาบซึ้งกับมันมากนัก อาจจะเพราะเด็กชายยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจความรักของผู้ใหญ่ สำหรับโรม ...ความรักคือไออุ่นในอ้อมอกที่จะทลายความเดียวดายให้สิ้นไป เหมือนที่เด็กน้อยรักอ้อมอกของโรซ่า ของแม่ และของพ่อ
“แองบาโฟเนียยอดรัก” เสียงของนักบวชยังดังต่อไป “เมื่อยามเจ้าท่องพงไพรจะมีกิลเลี่ยนคอยถางถางเส้นทาง เมื่อยามเจ้าตกในนิทราจะมีเขาคอยปัดเป่าฝันร้าย เมื่อยามเจ้าสุขสันต์จะมีเขาคอยยินดี และเมื่อยามเจ้าร่ำไห้จะมีเขาคอยปลอบโยน ด้วยวิญญาณนี้ กิลเลี่ยนจะเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว”
ฉับพลันนั้นเองวิหารก็สั่นไหวอย่างรุนแรง นักบวชหนุ่มหยุดอ่านคัมภีร์ สาวๆพากันกรีดร้องอย่างตกตะลึง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน เศษหินร่วงลงมา
“แย่แล้วสิ! นี่มันวิบัติภัยชัดๆ ‘นาง’ คงโกรธเข้าแล้ว เพราะเจ้านายกฯ ซื่อบื้อ!” ฟาราฟีเน่กรีดเสียงร้อง ขณะดึงมือดอลล่าหลบเศษหินหล่น
“นี่ไม่ใช่เวลาโทษความผิดใครนะ ให้ตายสิ!” เกรย์ย่าสบถออกมา สีหน้ายุ่งอย่างที่หล่อนไม่เคยเป็นมาก่อน
ทันใดนั้นพายุก็พัดกระหน่ำ ปะปนกับเสียงกรีดร้องของผู้คนดังอื้ออึงกึกก้องทั่ววิหาร ประตูไม้สลักบานหนาหนักเปิดปิดไปมาอย่างรุนแรงส่งเสียงกระทบกึกก้องคล้ายข่มขู่ ฝนตกกระหน่ำหนัก ต้นไม้เอนไหวรุนแรง ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงกลางวิหาร จนหลังคาเป็นช่องโหว่ให้ฝนสาดเทลงมา ไฟลุกพรึบ กลิ่นเผาไหม้ตลบไปทั่ว กระโปรงชุดแต่งงานของเจ้าสาวคนหนึ่งติดไฟ หล่อนวิ่งวนไปมาอย่างขาดสติ โดยมีเจ้าบ่าวพยายามสิ่งไล่ตามดับไฟให้
เหมือนจะเกิดแผ่นดินไหว เหล่าแขกเหรื่อพากันรีบลุกหนีจากที่นั่ง หลบเศษหินกันวุ่นวายจ้าละหวั่น นักดนตรีอ้าปากหวอ พวกเขาแบกเครื่องดนตรีวิ่งชนคนนั้นทีคนนี้ที นักสีไวโอลินคนหนึ่งทำไวโอลินสุดหวงตกพื้น ท่ามกลางความวุ่นวายมันโดนเหยียบเสียแหลกยับ นายกรัฐมนตรีขยับแว่นอย่างตื่นตะลึง มองความโกละหลโดยรอบ
“รีบกันทุกคนออกไปจากที่นี่เร็ว!!”
โรซ่ารีบอุ้มโรมหนีไปซ่อนหลังกระถางต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งตรงมุมวิหาร ข้างหน้าต่างบานหนึ่ง กลุ่มควันสีดำพลันไหลทะลักเข้ามาปกคลุมทั่ววิหารแห่งนี้ ทุกคนกรีดร้องดวงตาแต่ละคนเบิกกว้างหวั่นผวา
กลุ่มความมืดค่อยๆบดบังดวงตาให้มืดบอดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง เสียงหัวเราะกรีดแหลมดังขึ้นชวนสยดสยองดังไปทั่ว ไฟร้อนโหมลุกเผาไหม้ทุกสรรพสิ่งอย่างเหี้ยมเกรียม ดวงตาสีฟ้าใสของเด็กชายเบิกกว้าง เขามองเห็นผู้คนมากมายพยายามหลบหนีความตายกันอย่างน่าเวทนา พวกอัศวิน รีบเข้ามาป้องกันและพานายกรัฐมนตรีกับเหล่าขุนนางออกจากวิหาร ใครคนหนึ่งกรีดร้องกลางปะรำพิธีร่างของเขาถูกไฟครอก ดิ้นทุรนทุรายบนพื้น โรซ่ารีบยกมือขึ้นปิดตาโรมทันที เด็กน้อยหอบหายใจหนัก เสียงร้องไห้โหยหวนของคนผู้นั้นดังก้องในหูของเด็กชาย....และเสียงชุลมุนมุ่นวายยังดังไม่รู้จบ
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่โรมและโรซ่าหลบซ่อนอยู่หลังกระถางต้นไม้นั้น แต่มันช่างยาวนาน...ราวกับตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่ยอมจางหาย ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามากลืนกินทุกสิ่ง เสียงนกกากังวานดังโหยหวนไปทั่ว
ท่ามกลางความวุ่นวายและพายุรุนแรงที่เริ่มสงบลง คล้ายว่าความชุลมุนจบสิ้นแล้ว เสียงกรีดร้องของเหล่าผู้คนหายไป มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของโรซ่า เข้ามาแทนที่ เสียงตอกตะปูหลังคาชวนวังเวงของกรรมกรยังคงอยู่ โรซ่าค่อยๆเอามือที่ปิดตาน้องชายออก
โรมเงยหน้ามองพี่สาว ดวงตาของหล่อนแดงจัด ไม่รู้ว่าหล่อนมองเห็นอะไรบ้าง
“พวกเขา...” เด็กชายมองไปรอบๆ นอกจากซากปรักหักพังแล้ว เขาไม่เห็นใครเลย “หายไปไหนกันหมดฮะ” เด็กน้อยเงยหน้าถามพี่สาว โรซ่าก้มสบตาน้องสาว ดวงตาของหล่อนแดงกร่ำ เด็กหญิงกลั้นสะอื้นแล้วกอดโรมไว้แน่น
“อยู่ๆพวกเขาก็หายไป...หายไปเลย” โรซ่าตอบเสียงแหบพร่าจนเกือบไม่ได้ยิน
“พวกเขาจะหายไปเลยได้ยังไงฮะ ต้องมีใครพาพวกเขาไปสิ” เด็กชายถลาจะลุกขึ้นยืนออกจากหลังกระถางต้นไม้ที่หลบซ่อน และทำท่าคล้ายตะโกนเรียกหาใครสักคน
“ท่านนายก!”
“หยุดนะโรม”
โรซ่าห้ามเสียงกระซิบ รีบลนลานลากโรมกลับเข้ามาในที่ซ่อน เด็กสาวปิดปากน้องชายแน่นมือสั่นสะท้าน กอดเขาและเขยิบแอบเข้าไปในมุมมืด โรมสัมผัสได้ว่ามือของพี่สาวเย็นเฉียบและชุ่มเหงื่อ ใบหน้าของหล่อนซีดจัด ดวงตาสั่นผวาราวลูกกวางที่ตกอยู่ในวงล้อมกับดักของนายพราน
โรมทำท่าจะเหลียวไปถามโรซ่า “ทำไม...”
พลันพายุก็ลุกฮือ และความหนาวเยือกเข้าชอนไชทุกสถาน กลุ่มควันสีดำไหลเข้ามาในวิหารพร้อมนำพาความมืดยิ่งกว่ารัตติกาลมาปกคลุม โรซ่ายกมือปิดมือปากปิดตาน้องชายแน่น ไม่ให้เขาเห็นและไม่ให้เขาพูดอะไร ในขณะที่ตัวหล่อนก็หลับตาปี๋ด้วยความหวาดผวา โรมสัมผัสได้ว่าพี่สาวของเขากำลังหวาดกลัวสุดขีด
กลุ่มควันหนาวเยือกนั้นล่องลอยไปรอบๆวิหารราวกับมันตามหาใครสักคนที่หลบซ่อนอยู่ หัวใจของโรซ่าเต้นระทึกจนโรมยังตกใจ
แล้วทุกอย่างก็มืด...มืดสนิท มืดยิ่งกว่าตอนที่เทียนหมดในคืนเดือนมืดเสียอีก
มันเงียบ..เงียบจนโรซ่าและโรมแทบจะกลั้นหายใจ เพราะเกรงว่าแค่เสียงแผ่วของลมหายใจก็อาจจะนำพาหายนะมาเยือนได้ มันหนาว หนาวเสียยิ่งกว่าฤดูเหมันต์ทางตอนเหนือของแคว้นแห่งความเหน็บหนาว หนาวจนฟันของเด็กชายกระทบกัน
โรมถูกปิดตาไม่ให้เห็นอะไร และถูกปิดปากไม่ให้พูดอะไร...เด็กน้อยรู้สึกเหมือนจะร้องไห้... จู่ๆเขาก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ โหยหาไออุ่นของพวกเขา น้ำตาหยดหนึ่งไหลปริ่มที่ขอบตาเด็กชาย
“มันไปแล้ว” โรซ่ากระซิบข้างหูน้องชาย ก่อนที่หล่อนจะค่อยๆเลื่อนเอามือที่ปิดหูปิดตาโรมออก ฉุดโรมออกภวังค์ความคิดถึง
“มันเป็นใครฮะ” เด็กชายยกมือขึ้นป้ายน้ำตาขณะถาม มองไปโดยรอบ ...สีเทาฉาบทาทุกสิ่งแม้แต่ดอกไม้...
“มัน...” โรซ่าส่ายหน้าช้าๆ เห็นได้ชัดว่าผมของเด็กสาวกลายเป็นสีเทาแล้ว “มันไร้ตัวตน...มันมาพร้อมความมืด ความเงียบ ความหนาว...และความสิ้นหวัง จากนั้นมันก็หายไป...และพาพวกเขาไปด้วย”
วินาทีนั้นโรมตระหนักว่าพี่สาวของเขาดูแก่ขึ้นถนัดตา
“ผม..กลัว...” เด็กน้อยเกาะแขนพี่สาว เขากอดโรซ่าแน่น ตอนนี้พวกเด็กๆไร้ที่ปกป้องคุ้มครองแล้ว เหล่าดัชเชสทั้งสี่หายไป และพวกผู้ใหญ่ทั้งหมดในวิหารหายไป หายไปเลย...หายไปอย่างไรไม่มีใครรู้ เหมือนหายวาบราวกับไม่เคยมีตัวตนในโลกใบนี้...เหลือแต่โรมและโรซ่า ซึ่งเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่กำลังอยู่ท่ามกลางหายนะอันมองไม่เห็น ไม่มีผู้ใหญ่คอยอยู่ข้างๆ โรมและโรซ่าไม่รู้กระทั่งว่าจะทำอะไรต่อไป ทุกอย่างไร้จุดหมาย เหมือนกับว่าทุกที่เต็มไปด้วยกรงเล็บปริศนาที่พร้อมจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเมื่อ
งานวิวาห์ล่มเสียแล้ว…แผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า
โรมตระหนักว่าตอนนี้เขาอยากกลับบ้าน...
เสียงตอกตะปูยังดังข้างนอก...กรรมกรประหลาดคนนั้นยังคงซ่อมหลังคาโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวิหารแห่งนี้ เป็นไปได้ว่าทุกคนข้างนอก...ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรในวิหาร
ท่ามกลางเสียงตอกตะปูเป็นจังหวะของกรรมกร โรซ่าสำรวจโดยรอบแล้วพบว่าไม่น่าจะมีอันตราย หล่อนก็พาโรมเดินออกมาจากวิหารอย่างระแวดระวัง ...
แล้ว...เสียงตอกตะปูของกรรมกรก็ชะงักและเงียบหายไปอย่างน่าตกใจ โรมเหลียวมองออกไปเพื่อมองหา... เด็กชายเห็นกรรมกรสาวผู้ตอกตะปูลุกขึ้นยืนบนขอบหลังคา ผมของหล่อนกลายเป็นสีเทา และใบหน้าซีดจัด ดวงตาเหม่อลอยไปไกล หล่อนหัวเราะแผ่วเบาอยู่ลำพัง ไม่มีใครสังเกตเห็น...
แล้วหัวใจของโรมก็ไหววูบ ดวงตาใสไร้เดียงสาของเด็กน้อยเบิกค้าง กรรมกรสาวทิ้งร่างของตัวเองลงจากบนหลังคา ร่วงหล่นบนพื้น เด็กชายนิ่งอึ้งมือเย็นเฉียบ แทบหยุดหายใจไม่กระพริบตา และไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น ผู้คนที่เดินผ่านไปพากันกรีดร้องและเข้าไปมุงดูที่ศพอันชวนสยดสยอง
นั่นเป็นครั้งแรก...ที่โรมมองเห็นคนตาย
ความคิดเห็น