ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนมหาโจร

    ลำดับตอนที่ #8 : บทเรียนที่ 7 เผชิญหน้าชมรมปิงปอง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.57K
      70
      22 มี.ค. 47

                                           บทเรียนที่ 7      เผชิญหน้าชมรมปิงปอง









                 ว่าที่หัวหน้าวงนั่งงงอยู่สักพักหนึ่ง    ส่วนคนอื่นๆ นั้นก็ต่างนั่งทำหน้างงๆ  อยู่สักพักหนึ่ง  คงจะมีแต่เสือใบ้นิคเท่านั้นที่ยังคงสามารถนั่งมองหน้า  วา  อยู่อย่างนิ่งๆ ได้            

          

                  โซเฟียทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย  จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา



                 “ นายเด๋อเนี่ยนะ  จะเป็นหัวหน้าวงเรา  แหะๆ    แต่ก็ดีนะ ”              

                “ มีใครจะคัดค้านมั้ย ”              มิว ถามพร้อมกับมองหน้าทุกคน       ไม่มีใครคิดจะคัดค้านแม้แต่คนเดียว      มิว เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ          “ เอาละ ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน   ต่อจากนี้ไปหัวหน้าวงของเราก็ คือ …..”

          

                 ยังพูดไม่ทันจบ   คนที่คัดค้านขึ้นมาก็ คือ ตัว วานั่นเอง  

                

                 “ เออ คือ ว่า เราไม่เคยประกวดวงอะไรพวกนี้มาก่อนเลยนะ  แถมเรายังเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่ค่อยเป็นเลยนอกจากร้องเพลง   จะให้เรามาเป็นหัวหน้าวงอย่างนี้มันจะดีหรอ ”            

                “ แหม  จะเป็นหัวหน้าวงทั้งที  ถ้าไม่มีใจสู้แล้ว  สมาชิกวงจะมีใจสู้กันมั้ยละค่ะ ”        โซเฟีย พูดมาแบบให้กำลังใจ    จากนั้นก็รีบพูดต่อ

                “ คนที่เป็นหัวหน้าวง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดเสมอไปหรอกนะ    ขอแค่เป็นคนที่เป็นศูนย์รวมของวงได้ก็พอแล้วละ     แล้วอีกอย่างก็ไม่มีใครเขาจะปฎิเสธนายหรอกนะ    ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสิ       ทุกคนเชื่อนะว่านายทำได้    นายสามารถนำวงของเราได้          ไม่อย่างนั้นทำไมโลกนี้ถึงต้องมีอาชีพพวกผู้บริหารขึ้นมาละ  ทั้งๆ ที่บางครั้งพวกผู้บริหารเองก็ไม่ได้รู้งานที่เขาคุมอยู่เลย   แต่เพราะมีขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมเพื่อรวมการทำงานของคนหลายๆ ฝ่ายให้เข้ากันได้ยังไงละ  ”

        

                  ครั้งนี้นับว่า โซเฟีย พูดมีเหตุผลพอสมควร  ผิดจากที่เธอชอบพูดกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา        มิว ได้ยินดังนั้นก็พูดเสริมไปว่า



                  “ จริงอย่างที่โซเฟียว่า  นายต้องมีความมั่นใจในตัวเอง    เราให้นายเป็นหัวหน้าวง  เพราะเรามั่นใจในตัวนายนะ    เราเชื่อว่าคนอย่างนายสามารถนำวงเราไปสู้ชัยชนะได้   ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็ตาม หรือที่จริงอาจจะ 2 วัน ฮ่าๆ  ”       มิว หัวเราะสักพักก็พูดต่อ           “ อย่างที่บอก คนเราถ้ามันมีแววมองแป๊ปเดียวก็รู้แล้วละ ”      



                 วา เมื่อได้ยินคำพูดจากเพื่อนทั้งสองก็เริ่มมีความมั่นใจที่จะเป็นหัวหน้าวง    แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีที่ทำไม มิว ไม่เป็นหัวหน้าวงสะเอง   ที่จริงเขาก็มีความสามารถในการรวมคนในวงได้   ถึงขนาดรวมสมาชิกแล้วตั้งวงได้   แต่ทำไมเขาถึงไม่มาเป็นหัวหน้าวงสะเองนะ         แต่ วา ก็คิดว่าในเมื่อ มิว ให้เขาเป็นหัวหน้าแทนแสดงว่า เขาคงมีเหตุผลส่วนตัว        



                 วา มองไปที่นิค     ซึ่งนิคก็พยักหน้าให้ วา เหมือนกับยอมรับว่า วาสมควรที่จะเป็นหัวหน้าวง       ในที่สุด  วาก็ไม่ลังเลที่จะเป็นหัวหน้าวงอีกต่อไป  เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความมั่นใจ   หากแต่ต้องการที่จะยืนยันว่า  เพื่อนทุกคนสมัครใจให้เขาเป็น   เขาก็พร้อมที่จะเป็นในทันที    



               “ เอาละ ในเมื่อทุกคนสมัครใจให้เราเป็นหัวหน้าวงแล้วละก็  เราก็จะทำหน้าที่หัวหน้าวงให้ดีที่สุด ”

               “ ต้องอย่างนี้สิ  ถึงสมจะเป็นหัวหน้าวงของเราหน่อย ”               มิว พูดพร้อมกับปรบมือแสดงความยินดี    เบต้าก็ปรบมือตาม          ส่วนโซเฟียนั้นไม่ได้ปรบมือ   เพียงแต่ยิ้มให้ วา เท่านั้น   ซึ่งเมื่อ วามองโซเฟียที่กำลังยิ้มให้กับเขานั้น ก็รู้สึกเขินๆ   จนบอกไม่ถูก   จึงเบือนหน้าหนีไปทางนิค   ซึ่งก็ได้ผลดี       ใบหน้าของนิค   มองแล้วหายเขินขึ้นเยอะเลยทีเดียว          



                “ ว่าแต่คุณหัวหน้าวงค่ะ  คุณจะตั้งชื่อวงว่าอะไรหรอ ”           โซเฟียเป็นคนตั้งคำถามขึ้น  ซึ่ง วา ก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก  

               “ ก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ  คุณมือกีต้าร์    งั้นเราว่าช่วยกันตั้งชื่อวงกันเถอะ ”      

               “ เราว่าชื่อวง โซเค้น - เล่นไม่มีกระตุกดีมั้ย ”             เบต้าเป็นคนเสนอความคิดขึ้นคนแรก  ซึ่งชื่อนี้มันออกจะดูพิลึกๆ ยังไงชอบกล                วา เมื่อได้ยินชื่อวงที่เบต้าเสนอมาก็รู้สึกแปลกๆ   แต่ก็สมแล้วที่เป็นความคิดของเบต้า        ซึ่ง มิว ก็เป็นผู้รู้ได้ถึงความแปลกนั้น  เขาจึงรีบพูดต่อมา

                

              “ เราว่ามันก็ดีนะ   แต่มันออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย    อืม  เราว่านะชื่อว่าน่าจะเป็น   ซูเปอร์ ซไปส์เป็นยังไงละ ”      

             “ ของนายมันก็แปลกๆ เหมือนกันละ ”            คราวนี้เบต้าก็ค้านบ้าง

            “ งั้น เอาชื่ออะไรดีละ     นายละนิค มีอะไรจะเสนอมั้ย ”             มิว มัวแต่คิดจึงลืมว่า  ถามไปนิคก็คงไม่ยอมตอบ  

            “ นี่ๆ เอาชื่อวงฤทธิ์มีดสั้นดีมั้ย   เราว่าเท่ดีน้า ”            คนที่เสนอความคิดนี้ถึงกับเป็นวีวี่   ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินถึงกับต้องหันหน้าไปมองที่วีวี่พร้อมกับ          

        

            “ เราว่าสงสัยเธอจะบ้านิยายจีนมากไปแล้วละมั้งเนี่ย  คิดได้ยังไงเนี่ยฤทธิ์มีดสั้น  ไม่ตั้งชื่อว่า วงรักใสๆ หัวใจสี่ดวงหรือดาบมังกรหยกไปเลยละ ”           มิว เป็นคนสวนมา  ซึ่ง วาเริ่มที่จะสังเกตุได้ว่า  สองคนนี้มักชอบที่จะคิดขัดแย่ง  หรือเถียงกันอยู่เสมอ    แต่ก็ไม่ถึงกับแรงมาก   คงเป็นแค่การล้อกันเล่นๆ                    วีวี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็มองค้อนมิว      

            “ อย่างน้อยก็ยังดีกว่า ซูเปอร์  สไปส์อะไรของนายก็แล้วกันน่ะ ”        

             “ อ่าๆ  อย่าเพิ่งเถียงกันๆ   ลูนาติกเป็นไงมั้งละชื่อนี้   มันแปลว่า คนบ้าหรือบ้าน่ะ   เหมาะดสำหรับวงที่มีคนอย่างนายแล้วก็คุณเด๋อดีนะ ”               โซเฟียเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้น    ซึ่งฟังดูแล้วก็ใช้ได้เลยทีเดียว      

            “ นายว่าเป็นไง วา เข้าท่าดีมั้ย      เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ    แต่น่าจะมีชื่อวงอะไรที่มันเด็ดกว่านั้นได้นะ ”

       มิว ถามพร้อมกับมองหน้าวาอย่างครุ่นคิด             ส่วน วา นั้นคิดว่าคงไม่มีชื่อวงไหนเด็ดกว่า  หมูดำ ไปได้แน่นอน        



           “ อืม เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  ถึงจะหาว่าเราบ้าก็เถอะ ฮ่าๆ      แต่เราขอเสนอชื่อที่เราคิดไว้สักหน่อยได้มั้ยอะ  ”          

           “ ได้สิ นายเป็นหัวหน้าวงทั้งที ”           มิว เชิญให้วาพูดต่อ    

          “ ชื่อวงที่เราคิดไว้ก็ คือ …………..   เ – ก็  -  น  -  โ -  ซ ……..?? ”



           เมื่อเพื่อนๆ ทุกคนได้ยินชื่อ วง ที่วาเอ่ยออกมาถึงกับอึ้งไปสักพักหนึ่ง    



           “ อืม เข้าท่าๆ  ว่าแต่มันหมายความว่ายังไงละ   ไอ้คำว่า เก็นโซ เนี่ย ”              มิว เป็นคนถามคนแรก

          “ ถ้าเราจำไม่ผิดละก็ คำว่า เก็นโซ แปลว่า ตำนาน  ต้องการจะสื่อว่า  วงเราจะต้องกลายเป็นตำนานยังไงละ ”          

          “ เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  แถมแปลกดีด้วย ”       เบต้า พูดด้วยท่าทางที่เหมือนหุ่นยนต์  

          “ พวกนายว่าเป็นยังไงมั่งละ ชื่อวงที่เราตั้งมา ”      

          “ เอาละ  มีใครจะเสนอชื่อวงอีกมั้ย   ถ้าไม่มีแล้วละก็   เรามาลงคะแนนกันว่า   จะเลือกชื่อวงว่าอะไร   เริ่มจากทีละคนเลยนะ  ”                  



          จากนั้นมิวก็เริ่มถามความคิดเห็นเรียงจากทีละคน  ซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า   ชื่อวงน่าจะเป็น   “เก็นโซ “  

          “ เอาละ สรุปความเห็น ก็คือ ต่อไปนี้ชื่อวงของพวกเรา  คือ เก็นโซ นะ ”  

          “ ว่าแต่นายไปเอาคำว่า เก็นโซมาจากไหนหรอ วา ”           วีวี่เป็นคนถาม

         “ ที่จริงเราไปเอาชื่อนี้มาจาก นิยายเรื่องหนึ่งนะ  มันชื่อเรื่องว่า  ตำนานดาบคู่สายฟ้าอะ    นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยนะเนี่ยขอบอก   มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเออ เริ่มยังไงดีละเนี่ย    พี่พระเอกเนี่ยเป็นสุดยอดนักดาบซึ่งใครๆ ต่างก็รู้จัก  ถ้าสายฟ้าลั่นออกจากดาบของพี่พระเอกแล้วละก็   ไม่เคยมีใครรอดชีวิตเลยละ   แต่ว่าพี่พรเอกไม่ใช่คนเลวนะ   เขาจะลั่นสายฟ้าออกมาก็ต่อเมื่อช่วยคนเท่านั้น     ซึ่งช่วงสมัยนั้นเองเป็นช่วงที่จอมมารร้ายซาตั้นได้ตั้งตัวมีอิทธิพลเหนือผู้ใด          ทำให้โลกในนิยายที่ชื่อว่า  ฮาโมเนียต้องระส่ำระส่าย    จึงได้มีการรวมตัวกันของเหล่าผู้กล้าที่มีฝีมือในด้านต่างๆ มาเพื่อไปปราบจอมมารลาฟาเด็ท

          แน่นอนว่าพี่ของพระเอกต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วย    แต่พอพระเอกทราบว่าพี่ของตัวเองจะไปปราบจอมมารด้วย ก็ได้แอบติดตามไปด้วย       เมื่อถึงปราสาทของจอมมารแล้วเหล่าผู้กล้าก้ได้พยายามที่จะสู้กับลูกสมุนของจอมมารอย่างเต็มความสามารถซึ่งน่าสียดายที่ต้องสูญเสียผู้กล้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย    จนในที่สุดก็เหลือเพียงพี่พระเอกแล้วก็เพื่อนสนิทของเขาอีกคนหนึ่ง    ส่วนพระเอกนั้นก็ได้แอบตามมาจนถึงที่บนสุดของหอคอย   ตอนนั้นพระเอกมีอายุเพียงแค่  6 ขวบ กว่าๆ เท่านั้นเอง  



           การต่อสู้ระหว่างตัวแทนของโลกฮาโมเนียกับจอมมารซาตั้นก็ได้เริ่มขึ้น     ทั้งสองคนพยายามสู้กันอย่างเต็มที่แต่พลังของทั้งสองก็ต้านทานจอมมารแทบไม่ไหว   จนในที่สุดพี่ของพระเอกก็ได้ใช้พลังของดาบสายฟ้า    ทำให้จอมมารพลาดท่าก่อนที่จะลงดาบใส่จอมมารนั้น        พระเอกซึ่งแอบดูอยู่ห่างๆ   ก็ได้ถูกลูกสมุนของจอมมารตนหนึ่งจับไว้ได้และร้องเรียกพี่ของเขา    ทำให้พี่ของเขาเสียจังหวะหันไปมอง   ด้วยความเป็นห่วงน้องจึงรีบเข้าไปช่วย               จอมมารเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้โอกาสร่ายเวทมนตร์ที่รุนแรงมาก  ยากเกินแก่การต้านทานตรงเข้าไปที่พระเอกเพราะมันรู้แน่ว่า  พี่ของพระเอกนั้นรักของตนเองมาก       และมันก็คิดถูกพี่ของพระเอกเข้าไปรับเวทมนตร์นั้นเต็มๆ    พลังของดาบสายฟ้าที่เคยปรากฎอยูบนดาบก็ค่อยๆ สลาย            ก่อนที่จะตายพี่ของพระเอก ได้ฝากดาบสายฟ้าซึ่งเป้นอาวุธอย่างเดียวที่จะสามารถปราบจอมมารได้ให้แก่พระเอก      เพื่อนสนิทของพระเอกจึงได้รีบพาพระเอกหนีจากปราสาทของจอมมาร     ส่วนพี่ของพระเอกก้ได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายผนึกพลังของตัวเองไว้กับจอมมาร           จากนั้นเป็นต้นมาโลกฮาโมเนียก็สงบลงอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่ง………………”



             วา ต้องหยุดเล่าลงกลางคันเพราะว่า  เขารู้สึกว่าตัวเองเล่ายาวเกินไปแล้ว  



             “เหอๆ ขอโทษทีนะ   พอดีเราเป็นพวกบ้านิยาย   พอเล่าแล้วมันติดลมทุกทีเลยนะสิ ”    

             “ อืม แล้วไงต่อละคุณหัวหน้าวง  กำลังสนุกเลย ”           โซเฟีย ดูท่าทางจะชอบนิยายเรื่องที่ วา เล่ามามาก    ซึ่งก็แปลกที่เธอไม่ได้กวน วา เลย กลับอยากจะฟังต่อสะอีก  

            “ แน่นอนต่อจากนั้น  มันก็ต้องตามสูตรจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้กลับคืนชีพมาอีกครั้ง     โดยการปลดผนึกของนักดาบปีศาจคนหนึ่ง     ว่ากันว่าพลังฝีมือของมันนั้นสูงส่งมาก   มันเป็นคนที่ตามกำจัดดาบที่มีชื่อต่างๆ   เพื่อต้องการจะให้ดาบของตัวเองมีชื่อมากที่สุด   และแน่นอนหนึ่งในเป้าหมายของมันก็มีพระเอกรวมอยู่ด้วย  

               โลกฮาโมเนียที่เคยสงบสุขก็ได้เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง  ด้วยพลังอำนาจมืดของ 2 ตัวร้าย       เราชอบตอนที่เขาเคยไว้ตอนหนึ่งมากเลย     มันเขียนว่า    ดาบสายฟ้าที่ไม่เคยได้ลั่นสายฟ้าของมันออกมาเลย  บัดนี้คงถึงเวลาที่มันจะต้องลั่นออกมาเพื่อกอบกู้ฮาโมเนียอีกครั้งเสียแล้ว       เท่มากเลยว่ามั้ย   ”        

            “ โห น่าสนุกจังเลย  อย่างนี้ต้องลองไปหาซื้ออ่านดูสะบ้างแล้วสิเนี่ย  ”           โซเฟีย รู้สึกจะชื่นชอบนิยายที่วาเล่ามาเป็นพิเศษ    

           “ แล้วมันเป็นยังไงต่อเนี่ย  กำลังสนุกเลย ”        มิว เป็นคนถาม ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน   ไม่น่าเชื่อว่า     เรื่องที่วาเล่าจะสามารถเรียกความสนใจของเพื่อนๆ  ทุกคนได้ทันตาเห็น  

           “ ประมาณ 10 ปีกว่าๆ ผ่านไป ซึ่งก็พอดีกับตอนที่จอมมารได้คืนชีพ   พระเอกก็ได้ฝึกฝนวิชาดาบเวทมนต์ของตนเองจนแกร่งกล้าไม่แพ้พี่ของเขาเลยทีเดียว  โดยมีเพื่อนสนิทของพี่พระเอก ก็คือคนเดียวกับที่ช่วยพระเอกไว้ในตอนแรกแหละเป็นคนช่วยฝึกสอนวิชา    ดาบที่พระเอกใช้ในตอนแรกเป็นดาบของพระเอกเองซึ่งตีมาจากนักตีเหล็กอัจฉริยะผู้หนึ่ง   ดาบของพระเอกมีชื่อว่า  เออ อะไรน้า ลืมไปแล้วอะ    เรานี่แย่จริงๆ  เพิ่งอ่านไปไม่นานเอง  ข้ามไปละกัน   พระเอกใช้ดาบของตัวเองกับดาบของพี่  เป็นวิชาดาบคู่อะ   เพราะดาบ 2 เล่มเหมือนตัวแทนของตัวเองและพี่    เหมือนกับว่า  เขาได้สู้ร่วมกัน  ถึงพี่จะตายไปแล้ว   แต่พระเอกก็เชื่อว่า  วิญญาณของพี่ยังสู้ร่วมไปกับเขาอยู่    แต่ตอนหลังที่พระเอกไปสู้กับนักดาบปีศาจ   ดาบทั้ง 2 เล่มก็เกิดหัก   พอสู้ชนะพระเอกก็เอาดาบทั้ง 2 เล่มมาหลอมรวมกันให้กำเนิดดาบเล่มใหม่ขึ้นมา   มีพลังมากกว่า 2 เล่มเก่าเสียอีก  แล้วพระเอกก็มุ่งหน้าไปปราบจอมมารเหมือนที่พี่เขาเคยทำ   แล้วเราก็ยังไม่ได้อ่านต่อเลยมันยาวอะ    ”



            “ ว้า แย่จังเลยกำลังสนุกเชียว   นี่ ถ้าอ่านจบก็เอามาให้เรายืมต่อมั่งนะ ”      โซเฟียที่จริงก็เป็นคนที่ชอบอ่านนิยายมากคนหนึ่ง    

            “ ได้สิ แต่มันยาวมากนะ จะอ่านไหวหรอ ”      

            “ โอ๊ย  ไหวอยู่แล้ว  แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก   เราอ่านมาเยอะแล้วละ “

            “ จริงหรอ  ชอบอ่านพวกนิยายเหมือนกันหรอเนี่ย   ไม่ยักกะรู้   นึกว่า…..(กวนคน)…..เป็นอย่างเดียวเสียอีก ”        

          “ นายว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยจะชัด ”  

         “ เปล่าๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ฮ่าๆ  ”              วา เห็นท่าจะไม่ดีจึงแกล้งถาม มิว ว่าเขาอยากจะยืมอ่านบ้างหรือเปล่า    ซึ่งมิว ก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว    แล้วบอกกับวา ว่าเขาเกลียดการอ่านหนังสือมากกว่าสิ่งใดเสียอีก    



      

            เวลาว่างก่อนจะเข้าเรียนก็ได้จบลงไปแล้ว   เมื่อทุกคนได้ยินเสียงประห้องเลื่อนออก   ต่างก็พากันรีบวิ่งเข้าประจำโต๊ะเรียนของตนเอง    ทำท่าทางพร้อมในการเรียนอย่างที่สุด          เหตุผลที่ทำให้พวกนักเรียนในห้องทุกคนต้องทำเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะ    อาจารย์ที่เข้ามานั้นหน้าตาท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา    เป็นคนมีอายุมากแล้ว    ตาที่ดูกลมโตของเขาสอดส่ายสายตาภายกรอบแว่นสี่เหลี่ยมไปที่นักเรียนทุกคนรอบๆ ห้อง      ขอบตามีรอยสีดำค่อนข้างจะชัดเจน    เพิ่มประสิทธิภาพความน่ากลัวเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง      ซึ่งอาจารย์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน        “ อาจารย์มาน่อฟ ”        นั้นเอง

            

            เขา คือ อาจารย์คนเดียวกันกบที่พวก วา เพิ่งจะเอามาเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อเช้านี้เอง         อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ที่โหดที่สุดในโรงเรียนอับดุล  อินเตอร์ !!        



            เมื่อโซเฟียเห็นนัหเรียนทุกคนในห้องเรียนนั่งประจำที่ตัวเองเรียบร้อยแล้ว    จึงสั่งให้นักเรียนทั้งหมดลุกขึ้นยืน  พร้อมกับทำความเคารพอาจารย์มาน่อฟ        

           วา รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่กระจายมาสู่ตัวเขา   เขารู้สึกอึดอัดมากที่จะต้องเรียนกับอาจารย์มาน่อฟ   และดูเหมือนว่านักเรียนทุกคนก็จะรู้สึกเช่นกัน    แต่อาจจะยกเว้นสำหรับ นีโอ และเสือใบ้นิค      



           หลังจากนักเรียนทุกคนนั่งลงเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว  อาจารย์มาน่อฟก็นำหนังสือที่ถือมาไปวางไปที่โต๊ะครูทางด้านซ้ายของห้อง        พร้อมกับหยิบปากกาเมจิกมา 2 ด้าม     จากนั้นก็เริ่มเดินไปที่กระดานไวท์บอร์ดและเริ่มเขียนหัวข้อที่จะเรียนในวันนี้ทันที



            โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว   ราวกับนัดกันไว้นักเรียนทั้งห้องต่างรีบหยิบสมุดโน๊ตประจำวิชาขึ้นมาพร้อมกับจดตามโดยเร็ว              วา ไม่เคยพบเห็นอาจารย์คนไหนจะเขียนกระดานได้เร็วเท่ากับอาจารย์มาน่อฟเลย     แถมดูท่าจะจดเยอะมากกว่าวิชาประวัติศาสตร์เสียอีก      ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์มาน่อฟที่มีอายุมากขนาดนี้แล้วจะสามารถเขียนกระดานได้เร็วปานนี้              



            เมื่อเขียนไปจนเต็มกระดานเรียบร้อยแล้ว     อาจารย์มาน่อฟก็เริ่มหันหลังกลับมามองไปยังนักเรียนทุกคน        สายตาที่สอดส่ายรอดกรอบแว่นทรงสี่เหี่ยมนั้น   ทำให้เพิ่มแรงกดดันแก่ วา เข้าไปอีก  



           วา พักมือจากการจดอันหฤโหดนั้นไปสักพักหนึ่ง   เพื่อลองมองไปรอบๆ  ห้อง    ก็ปรากฎว่า นักเรียนแทบทุกคนไม่มีใครทำอย่างอื่นนอกจากจดและก็จด         เหลียวมองไปทางด้านซ้ายก็พบกับโซเฟียกำลังจดงานอยู่เช่นกัน      ดูท่าทางเธอจะมีความตั้งใจในการเรียนเป็นพิเศษ    ไม่เหมือนกับช่วงพักเลย          เมื่อเห็นเช่นนั้น วา จึงไม่ยอมน้อยหน้าตั้งใจจดงานต่อไป      



          

             ชั่วโมงอาจารย์มาน่อฟผ่านไปเร็วกว่าที่วาคิดไปนิดหน่อย   อาจจะเป็นเพราะว่าวาเห็นโซเฟียตั้งใจเรียนเลยตั้งใจเรียนตามไปด้วย     ทำให้ไม่รู้เครียดและกดดันสักเท่าไหร่นัก              



             ในที่สุดชั่วโมงในตอนเช้าก็ผ่านไปเรื่อยๆ   จนถึงชั่วโมงเรียนของอาจารย์พิชายะ      ชั่วโมงที่วาและทุกคนรอคอย            อาจารย์พิชายะค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง   ราวกับว่าการเดินแต่ละก้าวนั้นแสนลำบากยากเข็นนัก        เพราะว่าอาจารย์พิชายะเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมาก   แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด       เขาสวมแว่นทรงกลมรีอันใหญ่มาก   ซึ่งดูแล้วก็เข้ากับลักษณะตัวของเขาเองดีมาก        



             หลังจากโซเฟียสั่งนักเรียนทุกคนทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว     อาจารย์ชายะก็ยกมือขึ้น   แล้วบอกว่าให้นั่งลงได้        จากนั้นอาจารย์พิชายะก็เริ่มเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ    ทั้งเรื่องราวประหลาดๆ  อีกมากมายผิดกับอาจารย์มาน่อฟซึ่งไม่พูดไม่กล่าวอะไรก้เริ่มเขียนกระดานทันที      



             เรื่องราวประหลาดที่สุดเท่าที่วาได้ฟังมากจากอาจารย์พิชายะก็น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าปลาประหลาดที่มีชื่อว่า     “ โอปาจี   “       ฟังว่า   มันเป็นปลาประหลาที่อาศัยอยู่แถวลุ่มแม่น้ำแห่งหนึ่ง      ซึ่งไม่เคยมีใครจับมันได้เลย   แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคย       เนื่องเพราะคนที่ต้องการจะไปจับมันต่างไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาได้เลย          มันมีพละกำลังที่มากมายมหาศาล           ทำให้คนที่พยายามจะจับมันต้องถูกมันดึงจมลงไปและหายสาปสูญไปตามๆ กัน



            นั่งฟังเรื่องราวต่างๆ  มาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าๆ     อยู่ดีๆ อาจารย์พิชายะก็หยุดเรื่องกระทันหัน  พร้อมกับเดินตรงไปที่กระดานจากนั้นก็เริ่มเขียนหัวข้อในการเรียนลงไปแบบไม่ทันให้นักเรียนตั้งตัว           วา ที่ตั้งใจฟังอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นรีบหยิบสมุดโน๊ตวิชาสังคมออกมาจากเป้คุ่ใจของเขาโดยเร็ว           โซเฟียเมื่อเห็นท่าทีตั้งใจเรียนของวา  ก็อดขำไม่ได้      



           “ ขำอะไรหรอ ”  

           “ ป่าวหรอก ไม่มีอะไร ”             โซเฟียตอบวาไปทั้งๆ ที่ยังแอบขำอยู่   ซึ่งวาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก     หากแต่รีบจดตามอาจารย์พิชายะโดยเร็ว               หลังจากที่วาก้มหน้าจดไปสักครู่  จนเมื่อเขาจดเสร็จเรียบร้อย   เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองกระดานอีกทีหนึ่ง      ทำให้เขาต้องตะลึงไปสักเล็กน้อย     โอ้! เด็ดจริง     ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ที่มีความสามารถในการเขียนกระดานเร็วพอๆ กับอาจารย์มาน่อฟอยู่อีกคนหนึ่ง        



            วา ได้แต่คิดว่า   “ ฟ้าส่งอาจารย์มาน่อฟมาเกิดแล้วใยต้องส่งอาจารย์พิชายะมาเกิดด้วย  “              หากว่าจะมีคนที่สามารถเขียนเร็วได้เท่ากับอาจารย์มาน่อฟ      หรือาจจะเร็วกว่าก็คงจะมีเพียงแต่อาจารย์พิชายะคนนี้    คนเดียวแล้วกระมัง         ถ้าเปรียบการเขียนกระดานเป็นกระบี่   ก็คงเป็นกระบี่ที่เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าหรือประกายไฟเลยทีเดียว          เนื่องจากเพราะเพียงไม่กี่วินาทีอาจารย์พิชายะก็สามารถเขียนกระดานได้ถึง 2-3 เลยทีเดียว  



            นักเรียนบางคนไม่สามารถจดตามทันเนื่องจากเพราะว่า    มีบ้างบางคนหลับไปตั้งแต่อาจารย์พิชายะเล่าเรื่องต่างๆ  ตอนต้นชั่วโมง         เมื่อเพื่อนที่นั่งข้างๆ  ปลุกให้ตื่นขึ้นมาจดงานก็สายไปเสียแล้ว             อาจารย์พิชายะที่เล่าเรื่องต่างๆ  ไปในครึ่งชั่วโมงแรกอาจจะเป็นแผนการณ์ลอกให้นักเรียนหลับก็เป็นไปได้     แต่วาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น      เนื่องเพราะวา ให้ความสนใจแก่เรื่องที่อาจารย์พิชายะเล่ามาก    แล้วมันก็ไม่ทำให้รู้สึกง่วงนอนได้เลยแม้แต่นิดเดียว      



          

              จดจนมือเกือบงอ  ไปประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน    เสียงออด เป็นสัญญาหมดชั่วโมงก็ดังขึ้น    ซึ่งมันก็หมายความว่าถึงเวลาพักเที่ยวแล้ว      จากนั้นก็จะเป็นชั่วโมงชมรม    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอาจารย์พิชายะก็พานักเรียนทุกคนจดงานไปกว่า 3 หน้าได้แล้ว       ทำให้นักเรียนบางคนเมื่อเห็นอาจารย์พิชายะเดินออกไปจากห้องแล้ว   ถึงกับต้องนอนฟุบลงกับโต๊ะ    ราวกับว่า การจดงานต้องดึงพลังทั้งร่างกายออกมาก็ไม่ปาน    



            ระหว่างที่วาค่อยๆ   เก็บสมุดโน๊ตของอาจารย์พิชายะใส่เป้ของเขา    มิว นิค นีโอ และเบต้า  ก็เดินมาหาวาที่โต๊ะ          ซึ่งโซเฟียก็ได้ทักทายกับวาด้วยท่าทางร่าเริง   ผิดกับตอนที่เรียนอยู่อย่างกับคนละคน

      

            “ แหม ขยันเรียนดีจังนะวันนี้  ”

            “ ไม่หรอก เราว่าเธอขยันว่าเราอีกนะ “

           “ พวกนายสองคนยังดีนะ   เราสิเกือบจะหลับไปเสียแล้ว   ตอนฟังเรื่องไอ้เจ้าปลาประหลาดโอปาจีอะไรนั่นนะ ”                    มิว พูดพร้อมกับปิดปากหาวเป็นการใหญ่

           “ แต่เราว่ามันน่าสนุกดีออกนะ ”               วา ออกความคิดเห็นแต่มิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ  นอกจากทำท่าง่วงนอนเต็มที่         ซึ่งต่างจากเสือใบ้นิค  ดูท่าทางอย่าว่าแต่ง่วงนอนเลย   ความรู้สึกยังไม่รู้จะมีเลยหรือเปล่า    

           “ พวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะ   เราหิวจะแย่อยู่  ”      เบต้า เป็นคนพูดซึ่งดูยังไงก็ยังเหมือนหุ่นยนต์อยู่ดี  

          “ อืม เราก็รู้สึกหิวเหมือนกัน ”      นีโอ ก็ดูท่าทางจะหิวบ้างแล้ว    คงเป็นเพราะว่า    การตั้งใจเรียนทำให้ศูนย์พลังงานได้มากกว่าการอยู่เฉยๆ   ก็ไม่แน่เพราะการเรียนเป็นการใช้พลังงานทางสมองอย่างหนึ่ง  

         “ เอาละ งั้นเราก็ไปทานข้าวกันเลยละกันนะ ”          เมื่อวาพูดจบ ก็ลุกขึ้นพร้อมกับสะพายเป้ของเขาเดินตรงไปยังประตูห้อง      





             ทั้งหมดเดินลงบันไดชั้นสองมาจนถึงชั้นหนึ่ง     ซึ่งระหว่างนั้นเองวาก็ได้มองไปเจอกับก็อบที่ยืนอยู่ห่างจากเขามากพอสมควรพอดี !         ทั้งสองประสานสายตากันอยู่สักพักหนึ่วาก็รีบเดินออกจากตึกอาคารเรียน    เพราะไม่อยากจะมีเรื่องอีก          แต่ก็อบยังไม่ยอมละสายตาจากวา   ถึงแม้วาจะเดินออกไปจากตึกแล้วก็ตามราวกับวา     มีเรื่องอะไรค้างคาอยู่ก็ไม่ปาน    



             วา ถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อเดินพ้นออกมาจากตึกอาคารเรียนได้แล้ว      โชคดีของเขาที่เดินออกมาได้    แต่ถึงเขาจะถูกหาเรื่องอีกครั้งเขาก็ไม่ได้กลัว    ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ตามที         แต่จากคำพูดที่หลายๆ คนบอกมาว่า   ถ้าเขาอยู่กับโซเฟียแล้วละก็   เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย    นั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เขามีความสบายใจมากขึ้นสักเล็กน้อยก็ได้    



            ทั้งหมดเดินผ่านน้ำพุใหญ่กลางโรงเรียนจนมาถึงโรงอาหาร      วารู้แล้วว่าเขาควรจะต้องทำอะไรบ้าง         หลังจากที่วาซื้ออาหารได้แล้ว          เขาก็มองหาโต๊ะที่พวกเพื่อนๆ  นั่งรวมกลุ่มกันอยู่    ซึ่งนีโอ เป็นคนโบกมือเรียกวา   ทำให้เขาสามารถหาโต๊ะเจอ      



            อาหารที่วาซื้อในวันนี้เป้นก๋วเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำจากร้านลุงเฉื่อยซึ่งคือร้านเดียวกันกับเมื่อวานนั่นเอง      กว่าที่วาจะต่อคิวซื้อมาได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน         พอไปนั่งรวมกับกลุ่มก็พบว่า  เพื่อนๆ บางคนทานไปจนเกือบจะหมดแล้ว      

      

           “ แหม มาช้าเชียวนะคุณเด๋อ ”    

           “ ที่จริงคิวมันก็ไม่ได้เยอะนะ   แต่ว่าเขาทำช้าจริงๆ  ”             วา ตอบโซเฟียซึ่งวันนี้เธอไม่ได้ซื้อก๋วเยตี๋ยวที่ร้านลุงเฉื่อยแต่ซื้อยากิโซบะจากร้านอื่นแทน  ซึ่งวาก็ยังไม่รู้จัก  ร้านไหนเลยสักร้านนอกจากร้านลุงเฉื่อย  



           “ ว่าแต่ตอนเย็นๆ  หลังเลิกเรียนมีอะไรให้ทำมั่งละ   เรารู้สึกว่าเมื่อวานเราว่างๆ ไปยังไงก็ไม่รู้สิ ”

           “ มีอะไรให้นายทำตั้งเยอะแย่ะแน่ะ   อย่างน้อยถ้าไม่มีอะไรทำจริง   นายแค่เดินเล่นรอบโรงเรียนหนึ่งรอบก็ยังไม่รู้ว่าจะค่ำก่อนเลยรึเปล่า      เผลิอๆ อาจจะเดินไม่รอบก็ได้นะ  ”           เบต้า เป็นคนตอบคำถามวา   ทั้งที่ข้าวยังคงเต็มอยู่ในปากอยู่เลย                   ก็จริงอย่างที่เบต้าว่า  ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ  แค่เดินเล่นรอบโรงเรียนก็เหลือเฟือแล้ว     เพราะโรงเรียนนี้กว้างมากจนเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแทบจะเดินได้ไม่รอบเลยทีเดียว    



             “ แล้วว่าแต่พวกนายไม่เล่นบอลกันมั่งหรอ ”

             “ นายอยากเล่นบอลหรอ ”      

             “ ก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก   เพียงแต่เมื่อวานเราเห็นสนามบอลโรงเรียนแล้วมันเกิดอยากเล่นขึ้นมาน่ะสิ  กว้างออกขนาดนั้นแถมอากาศกำลังดีเสียด้วย  ”

            “ ที่พูดมาก็น่าสนใจนะ   เพียงแต่ว่าพวกเรามีคนไม่ค่อยจะมากน่ะสิ    ยังแบ่งเป็นทีมไม่ค่อยได้เลย ”      มิว ก็ดูเหมือนจะอยากเล่นอยู่เหมือนกัน

            “ เออ ว่าแต่ที่นี่มีโต๊ะปิงปองมั่งมั้ย    เราอยากเล่นมากเลยละ ”

            “ ว้าว คุณเด๋อเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอเนี่ย  ”          โซเฟีย รีบกวนวาทันที

           ” ก็นิดหน่อยนะ    แต่เราว่ามันสนุกดีนะ ”            

           “ ไอ้ตะปิงปองมันก็มีหรอกนะ   ถ้าไม่มีน่ะสิถึงจะแปลก   เพียงแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า     โต๊ะปิงปองมันมีอยู่แค่ในเฉพาะห้องชมรมปิงปองน่ะสิ    ”    มิว   ค่อยๆ บอกวา ขระที่กำลังจะทานข้าวคำต่อไป

           “ แล้วเราเข้าไปเล่นไม่ได้หรอ  ”

           “ ไอ้ได้น่ะมันได้นะ   เพียงแต่ว่า  ปัญหาที่กำลังจะบอกก็คือ   พวกเด็กชมรมปิงปองที่ฝีมือเก่งๆ    ชอบมาท้าดวลประมาณว่า   ถ้าไม่ชนะเขาก็จะไม่ยอมให้เล่นน่ะสิ   ”  

           “ อ้าว อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะสิ    ทุกคนก็มีสิทธิที่จะเล่นเท่าเทียมกันนะ ”    

           “ มันก็ใช่นะที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเล่นได้เท่าเทียมกัน    แต่มันเหมือนเป็นกำไปสะแล้ว     จึงไม่ค่อยมีคนไปเล่นที่ห้องชมรมปิงปองนะสิ  ”

           “ งั้นหรอ  ฟังอย่างนี้ชักน่าสนใจแล้วสิ      เย็นนี้เราไปลองเล่นกันดูดีมั้ย  ”        



           มิว เมื่อได้ยินวาพูดเช่นนั้นถึงกับเกือบกลิ่นข้าวติดคอ   ไอแค๊กๆ อยู่ 2-3 ที   ก่อนที่จะรีบดื่มน้ำเปล่าตามไป



            “ เราว่านายอย่าไปเลยดีกว่านะ   ที่นั่นมีแต่พวกฝีมือโหดๆ    โดยเฉพาะไอ้หัวหน้าชมรมที่ชื่อว่า  โซลีน   ”

            “  ก็มันอยากเล่นนี่หน่า   แล้วอีกอย่างหนึ่งแค่ลองดูสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรจริงมั้ย ”  

            “ แล้วแต่นายก็แล้วกันนะ    แต่ถ้านายจะไปจริงๆ  ละก็เราไปเป็นเพื่อนก็ได้ ”

            “ เราไปด้วยได้หรือเปล่าเนี่ย ”             โซเฟียรีบถาม

           “ ใครห้ามละ ไปสิ  คนไปเยอะยิ่งดี ”          วา หันไปยิ้มให้กับโซเฟีย          มิวเมื่อได้ยินโซเฟียพูดก็รีบพูด

    ต่อ

           “ เราว่าถ้าเธอไปนะ  ไอ้พวกนั้นก็แพ้หมดนะสิ ”

           “ จะบ้าหรอ  เราเล่นปิงปองไม่เก่งขนาดนั้นหรอกนะ  ”  

           “ ก็เห็นไม่เก่งสักเรื่องแหละน้า   พอเอาเข้าจริงๆ ก็นะ ”       มิว พูดเหมือนกับรู้ทัน    ทำให้วาสงสัยว่าโซเฟียเล่นปิงปองเป็นด้วยหรือเปล่า

           “ แล้วเธอเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอ  ”  

           “ ก็พอเป็นบ้างนิดหน่อยนะ  แต่เราไม่ค่อยเก่งจริงๆ นะ ”              วา เองก็เชื่อครึ่งไม่ค่อยเชื่อครึ่งเพราะคนบางคนบอกว่าตัวเองไม่เก่งก้ไม่เก่งจริงๆ    แต่คนบางคนบอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งแต่ดันชนะคนที่บอกว่าตัวเองเล่นเก่ง      ยิ่งเฉพาะบางคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็นยิ่งน่ากลัวกว่าคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งเสียอีก     เพราะส่วนใหญ่เล่นเป็นแต่ชอบบอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็น   ก็ไม่รุ้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน      



             “ แล้วตกลงเย็นนี้มีใครจะไปเล่นปิงปองกับเรามั่ง  นีโอกับนิคละไปมั้ย ”

             “ วันนี้เราคงไปไม่ได้หรอกนะ ขอโทษทีพอดีต้องอ่านหนังสือต่ออีกนิดหน่อยไว้โอกาสหน้าละกันนะ     ถ้ายังไงก็ขอให้ชนะละกันนะ ”      

            “ นายละนิค ”

            “ …………(ยักไหล่)………”             เสือใบ้นิคยักไหล่ซึ่งมีความหายว่า จะยังไงก็ได้  

            “ งั้นเราจะเจอกันที่ไหนเวลาไหนดีละ   ตอนเย็นนี้ ”

            “ เจอที่หน้าประตูทางเข้าตึกชมรมละกันนะ    เวลาก็เอาประมาณ 4โมงเย็นละกันนะกำลังดี   โอเคมั้ย ”         มิว เป็นคนเสนอความคิด

            “ อืม โอเคงั้นก็ตกลงตามนั้นนะ    เออ ว่าแต่ที่นั่นมีไม้ปิงปองให้เราด้วยใช่มั้ย ”  

             “ มีสิจะ คุณเด๋อ  “

             “ ขอบคุณ”              วา ตอบโซเฟียเชิงค้อน     พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่เธอ    



          

             หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็รับประทานอาหารเที่ยงกันจบเสร็จหมด    ซึ่งก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันแล้ว       วา เองก็เดินแยกออกมาเพียงคนเดียว         เนื่องจากเพราะเขารู้แล้วว่า  ตึกชมรมต้องไปทางไหน        ถึงตอนนี้ยังพอเหลือเวลาอีกประมาณ 20 กว่านาทีก่อนที่จะเข้าชั่วโมงชมรม    แต่วาก็รีบตรงดิ่งไปที่ตึกชมรมเพียงคนเดียว           เนื่องเพราะเขาไม่ค่อยอยากจะเจอก็อบและแก๊งเอ็ดดี้เท่าไหร่นัก          



             ในที่สุดวาก็เดินมาถึงตึกอาคารชมรม   ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในประตูแล้ว   วาก็ต้องตกใจเล็กน้อย    เพราะคนที่เขาไม่อยากเจอกับยืนดักรอเขาอยู่ที่ข้างๆ     ประตูอาคารนั่นเอง                   เมื่อเห็นเช่นนั้นวา จึงรีบสาวเท้าเดินต่อไปทำเป็นไม่สนใจ    แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก

      

           “ ช้าก่อนจะรีบไปไหน ”            ก็อบตะโกนบอกวา    ซึ่งวาก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าก็อบ

          “ ก็จะรีบเข้าชมรมนะสิ ”

          “ ขยันจังนะ  ”



           วา ไม่สนใจก็อบแล้วก็รีบเดินต่อไป    ซึ่งคราวนี้ก็อบก็เดินตามเข้ามาติดๆ        วาก็ทำเป็นไม่สนใจเดินต่อไปจนในที่สุดก็ไปถึงห้องเวทีฮาโมเนีย           ซึ่งบนเวทีนั้นซาซาไรกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประหลาดอันหนึ่ง      ที่ประหลาดก้คือมันเป้นเก้าอี้ที่ไม่มีขาน่ะสิ          



              ก็อบยังไม่หยุดตามวามาจนกระทั่งเดินตามเข้ามาในห้องชมรม            เมื่อวาเดินไปจนใกล้ซาซาไรแล้ว   ก็พบว่าก็อบตามเขาเข้ามาด้วย      



             “ นายมีอะไรหรอ ถึงต้องตามเรามาด้วย ”

          

              ก็อบไม่ตอบหากแต่เดินตัดหน้าวา ตรงไปยังซาซาไรซึ่งกำลังนั่งอยู่        ซาซาไรเมือ่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดกึ่งกังวลของก็อบก็หาได้สนใจไม่   เพียงแต่ยักคิ้วข้างเดียวพร้อมกับทำหน้ากวนๆ ใส่       สื่อความหมายว่า   มีเรื่องอะไรงั้นหรอ  



               ก็อบก้มหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก็พูดบอกซาซาไรไปว่า



              “ เมื่อวานที่ผมทำไม่ดีไปต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ ”              วา ได้ยินก็อบพูดเช่นนั้นถึงกับงเล้กน้อย    เมื่อวานเขายังมีท่าทางแสดงอาการก้าวร้าวอยู่เลย    แถมเรียกตัวเองว่าข้าเสียด้วย      อะไรทำให้เขากลับเป็นหน้ามือกับหลังมืออย่างนี้นะ             ที่จริงก็อบมาขอโทษเพราะเมื่อวานเขาถูกมาสเตอร์ชไนเดอร์สั่งมามิเช่นนั้นเขาจะต้องโดนทำโทษขั้นรุงแรงมากกว่าเดิมในวันนี้แน่      

              

              “ ไม่เป็นไรครับ    ผมให้อภัยคุณนะครับ        แต่คนที่คุณน่าจะขอโทษมากกว่าผม  ยืนอยู่ข้างหลังมากกว่านะ ”         เมื่อได้ยินซาซาไรพูดดังนั้นก็อบก็หันหน้าไปหาวาทันที   ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย      

              “ ส่วนแกไอ้เด็กใหม่    ข้า – ขอ-  โทษ ! ”       ดูเหมือนว่ากว่าที่ก็อบจะพูดออกมาได้นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างสูง  

              “ ไม่เป็นไรหรอกนะ   เราไม่ว่าหรอก “               วา พูดพร้อมกับยิ้มให้  แถมยังยกมือขึ้นมาทำท่าจะจับมือเชื่อมสัมพัน์กับก็อบ          แต่ทว่าหน้าตาของก็อบนั้นดูท่าจะไม่เล่นด้วยแล้ว     วาจึงลดมือลง    



              

                 ก็อบไม่พูดอะไรอีก    เขาจึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที        ซึ่งเมื่อก็อบเดินออกไปจากห้องแล้ว   วาก็ต้องถอนหายใจหนึ่งเฮือก          ซาซาไรขำเล็กน้อยกับการถอนหายใจของวา          



                “ สวัสดีนะครับ มาสเตอร์ ”        

                “ อืม สวัสดีนะ ”              หลังจากที่กล่าวทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว   ซาซาไรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ขาล่องหนอันนนั้น         ปรากฎกลุ่มควันบริเวรรอบๆ     เก้าอี้พอกลุ่มควันจางไปเก้าอี้ก็หายไปเสียแล้ว        

                “ มหัศจรรย์จังเลยครับ ”  

                “ เดี๋ยวฝึกไปอีกไม่นานคุณก็จะทำได้เองแหละครับ    ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงเข้าชมรมเร็วจังละครับ ”

                “ พอดีอยากเข้ามาก่อนเวลานะครับ  ”

               “ งั้นจะเรียนกันเลยไหมครับ  หรือว่าจะพักสักครู่หนึ่งก่อนไว้ถึงเวลาแล้วค่อยเริ่มเรียนกัน ”

               “ ผมขอพักสัก 5 นาทีก่อนก็ละกันครับ ”

              ซาซาไรไม่พูดอะไรนอกจากเดินเข้าไปยังห้องเรียนที่เมื่อวาน    ใช้สอนวา  ซึ่งวาก็เดินตามเข้าไปทันที    



              “ คือ ผมมีเรื่องอยากจะถามมาสเตอร์นะครับ ”

              “ ว่ามาสิครับ ”

              “ มาสเตอร์เล่นปิงปองเป็นหรือเปล่าครับ ”             ซาซาไรเมื่อได้ยินคำถามของวา ก็ถึงกับอดขำไม่ได้

             “ ก็นึกว่าจะถามอะไร  ผมก็พอเล่นเป็นแหละครับ  ว่าแต่ถามอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่เลยใช่ไหมครับ “

             “ ป่าวหรอกครับ   แค่พอดีผมอยากจะลองไปเล่นปิงปองที่ห้องชมรมปิงปองดูก็เท่านั้นแหละครับ    เห็นเพื่อนเขาบอกว่าเป็นที่เดียวที่มีโต๊ะปิงปอง   ”

             “ งั้นหรอครับ ท่าทางจะเก่งนะครับเนี่ย    แต่ว่านะครับที่บอกว่าที่ชมรมปิงปองเป็นที่เดียวที่มีตะปิงปองท่าจะไม่ใช่แล้วละครับ    เพราะดูจะมีอีกที่หนึ่งนะครับที่มีโต๊ะปิงปองอยู่ด้วย  ”

             “ ที่ไหนหรอครับ ”

             “ บอกแล้วจะเชื่อไหมครับว่า  ที่ชมรมนักมายากลของเราก็มีเหมือนกันนะครับ ”

             “ แล้วมันอยู่ที่ไหนหรอครับ  ทำไมผมไม่เห็นเลย ”

             “ มันก็อยู่ที่ว่าผมจะเสกมันออกมารึเปล่าก็เท่านั้นแหละครับ    เพียงแต่ว่าถึงเอาออกมาก็คงไม่มีคนเล่นอยู่ดี ”

             “ แล้วถ้าไว้ว่างๆ   ผมจะชวนเพื่อนมาเล่นที่นี่ได้รึเปล่าละครับ  ”  

             “ อืม ก็ต้องดูก่อนละครับ   แต่ที่แน่ๆ วันนี้คงเล่นกันไม่ได้หรอกครับ   เพราะผมมีงานนิดหน่อยหลังเลิกเรียนนะครับ     ไว้ถ้าวันไหนเล่นได้ผมจะบอกก็แล้วกันนะครับ ”



              วา รู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้นที่เขาอยู่ชมรมนักมายากลดูเหมือนว่ามันจะมีไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  ตามแต่ซาซาไรจะเสกออกมา        



          

             ในที่สุดชั่วโมงชมรมก็ผ่านไป   วันนี้วาได้เรียนรู้มายากลเพิ่มเติมขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง      ที่เขาต้องไปฝึกเพิ่มเติมก็คือ    เขาต้องกลับไปฝึกก็คือ  การอ่านทำความเข้าใจกับเทคนิคมายากลในหนังสือคูมือนักมายากลฉบับฝึกหัดที่ซาซาไรนำมาห้เขาในวันนี้          พร้อมกับฝึกการกล่อนไพ่ให้ตรงเป้าหมายเสียก่อน



            วา ออกมายืนคอยนิค โซเฟียและมิว  อยู่ที่ข้างหน้าตึกอาคารชมรมซึ่งดูเหมือนว่า    เขาจะเป็นคนที่มาเป็นคนแรก         หลังจากยืนคอยอยู่ประมาณไม่เกิน 5 นาทีทุกคนก็มากลับครบ  

        

           “ นายยังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมที่จะไปที่ชมรมปิงปองน่ะ ”     มิว  ถามวาอีกรอบหนึ่ง

           “ ไม่หรอก  มันก็ไม่น่าจะมีอะไรขนาดนั้นิ ”      

           “ ใช่แล้ว ในเมื่อคุณหัวหน้าวงเขายังไม่กลัวเลย   แล้วนายจะกลัวอะไรละ ”        โซเฟีย คราวนี้สนับสนุนวา      ซึ่งดูทุกคนจะอยากไปที่ชมรมปิงปองทุกคนยกเว้นแต่มิวเพียงคนเดียว        



            ในเมื่อทุกคนต้องการจะไป มิวก็ยอมต้องตามไปด้วย  ซึ่งเขาเป็นคนทำหน้าที่นำทางไปเอง    ห้องชมรมปิงปองอยู่ในตึกอาคารชมรมเช่นกัน    เพียงแต่ว่ามันอยู่ที่ชั้นบนจนเกือบจะสุดเลยทีเดียว          

      

           วา ค่อยๆ เดินตามมิวไปเรื่อยๆ ผ่านบันไดวนที่ดูสวยหรูขึ้นไปเรื่อยๆ     จนในที่สุดก็ถึงทางเดินซึ่งถ้านับจากชั้นที่เดินกันมาแล้วชมรมปิงปองน่าจะอยู่ที่ประมาณชั้นที่ 4 ของตึกอาคารชมรม              มิว พาทั้งหมดเดินตรงไปยังทางเดินซึ่งก้เห็นป้ายที่ยื่นออกมาอยู่ไม่ไกลนักเขียนว่า  “ ห้องชมรมปิงปอง “





          เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องชมรมปิงปอง   วาก็ได้ยืนเสียงไม้ปิงปองและลูกปิงปองกำลังกระทบกันอยู่หลายเสียงเลยทีเดียว    แสดงว่าก็มีคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว



           “ ไหนนายบอกว่า   ไม่ค่อยมีคนมาเล่นปิงปองไม่ใช่หรอ   ทำไมได้ยินเสียงออกจะเยอะแย่ะขนาดนี้ ”

           “ ไอ้เสียงที่นายได้ยินมันฟังดูเยอะอยู่หรอก   แต่ที่จริงไอ้พวกที่อยู่ข้างในนั้นมีแค่ไม่กี่คนหรอก   เพียงแต่ว่า   ความเร็วในการตีมันสูงมากจนทำให้นายคิดว่ามันมีคนอยู่เยอะยังไงละ       พวกที่อยู่ในห้องนี้ก็คงมีแต่พวกชมรมทั้งนั้นแหละ   และเป็นพวกที่ฝีมือไม่ธรรมดาสะด้วย   ”

           “ ว่าแต่เราเข้าไปกันได้หรือยังละ ”

           “ อยากเข้าก้เปิดประตูเข้าไปเลยครับท่านผู้ชม ”



           วา ไม่รอช้ารีบผลักประตูห้องชมรมปิงปองออก  ซึ่งบานประตูเป็นกระจกสีดำบานใหญ่          เพียงแค่วาผลักประตูเท่านั้น   ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปในห้องชมรมเลย     เสียงลูกปิงปองต่างๆ   ก็ต่างเงียบหายไปตามๆ กัน      ซึ่งเมื่อวาเข้าไปแล้วก็ต้องพบกับสายตามากมายแต่ก็ไม่ถึง 20 คน        ดูคร่าวๆ  ก็คงประมาณ 10 – 15 คนเท่านั้น      ห้องชมรมปิงปองเป็นห้องที่ใหญ่มากห้องหนึ่งดูไปแล้วกว้างกว่าห้องเรียนของวาเสียอีก    เพดานก็สูงมากเสียด้วย         ห้องทั้งห้องทาด้วยสีขาวทำให้รู้สึกสว่างและน่าเล่นปิงปองเป้นอย่างมาก



           คนทั้งหมดในห้องชมรมต่างจ้องมองมาที่วา    ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคยเหียบเข้ามาที่ห้องชมรมมาเป็นเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว           วารู้สึกแปลกๆ   แต่ก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับนักเรียนพวกนั้น     จากนั้นเมื่อโซเฟีย นิค และมิวเข้ามาเสร็จเรียบร้อย       ทุกคนต่างมีท่าทางคล้ายๆ กับวา   คือ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทางของคนในห้องนี้



            โซเฟียนั้นได้แต่ยิ้มกวนๆ เล็กน้อย     ส่วนนิคนั้นไม่แสดงท่าทีอะไร   ผิดกับมิวซึ่งรู้สึกว่าจะกดดันกว่าเพื่อน      ทุกคนในห้องต่างตกอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง     ก็มีคนรูปร่างผอมสูง    เดินตรงเข้ามาที่พวกของวา       คนๆ นี้สวมแว่นกรอบสีดำรุปทรงสี่เหลี่มดูท่าทางมีฝีมือในการเล่นปิงปองอย่างมาก         ไม่รอช้าวาจึงรีบเอ่ยปากถามไปว่า



            “ เออ คือ พวกเราต้องการจะมาเล่นปิงปองในห้องชมรมของพวกนาย    เราพอจะเล่นได้ไหม ”



            เด็กนักเรียนคนที่สวมแว่นนั้นยังไม่ได้ตอบวา    หากแต่หัวเราะด้วยเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายเป็นการใหญ่   ซึ่งเมื่อเขาหัวเราะแล้ว    คนที่อยู่ในห้องทั้งห้องก็ต่างหัวเราะตาม  



            “ นายรู้ไหมว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาขอพวกเราเล่นปิงปองในห้องนี้เป้นเวลานานเท่าไหร่แล้วรู้ไหม  ”

            “ เรื่องนั้นเราไม่ได้สน   เราสนเพียงแต่เราจะมาเล่นได้หรือไม่ ”           วา พูดตอบกลับไปด้วยคำพูดที่คมกรีบทำให้เด็กชายที่สวมแว่นคนนั้นต้องเงียบไปสักพักหนึ่ง   จึงกล่าวต่อได้

            “ ได้สิ ทำไมจะไม่ได้แต่มีข้อแม้นะ ……… ”

            “ ข้อแม้อะไรหรอ ว่ามาสิ ”

            “ นายจะต้องเอาชนะการเล่นปิงปองกับเราให้ได้ก่อน     ขอแน่ะนำตัวเลยนะ    เรามีชื่อว่า  พรีสไซ    เป็นว่าที่รองประธานชมรมปิงปองแห่งนี้  ”

            “ อ๋อได้สิ  แล้วเราจะเริ่มกันได้เลยหรือยังละ ”         วา ดูจะมีความมั่นเป็นอย่างมาก    ทำให้พรีสไซต้องยิ้มเป็นการใหญ่    ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้กลัวฝีมือของวา    พอๆ กับที่วาก็ไม่กลัวเขาเหมือนกัน  

          “ ได้เลยงั้นตามมานี่     อย่าเป็นพวกเกลือก็แล้วกันละ ( พวกเกลือเป็นคำว่าเฉพาะที่พรีสไซคิดขึ้นมาสำหรับว่า  พวกไม่มีฝีมือ )”



            วา ไม่พูดตอบหากแต่เดินตามพรีสไซตรงไปยังโต๊ะปิงปองซึ่งอยู่แถวๆ  กลางห้องโต๊ะหนึ่ง        ระหว่างที่เดินอยู่โซเฟียก็เข้ามากระซิบข้างๆ เขา



            “ อย่าทำหน้าแตกนะคุณเด๋อ  แหะๆ ”

           “ รับทราบภารกิจครับ  คุณหัวหน้าห้อง ”           วา ตอบพร้อมกับกระพริบตาข้างซ้ายให้จากนั้นก็เดินไปประจำโต๊ะปิงปอง            พรีสไซหยิบไม้ปิงปองออกมาจากซองใส่ไม้ปิงปองข้างๆ เอวของเขาพร้อมกับสวมถุงมือสีดำที่มือข้างซ้ายของเขา         ดูจากลักษณะจากการจับไม้แล้ว   แสดงว่าเขาเป็นคนถนัดซ้ายลักษณะการจับไม้ของเขาเป็นแบบธรรมดา                ส่วนวานั้นเมื่อยืนเข้าที่แล้วก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งดุท่าทางจะมีอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อยเดินเข้ามาหา



            “ นายมีไม้ปิงปองแล้วหรือยัง   ถ้าไม่มีละก็ยืมของเราได้นะ    รับรองใช้ได้ดีเลยทีเดียวละ ”

            “ ยังไม่มีหรอก  ขอบใจนะ  แล้วจะชนะให้ดู ”          วา ดุท่าทางมีความมั่นใจมากจากนั้นก็รับไม้ปิงปองมาจากนักเรียนหญิงคนนั้น     ซึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มให้      



            ท่าที่วาใช้จับไม้ปิงปองเป็นท่าการจับที่เหมือนกับพรีสไซ   เพียงแต่ว่าวาใช้มือขวาในการตีลูกเท่านั้นเอง  



            “ เอาละในเมื่อนายพร้อมแล้วละก็   เรามาเริ่มกันเลย กติกาการเล่นนายคงจะรู้อยู่แล้วนะ    เราจะแข่งกัน 21 ลูกโดยใครได้แต้มถึงก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ  เอาละใครจะเป็นฝ่ายเสริฟ์ก่อนดีละ ”  

           “ เราให้เกรียตินายในฐานะเจ้าที่ละกัน   เสริฟ์มาก่อนได้เลย ”

           “ งั้นก็ไม่เกรงใจละนะ ”  



            พรีสไซเมื่อพูดจบก็ไม่รอช้า    เสริฟ์ออกมาในทันที   ความเร็วในการเสริฟ์นั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว   แต่วาก็รับมันได้พร้อมกับโต้กลับไปในทันที       ลูกที่วาตีกลับไปนั้นก็แรงไม่ใช่เลนเหมือนกัน     มันเร็วมากพร้อมกับหมุนอย่างแรง    ทำให้พรีสไซถึงกับรับมันไม่ทัน   ลูกกระเด็นออกไปค่อนข้างไกล  



             วา ยิ้มอย่างมั่นใจเล็กน้อย  ซึ่งทุกคนในห้องเมื่อเห็นดังนี้ต่างก็พากันเงียบไปตามๆ กัน    ส่วนโซเฟียนั้นยกนิ้วโป้งให้กับวา     มิว รู้สึกว่าจะหายกดดันไปนิดหน่อย        ส่วนเด็กผู้หญิงคนที่วาให้ยืมไม้ดูท่าทางมีอาการสนใจวาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย      



            พรีสไซเดินไปเก็บลุกจากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับมาที่โต๊ะ  พร้อมกับหัวเราะเป็นการใหญ่



           “ เยี่ยม !  นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถโต้ลูกเสริฟ์ของเราได้   แต่จากนี้มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วนะ    เพราะเราจะเอาจริงละนะ ”  

           “ ได้เลยพวก ”  



           วา เตรียมตั้งท่ารับการเสริฟ์ครั้งต่อไปของพรีสไซ     ส่วนพรีสไซนั้นขยับแว่นอีกเล็กน้อยจากนั้นก็เริ่มเสริฟ์ออกไป

        

                                          _________________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×