ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Silent Lalullby ลำนำรัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #14 : คณะละครสัตว์ของคนคลั่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 144
      0
      18 พ.ค. 59

     


    Chapter 13 คณะละครสัตว์ของคนคลั่ง

     

     

     

    สายลมปริศนาพัดจากไปแล้ว

    จอมมารลืมตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ ความรู้สึกง่วงงุนยังคงอยู่ เมื่อพยายามตั้งสติก็พบว่าตัวเองนอนฟุบไปกับโต๊ะทำงาน แสงตะเกียงดับไปนานแล้ว ภายในโถงกว้างนี้จึงมืดสนิท และเงียบสงบ แต่แล้วทันใดนั้น เขาก็พลันเบิกตากว้าง ความรู้สึกง่วงปลิดกระจายหายไปทันทีเมื่อพบว่าแผ่นหินปริศนาบนโต๊ะของเขา ได้กลายสภาพเป็นเพียงเศษหินกระจัดกระจายไร้ค่าเสียแล้ว

    ชายหนุ่มพยายามเค้นสมองอย่างยากเย็นเพื่อนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งประสบมาสักครู่

    เขาหลงไขปริศนาเข้าไปในห้องลับซึ่งก่อสร้างด้วยหินทรายสีชมพู เสียงน้ำตกและกลิ่นสายน้ำยังอ้อยอิ่งในความทรงจำ ความรู้สึกครั้งนั้นกึ่งกลับกึ่งฝัน เขาไม่พบใครสักคน นอกจากเสียงเพลงเร้นลับที่ร่ำทำนองอันเสนาะอย่างไม่รู้จบ เล่าถึงหญิงงามในปราสาทผู้กลืนกินหัวใจชาย...

    เขารู้มาว่าบทเพลงนั้นเป็นเพลงกล่อมเด็กของอาณาจักรม่านหมอก ด้วยท่วงทำนองเนิบช้า และเยือกเย็นแผ่วกระซิบ...มันจึงมีมนต์ขลังพาให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มและจมดิ่งสู่นิทราโดยไม่ยากเย็นนัก ว่ากันว่ามันเป็นบทเพลงเสียดสีผู้นำแห่งอาณาจักร หญิงงามในหอคอยสูงตระหง่าน ผู้คร่าชีวิตชายนับพัน

    เขาจำอะไรไม่ค่อยได้นัก นอกจากท่อนท้ายๆ ของบทเพลงที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในภวังค์ฝันของชายหนุ่ม เล่าถึงความชอกช้ำ และหัวใจที่แตกสลายของสตรีสูงศักดิ์ในนิทาน เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ก็พอคาดเดาไม่ยากว่าบทเพลงต้องการสื่อถึงผู้ใด

    “๐ ย่ำกุหลาบจนชอกช้ำ นางสะอื้นน้ำตาพรม

    แล้วนางก็ตรอมตรม  จมหัวใจใต้ซากดิน”

    นั่นเป็นบทเดียวที่สติสัมปชัญญะอันง่วงงุนชายหนุ่มสามารถจดจำได้ในขณะนั้น ดวงตาสีอำพันเหม่อมองความมืดยามราตรีอย่างครุ่นคิด..โถงหินทรายสีชมพูที่เขาพบ แท้จริงแล้วยังไม่ใช่ห้องลับ แต่ในคือประตูอีกบานที่เต็มไปด้วยปริศนา และเขาจะต้องพยายามฝ่าไปให้ได้

    ความปรารถนาที่จะไขประตูสู่ห้องลับเริ่มอัดแน่น ชายหนุ่มตระหนักในวินาทีนั้นว่า ความลับในห้องนั้นเป็นของเขา...มันถูกสร้างมาเพื่อเขา เสียงของมันร้องเรียกหาเขา แม้แต่ยามเข้านอน มันก็กระซิบขอร้องให้เขาไปพานพบมัน และใครบางคนในนั้นกำลังรอคอยเขา...นาง ผู้สาบสูญไปจากชีวิตชายหนุ่มโดยไม่ล่ำลา

    ดวงตาสีอำพันของจอมมารหนุ่มวูบวาบด้วยประกายสะท้อนจันทร์...เขาประจักษ์ชัดแล้วว่าจะด้วยวิธีใด หนทางใด เขาจะต้องช่วงชิงคำตอบแห่งปริศนามาให้ได้!!

     

    ชายคนนี้เหมือนนักปราชญ์ผู้สุขุม ชั่วขณะเขาคล้ายชายธรรมดาที่ปลดปลงกับชีวิต

    ถึงกระนั้น โรซ่าก็มองเห็นแววทะเยอทะยานอันยโสที่หลบเร้นในดวงตาของเขา และที่น่าประหลาดคือดวงตาคู่นั้นยังมีความโศกเศร้าแอบแฝงอยู่ ใบหน้าของเขายังเยาว์วัย แต่วิธีพูดวิธีคิดกลับดูเหมือนชายชรากร้านโลก หลายครั้งเขามักเหม่อมองออกไปไกลแสนไกลราวไร้จุดหมาย คล้ายรอคอยใครสักคน

    เจ็ดคืนแล้วที่เด็กๆ พักอยู่ที่นี่กับไพร์ส โรซ่าสังเกตเห็นชีวิตซ้ำซากของเขา ยามเช้าชายหนุ่มจะตื่นขึ้นมานั่งที่ระเบียงและสวดมนต์เบาๆ ก่อนจะจิบชาอ่านหนังสือในยามสาย และเมื่อตะวันคล้อยบ่าย  เขาก็จะเริ่มเขียนอะไรบางอย่างลงไปในกระดาษ จนกระทั่งสนทยามาเยือนเขาก็จะนั่งทอดถอนอารมณ์อยู่ตรงระเบียง และเฝ้ามองตะวันลาลับขอบฟ้าอย่างเดียวดาย ที่น่าฉงนคือ เมื่อตะวันตกดิน ชายหนุ่มก็จะออกจากบ้านไป และหายไปเกือบค่อนคืน กว่าจะกลับมาก็เกือบรุ่งสาง จนน่าสงสัยว่าเขาไปทำอะไรที่ไหน

    ไพร์สยินดีที่จะให้เด็กๆ พักกับเขาตราบเท่าที่ต้องการ โดยมีข้อแม้ว่าเด็กๆ จะต้องไม่รบกวนกิจวัตรอันซ้ำซากของชายหนุ่ม และช่วยแบกน้ำกับหญ้าไปให้ลาสองสามตัวในคอกกินทุกๆ เช้า แต่ข้อห้ามที่สำคัญยิ่งก็คือ ห้ามเด็กๆ ไปเยือนป่าตะวันตกโดยเด็ดขาด

    แน่นอนว่าโรมเชื่อฟังอย่างเด็กดี เจ้าหนูน้อยตัวกระจิดหวาดกลัวภูติมรณะกินคนจนตัวสั่น

    แต่สายตาโรซ่าซุกซนเสมอ และหล่อนไม่เคยยอมปล่อยให้ความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ หลุดลอยผ่านไปเด็ดขาด

    เด็กสาวหาโอกาสตลอดเวลาที่จะแอบเล็ดลอดไปสังเกตตามชายป่าตะวันตก แม้จะไม่กล้าเข้าไปข้างใน แต่โรซ่าก็ไม่เห็นอันตรายอะไรในนั้น เมื่อลองปล่อยกระต่ายป่าตัวเล็กๆ เข้าไป เจ้ากระต่ายน้อยสีเทาหายเงียบไปนานเกือบชั่วยาม แต่แล้วเมื่อตะวันใกล้ตกดิน มันก็วิ่งกระดิกหูออกมาอย่างอารมณ์ดี นั่นยิ่งทำให้เด็กหญิงเชื่อมั่นว่าภายในป่านี้อาจจะไม่มีภูติกินคนอย่างที่นักปราชญ์ผมเงินคนนั้นเล่าไว้

    แต่จนถึงตอนนี้ โรซ่าก็ยังให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเมื่อแรกที่หล่อนและโรมเข้าไปในป่า จึงรู้สึกง่วงงุนและอยากหลับเสียให้ได้ แน่นอนว่าหล่อนจะต้องหาทางมาพิสูจน์ให้ได้สักวัน

    ไม่เพียงแค่เรื่องป่าต้องห้ามตะวันตกเท่านั้น สายตาซุกซนโรซ่ามักสังเกตเห็นผีเสื้อเรืองแสงสีขาวในขวดโหลและกลีบกุหลาบสีน้ำเงินแห้งเหี่ยว ทั้งดอกไม้และผีเสื้อชนิดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะได้ครอบครอง โรซ่ารู้ดีว่ากุหลาบสีน้ำเงินและฝูงผีเสื้อสีขาวเรืองแสงน่าพิศวงเป็นสมบัติล้ำค่าของ นาง โรซ่าไม่ใช่คนที่จะเก็บงำความสงสัยไว้กับตัว เย็นวันหนึ่ง เด็กหญิงจึงถามออกไป

    “ท่านได้มันมายังไงคะ”

    ไพร์สซึ่งกำลังเขียนข้อความในกระดาษ เหลียวมองดวงตาเฉลียวฉลาดของโรซ่า เขาวางปากกาแล้วเคลื่อนมือไปแตะกลีบกุหลาบอย่างใจลอย ก่อนจะตอบ

    “ในอดีตข้าเป็นนักปราชญ์” ชายหนุ่มค่อยๆ ประคองกุหลาบแห้งเหี่ยวมาสัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ “นานมาแล้วข้ามีโอกาสได้เล่นหมากรุกกับนางตาหนึ่ง...และข้าก็เป็นฝ่ายชนะ”

    “นางก็เลยมอบของพวกนี้ให้ท่านเป็นของขวัญหรือคะ” โรซ่าเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้ม โรซ่ายืนนิ่งเช่นนั้นเพื่อรอคอย แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบงันและรอยยิ้มที่หล่อนไม่รู้ความหมาย ท้ายที่สุด เด็กสาวก็หมดความอดทนที่จะซักไซ้ หล่อนเดินจากเขาไป

    คืนนั้นทั้งคืน...ไพร์สไม่ได้ให้คำตอบแก่เด็กน้อย

    ทว่า เมื่อเวลาผ่านไปแสนนาน โรซ่าจึงเข้าใจว่ารอยยิ้มของไพร์สในครั้งนั้นหมายถึงอะไร

    ต่นั่นยังเป็นเรื่องราวของอนาคต ที่ยังมาไม่ถึงในเร็ววัน
     

    ที่นี่อาจจะมีต้นไม้กินคนจริงๆ ก็ได้!

    เจ้าลาสีเทา กระดิกใบหูสีขาวและหางสีดำไปมา เมื่อมันพาเด็กทั้งสองย่องเหยาะมาจนถึงปากทางเล็กๆ เข้าสู่ป่าต้องห้ามตะวันตก คืนนั้นพระจันทร์มีเพียงครึ่งดวงแต่ก็สว่างไสว โรซ่าพาโรมลงจากหลังลา ผูกเชือกฝากมันไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วเหลียวมาจูงมือน้องชายเดินเข้าไปในป่า ขณะนั้นมือของโรมเย็นเฉียบและใบหน้าเด็กชายซีดจัด ปากสั่นระริกเพราะความกลัว

    “ไม่มีอะไรหรอกน่า” โรซ่าเหลียวไปทำเสียงดุกับน้องชาย “ไพร์สเดินเข้ามาในนี้เมื่อตอนค่ำ...เราจะตามเขาไป ลางสังหรณ์บอกพี่ว่าเขารู้จัก นาง เขาเคยเล่นหมากรุกชนะ นาง และเขาปิดบังบางอย่างเกี่ยวกับ นาง ไม่ให้เรารู้” เพราะเชื่อฟังพี่สาว เด็กชายจึงพยักหน้าแล้วเกาะชายกระโปรงโรซ่าตามไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในป่านี้เงียบสงัด ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตใดๆ ใบไม้ใหญ่โตหนาทึบ ตามลำต้นชื้นแฉะจนตะไคร่น้ำเกาะเขียวครึ้ม กิ่งก้านชูท่าแปลกประหลาดคล้ายสิ่งมีชีวิตที่พิกลพิกาล

    ข้างหน้า...ไพร์สเดินไปทางนั้น ชุดของเขาเป็นสีขาวสว่างไสว สะท้อนแสงจันทน์แล้วคล้ายมีรัศมีเรืองเรื่อ โรซ่าและโรมรีบตามเขาไปทันที ก่อนที่เด็กๆ จะรีบหลบหลังท่อนไม้ใหญ่ที่ล้มขวาง เมื่อไพร์สหยุดเดิน... ดวงตาของโรซ่าเปล่งประกายตื่นตะลึง... พื้นที่ตรงหน้าเป็นที่ราบทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ราตรีนี้ลมสงบและแสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นดวงท่ามกลางหมู่มวลดารา ชายหนุ่มทรุดกายลงกับเก้าอี้ไม้ตรงหน้าโต๊ะเล็กๆ สี่เหลี่ยมจัตุรัส...โต๊ะหมากรุก

     “ในตำราว่าไว้ เด็กๆ มักอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง...นี่คงเป็นความจริง” ทันใดนั้นเสียงหวานใสของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น โรซ่าและโรมแทบสะดุ้ง เมื่อเหลียวไปก็พบสาวน้อยผิวสีน้ำผึ้งผมสีน้ำตาล และเส้นผมกับตามลำคอประดับด้วยกลีบดอกไม้ เสื้อผ้าของนางคล้ายประดิษฐ์จากใบไม้และกิ่งไม้แซมมวลบุปผาสะพรั่งดูน่ารักน่าชัง

    “ข้าเลนน่า เป็นภูติไม้แห่งพงไพร อาศัยในป่านี้มานานนม...” เด็กหญิงในเครื่องแต่งกายประหลาดกระซิบสียงเบา แนะนำตัวเองด้วยท่วงท่าเป็นมิตร  “ชอบเฝ้ามองเขาหรือ ข้าก็เช่นกัน...ชายประหลาดผมยาวสีเงิน นั่งลำพังที่กระดานหมากรุก ราวกับรอว่าจะมีใครมาเล่นหมากกับเขา น่าสงสาร นั่นเหมือนการรอคอยอันไร้ที่สุดสุด” ว่าแล้วหล่อนก็เบียดเสียดโรมและโรซ่าเข้าไปแอบดูไพร์สอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “ภูติ...” โรมรำพึง แล้วดวงตาใสๆ ก็ฉายแววตระหนก “ท่านคือภูติมรณะกินคน!

    “หยาบคาย!” ภูติสาวตัวน้อยเท้าสะเอวมองเด็กชายด้วยใบหน้าแดงแจ๋ “รสชาติของคนน่าพะอืดพะอมเกินกว่าข้าจะกิน ข้ายอมอดตายแห้งโซในป่าดีกว่าต้องกินซากศพ”

    “เขาเล่าว่าในป่านี้มีภูติกินคน” โรซ่ากระซิบด้วยท่าทางหวั่นๆ “นางจะร้องเพลงให้คนหลับ แล้วลักพาเขาไปกิน”

    “พวกเจ้าเชื่อนิทานหลอกเด็กพรรค์นั้นรึไง?” ภูติตัวน้อยถามเสียงแหลม “ยอมรับว่าเสียงเพลงของข้าทำให้ง่วงนอน แต่ข้าไม่มีเจตนาจะจับใครไปกินนี่น่ะ และที่นี่ไม่มีภูติกินคน!” ดูท่าทางนางโกรธจัดจนหูแดง

    “อ้อ...เราง่วงเพราะเสียงของนางนี่เอง!” โรซ่าและโรมเหลียวไปสบตากันแล้วพยักหน้า “แล้วเขาหลอกเราทำไม”

    “คงกลัวว่าพวกเจ้าจะมาเห็นโลกอันแสนเศร้าของเขากระมัง” เลนน่าพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มที่นั่งเดียวดายหน้ากระดานหมากรุก เขาทำท่าเหมือนจะรอใครสักคน ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการรอคอยอันไร้ที่สิ้นสุด

    “เขามารอที่นี่ทุกคืนหรอคะ” โรซ่าถามอย่างสงสัย ภูติสาวตัวน้อยพยักหน้า

    “จนรุ่งสางเขาก็จากไปอย่างคนใจสลาย”

    “รอหญิงคนรักหรอฮะ?” ดวงตาของโรมเบิกกว้างอย่างไร้เดียงสา ภูติน้อยหัวเราะคิกแล้วส่ายหน้าแรง

    “เขารอภูติสาวหลงเสน่ห์ มาเล่นหมากรุกกับเขาต่างหาก”

    “ท่านเคยพูดกับเขาบ้างหรือยัง” โรซ่าถามเสียงเบา เลนน่าหรี่ตาแล้วห่อตัวอย่างหวาดกลัว

    “ไม่...ข้ากลัวสายลม”

    “ท่านกลัวสายลมแล้วเกี่ยวอะไรกับเขาฮะ?” โรมเอียงหน้าถามอย่างสงสัย เลนน่ายิ่งห่อตัวหนักเข้าไปอีก เด็กหญิงกำลังจะเอ่ยตอบ หล่อนก็ชะงักไป เมื่อได้ยินเสียงกู่เรียกดังมาจากอีกทางซึ่งไม่ไกลกันนัก ภูติน้อยรีบเหลียวมาหาเด็กทั้งสองอย่างตื่นเต้น

     “พี่น้องของข้าเอง... พวกนางไม่ใช่ภูติเหมือนกับข้า แต่เราก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน” ว่าแล้ว ภูติไม้หน้าตาจิ้มลิ้มก็ฉวยข้อมือของโรมและโรซ่าไว้ “พวกนางคงกำลังมาหาข้า...ไปหาพวกเขากัน!” โดยไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เลนน่าก็จูงมือสองพี่น้องออกตามเสียงเรียกนั้นไป

    ทิ้งให้ไพร์ส...นั่งลำพังโดดเดี่ยว ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันอ้างว้างที่อาบแสงจันทร์เสี้ยว

     

    บ้านของภูติน้อยเลนน่าคือวิหารร้างกลางป่ารกทึบ

    “แสดงว่าเสียงร้องเพลงของท่านหรอฮะที่ทำให้คนหลับใหล” เด็กชายผมสีเงินอ้าปากหวออย่างคาดไม่ถึง ขณะจับมือพี่สาวเดินตามภูติน้อยผ่านป่าดงหนาทึบ

    “ก็ใช่น่ะสิ...ภูติกินคนเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก ภูติหน้าตาน่ารักอย่างข้าเลือกกินนะ!” นางว่าอย่างเง้างอน ขณะเด็ดดอกไม้มาเข้าปากแล้วเคี้ยวเอร็ดอร่อย “บางทีนักปราชญ์นั่นอาจกลัวพวกเจ้าล่วงรู้ ที่ลับแห่งความทรงจำหวานหอม ของเขา”

    “ที่ลับแห่งความทรงจำหวานหอม...คืออะไร” โรซ่าเหลียวมาอย่างสงสัย

    “กระดานหมากรุกนั่นไง” เลนน่าเหลียวมายิ้มหวาน ก่อนจะบอก “ถึงแล้ว! นี่แหละบ้านของข้า”

    โรมและโรซ่าหยุดเดิน ก่อนจะอ้าปากค้าง เด็กๆ เงยหน้ามองหลังคาวิหารซึ่งแตกเป็นรูโหว่ให้แสงจันทร์สาดมาเต็มที่ ภูติน้อยผมสีน้ำตาลราวกิ่งไม้จูงมือพาพวกเขาวิ่งเข้าไปข้างในอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ฉับพลันนั้นเอง...โรซ่าก็แทบผวาเมื่อร่างเล็กของเด็กหญิงอีกคนกระโดดโลดโผนลงมาจากระเบียงเตี้ยๆ แต่พลาดท่าล้มจ้ำม่ำตรงหน้าโรซ่าพอดิบพอดี นั่นคือสาวน้อยผมสั้นหยิกเป็นลอนสีทอง ผูกริบบิ้นแดงเช่นเดียวกับกระโปรงบานครึ่งเข่าของหล่อน

    แอนนากระโดกกระเดกแบบนี้เสมอ” เสียงหวานดังขึ้น หญิงสาววัยสะพรั่งใบหน้าจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามา นางขบขันเล็กน้อยเมื่อมองเด็กกระโดกกระเดกพยายามลุกขึ้นยืนพลางร้องโอดโอย “ยินดีที่ได้รู้จัก พวกเจ้าเป็นเพื่อนใหม่ของเลนน่าสินะ” สาวสวยชะโงกหน้ามาสบตาโรมอย่างเอ็นดู โรซ่ากำลังจะอ้าปากตอบ เลนน่าก็ชิงพูด

    “พวกเราสามคนเป็นพี่น้องกันแต่ข้าเกิดมาผิดเหล่า หลงรักธรรมชาติ สามารถคุยกับดอกไม้ได้จนกลายเป็นภูติในป่า นั่นแอนนา นางกระโดกกระเดกยิ่งกว่าม้าดีดกะโหลกจนข้าหลวงใหญ่พากันกุมขมับ” เลนน่าบุ้ยปากไปที่สาวน้อยผมทองผูกริบบิ้นแดง “จริงๆ นางน่ารัก และยังเด็ก ความสามารถพิเศษของนางคือวิ่งเร็วจี๋จนข้าหลวงตามไม่ทัน แล้วสาวสวยนั่นคือไอเวอลีน พี่สาวของข้า นางออกจะเรียบร้อยและซื่อบื้อไปนิด แสนดียิ่งกว่านางเอกในเทพนิยาย”

    “จริงๆ พวกเรามีพี่น้องมากกว่านี้ อ...โอ๊ย” แอนนาพูดขึ้นพลางร้องโอดครวญ “ข้าจำได้ไม่หมดหรอก...แต่พวกเขาหนีออกจากปราสาทกันหมด เหลือแต่ข้าและไอเวอลีน”

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” โรซ่าจ้องมองทั้งสามคน ดวงตาของเด็กสาวสั่นสะท้าน จะด้วยเพราะอะไร โรซ่าไม่พยายามคิดถึง หล่อนรีบหลบสายตาไปทางอื่น

    “พวกเขาน่ารักใช่ไหมล่ะ” ภูติน้อยเลนน่าเหลียวไปถามไอเวอลีนก่อนที่ดวงตาของหล่อนจะฉายแววสงสัย “ไอเวอลีน...ขอบตาพี่แดงช้ำ ร้องไห้มาหรือ” ภูติน้อยเลนน่าถาม แต่ไอเวอลีนกลับรีบหันกาย เบนใบหน้าหลบไปทางอื่น เลนน่าวิ่งไปดัก “ท่านแม่ใช่ไหม”

    “นางยิ่งกว่าปีศาจ...ข้าว่านางกลายเป็นนางมารไปแล้ว” แอนนาซึ่งลุกขึ้นยืนได้แล้ว ตบก้นตัวเองเบาๆ เพราะรู้สึกเคล็ดจากแรงกระแทกเมื่อครู่ คำพูดของหล่อนทำให้ไอเวอลีนเหลียวมาทำตาเขียวใส่

    “อย่าว่าท่านแม่นะ ข้าแค่ห่วงนาง...ไม่รู้ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

    “ก่อนจะหายไป ท่านแม่พยายามขัดขวางไม่ให้ไอเวอลีนพบสามีของนาง” แอนนาชิงฟ้องอย่างรวดเร็ว แล้วนางก็พูดต่อไปเสียงรัวจนใครก็สวนกลับไม่ทัน “นางขัดขวางทุกคนที่กำลังมีความสุข และพาพวกเขาดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง เมื่อก่อน ท่านแม่ใจดี...ไม่รู้ว่าเป็นเพราอะไร เพียงชั่วข้ามคืนนางก็เปลี่ยนไป ข้าสงสารท่านแม่...แต่ข้าก็กลัวนาง” แอนนาหยุดหายใจพักใหญ่ ก่อนจะพูดต่อ “เห็นว่าเย็นนี้เหล่าดัชเชสจะมีประชุมที่ปราสาทกลาง พวกนางเชิญเราด้วย”

    “พวกนางบางคนคิดจะฆ่าท่านแม่” ไอเวอลีนเผลอปล่อยสะอื้นออกมา แอนนาถอนหายใจใหญ่ “ดัชเชสแห่งแคว้นน้ำตาเริ่มสิ้นหวังทุกที ดัชเชสแห่งแคว้นเพลิงไฟก็เกรี้ยวกราดเบื่อหน่ายท่านแม่ทุกขณะ ส่วนดัชเชสแห่งแคว้นหนาวเหน็บก็ล้ำลึกเกินกว่าจะเดาใจ บางทีข้าคิดว่านางกำลังเกลียดชังท่านแม่ แต่ไม่แสดงออก”

    “ก็คำสาปของนางพาทุกคนเป็นบ้า ใครไม่เกลียดนางก็ประหลาดแล้ว ...แล้วเย็นนี้พวกเจ้าจะไปประชุมกับเหล่าดัชเชสไหม” แอนนาถามพลางทิ้งตัวลงนั่งบนขอนไม้

    “แน่นอนว่าข้าต้องไป...อย่างน้อยก็ปกป้องท่านแม่” ไอเวอลีนป้ายน้ำตาแล้วตอบเสียงเย็นขึ้น

    “คงยากหน่อยล่ะ พวกขุนนางคิดโค่นนางลงจากบัลลังก์แล้ว” แอนนาพูดพลางขยับเอวไปมาเพื่อให้คลายจากอาการเคล็ด “นางกำลังกลายเป็นทรราชในสายตาชาวเมือง เพราะคำสาปบ้าๆ นั่น” ประโยคพวกนี้หล่อนลอกมาจากคำพูดที่พวกขุนนางใช้เถียงกันในสภา

     “ข้าขอ...” โรซ่าซึ่งนิ่งฟังสามพี่น้องอยู่นานตัดสินใจพูดขึ้นในที่สุด ดวงตาของหล่อนเป็นประกายเจิดเมื่อได้ยินเด็กๆ พูดถึงเหล่าดัชเชส “ข้าขอตามไปด้วยได้ไหม” แอนนารีบเหลียวมองมองเด็กสาวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า

    “เจ้าเป็นใคร? ไม่ใช่ขุนนางหรือเชื้อสายผู้ปกครอง...จะไปนั่งในที่ประชุมได้ยังไง”

    “เหล่าดัชเชสรู้จักพวกเราดี เขาเป็นคนพาเรามา” โรซ่าเชิดหน้า เด็กหญิงไม่ชอบให้ใครมองหล่อนด้วยสายตาประเมินค่าเช่นนี้ “เราคือเด็กสองคน ที่ว่ากันว่าจะสามารถทำให้ นาง ยิ้มได้”

    “แล้วเคยพบ นาง หรือยัง” แอนนาเท้าสะเอวถาม โรมและโรซ่าเหลียวสบตากัน ก่อนที่เด็กชายจะเกาหัวแกรกๆ

    “ไม่เคยแม้แต่จะเห็นเงาด้วยซ้ำฮะ”

    “อยากพบนางไหม” ไอเวอลีนก้มตัวลงสบตาเด็กชายอย่างเอ็นดู

    “ท่านรู้หรือฮะว่า นาง อยู่ทีไหน” โรมเบิกตากว้าง ทอประกายแห่งความหวัง ไอเวอลีนเพียงแต่ยิ้ม...ชั่ววูบรอยยิ้มของนางฉายความโศกเศร้า

    “สักวัน...ข้าหวังว่าเจ้าจะได้พบนาง”

    “นั่นเป็นความปรารถนาอันยิ่งยวดของพวกเรา” เด็กชายตอบ มองไอเวอลีนด้วยดวงตาใสแจ๋ว หญิงสาวยิ้มหวานอย่างใจดีก่อนจะพยักหน้า

    “งั้นเย็นนี้ไปกัน...ไปประชุม!

     

     “ยินดีต้อนรับเข้าสู่คณะละครสัตว์ของคนคลั่ง...”

    แอนนากระซิบบอกเด็กทั้งสองด้วยน้ำเสียงขบขัน โรมและโรซ่ากำลังยืนอยู่หน้าบานประตูไม้ใหญ่โตสูงท่วมหัวไม่รู้กี่เท่า สลักลวดลายวิจิตรบรรจงสลับซับซ้อนจนดูไม่ออกว่าเป็นลายอะไร เมื่อเด็กชายลองเอาหูแนบกับประตูเพื่อลองฟังเสียง เขาก็ต้องสะดุ้งอย่างแรง แอนนาหัวเราะคิก ก่อนจะกระซิบบอกอีกครั้ง

    “พวกเจ้าจะต้องปวดหูกับเสียงแหลมๆ ของพวกผู้หญิง และท่าทางวางอำนาจของพวกผู้ชาย พวกผู้ใหญ่ฉลาดพูดมากกว่าฟัง และชอบมองเด็กอย่างเราๆ ว่าไร้เดียงสาไม่รู้ความ...เอาล่ะ เข้าไปได้” ว่าแล้ว ประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักเปิดเข้าไปข้างใน ห้องประชุมกว้างขวาง มีโต๊ะตัวเดียวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา คนหนาแน่นคับคั่ง บางคนแต่งกายด้วยสูทและสวมหมวกถือไม้เท้าอย่างผู้ดี บางคนอลังการด้วยเครื่องประดับจนแสบตา บางคนเป็นยิ่งกว่ากระถางต้นไม้เคลื่อนที่ หลากสีสันจนเวียนหัว ใกล้ๆ หัวโต๊ะ เห็นเหล่าดัชเชสกำลังทำสีหน้าเคร่งเครียดพูดจ้อไม่หยุดปาก ถกเถียงกันจนเสียงผสมฟังไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่าในนี้คนส่วนมากไม่ฟังกัน พวกเขาเอาแต่พูดความคิดของตัวเองออกมา

    โรมเข้ามาเกาะแขนโรซ่าแน่น เด็กชายเงยหน้ามองพี่สาว เห็นหล่อนทำท่าเวียนศีรษะและตาลาย โรมมองไปรอบๆ พวกเขานั่งบ้าง ยืนบ้าง หลายคนชูไม้ชูมือเพื่อให้มีคนสนใจคำพูดของตัวเอง ทั้งเสียงแหลม เสียงทุ้ม เสียงแหบ ดังสับสนปะปนกันไปทั่ว บางคนปากระดาษขยำกระจัดกระจายเต็มโต๊ะอย่างขัดใจ ในขณะที่บางคนทุบโต๊ะดังปัง เมื่อไม่พอใจ สตรีอ้วนคนหนึ่งกรีดร้องเสียงแหลม เมื่อหล่อนเผลอทำแม่ไก่ที่อุ้มมาด้วยหลุดหาย จนต้องวิ่งไล่จับกันให้วุ่นวาย

    นาง ไม่ยอมปรากฏตัวแบบนี้ก็แย่! ถ้าเราปล่อยให้ยืดเยื้อ พวกตระกูลอันทราอาจจะถือโอกาสนี้โค่นบัลลังก์ และสถาปนาตัวเองอีกครั้ง!” สตรีผมหงอกนางหนึ่งพยายามโวยวาย แต่เสียงนางแหบพร่า ทำให้ไม่ค่อยมีใครฟังนางมากนัก

    “พวกตระกูลอันทราจมหายไปกับอดีตแล้ว พวกนางต้องคำสาป ชาตินี้ชาติไหนก็ไม่มีวันหลุดออกมาได้อีก” ชายร่างอ้วนพุงปลิ้นพูดขึ้น

    “งั้นก็ต้องระวังวิคเตอร์ ทรราชที่เตรียมศึกมาประชิดเมืองเรา” ใครสักคนพยายามเบียดเสียดผู้คนแล้วชูแขนออกความเห็น “ไหนจะจอมมารแห่งนครลอยฟ้าที่เราต้องไม่ลืม...ประชาชนสิ้นหวังแห่แหนเดินขบวนขายวิญญาณให้เขาเพียบ!

    “ละ...แล้ว..ท...ทำไมเรา...ไม่....ไม่พยา...ยา...ยาม...ต...ตาม....ตามหา...ช...ชายที...ที่...ที่...ทำ...ทำให้ นาง ร้อง...ห...ไห้..ร....เรื่อง...เรื่องจะ...จะ...จะได้...ได้จบ!” ตาเฒ่าคนหนึ่งหอบหายใจหนักขณะพยายามพูดให้จบประโยค

    “ใครรู้บ้างว่าเขาคือใคร” หญิงร่างผอมแต่เสียงแหลมยิ่งกว่านกหวีดขยับปากสีแดงจัดพูด แต่ไม่มีใครตอบ หล่อนโบกพัดแล้วสูดยาดม “ไม่มีใครรู้สักคน ให้ตายสิ เราควรตามหาขอทานข้างถนนมาสวมรอยเป็นเขาแทนดีไหมล่ะ!

    และขณะที่กำลังถกเถียงอยู่นั้นเอง เสียงหวานกังวานของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น...

    “ข้ารู้ว่าชายผู้ทำให้นางร้องไห้คือใคร”

     





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×