ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทเรียนที่ 7 เผชิญหน้าชมรมปิงปอง
                                      บทเรียนที่ 7      เผชิญหน้าชมรมปิงปอง
            ว่าที่หัวหน้าวงนั่งงงอยู่สักพักหนึ่ง    ส่วนคนอื่นๆ นั้นก็ต่างนั่งทำหน้างงๆ  อยู่สักพักหนึ่ง  คงจะมีแต่เสือใบ้นิคเท่านั้นที่ยังคงสามารถนั่งมองหน้า  วา  อยู่อย่างนิ่งๆ ได้           
     
              โซเฟียทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย  จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
            “ นายเด๋อเนี่ยนะ  จะเป็นหัวหน้าวงเรา  แหะๆ    แต่ก็ดีนะ ”             
            “ มีใครจะคัดค้านมั้ย ”              มิว ถามพร้อมกับมองหน้าทุกคน      ไม่มีใครคิดจะคัดค้านแม้แต่คนเดียว      มิว เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ          “ เอาละ ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน  ต่อจากนี้ไปหัวหน้าวงของเราก็ คือ ..”
     
            ยังพูดไม่ทันจบ  คนที่คัดค้านขึ้นมาก็ คือ ตัว วานั่นเอง 
           
            “ เออ คือ ว่า เราไม่เคยประกวดวงอะไรพวกนี้มาก่อนเลยนะ  แถมเรายังเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่ค่อยเป็นเลยนอกจากร้องเพลง  จะให้เรามาเป็นหัวหน้าวงอย่างนี้มันจะดีหรอ ”           
            “ แหม  จะเป็นหัวหน้าวงทั้งที  ถ้าไม่มีใจสู้แล้ว  สมาชิกวงจะมีใจสู้กันมั้ยละค่ะ ”        โซเฟีย พูดมาแบบให้กำลังใจ    จากนั้นก็รีบพูดต่อ
            “ คนที่เป็นหัวหน้าวง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดเสมอไปหรอกนะ    ขอแค่เป็นคนที่เป็นศูนย์รวมของวงได้ก็พอแล้วละ    แล้วอีกอย่างก็ไม่มีใครเขาจะปฎิเสธนายหรอกนะ    ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสิ      ทุกคนเชื่อนะว่านายทำได้    นายสามารถนำวงของเราได้          ไม่อย่างนั้นทำไมโลกนี้ถึงต้องมีอาชีพพวกผู้บริหารขึ้นมาละ  ทั้งๆ ที่บางครั้งพวกผู้บริหารเองก็ไม่ได้รู้งานที่เขาคุมอยู่เลย  แต่เพราะมีขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมเพื่อรวมการทำงานของคนหลายๆ ฝ่ายให้เข้ากันได้ยังไงละ  ”
   
              ครั้งนี้นับว่า โซเฟีย พูดมีเหตุผลพอสมควร  ผิดจากที่เธอชอบพูดกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา        มิว ได้ยินดังนั้นก็พูดเสริมไปว่า
              “ จริงอย่างที่โซเฟียว่า  นายต้องมีความมั่นใจในตัวเอง    เราให้นายเป็นหัวหน้าวง  เพราะเรามั่นใจในตัวนายนะ    เราเชื่อว่าคนอย่างนายสามารถนำวงเราไปสู้ชัยชนะได้  ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็ตาม หรือที่จริงอาจจะ 2 วัน ฮ่าๆ  ”      มิว หัวเราะสักพักก็พูดต่อ          “ อย่างที่บอก คนเราถ้ามันมีแววมองแป๊ปเดียวก็รู้แล้วละ ”     
            วา เมื่อได้ยินคำพูดจากเพื่อนทั้งสองก็เริ่มมีความมั่นใจที่จะเป็นหัวหน้าวง    แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีที่ทำไม มิว ไม่เป็นหัวหน้าวงสะเอง  ที่จริงเขาก็มีความสามารถในการรวมคนในวงได้  ถึงขนาดรวมสมาชิกแล้วตั้งวงได้  แต่ทำไมเขาถึงไม่มาเป็นหัวหน้าวงสะเองนะ        แต่ วา ก็คิดว่าในเมื่อ มิว ให้เขาเป็นหัวหน้าแทนแสดงว่า เขาคงมีเหตุผลส่วนตัว       
            วา มองไปที่นิค    ซึ่งนิคก็พยักหน้าให้ วา เหมือนกับยอมรับว่า วาสมควรที่จะเป็นหัวหน้าวง      ในที่สุด  วาก็ไม่ลังเลที่จะเป็นหัวหน้าวงอีกต่อไป  เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความมั่นใจ  หากแต่ต้องการที่จะยืนยันว่า  เพื่อนทุกคนสมัครใจให้เขาเป็น  เขาก็พร้อมที่จะเป็นในทันที   
          “ เอาละ ในเมื่อทุกคนสมัครใจให้เราเป็นหัวหน้าวงแล้วละก็  เราก็จะทำหน้าที่หัวหน้าวงให้ดีที่สุด ”
          “ ต้องอย่างนี้สิ  ถึงสมจะเป็นหัวหน้าวงของเราหน่อย ”              มิว พูดพร้อมกับปรบมือแสดงความยินดี    เบต้าก็ปรบมือตาม          ส่วนโซเฟียนั้นไม่ได้ปรบมือ  เพียงแต่ยิ้มให้ วา เท่านั้น  ซึ่งเมื่อ วามองโซเฟียที่กำลังยิ้มให้กับเขานั้น ก็รู้สึกเขินๆ  จนบอกไม่ถูก  จึงเบือนหน้าหนีไปทางนิค  ซึ่งก็ได้ผลดี      ใบหน้าของนิค  มองแล้วหายเขินขึ้นเยอะเลยทีเดียว         
            “ ว่าแต่คุณหัวหน้าวงค่ะ  คุณจะตั้งชื่อวงว่าอะไรหรอ ”          โซเฟียเป็นคนตั้งคำถามขึ้น  ซึ่ง วา ก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก 
          “ ก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ  คุณมือกีต้าร์    งั้นเราว่าช่วยกันตั้งชื่อวงกันเถอะ ”     
          “ เราว่าชื่อวง โซเค้น - เล่นไม่มีกระตุกดีมั้ย ”            เบต้าเป็นคนเสนอความคิดขึ้นคนแรก  ซึ่งชื่อนี้มันออกจะดูพิลึกๆ ยังไงชอบกล                วา เมื่อได้ยินชื่อวงที่เบต้าเสนอมาก็รู้สึกแปลกๆ  แต่ก็สมแล้วที่เป็นความคิดของเบต้า        ซึ่ง มิว ก็เป็นผู้รู้ได้ถึงความแปลกนั้น  เขาจึงรีบพูดต่อมา
           
          “ เราว่ามันก็ดีนะ  แต่มันออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย    อืม  เราว่านะชื่อว่าน่าจะเป็น  ซูเปอร์ ซไปส์เป็นยังไงละ ”     
        “ ของนายมันก็แปลกๆ เหมือนกันละ ”            คราวนี้เบต้าก็ค้านบ้าง
        “ งั้น เอาชื่ออะไรดีละ    นายละนิค มีอะไรจะเสนอมั้ย ”            มิว มัวแต่คิดจึงลืมว่า  ถามไปนิคก็คงไม่ยอมตอบ 
        “ นี่ๆ เอาชื่อวงฤทธิ์มีดสั้นดีมั้ย  เราว่าเท่ดีน้า ”            คนที่เสนอความคิดนี้ถึงกับเป็นวีวี่  ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินถึงกับต้องหันหน้าไปมองที่วีวี่พร้อมกับ         
   
        “ เราว่าสงสัยเธอจะบ้านิยายจีนมากไปแล้วละมั้งเนี่ย  คิดได้ยังไงเนี่ยฤทธิ์มีดสั้น  ไม่ตั้งชื่อว่า วงรักใสๆ หัวใจสี่ดวงหรือดาบมังกรหยกไปเลยละ ”          มิว เป็นคนสวนมา  ซึ่ง วาเริ่มที่จะสังเกตุได้ว่า  สองคนนี้มักชอบที่จะคิดขัดแย่ง  หรือเถียงกันอยู่เสมอ    แต่ก็ไม่ถึงกับแรงมาก  คงเป็นแค่การล้อกันเล่นๆ                    วีวี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็มองค้อนมิว     
        “ อย่างน้อยก็ยังดีกว่า ซูเปอร์  สไปส์อะไรของนายก็แล้วกันน่ะ ”       
        “ อ่าๆ  อย่าเพิ่งเถียงกันๆ  ลูนาติกเป็นไงมั้งละชื่อนี้  มันแปลว่า คนบ้าหรือบ้าน่ะ  เหมาะดสำหรับวงที่มีคนอย่างนายแล้วก็คุณเด๋อดีนะ ”              โซเฟียเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้น    ซึ่งฟังดูแล้วก็ใช้ได้เลยทีเดียว     
        “ นายว่าเป็นไง วา เข้าท่าดีมั้ย      เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ    แต่น่าจะมีชื่อวงอะไรที่มันเด็ดกว่านั้นได้นะ ”
  มิว ถามพร้อมกับมองหน้าวาอย่างครุ่นคิด            ส่วน วา นั้นคิดว่าคงไม่มีชื่อวงไหนเด็ดกว่า  หมูดำ ไปได้แน่นอน       
      “ อืม เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  ถึงจะหาว่าเราบ้าก็เถอะ ฮ่าๆ      แต่เราขอเสนอชื่อที่เราคิดไว้สักหน่อยได้มั้ยอะ  ”         
      “ ได้สิ นายเป็นหัวหน้าวงทั้งที ”          มิว เชิญให้วาพูดต่อ   
      “ ชื่อวงที่เราคิดไว้ก็ คือ ..  เ ก็  -  น  -  โ -  ซ ..?? ”
      เมื่อเพื่อนๆ ทุกคนได้ยินชื่อ วง ที่วาเอ่ยออกมาถึงกับอึ้งไปสักพักหนึ่ง   
      “ อืม เข้าท่าๆ  ว่าแต่มันหมายความว่ายังไงละ  ไอ้คำว่า เก็นโซ เนี่ย ”              มิว เป็นคนถามคนแรก
      “ ถ้าเราจำไม่ผิดละก็ คำว่า เก็นโซ แปลว่า ตำนาน  ต้องการจะสื่อว่า  วงเราจะต้องกลายเป็นตำนานยังไงละ ”         
      “ เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  แถมแปลกดีด้วย ”      เบต้า พูดด้วยท่าทางที่เหมือนหุ่นยนต์ 
      “ พวกนายว่าเป็นยังไงมั่งละ ชื่อวงที่เราตั้งมา ”     
      “ เอาละ  มีใครจะเสนอชื่อวงอีกมั้ย  ถ้าไม่มีแล้วละก็  เรามาลงคะแนนกันว่า  จะเลือกชื่อวงว่าอะไร  เริ่มจากทีละคนเลยนะ  ”                 
      จากนั้นมิวก็เริ่มถามความคิดเห็นเรียงจากทีละคน  ซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า  ชื่อวงน่าจะเป็น  “เก็นโซ “ 
      “ เอาละ สรุปความเห็น ก็คือ ต่อไปนี้ชื่อวงของพวกเรา  คือ เก็นโซ นะ ” 
      “ ว่าแต่นายไปเอาคำว่า เก็นโซมาจากไหนหรอ วา ”          วีวี่เป็นคนถาม
    “ ที่จริงเราไปเอาชื่อนี้มาจาก นิยายเรื่องหนึ่งนะ  มันชื่อเรื่องว่า  ตำนานดาบคู่สายฟ้าอะ    นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยนะเนี่ยขอบอก  มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเออ เริ่มยังไงดีละเนี่ย    พี่พระเอกเนี่ยเป็นสุดยอดนักดาบซึ่งใครๆ ต่างก็รู้จัก  ถ้าสายฟ้าลั่นออกจากดาบของพี่พระเอกแล้วละก็  ไม่เคยมีใครรอดชีวิตเลยละ  แต่ว่าพี่พรเอกไม่ใช่คนเลวนะ  เขาจะลั่นสายฟ้าออกมาก็ต่อเมื่อช่วยคนเท่านั้น    ซึ่งช่วงสมัยนั้นเองเป็นช่วงที่จอมมารร้ายซาตั้นได้ตั้งตัวมีอิทธิพลเหนือผู้ใด          ทำให้โลกในนิยายที่ชื่อว่า  ฮาโมเนียต้องระส่ำระส่าย    จึงได้มีการรวมตัวกันของเหล่าผู้กล้าที่มีฝีมือในด้านต่างๆ มาเพื่อไปปราบจอมมารลาฟาเด็ท
      แน่นอนว่าพี่ของพระเอกต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วย    แต่พอพระเอกทราบว่าพี่ของตัวเองจะไปปราบจอมมารด้วย ก็ได้แอบติดตามไปด้วย      เมื่อถึงปราสาทของจอมมารแล้วเหล่าผู้กล้าก้ได้พยายามที่จะสู้กับลูกสมุนของจอมมารอย่างเต็มความสามารถซึ่งน่าสียดายที่ต้องสูญเสียผู้กล้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย    จนในที่สุดก็เหลือเพียงพี่พระเอกแล้วก็เพื่อนสนิทของเขาอีกคนหนึ่ง    ส่วนพระเอกนั้นก็ได้แอบตามมาจนถึงที่บนสุดของหอคอย  ตอนนั้นพระเอกมีอายุเพียงแค่  6 ขวบ กว่าๆ เท่านั้นเอง 
      การต่อสู้ระหว่างตัวแทนของโลกฮาโมเนียกับจอมมารซาตั้นก็ได้เริ่มขึ้น    ทั้งสองคนพยายามสู้กันอย่างเต็มที่แต่พลังของทั้งสองก็ต้านทานจอมมารแทบไม่ไหว  จนในที่สุดพี่ของพระเอกก็ได้ใช้พลังของดาบสายฟ้า    ทำให้จอมมารพลาดท่าก่อนที่จะลงดาบใส่จอมมารนั้น        พระเอกซึ่งแอบดูอยู่ห่างๆ  ก็ได้ถูกลูกสมุนของจอมมารตนหนึ่งจับไว้ได้และร้องเรียกพี่ของเขา    ทำให้พี่ของเขาเสียจังหวะหันไปมอง  ด้วยความเป็นห่วงน้องจึงรีบเข้าไปช่วย              จอมมารเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้โอกาสร่ายเวทมนตร์ที่รุนแรงมาก  ยากเกินแก่การต้านทานตรงเข้าไปที่พระเอกเพราะมันรู้แน่ว่า  พี่ของพระเอกนั้นรักของตนเองมาก      และมันก็คิดถูกพี่ของพระเอกเข้าไปรับเวทมนตร์นั้นเต็มๆ    พลังของดาบสายฟ้าที่เคยปรากฎอยูบนดาบก็ค่อยๆ สลาย            ก่อนที่จะตายพี่ของพระเอก ได้ฝากดาบสายฟ้าซึ่งเป้นอาวุธอย่างเดียวที่จะสามารถปราบจอมมารได้ให้แก่พระเอก      เพื่อนสนิทของพระเอกจึงได้รีบพาพระเอกหนีจากปราสาทของจอมมาร    ส่วนพี่ของพระเอกก้ได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายผนึกพลังของตัวเองไว้กับจอมมาร          จากนั้นเป็นต้นมาโลกฮาโมเนียก็สงบลงอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่ง ”
        วา ต้องหยุดเล่าลงกลางคันเพราะว่า  เขารู้สึกว่าตัวเองเล่ายาวเกินไปแล้ว 
        “เหอๆ ขอโทษทีนะ  พอดีเราเป็นพวกบ้านิยาย  พอเล่าแล้วมันติดลมทุกทีเลยนะสิ ”   
        “ อืม แล้วไงต่อละคุณหัวหน้าวง  กำลังสนุกเลย ”          โซเฟีย ดูท่าทางจะชอบนิยายเรื่องที่ วา เล่ามามาก    ซึ่งก็แปลกที่เธอไม่ได้กวน วา เลย กลับอยากจะฟังต่อสะอีก 
        “ แน่นอนต่อจากนั้น  มันก็ต้องตามสูตรจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้กลับคืนชีพมาอีกครั้ง    โดยการปลดผนึกของนักดาบปีศาจคนหนึ่ง    ว่ากันว่าพลังฝีมือของมันนั้นสูงส่งมาก  มันเป็นคนที่ตามกำจัดดาบที่มีชื่อต่างๆ  เพื่อต้องการจะให้ดาบของตัวเองมีชื่อมากที่สุด  และแน่นอนหนึ่งในเป้าหมายของมันก็มีพระเอกรวมอยู่ด้วย 
          โลกฮาโมเนียที่เคยสงบสุขก็ได้เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง  ด้วยพลังอำนาจมืดของ 2 ตัวร้าย      เราชอบตอนที่เขาเคยไว้ตอนหนึ่งมากเลย    มันเขียนว่า    ดาบสายฟ้าที่ไม่เคยได้ลั่นสายฟ้าของมันออกมาเลย  บัดนี้คงถึงเวลาที่มันจะต้องลั่นออกมาเพื่อกอบกู้ฮาโมเนียอีกครั้งเสียแล้ว      เท่มากเลยว่ามั้ย  ”       
        “ โห น่าสนุกจังเลย  อย่างนี้ต้องลองไปหาซื้ออ่านดูสะบ้างแล้วสิเนี่ย  ”          โซเฟีย รู้สึกจะชื่นชอบนิยายที่วาเล่ามาเป็นพิเศษ   
      “ แล้วมันเป็นยังไงต่อเนี่ย  กำลังสนุกเลย ”        มิว เป็นคนถาม ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน  ไม่น่าเชื่อว่า    เรื่องที่วาเล่าจะสามารถเรียกความสนใจของเพื่อนๆ  ทุกคนได้ทันตาเห็น 
      “ ประมาณ 10 ปีกว่าๆ ผ่านไป ซึ่งก็พอดีกับตอนที่จอมมารได้คืนชีพ  พระเอกก็ได้ฝึกฝนวิชาดาบเวทมนต์ของตนเองจนแกร่งกล้าไม่แพ้พี่ของเขาเลยทีเดียว  โดยมีเพื่อนสนิทของพี่พระเอก ก็คือคนเดียวกับที่ช่วยพระเอกไว้ในตอนแรกแหละเป็นคนช่วยฝึกสอนวิชา    ดาบที่พระเอกใช้ในตอนแรกเป็นดาบของพระเอกเองซึ่งตีมาจากนักตีเหล็กอัจฉริยะผู้หนึ่ง  ดาบของพระเอกมีชื่อว่า  เออ อะไรน้า ลืมไปแล้วอะ    เรานี่แย่จริงๆ  เพิ่งอ่านไปไม่นานเอง  ข้ามไปละกัน  พระเอกใช้ดาบของตัวเองกับดาบของพี่  เป็นวิชาดาบคู่อะ  เพราะดาบ 2 เล่มเหมือนตัวแทนของตัวเองและพี่    เหมือนกับว่า  เขาได้สู้ร่วมกัน  ถึงพี่จะตายไปแล้ว  แต่พระเอกก็เชื่อว่า  วิญญาณของพี่ยังสู้ร่วมไปกับเขาอยู่    แต่ตอนหลังที่พระเอกไปสู้กับนักดาบปีศาจ  ดาบทั้ง 2 เล่มก็เกิดหัก  พอสู้ชนะพระเอกก็เอาดาบทั้ง 2 เล่มมาหลอมรวมกันให้กำเนิดดาบเล่มใหม่ขึ้นมา  มีพลังมากกว่า 2 เล่มเก่าเสียอีก  แล้วพระเอกก็มุ่งหน้าไปปราบจอมมารเหมือนที่พี่เขาเคยทำ  แล้วเราก็ยังไม่ได้อ่านต่อเลยมันยาวอะ    ”
        “ ว้า แย่จังเลยกำลังสนุกเชียว  นี่ ถ้าอ่านจบก็เอามาให้เรายืมต่อมั่งนะ ”      โซเฟียที่จริงก็เป็นคนที่ชอบอ่านนิยายมากคนหนึ่ง   
        “ ได้สิ แต่มันยาวมากนะ จะอ่านไหวหรอ ”     
        “ โอ๊ย  ไหวอยู่แล้ว  แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก  เราอ่านมาเยอะแล้วละ “
        “ จริงหรอ  ชอบอ่านพวกนิยายเหมือนกันหรอเนี่ย  ไม่ยักกะรู้  นึกว่า ..(กวนคน) ..เป็นอย่างเดียวเสียอีก ”       
      “ นายว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยจะชัด ” 
    “ เปล่าๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ฮ่าๆ  ”              วา เห็นท่าจะไม่ดีจึงแกล้งถาม มิว ว่าเขาอยากจะยืมอ่านบ้างหรือเปล่า    ซึ่งมิว ก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว    แล้วบอกกับวา ว่าเขาเกลียดการอ่านหนังสือมากกว่าสิ่งใดเสียอีก   
 
        เวลาว่างก่อนจะเข้าเรียนก็ได้จบลงไปแล้ว  เมื่อทุกคนได้ยินเสียงประห้องเลื่อนออก  ต่างก็พากันรีบวิ่งเข้าประจำโต๊ะเรียนของตนเอง    ทำท่าทางพร้อมในการเรียนอย่างที่สุด          เหตุผลที่ทำให้พวกนักเรียนในห้องทุกคนต้องทำเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะ    อาจารย์ที่เข้ามานั้นหน้าตาท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา    เป็นคนมีอายุมากแล้ว    ตาที่ดูกลมโตของเขาสอดส่ายสายตาภายกรอบแว่นสี่เหลี่ยมไปที่นักเรียนทุกคนรอบๆ ห้อง      ขอบตามีรอยสีดำค่อนข้างจะชัดเจน    เพิ่มประสิทธิภาพความน่ากลัวเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง      ซึ่งอาจารย์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน        “ อาจารย์มาน่อฟ ”        นั้นเอง
       
        เขา คือ อาจารย์คนเดียวกันกบที่พวก วา เพิ่งจะเอามาเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อเช้านี้เอง        อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ที่โหดที่สุดในโรงเรียนอับดุล  อินเตอร์ !!       
        เมื่อโซเฟียเห็นนัหเรียนทุกคนในห้องเรียนนั่งประจำที่ตัวเองเรียบร้อยแล้ว    จึงสั่งให้นักเรียนทั้งหมดลุกขึ้นยืน  พร้อมกับทำความเคารพอาจารย์มาน่อฟ       
      วา รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่กระจายมาสู่ตัวเขา  เขารู้สึกอึดอัดมากที่จะต้องเรียนกับอาจารย์มาน่อฟ  และดูเหมือนว่านักเรียนทุกคนก็จะรู้สึกเช่นกัน    แต่อาจจะยกเว้นสำหรับ นีโอ และเสือใบ้นิค     
      หลังจากนักเรียนทุกคนนั่งลงเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว  อาจารย์มาน่อฟก็นำหนังสือที่ถือมาไปวางไปที่โต๊ะครูทางด้านซ้ายของห้อง        พร้อมกับหยิบปากกาเมจิกมา 2 ด้าม    จากนั้นก็เริ่มเดินไปที่กระดานไวท์บอร์ดและเริ่มเขียนหัวข้อที่จะเรียนในวันนี้ทันที
        โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว  ราวกับนัดกันไว้นักเรียนทั้งห้องต่างรีบหยิบสมุดโน๊ตประจำวิชาขึ้นมาพร้อมกับจดตามโดยเร็ว              วา ไม่เคยพบเห็นอาจารย์คนไหนจะเขียนกระดานได้เร็วเท่ากับอาจารย์มาน่อฟเลย    แถมดูท่าจะจดเยอะมากกว่าวิชาประวัติศาสตร์เสียอีก      ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์มาน่อฟที่มีอายุมากขนาดนี้แล้วจะสามารถเขียนกระดานได้เร็วปานนี้             
        เมื่อเขียนไปจนเต็มกระดานเรียบร้อยแล้ว    อาจารย์มาน่อฟก็เริ่มหันหลังกลับมามองไปยังนักเรียนทุกคน        สายตาที่สอดส่ายรอดกรอบแว่นทรงสี่เหี่ยมนั้น  ทำให้เพิ่มแรงกดดันแก่ วา เข้าไปอีก 
      วา พักมือจากการจดอันหฤโหดนั้นไปสักพักหนึ่ง  เพื่อลองมองไปรอบๆ  ห้อง    ก็ปรากฎว่า นักเรียนแทบทุกคนไม่มีใครทำอย่างอื่นนอกจากจดและก็จด        เหลียวมองไปทางด้านซ้ายก็พบกับโซเฟียกำลังจดงานอยู่เช่นกัน      ดูท่าทางเธอจะมีความตั้งใจในการเรียนเป็นพิเศษ    ไม่เหมือนกับช่วงพักเลย          เมื่อเห็นเช่นนั้น วา จึงไม่ยอมน้อยหน้าตั้งใจจดงานต่อไป     
     
        ชั่วโมงอาจารย์มาน่อฟผ่านไปเร็วกว่าที่วาคิดไปนิดหน่อย  อาจจะเป็นเพราะว่าวาเห็นโซเฟียตั้งใจเรียนเลยตั้งใจเรียนตามไปด้วย    ทำให้ไม่รู้เครียดและกดดันสักเท่าไหร่นัก             
        ในที่สุดชั่วโมงในตอนเช้าก็ผ่านไปเรื่อยๆ  จนถึงชั่วโมงเรียนของอาจารย์พิชายะ      ชั่วโมงที่วาและทุกคนรอคอย            อาจารย์พิชายะค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง  ราวกับว่าการเดินแต่ละก้าวนั้นแสนลำบากยากเข็นนัก        เพราะว่าอาจารย์พิชายะเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมาก  แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด      เขาสวมแว่นทรงกลมรีอันใหญ่มาก  ซึ่งดูแล้วก็เข้ากับลักษณะตัวของเขาเองดีมาก       
        หลังจากโซเฟียสั่งนักเรียนทุกคนทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว    อาจารย์ชายะก็ยกมือขึ้น  แล้วบอกว่าให้นั่งลงได้        จากนั้นอาจารย์พิชายะก็เริ่มเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ    ทั้งเรื่องราวประหลาดๆ  อีกมากมายผิดกับอาจารย์มาน่อฟซึ่งไม่พูดไม่กล่าวอะไรก้เริ่มเขียนกระดานทันที     
        เรื่องราวประหลาดที่สุดเท่าที่วาได้ฟังมากจากอาจารย์พิชายะก็น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าปลาประหลาดที่มีชื่อว่า    “ โอปาจี  “      ฟังว่า  มันเป็นปลาประหลาที่อาศัยอยู่แถวลุ่มแม่น้ำแห่งหนึ่ง      ซึ่งไม่เคยมีใครจับมันได้เลย  แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคย      เนื่องเพราะคนที่ต้องการจะไปจับมันต่างไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาได้เลย          มันมีพละกำลังที่มากมายมหาศาล          ทำให้คนที่พยายามจะจับมันต้องถูกมันดึงจมลงไปและหายสาปสูญไปตามๆ กัน
        นั่งฟังเรื่องราวต่างๆ  มาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าๆ    อยู่ดีๆ อาจารย์พิชายะก็หยุดเรื่องกระทันหัน  พร้อมกับเดินตรงไปที่กระดานจากนั้นก็เริ่มเขียนหัวข้อในการเรียนลงไปแบบไม่ทันให้นักเรียนตั้งตัว          วา ที่ตั้งใจฟังอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นรีบหยิบสมุดโน๊ตวิชาสังคมออกมาจากเป้คุ่ใจของเขาโดยเร็ว          โซเฟียเมื่อเห็นท่าทีตั้งใจเรียนของวา  ก็อดขำไม่ได้     
      “ ขำอะไรหรอ ” 
      “ ป่าวหรอก ไม่มีอะไร ”            โซเฟียตอบวาไปทั้งๆ ที่ยังแอบขำอยู่  ซึ่งวาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก    หากแต่รีบจดตามอาจารย์พิชายะโดยเร็ว              หลังจากที่วาก้มหน้าจดไปสักครู่  จนเมื่อเขาจดเสร็จเรียบร้อย  เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองกระดานอีกทีหนึ่ง      ทำให้เขาต้องตะลึงไปสักเล็กน้อย    โอ้! เด็ดจริง    ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ที่มีความสามารถในการเขียนกระดานเร็วพอๆ กับอาจารย์มาน่อฟอยู่อีกคนหนึ่ง       
        วา ได้แต่คิดว่า  “ ฟ้าส่งอาจารย์มาน่อฟมาเกิดแล้วใยต้องส่งอาจารย์พิชายะมาเกิดด้วย  “              หากว่าจะมีคนที่สามารถเขียนเร็วได้เท่ากับอาจารย์มาน่อฟ      หรือาจจะเร็วกว่าก็คงจะมีเพียงแต่อาจารย์พิชายะคนนี้    คนเดียวแล้วกระมัง        ถ้าเปรียบการเขียนกระดานเป็นกระบี่  ก็คงเป็นกระบี่ที่เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าหรือประกายไฟเลยทีเดียว          เนื่องจากเพราะเพียงไม่กี่วินาทีอาจารย์พิชายะก็สามารถเขียนกระดานได้ถึง 2-3 เลยทีเดียว 
        นักเรียนบางคนไม่สามารถจดตามทันเนื่องจากเพราะว่า    มีบ้างบางคนหลับไปตั้งแต่อาจารย์พิชายะเล่าเรื่องต่างๆ  ตอนต้นชั่วโมง        เมื่อเพื่อนที่นั่งข้างๆ  ปลุกให้ตื่นขึ้นมาจดงานก็สายไปเสียแล้ว            อาจารย์พิชายะที่เล่าเรื่องต่างๆ  ไปในครึ่งชั่วโมงแรกอาจจะเป็นแผนการณ์ลอกให้นักเรียนหลับก็เป็นไปได้    แต่วาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น      เนื่องเพราะวา ให้ความสนใจแก่เรื่องที่อาจารย์พิชายะเล่ามาก    แล้วมันก็ไม่ทำให้รู้สึกง่วงนอนได้เลยแม้แต่นิดเดียว     
     
          จดจนมือเกือบงอ  ไปประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน    เสียงออด เป็นสัญญาหมดชั่วโมงก็ดังขึ้น    ซึ่งมันก็หมายความว่าถึงเวลาพักเที่ยวแล้ว      จากนั้นก็จะเป็นชั่วโมงชมรม    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอาจารย์พิชายะก็พานักเรียนทุกคนจดงานไปกว่า 3 หน้าได้แล้ว      ทำให้นักเรียนบางคนเมื่อเห็นอาจารย์พิชายะเดินออกไปจากห้องแล้ว  ถึงกับต้องนอนฟุบลงกับโต๊ะ    ราวกับว่า การจดงานต้องดึงพลังทั้งร่างกายออกมาก็ไม่ปาน   
        ระหว่างที่วาค่อยๆ  เก็บสมุดโน๊ตของอาจารย์พิชายะใส่เป้ของเขา    มิว นิค นีโอ และเบต้า  ก็เดินมาหาวาที่โต๊ะ          ซึ่งโซเฟียก็ได้ทักทายกับวาด้วยท่าทางร่าเริง  ผิดกับตอนที่เรียนอยู่อย่างกับคนละคน
 
        “ แหม ขยันเรียนดีจังนะวันนี้  ”
        “ ไม่หรอก เราว่าเธอขยันว่าเราอีกนะ “
      “ พวกนายสองคนยังดีนะ  เราสิเกือบจะหลับไปเสียแล้ว  ตอนฟังเรื่องไอ้เจ้าปลาประหลาดโอปาจีอะไรนั่นนะ ”                    มิว พูดพร้อมกับปิดปากหาวเป็นการใหญ่
      “ แต่เราว่ามันน่าสนุกดีออกนะ ”              วา ออกความคิดเห็นแต่มิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ  นอกจากทำท่าง่วงนอนเต็มที่        ซึ่งต่างจากเสือใบ้นิค  ดูท่าทางอย่าว่าแต่ง่วงนอนเลย  ความรู้สึกยังไม่รู้จะมีเลยหรือเปล่า   
      “ พวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะ  เราหิวจะแย่อยู่  ”      เบต้า เป็นคนพูดซึ่งดูยังไงก็ยังเหมือนหุ่นยนต์อยู่ดี 
      “ อืม เราก็รู้สึกหิวเหมือนกัน ”      นีโอ ก็ดูท่าทางจะหิวบ้างแล้ว    คงเป็นเพราะว่า    การตั้งใจเรียนทำให้ศูนย์พลังงานได้มากกว่าการอยู่เฉยๆ  ก็ไม่แน่เพราะการเรียนเป็นการใช้พลังงานทางสมองอย่างหนึ่ง 
    “ เอาละ งั้นเราก็ไปทานข้าวกันเลยละกันนะ ”          เมื่อวาพูดจบ ก็ลุกขึ้นพร้อมกับสะพายเป้ของเขาเดินตรงไปยังประตูห้อง     
        ทั้งหมดเดินลงบันไดชั้นสองมาจนถึงชั้นหนึ่ง    ซึ่งระหว่างนั้นเองวาก็ได้มองไปเจอกับก็อบที่ยืนอยู่ห่างจากเขามากพอสมควรพอดี !        ทั้งสองประสานสายตากันอยู่สักพักหนึ่วาก็รีบเดินออกจากตึกอาคารเรียน    เพราะไม่อยากจะมีเรื่องอีก          แต่ก็อบยังไม่ยอมละสายตาจากวา  ถึงแม้วาจะเดินออกไปจากตึกแล้วก็ตามราวกับวา    มีเรื่องอะไรค้างคาอยู่ก็ไม่ปาน   
        วา ถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อเดินพ้นออกมาจากตึกอาคารเรียนได้แล้ว      โชคดีของเขาที่เดินออกมาได้    แต่ถึงเขาจะถูกหาเรื่องอีกครั้งเขาก็ไม่ได้กลัว    ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ตามที        แต่จากคำพูดที่หลายๆ คนบอกมาว่า  ถ้าเขาอยู่กับโซเฟียแล้วละก็  เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย    นั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เขามีความสบายใจมากขึ้นสักเล็กน้อยก็ได้   
        ทั้งหมดเดินผ่านน้ำพุใหญ่กลางโรงเรียนจนมาถึงโรงอาหาร      วารู้แล้วว่าเขาควรจะต้องทำอะไรบ้าง        หลังจากที่วาซื้ออาหารได้แล้ว          เขาก็มองหาโต๊ะที่พวกเพื่อนๆ  นั่งรวมกลุ่มกันอยู่    ซึ่งนีโอ เป็นคนโบกมือเรียกวา  ทำให้เขาสามารถหาโต๊ะเจอ     
        อาหารที่วาซื้อในวันนี้เป้นก๋วเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำจากร้านลุงเฉื่อยซึ่งคือร้านเดียวกันกับเมื่อวานนั่นเอง      กว่าที่วาจะต่อคิวซื้อมาได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน        พอไปนั่งรวมกับกลุ่มก็พบว่า  เพื่อนๆ บางคนทานไปจนเกือบจะหมดแล้ว     
 
      “ แหม มาช้าเชียวนะคุณเด๋อ ”   
      “ ที่จริงคิวมันก็ไม่ได้เยอะนะ  แต่ว่าเขาทำช้าจริงๆ  ”            วา ตอบโซเฟียซึ่งวันนี้เธอไม่ได้ซื้อก๋วเยตี๋ยวที่ร้านลุงเฉื่อยแต่ซื้อยากิโซบะจากร้านอื่นแทน  ซึ่งวาก็ยังไม่รู้จัก  ร้านไหนเลยสักร้านนอกจากร้านลุงเฉื่อย 
      “ ว่าแต่ตอนเย็นๆ  หลังเลิกเรียนมีอะไรให้ทำมั่งละ  เรารู้สึกว่าเมื่อวานเราว่างๆ ไปยังไงก็ไม่รู้สิ ”
      “ มีอะไรให้นายทำตั้งเยอะแย่ะแน่ะ  อย่างน้อยถ้าไม่มีอะไรทำจริง  นายแค่เดินเล่นรอบโรงเรียนหนึ่งรอบก็ยังไม่รู้ว่าจะค่ำก่อนเลยรึเปล่า      เผลิอๆ อาจจะเดินไม่รอบก็ได้นะ  ”          เบต้า เป็นคนตอบคำถามวา  ทั้งที่ข้าวยังคงเต็มอยู่ในปากอยู่เลย                  ก็จริงอย่างที่เบต้าว่า  ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ  แค่เดินเล่นรอบโรงเรียนก็เหลือเฟือแล้ว    เพราะโรงเรียนนี้กว้างมากจนเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแทบจะเดินได้ไม่รอบเลยทีเดียว   
        “ แล้วว่าแต่พวกนายไม่เล่นบอลกันมั่งหรอ ”
        “ นายอยากเล่นบอลหรอ ”     
        “ ก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก  เพียงแต่เมื่อวานเราเห็นสนามบอลโรงเรียนแล้วมันเกิดอยากเล่นขึ้นมาน่ะสิ  กว้างออกขนาดนั้นแถมอากาศกำลังดีเสียด้วย  ”
        “ ที่พูดมาก็น่าสนใจนะ  เพียงแต่ว่าพวกเรามีคนไม่ค่อยจะมากน่ะสิ    ยังแบ่งเป็นทีมไม่ค่อยได้เลย ”      มิว ก็ดูเหมือนจะอยากเล่นอยู่เหมือนกัน
        “ เออ ว่าแต่ที่นี่มีโต๊ะปิงปองมั่งมั้ย    เราอยากเล่นมากเลยละ ”
        “ ว้าว คุณเด๋อเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอเนี่ย  ”          โซเฟีย รีบกวนวาทันที
      ” ก็นิดหน่อยนะ    แต่เราว่ามันสนุกดีนะ ”           
      “ ไอ้ตะปิงปองมันก็มีหรอกนะ  ถ้าไม่มีน่ะสิถึงจะแปลก  เพียงแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า    โต๊ะปิงปองมันมีอยู่แค่ในเฉพาะห้องชมรมปิงปองน่ะสิ    ”    มิว  ค่อยๆ บอกวา ขระที่กำลังจะทานข้าวคำต่อไป
      “ แล้วเราเข้าไปเล่นไม่ได้หรอ  ”
      “ ไอ้ได้น่ะมันได้นะ  เพียงแต่ว่า  ปัญหาที่กำลังจะบอกก็คือ  พวกเด็กชมรมปิงปองที่ฝีมือเก่งๆ    ชอบมาท้าดวลประมาณว่า  ถ้าไม่ชนะเขาก็จะไม่ยอมให้เล่นน่ะสิ  ” 
      “ อ้าว อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะสิ    ทุกคนก็มีสิทธิที่จะเล่นเท่าเทียมกันนะ ”   
      “ มันก็ใช่นะที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเล่นได้เท่าเทียมกัน    แต่มันเหมือนเป็นกำไปสะแล้ว    จึงไม่ค่อยมีคนไปเล่นที่ห้องชมรมปิงปองนะสิ  ”
      “ งั้นหรอ  ฟังอย่างนี้ชักน่าสนใจแล้วสิ      เย็นนี้เราไปลองเล่นกันดูดีมั้ย  ”       
      มิว เมื่อได้ยินวาพูดเช่นนั้นถึงกับเกือบกลิ่นข้าวติดคอ  ไอแค๊กๆ อยู่ 2-3 ที  ก่อนที่จะรีบดื่มน้ำเปล่าตามไป
        “ เราว่านายอย่าไปเลยดีกว่านะ  ที่นั่นมีแต่พวกฝีมือโหดๆ    โดยเฉพาะไอ้หัวหน้าชมรมที่ชื่อว่า  โซลีน  ”
        “  ก็มันอยากเล่นนี่หน่า  แล้วอีกอย่างหนึ่งแค่ลองดูสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรจริงมั้ย ” 
        “ แล้วแต่นายก็แล้วกันนะ    แต่ถ้านายจะไปจริงๆ  ละก็เราไปเป็นเพื่อนก็ได้ ”
        “ เราไปด้วยได้หรือเปล่าเนี่ย ”            โซเฟียรีบถาม
      “ ใครห้ามละ ไปสิ  คนไปเยอะยิ่งดี ”          วา หันไปยิ้มให้กับโซเฟีย          มิวเมื่อได้ยินโซเฟียพูดก็รีบพูด
ต่อ
      “ เราว่าถ้าเธอไปนะ  ไอ้พวกนั้นก็แพ้หมดนะสิ ”
      “ จะบ้าหรอ  เราเล่นปิงปองไม่เก่งขนาดนั้นหรอกนะ  ” 
      “ ก็เห็นไม่เก่งสักเรื่องแหละน้า  พอเอาเข้าจริงๆ ก็นะ ”      มิว พูดเหมือนกับรู้ทัน    ทำให้วาสงสัยว่าโซเฟียเล่นปิงปองเป็นด้วยหรือเปล่า
      “ แล้วเธอเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอ  ” 
      “ ก็พอเป็นบ้างนิดหน่อยนะ  แต่เราไม่ค่อยเก่งจริงๆ นะ ”              วา เองก็เชื่อครึ่งไม่ค่อยเชื่อครึ่งเพราะคนบางคนบอกว่าตัวเองไม่เก่งก้ไม่เก่งจริงๆ    แต่คนบางคนบอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งแต่ดันชนะคนที่บอกว่าตัวเองเล่นเก่ง      ยิ่งเฉพาะบางคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็นยิ่งน่ากลัวกว่าคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งเสียอีก    เพราะส่วนใหญ่เล่นเป็นแต่ชอบบอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็น  ก็ไม่รุ้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน     
        “ แล้วตกลงเย็นนี้มีใครจะไปเล่นปิงปองกับเรามั่ง  นีโอกับนิคละไปมั้ย ”
        “ วันนี้เราคงไปไม่ได้หรอกนะ ขอโทษทีพอดีต้องอ่านหนังสือต่ออีกนิดหน่อยไว้โอกาสหน้าละกันนะ    ถ้ายังไงก็ขอให้ชนะละกันนะ ”     
        “ นายละนิค ”
        “ (ยักไหล่) ”            เสือใบ้นิคยักไหล่ซึ่งมีความหายว่า จะยังไงก็ได้ 
        “ งั้นเราจะเจอกันที่ไหนเวลาไหนดีละ  ตอนเย็นนี้ ”
        “ เจอที่หน้าประตูทางเข้าตึกชมรมละกันนะ    เวลาก็เอาประมาณ 4โมงเย็นละกันนะกำลังดี  โอเคมั้ย ”        มิว เป็นคนเสนอความคิด
        “ อืม โอเคงั้นก็ตกลงตามนั้นนะ    เออ ว่าแต่ที่นั่นมีไม้ปิงปองให้เราด้วยใช่มั้ย ” 
        “ มีสิจะ คุณเด๋อ  “
        “ ขอบคุณ”              วา ตอบโซเฟียเชิงค้อน    พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่เธอ   
     
        หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็รับประทานอาหารเที่ยงกันจบเสร็จหมด    ซึ่งก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันแล้ว      วา เองก็เดินแยกออกมาเพียงคนเดียว        เนื่องจากเพราะเขารู้แล้วว่า  ตึกชมรมต้องไปทางไหน        ถึงตอนนี้ยังพอเหลือเวลาอีกประมาณ 20 กว่านาทีก่อนที่จะเข้าชั่วโมงชมรม    แต่วาก็รีบตรงดิ่งไปที่ตึกชมรมเพียงคนเดียว          เนื่องเพราะเขาไม่ค่อยอยากจะเจอก็อบและแก๊งเอ็ดดี้เท่าไหร่นัก         
        ในที่สุดวาก็เดินมาถึงตึกอาคารชมรม  ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในประตูแล้ว  วาก็ต้องตกใจเล็กน้อย    เพราะคนที่เขาไม่อยากเจอกับยืนดักรอเขาอยู่ที่ข้างๆ    ประตูอาคารนั่นเอง                  เมื่อเห็นเช่นนั้นวา จึงรีบสาวเท้าเดินต่อไปทำเป็นไม่สนใจ    แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก
 
      “ ช้าก่อนจะรีบไปไหน ”            ก็อบตะโกนบอกวา    ซึ่งวาก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าก็อบ
      “ ก็จะรีบเข้าชมรมนะสิ ”
      “ ขยันจังนะ  ”
      วา ไม่สนใจก็อบแล้วก็รีบเดินต่อไป    ซึ่งคราวนี้ก็อบก็เดินตามเข้ามาติดๆ        วาก็ทำเป็นไม่สนใจเดินต่อไปจนในที่สุดก็ไปถึงห้องเวทีฮาโมเนีย          ซึ่งบนเวทีนั้นซาซาไรกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประหลาดอันหนึ่ง      ที่ประหลาดก้คือมันเป้นเก้าอี้ที่ไม่มีขาน่ะสิ         
          ก็อบยังไม่หยุดตามวามาจนกระทั่งเดินตามเข้ามาในห้องชมรม            เมื่อวาเดินไปจนใกล้ซาซาไรแล้ว  ก็พบว่าก็อบตามเขาเข้ามาด้วย     
        “ นายมีอะไรหรอ ถึงต้องตามเรามาด้วย ”
     
          ก็อบไม่ตอบหากแต่เดินตัดหน้าวา ตรงไปยังซาซาไรซึ่งกำลังนั่งอยู่        ซาซาไรเมือ่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดกึ่งกังวลของก็อบก็หาได้สนใจไม่  เพียงแต่ยักคิ้วข้างเดียวพร้อมกับทำหน้ากวนๆ ใส่      สื่อความหมายว่า  มีเรื่องอะไรงั้นหรอ 
          ก็อบก้มหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก็พูดบอกซาซาไรไปว่า
          “ เมื่อวานที่ผมทำไม่ดีไปต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ ”              วา ได้ยินก็อบพูดเช่นนั้นถึงกับงเล้กน้อย    เมื่อวานเขายังมีท่าทางแสดงอาการก้าวร้าวอยู่เลย    แถมเรียกตัวเองว่าข้าเสียด้วย      อะไรทำให้เขากลับเป็นหน้ามือกับหลังมืออย่างนี้นะ            ที่จริงก็อบมาขอโทษเพราะเมื่อวานเขาถูกมาสเตอร์ชไนเดอร์สั่งมามิเช่นนั้นเขาจะต้องโดนทำโทษขั้นรุงแรงมากกว่าเดิมในวันนี้แน่     
         
          “ ไม่เป็นไรครับ    ผมให้อภัยคุณนะครับ        แต่คนที่คุณน่าจะขอโทษมากกว่าผม  ยืนอยู่ข้างหลังมากกว่านะ ”        เมื่อได้ยินซาซาไรพูดดังนั้นก็อบก็หันหน้าไปหาวาทันที  ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย     
          “ ส่วนแกไอ้เด็กใหม่    ข้า ขอ-  โทษ ! ”      ดูเหมือนว่ากว่าที่ก็อบจะพูดออกมาได้นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างสูง 
          “ ไม่เป็นไรหรอกนะ  เราไม่ว่าหรอก “              วา พูดพร้อมกับยิ้มให้  แถมยังยกมือขึ้นมาทำท่าจะจับมือเชื่อมสัมพัน์กับก็อบ          แต่ทว่าหน้าตาของก็อบนั้นดูท่าจะไม่เล่นด้วยแล้ว    วาจึงลดมือลง   
         
            ก็อบไม่พูดอะไรอีก    เขาจึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที        ซึ่งเมื่อก็อบเดินออกไปจากห้องแล้ว  วาก็ต้องถอนหายใจหนึ่งเฮือก          ซาซาไรขำเล็กน้อยกับการถอนหายใจของวา         
            “ สวัสดีนะครับ มาสเตอร์ ”       
            “ อืม สวัสดีนะ ”              หลังจากที่กล่าวทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ซาซาไรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ขาล่องหนอันนนั้น        ปรากฎกลุ่มควันบริเวรรอบๆ    เก้าอี้พอกลุ่มควันจางไปเก้าอี้ก็หายไปเสียแล้ว       
            “ มหัศจรรย์จังเลยครับ ” 
            “ เดี๋ยวฝึกไปอีกไม่นานคุณก็จะทำได้เองแหละครับ    ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงเข้าชมรมเร็วจังละครับ ”
            “ พอดีอยากเข้ามาก่อนเวลานะครับ  ”
          “ งั้นจะเรียนกันเลยไหมครับ  หรือว่าจะพักสักครู่หนึ่งก่อนไว้ถึงเวลาแล้วค่อยเริ่มเรียนกัน ”
          “ ผมขอพักสัก 5 นาทีก่อนก็ละกันครับ ”
          ซาซาไรไม่พูดอะไรนอกจากเดินเข้าไปยังห้องเรียนที่เมื่อวาน    ใช้สอนวา  ซึ่งวาก็เดินตามเข้าไปทันที   
          “ คือ ผมมีเรื่องอยากจะถามมาสเตอร์นะครับ ”
          “ ว่ามาสิครับ ”
          “ มาสเตอร์เล่นปิงปองเป็นหรือเปล่าครับ ”            ซาซาไรเมื่อได้ยินคำถามของวา ก็ถึงกับอดขำไม่ได้
        “ ก็นึกว่าจะถามอะไร  ผมก็พอเล่นเป็นแหละครับ  ว่าแต่ถามอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่เลยใช่ไหมครับ “
        “ ป่าวหรอกครับ  แค่พอดีผมอยากจะลองไปเล่นปิงปองที่ห้องชมรมปิงปองดูก็เท่านั้นแหละครับ    เห็นเพื่อนเขาบอกว่าเป็นที่เดียวที่มีโต๊ะปิงปอง  ”
        “ งั้นหรอครับ ท่าทางจะเก่งนะครับเนี่ย    แต่ว่านะครับที่บอกว่าที่ชมรมปิงปองเป็นที่เดียวที่มีตะปิงปองท่าจะไม่ใช่แล้วละครับ    เพราะดูจะมีอีกที่หนึ่งนะครับที่มีโต๊ะปิงปองอยู่ด้วย  ”
        “ ที่ไหนหรอครับ ”
        “ บอกแล้วจะเชื่อไหมครับว่า  ที่ชมรมนักมายากลของเราก็มีเหมือนกันนะครับ ”
        “ แล้วมันอยู่ที่ไหนหรอครับ  ทำไมผมไม่เห็นเลย ”
        “ มันก็อยู่ที่ว่าผมจะเสกมันออกมารึเปล่าก็เท่านั้นแหละครับ    เพียงแต่ว่าถึงเอาออกมาก็คงไม่มีคนเล่นอยู่ดี ”
        “ แล้วถ้าไว้ว่างๆ  ผมจะชวนเพื่อนมาเล่นที่นี่ได้รึเปล่าละครับ  ” 
        “ อืม ก็ต้องดูก่อนละครับ  แต่ที่แน่ๆ วันนี้คงเล่นกันไม่ได้หรอกครับ  เพราะผมมีงานนิดหน่อยหลังเลิกเรียนนะครับ    ไว้ถ้าวันไหนเล่นได้ผมจะบอกก็แล้วกันนะครับ ”
          วา รู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้นที่เขาอยู่ชมรมนักมายากลดูเหมือนว่ามันจะมีไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  ตามแต่ซาซาไรจะเสกออกมา       
     
        ในที่สุดชั่วโมงชมรมก็ผ่านไป  วันนี้วาได้เรียนรู้มายากลเพิ่มเติมขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง      ที่เขาต้องไปฝึกเพิ่มเติมก็คือ    เขาต้องกลับไปฝึกก็คือ  การอ่านทำความเข้าใจกับเทคนิคมายากลในหนังสือคูมือนักมายากลฉบับฝึกหัดที่ซาซาไรนำมาห้เขาในวันนี้          พร้อมกับฝึกการกล่อนไพ่ให้ตรงเป้าหมายเสียก่อน
        วา ออกมายืนคอยนิค โซเฟียและมิว  อยู่ที่ข้างหน้าตึกอาคารชมรมซึ่งดูเหมือนว่า    เขาจะเป็นคนที่มาเป็นคนแรก        หลังจากยืนคอยอยู่ประมาณไม่เกิน 5 นาทีทุกคนก็มากลับครบ 
   
      “ นายยังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมที่จะไปที่ชมรมปิงปองน่ะ ”    มิว  ถามวาอีกรอบหนึ่ง
      “ ไม่หรอก  มันก็ไม่น่าจะมีอะไรขนาดนั้นิ ”     
      “ ใช่แล้ว ในเมื่อคุณหัวหน้าวงเขายังไม่กลัวเลย  แล้วนายจะกลัวอะไรละ ”        โซเฟีย คราวนี้สนับสนุนวา      ซึ่งดูทุกคนจะอยากไปที่ชมรมปิงปองทุกคนยกเว้นแต่มิวเพียงคนเดียว       
        ในเมื่อทุกคนต้องการจะไป มิวก็ยอมต้องตามไปด้วย  ซึ่งเขาเป็นคนทำหน้าที่นำทางไปเอง    ห้องชมรมปิงปองอยู่ในตึกอาคารชมรมเช่นกัน    เพียงแต่ว่ามันอยู่ที่ชั้นบนจนเกือบจะสุดเลยทีเดียว         
 
      วา ค่อยๆ เดินตามมิวไปเรื่อยๆ ผ่านบันไดวนที่ดูสวยหรูขึ้นไปเรื่อยๆ    จนในที่สุดก็ถึงทางเดินซึ่งถ้านับจากชั้นที่เดินกันมาแล้วชมรมปิงปองน่าจะอยู่ที่ประมาณชั้นที่ 4 ของตึกอาคารชมรม              มิว พาทั้งหมดเดินตรงไปยังทางเดินซึ่งก้เห็นป้ายที่ยื่นออกมาอยู่ไม่ไกลนักเขียนว่า  “ ห้องชมรมปิงปอง “
      เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องชมรมปิงปอง  วาก็ได้ยืนเสียงไม้ปิงปองและลูกปิงปองกำลังกระทบกันอยู่หลายเสียงเลยทีเดียว    แสดงว่าก็มีคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
      “ ไหนนายบอกว่า  ไม่ค่อยมีคนมาเล่นปิงปองไม่ใช่หรอ  ทำไมได้ยินเสียงออกจะเยอะแย่ะขนาดนี้ ”
      “ ไอ้เสียงที่นายได้ยินมันฟังดูเยอะอยู่หรอก  แต่ที่จริงไอ้พวกที่อยู่ข้างในนั้นมีแค่ไม่กี่คนหรอก  เพียงแต่ว่า  ความเร็วในการตีมันสูงมากจนทำให้นายคิดว่ามันมีคนอยู่เยอะยังไงละ      พวกที่อยู่ในห้องนี้ก็คงมีแต่พวกชมรมทั้งนั้นแหละ  และเป็นพวกที่ฝีมือไม่ธรรมดาสะด้วย  ”
      “ ว่าแต่เราเข้าไปกันได้หรือยังละ ”
      “ อยากเข้าก้เปิดประตูเข้าไปเลยครับท่านผู้ชม ”
      วา ไม่รอช้ารีบผลักประตูห้องชมรมปิงปองออก  ซึ่งบานประตูเป็นกระจกสีดำบานใหญ่          เพียงแค่วาผลักประตูเท่านั้น  ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปในห้องชมรมเลย    เสียงลูกปิงปองต่างๆ  ก็ต่างเงียบหายไปตามๆ กัน      ซึ่งเมื่อวาเข้าไปแล้วก็ต้องพบกับสายตามากมายแต่ก็ไม่ถึง 20 คน        ดูคร่าวๆ  ก็คงประมาณ 10 15 คนเท่านั้น      ห้องชมรมปิงปองเป็นห้องที่ใหญ่มากห้องหนึ่งดูไปแล้วกว้างกว่าห้องเรียนของวาเสียอีก    เพดานก็สูงมากเสียด้วย        ห้องทั้งห้องทาด้วยสีขาวทำให้รู้สึกสว่างและน่าเล่นปิงปองเป้นอย่างมาก
      คนทั้งหมดในห้องชมรมต่างจ้องมองมาที่วา    ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคยเหียบเข้ามาที่ห้องชมรมมาเป็นเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว          วารู้สึกแปลกๆ  แต่ก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับนักเรียนพวกนั้น    จากนั้นเมื่อโซเฟีย นิค และมิวเข้ามาเสร็จเรียบร้อย      ทุกคนต่างมีท่าทางคล้ายๆ กับวา  คือ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทางของคนในห้องนี้
        โซเฟียนั้นได้แต่ยิ้มกวนๆ เล็กน้อย    ส่วนนิคนั้นไม่แสดงท่าทีอะไร  ผิดกับมิวซึ่งรู้สึกว่าจะกดดันกว่าเพื่อน      ทุกคนในห้องต่างตกอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง    ก็มีคนรูปร่างผอมสูง    เดินตรงเข้ามาที่พวกของวา      คนๆ นี้สวมแว่นกรอบสีดำรุปทรงสี่เหลี่มดูท่าทางมีฝีมือในการเล่นปิงปองอย่างมาก        ไม่รอช้าวาจึงรีบเอ่ยปากถามไปว่า
        “ เออ คือ พวกเราต้องการจะมาเล่นปิงปองในห้องชมรมของพวกนาย    เราพอจะเล่นได้ไหม ”
        เด็กนักเรียนคนที่สวมแว่นนั้นยังไม่ได้ตอบวา    หากแต่หัวเราะด้วยเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายเป็นการใหญ่  ซึ่งเมื่อเขาหัวเราะแล้ว    คนที่อยู่ในห้องทั้งห้องก็ต่างหัวเราะตาม 
        “ นายรู้ไหมว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาขอพวกเราเล่นปิงปองในห้องนี้เป้นเวลานานเท่าไหร่แล้วรู้ไหม  ”
        “ เรื่องนั้นเราไม่ได้สน  เราสนเพียงแต่เราจะมาเล่นได้หรือไม่ ”          วา พูดตอบกลับไปด้วยคำพูดที่คมกรีบทำให้เด็กชายที่สวมแว่นคนนั้นต้องเงียบไปสักพักหนึ่ง  จึงกล่าวต่อได้
        “ ได้สิ ทำไมจะไม่ได้แต่มีข้อแม้นะ ”
        “ ข้อแม้อะไรหรอ ว่ามาสิ ”
        “ นายจะต้องเอาชนะการเล่นปิงปองกับเราให้ได้ก่อน    ขอแน่ะนำตัวเลยนะ    เรามีชื่อว่า  พรีสไซ    เป็นว่าที่รองประธานชมรมปิงปองแห่งนี้  ”
        “ อ๋อได้สิ  แล้วเราจะเริ่มกันได้เลยหรือยังละ ”        วา ดูจะมีความมั่นเป็นอย่างมาก    ทำให้พรีสไซต้องยิ้มเป็นการใหญ่    ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้กลัวฝีมือของวา    พอๆ กับที่วาก็ไม่กลัวเขาเหมือนกัน 
      “ ได้เลยงั้นตามมานี่    อย่าเป็นพวกเกลือก็แล้วกันละ ( พวกเกลือเป็นคำว่าเฉพาะที่พรีสไซคิดขึ้นมาสำหรับว่า  พวกไม่มีฝีมือ )”
        วา ไม่พูดตอบหากแต่เดินตามพรีสไซตรงไปยังโต๊ะปิงปองซึ่งอยู่แถวๆ  กลางห้องโต๊ะหนึ่ง        ระหว่างที่เดินอยู่โซเฟียก็เข้ามากระซิบข้างๆ เขา
        “ อย่าทำหน้าแตกนะคุณเด๋อ  แหะๆ ”
      “ รับทราบภารกิจครับ  คุณหัวหน้าห้อง ”          วา ตอบพร้อมกับกระพริบตาข้างซ้ายให้จากนั้นก็เดินไปประจำโต๊ะปิงปอง            พรีสไซหยิบไม้ปิงปองออกมาจากซองใส่ไม้ปิงปองข้างๆ เอวของเขาพร้อมกับสวมถุงมือสีดำที่มือข้างซ้ายของเขา        ดูจากลักษณะจากการจับไม้แล้ว  แสดงว่าเขาเป็นคนถนัดซ้ายลักษณะการจับไม้ของเขาเป็นแบบธรรมดา                ส่วนวานั้นเมื่อยืนเข้าที่แล้วก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งดุท่าทางจะมีอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อยเดินเข้ามาหา
        “ นายมีไม้ปิงปองแล้วหรือยัง  ถ้าไม่มีละก็ยืมของเราได้นะ    รับรองใช้ได้ดีเลยทีเดียวละ ”
        “ ยังไม่มีหรอก  ขอบใจนะ  แล้วจะชนะให้ดู ”          วา ดุท่าทางมีความมั่นใจมากจากนั้นก็รับไม้ปิงปองมาจากนักเรียนหญิงคนนั้น    ซึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มให้     
        ท่าที่วาใช้จับไม้ปิงปองเป็นท่าการจับที่เหมือนกับพรีสไซ  เพียงแต่ว่าวาใช้มือขวาในการตีลูกเท่านั้นเอง 
        “ เอาละในเมื่อนายพร้อมแล้วละก็  เรามาเริ่มกันเลย กติกาการเล่นนายคงจะรู้อยู่แล้วนะ    เราจะแข่งกัน 21 ลูกโดยใครได้แต้มถึงก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ  เอาละใครจะเป็นฝ่ายเสริฟ์ก่อนดีละ ” 
      “ เราให้เกรียตินายในฐานะเจ้าที่ละกัน  เสริฟ์มาก่อนได้เลย ”
      “ งั้นก็ไม่เกรงใจละนะ ” 
        พรีสไซเมื่อพูดจบก็ไม่รอช้า    เสริฟ์ออกมาในทันที  ความเร็วในการเสริฟ์นั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว  แต่วาก็รับมันได้พร้อมกับโต้กลับไปในทันที      ลูกที่วาตีกลับไปนั้นก็แรงไม่ใช่เลนเหมือนกัน    มันเร็วมากพร้อมกับหมุนอย่างแรง    ทำให้พรีสไซถึงกับรับมันไม่ทัน  ลูกกระเด็นออกไปค่อนข้างไกล 
        วา ยิ้มอย่างมั่นใจเล็กน้อย  ซึ่งทุกคนในห้องเมื่อเห็นดังนี้ต่างก็พากันเงียบไปตามๆ กัน    ส่วนโซเฟียนั้นยกนิ้วโป้งให้กับวา    มิว รู้สึกว่าจะหายกดดันไปนิดหน่อย        ส่วนเด็กผู้หญิงคนที่วาให้ยืมไม้ดูท่าทางมีอาการสนใจวาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย     
        พรีสไซเดินไปเก็บลุกจากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับมาที่โต๊ะ  พร้อมกับหัวเราะเป็นการใหญ่
      “ เยี่ยม !  นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถโต้ลูกเสริฟ์ของเราได้  แต่จากนี้มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วนะ    เพราะเราจะเอาจริงละนะ ” 
      “ ได้เลยพวก ” 
      วา เตรียมตั้งท่ารับการเสริฟ์ครั้งต่อไปของพรีสไซ    ส่วนพรีสไซนั้นขยับแว่นอีกเล็กน้อยจากนั้นก็เริ่มเสริฟ์ออกไป
   
                                      _________________________________________
            ว่าที่หัวหน้าวงนั่งงงอยู่สักพักหนึ่ง    ส่วนคนอื่นๆ นั้นก็ต่างนั่งทำหน้างงๆ  อยู่สักพักหนึ่ง  คงจะมีแต่เสือใบ้นิคเท่านั้นที่ยังคงสามารถนั่งมองหน้า  วา  อยู่อย่างนิ่งๆ ได้           
     
              โซเฟียทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย  จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
            “ นายเด๋อเนี่ยนะ  จะเป็นหัวหน้าวงเรา  แหะๆ    แต่ก็ดีนะ ”             
            “ มีใครจะคัดค้านมั้ย ”              มิว ถามพร้อมกับมองหน้าทุกคน      ไม่มีใครคิดจะคัดค้านแม้แต่คนเดียว      มิว เห็นดังนั้นจึงพูดต่อ          “ เอาละ ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน  ต่อจากนี้ไปหัวหน้าวงของเราก็ คือ ..”
     
            ยังพูดไม่ทันจบ  คนที่คัดค้านขึ้นมาก็ คือ ตัว วานั่นเอง 
           
            “ เออ คือ ว่า เราไม่เคยประกวดวงอะไรพวกนี้มาก่อนเลยนะ  แถมเรายังเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่ค่อยเป็นเลยนอกจากร้องเพลง  จะให้เรามาเป็นหัวหน้าวงอย่างนี้มันจะดีหรอ ”           
            “ แหม  จะเป็นหัวหน้าวงทั้งที  ถ้าไม่มีใจสู้แล้ว  สมาชิกวงจะมีใจสู้กันมั้ยละค่ะ ”        โซเฟีย พูดมาแบบให้กำลังใจ    จากนั้นก็รีบพูดต่อ
            “ คนที่เป็นหัวหน้าวง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดเสมอไปหรอกนะ    ขอแค่เป็นคนที่เป็นศูนย์รวมของวงได้ก็พอแล้วละ    แล้วอีกอย่างก็ไม่มีใครเขาจะปฎิเสธนายหรอกนะ    ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสิ      ทุกคนเชื่อนะว่านายทำได้    นายสามารถนำวงของเราได้          ไม่อย่างนั้นทำไมโลกนี้ถึงต้องมีอาชีพพวกผู้บริหารขึ้นมาละ  ทั้งๆ ที่บางครั้งพวกผู้บริหารเองก็ไม่ได้รู้งานที่เขาคุมอยู่เลย  แต่เพราะมีขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมเพื่อรวมการทำงานของคนหลายๆ ฝ่ายให้เข้ากันได้ยังไงละ  ”
   
              ครั้งนี้นับว่า โซเฟีย พูดมีเหตุผลพอสมควร  ผิดจากที่เธอชอบพูดกวนประสาทอยู่ตลอดเวลา        มิว ได้ยินดังนั้นก็พูดเสริมไปว่า
              “ จริงอย่างที่โซเฟียว่า  นายต้องมีความมั่นใจในตัวเอง    เราให้นายเป็นหัวหน้าวง  เพราะเรามั่นใจในตัวนายนะ    เราเชื่อว่าคนอย่างนายสามารถนำวงเราไปสู้ชัยชนะได้  ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็ตาม หรือที่จริงอาจจะ 2 วัน ฮ่าๆ  ”      มิว หัวเราะสักพักก็พูดต่อ          “ อย่างที่บอก คนเราถ้ามันมีแววมองแป๊ปเดียวก็รู้แล้วละ ”     
            วา เมื่อได้ยินคำพูดจากเพื่อนทั้งสองก็เริ่มมีความมั่นใจที่จะเป็นหัวหน้าวง    แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีที่ทำไม มิว ไม่เป็นหัวหน้าวงสะเอง  ที่จริงเขาก็มีความสามารถในการรวมคนในวงได้  ถึงขนาดรวมสมาชิกแล้วตั้งวงได้  แต่ทำไมเขาถึงไม่มาเป็นหัวหน้าวงสะเองนะ        แต่ วา ก็คิดว่าในเมื่อ มิว ให้เขาเป็นหัวหน้าแทนแสดงว่า เขาคงมีเหตุผลส่วนตัว       
            วา มองไปที่นิค    ซึ่งนิคก็พยักหน้าให้ วา เหมือนกับยอมรับว่า วาสมควรที่จะเป็นหัวหน้าวง      ในที่สุด  วาก็ไม่ลังเลที่จะเป็นหัวหน้าวงอีกต่อไป  เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความมั่นใจ  หากแต่ต้องการที่จะยืนยันว่า  เพื่อนทุกคนสมัครใจให้เขาเป็น  เขาก็พร้อมที่จะเป็นในทันที   
          “ เอาละ ในเมื่อทุกคนสมัครใจให้เราเป็นหัวหน้าวงแล้วละก็  เราก็จะทำหน้าที่หัวหน้าวงให้ดีที่สุด ”
          “ ต้องอย่างนี้สิ  ถึงสมจะเป็นหัวหน้าวงของเราหน่อย ”              มิว พูดพร้อมกับปรบมือแสดงความยินดี    เบต้าก็ปรบมือตาม          ส่วนโซเฟียนั้นไม่ได้ปรบมือ  เพียงแต่ยิ้มให้ วา เท่านั้น  ซึ่งเมื่อ วามองโซเฟียที่กำลังยิ้มให้กับเขานั้น ก็รู้สึกเขินๆ  จนบอกไม่ถูก  จึงเบือนหน้าหนีไปทางนิค  ซึ่งก็ได้ผลดี      ใบหน้าของนิค  มองแล้วหายเขินขึ้นเยอะเลยทีเดียว         
            “ ว่าแต่คุณหัวหน้าวงค่ะ  คุณจะตั้งชื่อวงว่าอะไรหรอ ”          โซเฟียเป็นคนตั้งคำถามขึ้น  ซึ่ง วา ก็ทำท่าครุ่นคิดอยู่สักพัก 
          “ ก็ไม่รู้เหมือนกันสิครับ  คุณมือกีต้าร์    งั้นเราว่าช่วยกันตั้งชื่อวงกันเถอะ ”     
          “ เราว่าชื่อวง โซเค้น - เล่นไม่มีกระตุกดีมั้ย ”            เบต้าเป็นคนเสนอความคิดขึ้นคนแรก  ซึ่งชื่อนี้มันออกจะดูพิลึกๆ ยังไงชอบกล                วา เมื่อได้ยินชื่อวงที่เบต้าเสนอมาก็รู้สึกแปลกๆ  แต่ก็สมแล้วที่เป็นความคิดของเบต้า        ซึ่ง มิว ก็เป็นผู้รู้ได้ถึงความแปลกนั้น  เขาจึงรีบพูดต่อมา
           
          “ เราว่ามันก็ดีนะ  แต่มันออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย    อืม  เราว่านะชื่อว่าน่าจะเป็น  ซูเปอร์ ซไปส์เป็นยังไงละ ”     
        “ ของนายมันก็แปลกๆ เหมือนกันละ ”            คราวนี้เบต้าก็ค้านบ้าง
        “ งั้น เอาชื่ออะไรดีละ    นายละนิค มีอะไรจะเสนอมั้ย ”            มิว มัวแต่คิดจึงลืมว่า  ถามไปนิคก็คงไม่ยอมตอบ 
        “ นี่ๆ เอาชื่อวงฤทธิ์มีดสั้นดีมั้ย  เราว่าเท่ดีน้า ”            คนที่เสนอความคิดนี้ถึงกับเป็นวีวี่  ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินถึงกับต้องหันหน้าไปมองที่วีวี่พร้อมกับ         
   
        “ เราว่าสงสัยเธอจะบ้านิยายจีนมากไปแล้วละมั้งเนี่ย  คิดได้ยังไงเนี่ยฤทธิ์มีดสั้น  ไม่ตั้งชื่อว่า วงรักใสๆ หัวใจสี่ดวงหรือดาบมังกรหยกไปเลยละ ”          มิว เป็นคนสวนมา  ซึ่ง วาเริ่มที่จะสังเกตุได้ว่า  สองคนนี้มักชอบที่จะคิดขัดแย่ง  หรือเถียงกันอยู่เสมอ    แต่ก็ไม่ถึงกับแรงมาก  คงเป็นแค่การล้อกันเล่นๆ                    วีวี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็มองค้อนมิว     
        “ อย่างน้อยก็ยังดีกว่า ซูเปอร์  สไปส์อะไรของนายก็แล้วกันน่ะ ”       
        “ อ่าๆ  อย่าเพิ่งเถียงกันๆ  ลูนาติกเป็นไงมั้งละชื่อนี้  มันแปลว่า คนบ้าหรือบ้าน่ะ  เหมาะดสำหรับวงที่มีคนอย่างนายแล้วก็คุณเด๋อดีนะ ”              โซเฟียเป็นคนเสนอความคิดนี้ขึ้น    ซึ่งฟังดูแล้วก็ใช้ได้เลยทีเดียว     
        “ นายว่าเป็นไง วา เข้าท่าดีมั้ย      เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ    แต่น่าจะมีชื่อวงอะไรที่มันเด็ดกว่านั้นได้นะ ”
  มิว ถามพร้อมกับมองหน้าวาอย่างครุ่นคิด            ส่วน วา นั้นคิดว่าคงไม่มีชื่อวงไหนเด็ดกว่า  หมูดำ ไปได้แน่นอน       
      “ อืม เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  ถึงจะหาว่าเราบ้าก็เถอะ ฮ่าๆ      แต่เราขอเสนอชื่อที่เราคิดไว้สักหน่อยได้มั้ยอะ  ”         
      “ ได้สิ นายเป็นหัวหน้าวงทั้งที ”          มิว เชิญให้วาพูดต่อ   
      “ ชื่อวงที่เราคิดไว้ก็ คือ ..  เ ก็  -  น  -  โ -  ซ ..?? ”
      เมื่อเพื่อนๆ ทุกคนได้ยินชื่อ วง ที่วาเอ่ยออกมาถึงกับอึ้งไปสักพักหนึ่ง   
      “ อืม เข้าท่าๆ  ว่าแต่มันหมายความว่ายังไงละ  ไอ้คำว่า เก็นโซ เนี่ย ”              มิว เป็นคนถามคนแรก
      “ ถ้าเราจำไม่ผิดละก็ คำว่า เก็นโซ แปลว่า ตำนาน  ต้องการจะสื่อว่า  วงเราจะต้องกลายเป็นตำนานยังไงละ ”         
      “ เราว่ามันก็เข้าท่าดีนะ  แถมแปลกดีด้วย ”      เบต้า พูดด้วยท่าทางที่เหมือนหุ่นยนต์ 
      “ พวกนายว่าเป็นยังไงมั่งละ ชื่อวงที่เราตั้งมา ”     
      “ เอาละ  มีใครจะเสนอชื่อวงอีกมั้ย  ถ้าไม่มีแล้วละก็  เรามาลงคะแนนกันว่า  จะเลือกชื่อวงว่าอะไร  เริ่มจากทีละคนเลยนะ  ”                 
      จากนั้นมิวก็เริ่มถามความคิดเห็นเรียงจากทีละคน  ซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า  ชื่อวงน่าจะเป็น  “เก็นโซ “ 
      “ เอาละ สรุปความเห็น ก็คือ ต่อไปนี้ชื่อวงของพวกเรา  คือ เก็นโซ นะ ” 
      “ ว่าแต่นายไปเอาคำว่า เก็นโซมาจากไหนหรอ วา ”          วีวี่เป็นคนถาม
    “ ที่จริงเราไปเอาชื่อนี้มาจาก นิยายเรื่องหนึ่งนะ  มันชื่อเรื่องว่า  ตำนานดาบคู่สายฟ้าอะ    นิยายเรื่องนี้สนุกมากเลยนะเนี่ยขอบอก  มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเออ เริ่มยังไงดีละเนี่ย    พี่พระเอกเนี่ยเป็นสุดยอดนักดาบซึ่งใครๆ ต่างก็รู้จัก  ถ้าสายฟ้าลั่นออกจากดาบของพี่พระเอกแล้วละก็  ไม่เคยมีใครรอดชีวิตเลยละ  แต่ว่าพี่พรเอกไม่ใช่คนเลวนะ  เขาจะลั่นสายฟ้าออกมาก็ต่อเมื่อช่วยคนเท่านั้น    ซึ่งช่วงสมัยนั้นเองเป็นช่วงที่จอมมารร้ายซาตั้นได้ตั้งตัวมีอิทธิพลเหนือผู้ใด          ทำให้โลกในนิยายที่ชื่อว่า  ฮาโมเนียต้องระส่ำระส่าย    จึงได้มีการรวมตัวกันของเหล่าผู้กล้าที่มีฝีมือในด้านต่างๆ มาเพื่อไปปราบจอมมารลาฟาเด็ท
      แน่นอนว่าพี่ของพระเอกต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วย    แต่พอพระเอกทราบว่าพี่ของตัวเองจะไปปราบจอมมารด้วย ก็ได้แอบติดตามไปด้วย      เมื่อถึงปราสาทของจอมมารแล้วเหล่าผู้กล้าก้ได้พยายามที่จะสู้กับลูกสมุนของจอมมารอย่างเต็มความสามารถซึ่งน่าสียดายที่ต้องสูญเสียผู้กล้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย    จนในที่สุดก็เหลือเพียงพี่พระเอกแล้วก็เพื่อนสนิทของเขาอีกคนหนึ่ง    ส่วนพระเอกนั้นก็ได้แอบตามมาจนถึงที่บนสุดของหอคอย  ตอนนั้นพระเอกมีอายุเพียงแค่  6 ขวบ กว่าๆ เท่านั้นเอง 
      การต่อสู้ระหว่างตัวแทนของโลกฮาโมเนียกับจอมมารซาตั้นก็ได้เริ่มขึ้น    ทั้งสองคนพยายามสู้กันอย่างเต็มที่แต่พลังของทั้งสองก็ต้านทานจอมมารแทบไม่ไหว  จนในที่สุดพี่ของพระเอกก็ได้ใช้พลังของดาบสายฟ้า    ทำให้จอมมารพลาดท่าก่อนที่จะลงดาบใส่จอมมารนั้น        พระเอกซึ่งแอบดูอยู่ห่างๆ  ก็ได้ถูกลูกสมุนของจอมมารตนหนึ่งจับไว้ได้และร้องเรียกพี่ของเขา    ทำให้พี่ของเขาเสียจังหวะหันไปมอง  ด้วยความเป็นห่วงน้องจึงรีบเข้าไปช่วย              จอมมารเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ได้โอกาสร่ายเวทมนตร์ที่รุนแรงมาก  ยากเกินแก่การต้านทานตรงเข้าไปที่พระเอกเพราะมันรู้แน่ว่า  พี่ของพระเอกนั้นรักของตนเองมาก      และมันก็คิดถูกพี่ของพระเอกเข้าไปรับเวทมนตร์นั้นเต็มๆ    พลังของดาบสายฟ้าที่เคยปรากฎอยูบนดาบก็ค่อยๆ สลาย            ก่อนที่จะตายพี่ของพระเอก ได้ฝากดาบสายฟ้าซึ่งเป้นอาวุธอย่างเดียวที่จะสามารถปราบจอมมารได้ให้แก่พระเอก      เพื่อนสนิทของพระเอกจึงได้รีบพาพระเอกหนีจากปราสาทของจอมมาร    ส่วนพี่ของพระเอกก้ได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายผนึกพลังของตัวเองไว้กับจอมมาร          จากนั้นเป็นต้นมาโลกฮาโมเนียก็สงบลงอีกครั้งหนึ่งจนกระทั่ง ”
        วา ต้องหยุดเล่าลงกลางคันเพราะว่า  เขารู้สึกว่าตัวเองเล่ายาวเกินไปแล้ว 
        “เหอๆ ขอโทษทีนะ  พอดีเราเป็นพวกบ้านิยาย  พอเล่าแล้วมันติดลมทุกทีเลยนะสิ ”   
        “ อืม แล้วไงต่อละคุณหัวหน้าวง  กำลังสนุกเลย ”          โซเฟีย ดูท่าทางจะชอบนิยายเรื่องที่ วา เล่ามามาก    ซึ่งก็แปลกที่เธอไม่ได้กวน วา เลย กลับอยากจะฟังต่อสะอีก 
        “ แน่นอนต่อจากนั้น  มันก็ต้องตามสูตรจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้กลับคืนชีพมาอีกครั้ง    โดยการปลดผนึกของนักดาบปีศาจคนหนึ่ง    ว่ากันว่าพลังฝีมือของมันนั้นสูงส่งมาก  มันเป็นคนที่ตามกำจัดดาบที่มีชื่อต่างๆ  เพื่อต้องการจะให้ดาบของตัวเองมีชื่อมากที่สุด  และแน่นอนหนึ่งในเป้าหมายของมันก็มีพระเอกรวมอยู่ด้วย 
          โลกฮาโมเนียที่เคยสงบสุขก็ได้เริ่มสั่นไหวอีกครั้ง  ด้วยพลังอำนาจมืดของ 2 ตัวร้าย      เราชอบตอนที่เขาเคยไว้ตอนหนึ่งมากเลย    มันเขียนว่า    ดาบสายฟ้าที่ไม่เคยได้ลั่นสายฟ้าของมันออกมาเลย  บัดนี้คงถึงเวลาที่มันจะต้องลั่นออกมาเพื่อกอบกู้ฮาโมเนียอีกครั้งเสียแล้ว      เท่มากเลยว่ามั้ย  ”       
        “ โห น่าสนุกจังเลย  อย่างนี้ต้องลองไปหาซื้ออ่านดูสะบ้างแล้วสิเนี่ย  ”          โซเฟีย รู้สึกจะชื่นชอบนิยายที่วาเล่ามาเป็นพิเศษ   
      “ แล้วมันเป็นยังไงต่อเนี่ย  กำลังสนุกเลย ”        มิว เป็นคนถาม ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกัน  ไม่น่าเชื่อว่า    เรื่องที่วาเล่าจะสามารถเรียกความสนใจของเพื่อนๆ  ทุกคนได้ทันตาเห็น 
      “ ประมาณ 10 ปีกว่าๆ ผ่านไป ซึ่งก็พอดีกับตอนที่จอมมารได้คืนชีพ  พระเอกก็ได้ฝึกฝนวิชาดาบเวทมนต์ของตนเองจนแกร่งกล้าไม่แพ้พี่ของเขาเลยทีเดียว  โดยมีเพื่อนสนิทของพี่พระเอก ก็คือคนเดียวกับที่ช่วยพระเอกไว้ในตอนแรกแหละเป็นคนช่วยฝึกสอนวิชา    ดาบที่พระเอกใช้ในตอนแรกเป็นดาบของพระเอกเองซึ่งตีมาจากนักตีเหล็กอัจฉริยะผู้หนึ่ง  ดาบของพระเอกมีชื่อว่า  เออ อะไรน้า ลืมไปแล้วอะ    เรานี่แย่จริงๆ  เพิ่งอ่านไปไม่นานเอง  ข้ามไปละกัน  พระเอกใช้ดาบของตัวเองกับดาบของพี่  เป็นวิชาดาบคู่อะ  เพราะดาบ 2 เล่มเหมือนตัวแทนของตัวเองและพี่    เหมือนกับว่า  เขาได้สู้ร่วมกัน  ถึงพี่จะตายไปแล้ว  แต่พระเอกก็เชื่อว่า  วิญญาณของพี่ยังสู้ร่วมไปกับเขาอยู่    แต่ตอนหลังที่พระเอกไปสู้กับนักดาบปีศาจ  ดาบทั้ง 2 เล่มก็เกิดหัก  พอสู้ชนะพระเอกก็เอาดาบทั้ง 2 เล่มมาหลอมรวมกันให้กำเนิดดาบเล่มใหม่ขึ้นมา  มีพลังมากกว่า 2 เล่มเก่าเสียอีก  แล้วพระเอกก็มุ่งหน้าไปปราบจอมมารเหมือนที่พี่เขาเคยทำ  แล้วเราก็ยังไม่ได้อ่านต่อเลยมันยาวอะ    ”
        “ ว้า แย่จังเลยกำลังสนุกเชียว  นี่ ถ้าอ่านจบก็เอามาให้เรายืมต่อมั่งนะ ”      โซเฟียที่จริงก็เป็นคนที่ชอบอ่านนิยายมากคนหนึ่ง   
        “ ได้สิ แต่มันยาวมากนะ จะอ่านไหวหรอ ”     
        “ โอ๊ย  ไหวอยู่แล้ว  แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก  เราอ่านมาเยอะแล้วละ “
        “ จริงหรอ  ชอบอ่านพวกนิยายเหมือนกันหรอเนี่ย  ไม่ยักกะรู้  นึกว่า ..(กวนคน) ..เป็นอย่างเดียวเสียอีก ”       
      “ นายว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยจะชัด ” 
    “ เปล่าๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ฮ่าๆ  ”              วา เห็นท่าจะไม่ดีจึงแกล้งถาม มิว ว่าเขาอยากจะยืมอ่านบ้างหรือเปล่า    ซึ่งมิว ก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว    แล้วบอกกับวา ว่าเขาเกลียดการอ่านหนังสือมากกว่าสิ่งใดเสียอีก   
 
        เวลาว่างก่อนจะเข้าเรียนก็ได้จบลงไปแล้ว  เมื่อทุกคนได้ยินเสียงประห้องเลื่อนออก  ต่างก็พากันรีบวิ่งเข้าประจำโต๊ะเรียนของตนเอง    ทำท่าทางพร้อมในการเรียนอย่างที่สุด          เหตุผลที่ทำให้พวกนักเรียนในห้องทุกคนต้องทำเช่นนั้นคงจะเป็นเพราะ    อาจารย์ที่เข้ามานั้นหน้าตาท่าทางเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา    เป็นคนมีอายุมากแล้ว    ตาที่ดูกลมโตของเขาสอดส่ายสายตาภายกรอบแว่นสี่เหลี่ยมไปที่นักเรียนทุกคนรอบๆ ห้อง      ขอบตามีรอยสีดำค่อนข้างจะชัดเจน    เพิ่มประสิทธิภาพความน่ากลัวเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง      ซึ่งอาจารย์คนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน        “ อาจารย์มาน่อฟ ”        นั้นเอง
       
        เขา คือ อาจารย์คนเดียวกันกบที่พวก วา เพิ่งจะเอามาเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อเช้านี้เอง        อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ที่โหดที่สุดในโรงเรียนอับดุล  อินเตอร์ !!       
        เมื่อโซเฟียเห็นนัหเรียนทุกคนในห้องเรียนนั่งประจำที่ตัวเองเรียบร้อยแล้ว    จึงสั่งให้นักเรียนทั้งหมดลุกขึ้นยืน  พร้อมกับทำความเคารพอาจารย์มาน่อฟ       
      วา รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่กระจายมาสู่ตัวเขา  เขารู้สึกอึดอัดมากที่จะต้องเรียนกับอาจารย์มาน่อฟ  และดูเหมือนว่านักเรียนทุกคนก็จะรู้สึกเช่นกัน    แต่อาจจะยกเว้นสำหรับ นีโอ และเสือใบ้นิค     
      หลังจากนักเรียนทุกคนนั่งลงเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว  อาจารย์มาน่อฟก็นำหนังสือที่ถือมาไปวางไปที่โต๊ะครูทางด้านซ้ายของห้อง        พร้อมกับหยิบปากกาเมจิกมา 2 ด้าม    จากนั้นก็เริ่มเดินไปที่กระดานไวท์บอร์ดและเริ่มเขียนหัวข้อที่จะเรียนในวันนี้ทันที
        โดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว  ราวกับนัดกันไว้นักเรียนทั้งห้องต่างรีบหยิบสมุดโน๊ตประจำวิชาขึ้นมาพร้อมกับจดตามโดยเร็ว              วา ไม่เคยพบเห็นอาจารย์คนไหนจะเขียนกระดานได้เร็วเท่ากับอาจารย์มาน่อฟเลย    แถมดูท่าจะจดเยอะมากกว่าวิชาประวัติศาสตร์เสียอีก      ไม่น่าเชื่อว่าอาจารย์มาน่อฟที่มีอายุมากขนาดนี้แล้วจะสามารถเขียนกระดานได้เร็วปานนี้             
        เมื่อเขียนไปจนเต็มกระดานเรียบร้อยแล้ว    อาจารย์มาน่อฟก็เริ่มหันหลังกลับมามองไปยังนักเรียนทุกคน        สายตาที่สอดส่ายรอดกรอบแว่นทรงสี่เหี่ยมนั้น  ทำให้เพิ่มแรงกดดันแก่ วา เข้าไปอีก 
      วา พักมือจากการจดอันหฤโหดนั้นไปสักพักหนึ่ง  เพื่อลองมองไปรอบๆ  ห้อง    ก็ปรากฎว่า นักเรียนแทบทุกคนไม่มีใครทำอย่างอื่นนอกจากจดและก็จด        เหลียวมองไปทางด้านซ้ายก็พบกับโซเฟียกำลังจดงานอยู่เช่นกัน      ดูท่าทางเธอจะมีความตั้งใจในการเรียนเป็นพิเศษ    ไม่เหมือนกับช่วงพักเลย          เมื่อเห็นเช่นนั้น วา จึงไม่ยอมน้อยหน้าตั้งใจจดงานต่อไป     
     
        ชั่วโมงอาจารย์มาน่อฟผ่านไปเร็วกว่าที่วาคิดไปนิดหน่อย  อาจจะเป็นเพราะว่าวาเห็นโซเฟียตั้งใจเรียนเลยตั้งใจเรียนตามไปด้วย    ทำให้ไม่รู้เครียดและกดดันสักเท่าไหร่นัก             
        ในที่สุดชั่วโมงในตอนเช้าก็ผ่านไปเรื่อยๆ  จนถึงชั่วโมงเรียนของอาจารย์พิชายะ      ชั่วโมงที่วาและทุกคนรอคอย            อาจารย์พิชายะค่อยๆ เดินเข้ามาในห้อง  ราวกับว่าการเดินแต่ละก้าวนั้นแสนลำบากยากเข็นนัก        เพราะว่าอาจารย์พิชายะเป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนมาก  แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเกลียด      เขาสวมแว่นทรงกลมรีอันใหญ่มาก  ซึ่งดูแล้วก็เข้ากับลักษณะตัวของเขาเองดีมาก       
        หลังจากโซเฟียสั่งนักเรียนทุกคนทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว    อาจารย์ชายะก็ยกมือขึ้น  แล้วบอกว่าให้นั่งลงได้        จากนั้นอาจารย์พิชายะก็เริ่มเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆ    ทั้งเรื่องราวประหลาดๆ  อีกมากมายผิดกับอาจารย์มาน่อฟซึ่งไม่พูดไม่กล่าวอะไรก้เริ่มเขียนกระดานทันที     
        เรื่องราวประหลาดที่สุดเท่าที่วาได้ฟังมากจากอาจารย์พิชายะก็น่าจะเป็นเรื่องของเจ้าปลาประหลาดที่มีชื่อว่า    “ โอปาจี  “      ฟังว่า  มันเป็นปลาประหลาที่อาศัยอยู่แถวลุ่มแม่น้ำแห่งหนึ่ง      ซึ่งไม่เคยมีใครจับมันได้เลย  แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคย      เนื่องเพราะคนที่ต้องการจะไปจับมันต่างไม่เคยมีใครรอดชีวิตมาได้เลย          มันมีพละกำลังที่มากมายมหาศาล          ทำให้คนที่พยายามจะจับมันต้องถูกมันดึงจมลงไปและหายสาปสูญไปตามๆ กัน
        นั่งฟังเรื่องราวต่างๆ  มาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าๆ    อยู่ดีๆ อาจารย์พิชายะก็หยุดเรื่องกระทันหัน  พร้อมกับเดินตรงไปที่กระดานจากนั้นก็เริ่มเขียนหัวข้อในการเรียนลงไปแบบไม่ทันให้นักเรียนตั้งตัว          วา ที่ตั้งใจฟังอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นรีบหยิบสมุดโน๊ตวิชาสังคมออกมาจากเป้คุ่ใจของเขาโดยเร็ว          โซเฟียเมื่อเห็นท่าทีตั้งใจเรียนของวา  ก็อดขำไม่ได้     
      “ ขำอะไรหรอ ” 
      “ ป่าวหรอก ไม่มีอะไร ”            โซเฟียตอบวาไปทั้งๆ ที่ยังแอบขำอยู่  ซึ่งวาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก    หากแต่รีบจดตามอาจารย์พิชายะโดยเร็ว              หลังจากที่วาก้มหน้าจดไปสักครู่  จนเมื่อเขาจดเสร็จเรียบร้อย  เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองกระดานอีกทีหนึ่ง      ทำให้เขาต้องตะลึงไปสักเล็กน้อย    โอ้! เด็ดจริง    ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้ที่มีความสามารถในการเขียนกระดานเร็วพอๆ กับอาจารย์มาน่อฟอยู่อีกคนหนึ่ง       
        วา ได้แต่คิดว่า  “ ฟ้าส่งอาจารย์มาน่อฟมาเกิดแล้วใยต้องส่งอาจารย์พิชายะมาเกิดด้วย  “              หากว่าจะมีคนที่สามารถเขียนเร็วได้เท่ากับอาจารย์มาน่อฟ      หรือาจจะเร็วกว่าก็คงจะมีเพียงแต่อาจารย์พิชายะคนนี้    คนเดียวแล้วกระมัง        ถ้าเปรียบการเขียนกระดานเป็นกระบี่  ก็คงเป็นกระบี่ที่เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าหรือประกายไฟเลยทีเดียว          เนื่องจากเพราะเพียงไม่กี่วินาทีอาจารย์พิชายะก็สามารถเขียนกระดานได้ถึง 2-3 เลยทีเดียว 
        นักเรียนบางคนไม่สามารถจดตามทันเนื่องจากเพราะว่า    มีบ้างบางคนหลับไปตั้งแต่อาจารย์พิชายะเล่าเรื่องต่างๆ  ตอนต้นชั่วโมง        เมื่อเพื่อนที่นั่งข้างๆ  ปลุกให้ตื่นขึ้นมาจดงานก็สายไปเสียแล้ว            อาจารย์พิชายะที่เล่าเรื่องต่างๆ  ไปในครึ่งชั่วโมงแรกอาจจะเป็นแผนการณ์ลอกให้นักเรียนหลับก็เป็นไปได้    แต่วาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น      เนื่องเพราะวา ให้ความสนใจแก่เรื่องที่อาจารย์พิชายะเล่ามาก    แล้วมันก็ไม่ทำให้รู้สึกง่วงนอนได้เลยแม้แต่นิดเดียว     
     
          จดจนมือเกือบงอ  ไปประมาณครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน    เสียงออด เป็นสัญญาหมดชั่วโมงก็ดังขึ้น    ซึ่งมันก็หมายความว่าถึงเวลาพักเที่ยวแล้ว      จากนั้นก็จะเป็นชั่วโมงชมรม    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงอาจารย์พิชายะก็พานักเรียนทุกคนจดงานไปกว่า 3 หน้าได้แล้ว      ทำให้นักเรียนบางคนเมื่อเห็นอาจารย์พิชายะเดินออกไปจากห้องแล้ว  ถึงกับต้องนอนฟุบลงกับโต๊ะ    ราวกับว่า การจดงานต้องดึงพลังทั้งร่างกายออกมาก็ไม่ปาน   
        ระหว่างที่วาค่อยๆ  เก็บสมุดโน๊ตของอาจารย์พิชายะใส่เป้ของเขา    มิว นิค นีโอ และเบต้า  ก็เดินมาหาวาที่โต๊ะ          ซึ่งโซเฟียก็ได้ทักทายกับวาด้วยท่าทางร่าเริง  ผิดกับตอนที่เรียนอยู่อย่างกับคนละคน
 
        “ แหม ขยันเรียนดีจังนะวันนี้  ”
        “ ไม่หรอก เราว่าเธอขยันว่าเราอีกนะ “
      “ พวกนายสองคนยังดีนะ  เราสิเกือบจะหลับไปเสียแล้ว  ตอนฟังเรื่องไอ้เจ้าปลาประหลาดโอปาจีอะไรนั่นนะ ”                    มิว พูดพร้อมกับปิดปากหาวเป็นการใหญ่
      “ แต่เราว่ามันน่าสนุกดีออกนะ ”              วา ออกความคิดเห็นแต่มิวก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ  นอกจากทำท่าง่วงนอนเต็มที่        ซึ่งต่างจากเสือใบ้นิค  ดูท่าทางอย่าว่าแต่ง่วงนอนเลย  ความรู้สึกยังไม่รู้จะมีเลยหรือเปล่า   
      “ พวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะ  เราหิวจะแย่อยู่  ”      เบต้า เป็นคนพูดซึ่งดูยังไงก็ยังเหมือนหุ่นยนต์อยู่ดี 
      “ อืม เราก็รู้สึกหิวเหมือนกัน ”      นีโอ ก็ดูท่าทางจะหิวบ้างแล้ว    คงเป็นเพราะว่า    การตั้งใจเรียนทำให้ศูนย์พลังงานได้มากกว่าการอยู่เฉยๆ  ก็ไม่แน่เพราะการเรียนเป็นการใช้พลังงานทางสมองอย่างหนึ่ง 
    “ เอาละ งั้นเราก็ไปทานข้าวกันเลยละกันนะ ”          เมื่อวาพูดจบ ก็ลุกขึ้นพร้อมกับสะพายเป้ของเขาเดินตรงไปยังประตูห้อง     
        ทั้งหมดเดินลงบันไดชั้นสองมาจนถึงชั้นหนึ่ง    ซึ่งระหว่างนั้นเองวาก็ได้มองไปเจอกับก็อบที่ยืนอยู่ห่างจากเขามากพอสมควรพอดี !        ทั้งสองประสานสายตากันอยู่สักพักหนึ่วาก็รีบเดินออกจากตึกอาคารเรียน    เพราะไม่อยากจะมีเรื่องอีก          แต่ก็อบยังไม่ยอมละสายตาจากวา  ถึงแม้วาจะเดินออกไปจากตึกแล้วก็ตามราวกับวา    มีเรื่องอะไรค้างคาอยู่ก็ไม่ปาน   
        วา ถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อเดินพ้นออกมาจากตึกอาคารเรียนได้แล้ว      โชคดีของเขาที่เดินออกมาได้    แต่ถึงเขาจะถูกหาเรื่องอีกครั้งเขาก็ไม่ได้กลัว    ถึงจะรู้ว่าสู้ไม่ได้ก็ตามที        แต่จากคำพูดที่หลายๆ คนบอกมาว่า  ถ้าเขาอยู่กับโซเฟียแล้วละก็  เขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย    นั้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้เขามีความสบายใจมากขึ้นสักเล็กน้อยก็ได้   
        ทั้งหมดเดินผ่านน้ำพุใหญ่กลางโรงเรียนจนมาถึงโรงอาหาร      วารู้แล้วว่าเขาควรจะต้องทำอะไรบ้าง        หลังจากที่วาซื้ออาหารได้แล้ว          เขาก็มองหาโต๊ะที่พวกเพื่อนๆ  นั่งรวมกลุ่มกันอยู่    ซึ่งนีโอ เป็นคนโบกมือเรียกวา  ทำให้เขาสามารถหาโต๊ะเจอ     
        อาหารที่วาซื้อในวันนี้เป้นก๋วเตี๋ยวเส้นเล็กต้มยำจากร้านลุงเฉื่อยซึ่งคือร้านเดียวกันกับเมื่อวานนั่นเอง      กว่าที่วาจะต่อคิวซื้อมาได้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน        พอไปนั่งรวมกับกลุ่มก็พบว่า  เพื่อนๆ บางคนทานไปจนเกือบจะหมดแล้ว     
 
      “ แหม มาช้าเชียวนะคุณเด๋อ ”   
      “ ที่จริงคิวมันก็ไม่ได้เยอะนะ  แต่ว่าเขาทำช้าจริงๆ  ”            วา ตอบโซเฟียซึ่งวันนี้เธอไม่ได้ซื้อก๋วเยตี๋ยวที่ร้านลุงเฉื่อยแต่ซื้อยากิโซบะจากร้านอื่นแทน  ซึ่งวาก็ยังไม่รู้จัก  ร้านไหนเลยสักร้านนอกจากร้านลุงเฉื่อย 
      “ ว่าแต่ตอนเย็นๆ  หลังเลิกเรียนมีอะไรให้ทำมั่งละ  เรารู้สึกว่าเมื่อวานเราว่างๆ ไปยังไงก็ไม่รู้สิ ”
      “ มีอะไรให้นายทำตั้งเยอะแย่ะแน่ะ  อย่างน้อยถ้าไม่มีอะไรทำจริง  นายแค่เดินเล่นรอบโรงเรียนหนึ่งรอบก็ยังไม่รู้ว่าจะค่ำก่อนเลยรึเปล่า      เผลิอๆ อาจจะเดินไม่รอบก็ได้นะ  ”          เบต้า เป็นคนตอบคำถามวา  ทั้งที่ข้าวยังคงเต็มอยู่ในปากอยู่เลย                  ก็จริงอย่างที่เบต้าว่า  ถ้าไม่มีอะไรทำจริงๆ  แค่เดินเล่นรอบโรงเรียนก็เหลือเฟือแล้ว    เพราะโรงเรียนนี้กว้างมากจนเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแทบจะเดินได้ไม่รอบเลยทีเดียว   
        “ แล้วว่าแต่พวกนายไม่เล่นบอลกันมั่งหรอ ”
        “ นายอยากเล่นบอลหรอ ”     
        “ ก็ไม่ค่อยอยากเท่าไหร่หรอก  เพียงแต่เมื่อวานเราเห็นสนามบอลโรงเรียนแล้วมันเกิดอยากเล่นขึ้นมาน่ะสิ  กว้างออกขนาดนั้นแถมอากาศกำลังดีเสียด้วย  ”
        “ ที่พูดมาก็น่าสนใจนะ  เพียงแต่ว่าพวกเรามีคนไม่ค่อยจะมากน่ะสิ    ยังแบ่งเป็นทีมไม่ค่อยได้เลย ”      มิว ก็ดูเหมือนจะอยากเล่นอยู่เหมือนกัน
        “ เออ ว่าแต่ที่นี่มีโต๊ะปิงปองมั่งมั้ย    เราอยากเล่นมากเลยละ ”
        “ ว้าว คุณเด๋อเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอเนี่ย  ”          โซเฟีย รีบกวนวาทันที
      ” ก็นิดหน่อยนะ    แต่เราว่ามันสนุกดีนะ ”           
      “ ไอ้ตะปิงปองมันก็มีหรอกนะ  ถ้าไม่มีน่ะสิถึงจะแปลก  เพียงแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า    โต๊ะปิงปองมันมีอยู่แค่ในเฉพาะห้องชมรมปิงปองน่ะสิ    ”    มิว  ค่อยๆ บอกวา ขระที่กำลังจะทานข้าวคำต่อไป
      “ แล้วเราเข้าไปเล่นไม่ได้หรอ  ”
      “ ไอ้ได้น่ะมันได้นะ  เพียงแต่ว่า  ปัญหาที่กำลังจะบอกก็คือ  พวกเด็กชมรมปิงปองที่ฝีมือเก่งๆ    ชอบมาท้าดวลประมาณว่า  ถ้าไม่ชนะเขาก็จะไม่ยอมให้เล่นน่ะสิ  ” 
      “ อ้าว อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้องนะสิ    ทุกคนก็มีสิทธิที่จะเล่นเท่าเทียมกันนะ ”   
      “ มันก็ใช่นะที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเล่นได้เท่าเทียมกัน    แต่มันเหมือนเป็นกำไปสะแล้ว    จึงไม่ค่อยมีคนไปเล่นที่ห้องชมรมปิงปองนะสิ  ”
      “ งั้นหรอ  ฟังอย่างนี้ชักน่าสนใจแล้วสิ      เย็นนี้เราไปลองเล่นกันดูดีมั้ย  ”       
      มิว เมื่อได้ยินวาพูดเช่นนั้นถึงกับเกือบกลิ่นข้าวติดคอ  ไอแค๊กๆ อยู่ 2-3 ที  ก่อนที่จะรีบดื่มน้ำเปล่าตามไป
        “ เราว่านายอย่าไปเลยดีกว่านะ  ที่นั่นมีแต่พวกฝีมือโหดๆ    โดยเฉพาะไอ้หัวหน้าชมรมที่ชื่อว่า  โซลีน  ”
        “  ก็มันอยากเล่นนี่หน่า  แล้วอีกอย่างหนึ่งแค่ลองดูสักหน่อยก็คงไม่เป็นไรจริงมั้ย ” 
        “ แล้วแต่นายก็แล้วกันนะ    แต่ถ้านายจะไปจริงๆ  ละก็เราไปเป็นเพื่อนก็ได้ ”
        “ เราไปด้วยได้หรือเปล่าเนี่ย ”            โซเฟียรีบถาม
      “ ใครห้ามละ ไปสิ  คนไปเยอะยิ่งดี ”          วา หันไปยิ้มให้กับโซเฟีย          มิวเมื่อได้ยินโซเฟียพูดก็รีบพูด
ต่อ
      “ เราว่าถ้าเธอไปนะ  ไอ้พวกนั้นก็แพ้หมดนะสิ ”
      “ จะบ้าหรอ  เราเล่นปิงปองไม่เก่งขนาดนั้นหรอกนะ  ” 
      “ ก็เห็นไม่เก่งสักเรื่องแหละน้า  พอเอาเข้าจริงๆ ก็นะ ”      มิว พูดเหมือนกับรู้ทัน    ทำให้วาสงสัยว่าโซเฟียเล่นปิงปองเป็นด้วยหรือเปล่า
      “ แล้วเธอเล่นปิงปองเป็นด้วยหรอ  ” 
      “ ก็พอเป็นบ้างนิดหน่อยนะ  แต่เราไม่ค่อยเก่งจริงๆ นะ ”              วา เองก็เชื่อครึ่งไม่ค่อยเชื่อครึ่งเพราะคนบางคนบอกว่าตัวเองไม่เก่งก้ไม่เก่งจริงๆ    แต่คนบางคนบอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งแต่ดันชนะคนที่บอกว่าตัวเองเล่นเก่ง      ยิ่งเฉพาะบางคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็นยิ่งน่ากลัวกว่าคนที่บอกว่าตัวเองเล่นไม่เก่งเสียอีก    เพราะส่วนใหญ่เล่นเป็นแต่ชอบบอกว่าตัวเองเล่นไม่เป็น  ก็ไม่รุ้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน     
        “ แล้วตกลงเย็นนี้มีใครจะไปเล่นปิงปองกับเรามั่ง  นีโอกับนิคละไปมั้ย ”
        “ วันนี้เราคงไปไม่ได้หรอกนะ ขอโทษทีพอดีต้องอ่านหนังสือต่ออีกนิดหน่อยไว้โอกาสหน้าละกันนะ    ถ้ายังไงก็ขอให้ชนะละกันนะ ”     
        “ นายละนิค ”
        “ (ยักไหล่) ”            เสือใบ้นิคยักไหล่ซึ่งมีความหายว่า จะยังไงก็ได้ 
        “ งั้นเราจะเจอกันที่ไหนเวลาไหนดีละ  ตอนเย็นนี้ ”
        “ เจอที่หน้าประตูทางเข้าตึกชมรมละกันนะ    เวลาก็เอาประมาณ 4โมงเย็นละกันนะกำลังดี  โอเคมั้ย ”        มิว เป็นคนเสนอความคิด
        “ อืม โอเคงั้นก็ตกลงตามนั้นนะ    เออ ว่าแต่ที่นั่นมีไม้ปิงปองให้เราด้วยใช่มั้ย ” 
        “ มีสิจะ คุณเด๋อ  “
        “ ขอบคุณ”              วา ตอบโซเฟียเชิงค้อน    พร้อมกับส่งสายตาเจ้าเล่ห์ใส่เธอ   
     
        หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็รับประทานอาหารเที่ยงกันจบเสร็จหมด    ซึ่งก็ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันแล้ว      วา เองก็เดินแยกออกมาเพียงคนเดียว        เนื่องจากเพราะเขารู้แล้วว่า  ตึกชมรมต้องไปทางไหน        ถึงตอนนี้ยังพอเหลือเวลาอีกประมาณ 20 กว่านาทีก่อนที่จะเข้าชั่วโมงชมรม    แต่วาก็รีบตรงดิ่งไปที่ตึกชมรมเพียงคนเดียว          เนื่องเพราะเขาไม่ค่อยอยากจะเจอก็อบและแก๊งเอ็ดดี้เท่าไหร่นัก         
        ในที่สุดวาก็เดินมาถึงตึกอาคารชมรม  ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในประตูแล้ว  วาก็ต้องตกใจเล็กน้อย    เพราะคนที่เขาไม่อยากเจอกับยืนดักรอเขาอยู่ที่ข้างๆ    ประตูอาคารนั่นเอง                  เมื่อเห็นเช่นนั้นวา จึงรีบสาวเท้าเดินต่อไปทำเป็นไม่สนใจ    แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก
 
      “ ช้าก่อนจะรีบไปไหน ”            ก็อบตะโกนบอกวา    ซึ่งวาก็ค่อยๆ หันกลับไปมองหน้าก็อบ
      “ ก็จะรีบเข้าชมรมนะสิ ”
      “ ขยันจังนะ  ”
      วา ไม่สนใจก็อบแล้วก็รีบเดินต่อไป    ซึ่งคราวนี้ก็อบก็เดินตามเข้ามาติดๆ        วาก็ทำเป็นไม่สนใจเดินต่อไปจนในที่สุดก็ไปถึงห้องเวทีฮาโมเนีย          ซึ่งบนเวทีนั้นซาซาไรกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประหลาดอันหนึ่ง      ที่ประหลาดก้คือมันเป้นเก้าอี้ที่ไม่มีขาน่ะสิ         
          ก็อบยังไม่หยุดตามวามาจนกระทั่งเดินตามเข้ามาในห้องชมรม            เมื่อวาเดินไปจนใกล้ซาซาไรแล้ว  ก็พบว่าก็อบตามเขาเข้ามาด้วย     
        “ นายมีอะไรหรอ ถึงต้องตามเรามาด้วย ”
     
          ก็อบไม่ตอบหากแต่เดินตัดหน้าวา ตรงไปยังซาซาไรซึ่งกำลังนั่งอยู่        ซาซาไรเมือ่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดกึ่งกังวลของก็อบก็หาได้สนใจไม่  เพียงแต่ยักคิ้วข้างเดียวพร้อมกับทำหน้ากวนๆ ใส่      สื่อความหมายว่า  มีเรื่องอะไรงั้นหรอ 
          ก็อบก้มหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก็พูดบอกซาซาไรไปว่า
          “ เมื่อวานที่ผมทำไม่ดีไปต้องขอโทษอาจารย์ด้วยนะครับ ”              วา ได้ยินก็อบพูดเช่นนั้นถึงกับงเล้กน้อย    เมื่อวานเขายังมีท่าทางแสดงอาการก้าวร้าวอยู่เลย    แถมเรียกตัวเองว่าข้าเสียด้วย      อะไรทำให้เขากลับเป็นหน้ามือกับหลังมืออย่างนี้นะ            ที่จริงก็อบมาขอโทษเพราะเมื่อวานเขาถูกมาสเตอร์ชไนเดอร์สั่งมามิเช่นนั้นเขาจะต้องโดนทำโทษขั้นรุงแรงมากกว่าเดิมในวันนี้แน่     
         
          “ ไม่เป็นไรครับ    ผมให้อภัยคุณนะครับ        แต่คนที่คุณน่าจะขอโทษมากกว่าผม  ยืนอยู่ข้างหลังมากกว่านะ ”        เมื่อได้ยินซาซาไรพูดดังนั้นก็อบก็หันหน้าไปหาวาทันที  ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย     
          “ ส่วนแกไอ้เด็กใหม่    ข้า ขอ-  โทษ ! ”      ดูเหมือนว่ากว่าที่ก็อบจะพูดออกมาได้นั้นต้องใช้ความพยายามอย่างสูง 
          “ ไม่เป็นไรหรอกนะ  เราไม่ว่าหรอก “              วา พูดพร้อมกับยิ้มให้  แถมยังยกมือขึ้นมาทำท่าจะจับมือเชื่อมสัมพัน์กับก็อบ          แต่ทว่าหน้าตาของก็อบนั้นดูท่าจะไม่เล่นด้วยแล้ว    วาจึงลดมือลง   
         
            ก็อบไม่พูดอะไรอีก    เขาจึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที        ซึ่งเมื่อก็อบเดินออกไปจากห้องแล้ว  วาก็ต้องถอนหายใจหนึ่งเฮือก          ซาซาไรขำเล็กน้อยกับการถอนหายใจของวา         
            “ สวัสดีนะครับ มาสเตอร์ ”       
            “ อืม สวัสดีนะ ”              หลังจากที่กล่าวทักทายกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ซาซาไรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ขาล่องหนอันนนั้น        ปรากฎกลุ่มควันบริเวรรอบๆ    เก้าอี้พอกลุ่มควันจางไปเก้าอี้ก็หายไปเสียแล้ว       
            “ มหัศจรรย์จังเลยครับ ” 
            “ เดี๋ยวฝึกไปอีกไม่นานคุณก็จะทำได้เองแหละครับ    ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงเข้าชมรมเร็วจังละครับ ”
            “ พอดีอยากเข้ามาก่อนเวลานะครับ  ”
          “ งั้นจะเรียนกันเลยไหมครับ  หรือว่าจะพักสักครู่หนึ่งก่อนไว้ถึงเวลาแล้วค่อยเริ่มเรียนกัน ”
          “ ผมขอพักสัก 5 นาทีก่อนก็ละกันครับ ”
          ซาซาไรไม่พูดอะไรนอกจากเดินเข้าไปยังห้องเรียนที่เมื่อวาน    ใช้สอนวา  ซึ่งวาก็เดินตามเข้าไปทันที   
          “ คือ ผมมีเรื่องอยากจะถามมาสเตอร์นะครับ ”
          “ ว่ามาสิครับ ”
          “ มาสเตอร์เล่นปิงปองเป็นหรือเปล่าครับ ”            ซาซาไรเมื่อได้ยินคำถามของวา ก็ถึงกับอดขำไม่ได้
        “ ก็นึกว่าจะถามอะไร  ผมก็พอเล่นเป็นแหละครับ  ว่าแต่ถามอย่างนี้ต้องมีอะไรแน่เลยใช่ไหมครับ “
        “ ป่าวหรอกครับ  แค่พอดีผมอยากจะลองไปเล่นปิงปองที่ห้องชมรมปิงปองดูก็เท่านั้นแหละครับ    เห็นเพื่อนเขาบอกว่าเป็นที่เดียวที่มีโต๊ะปิงปอง  ”
        “ งั้นหรอครับ ท่าทางจะเก่งนะครับเนี่ย    แต่ว่านะครับที่บอกว่าที่ชมรมปิงปองเป็นที่เดียวที่มีตะปิงปองท่าจะไม่ใช่แล้วละครับ    เพราะดูจะมีอีกที่หนึ่งนะครับที่มีโต๊ะปิงปองอยู่ด้วย  ”
        “ ที่ไหนหรอครับ ”
        “ บอกแล้วจะเชื่อไหมครับว่า  ที่ชมรมนักมายากลของเราก็มีเหมือนกันนะครับ ”
        “ แล้วมันอยู่ที่ไหนหรอครับ  ทำไมผมไม่เห็นเลย ”
        “ มันก็อยู่ที่ว่าผมจะเสกมันออกมารึเปล่าก็เท่านั้นแหละครับ    เพียงแต่ว่าถึงเอาออกมาก็คงไม่มีคนเล่นอยู่ดี ”
        “ แล้วถ้าไว้ว่างๆ  ผมจะชวนเพื่อนมาเล่นที่นี่ได้รึเปล่าละครับ  ” 
        “ อืม ก็ต้องดูก่อนละครับ  แต่ที่แน่ๆ วันนี้คงเล่นกันไม่ได้หรอกครับ  เพราะผมมีงานนิดหน่อยหลังเลิกเรียนนะครับ    ไว้ถ้าวันไหนเล่นได้ผมจะบอกก็แล้วกันนะครับ ”
          วา รู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้นที่เขาอยู่ชมรมนักมายากลดูเหมือนว่ามันจะมีไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง  ตามแต่ซาซาไรจะเสกออกมา       
     
        ในที่สุดชั่วโมงชมรมก็ผ่านไป  วันนี้วาได้เรียนรู้มายากลเพิ่มเติมขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง      ที่เขาต้องไปฝึกเพิ่มเติมก็คือ    เขาต้องกลับไปฝึกก็คือ  การอ่านทำความเข้าใจกับเทคนิคมายากลในหนังสือคูมือนักมายากลฉบับฝึกหัดที่ซาซาไรนำมาห้เขาในวันนี้          พร้อมกับฝึกการกล่อนไพ่ให้ตรงเป้าหมายเสียก่อน
        วา ออกมายืนคอยนิค โซเฟียและมิว  อยู่ที่ข้างหน้าตึกอาคารชมรมซึ่งดูเหมือนว่า    เขาจะเป็นคนที่มาเป็นคนแรก        หลังจากยืนคอยอยู่ประมาณไม่เกิน 5 นาทีทุกคนก็มากลับครบ 
   
      “ นายยังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมที่จะไปที่ชมรมปิงปองน่ะ ”    มิว  ถามวาอีกรอบหนึ่ง
      “ ไม่หรอก  มันก็ไม่น่าจะมีอะไรขนาดนั้นิ ”     
      “ ใช่แล้ว ในเมื่อคุณหัวหน้าวงเขายังไม่กลัวเลย  แล้วนายจะกลัวอะไรละ ”        โซเฟีย คราวนี้สนับสนุนวา      ซึ่งดูทุกคนจะอยากไปที่ชมรมปิงปองทุกคนยกเว้นแต่มิวเพียงคนเดียว       
        ในเมื่อทุกคนต้องการจะไป มิวก็ยอมต้องตามไปด้วย  ซึ่งเขาเป็นคนทำหน้าที่นำทางไปเอง    ห้องชมรมปิงปองอยู่ในตึกอาคารชมรมเช่นกัน    เพียงแต่ว่ามันอยู่ที่ชั้นบนจนเกือบจะสุดเลยทีเดียว         
 
      วา ค่อยๆ เดินตามมิวไปเรื่อยๆ ผ่านบันไดวนที่ดูสวยหรูขึ้นไปเรื่อยๆ    จนในที่สุดก็ถึงทางเดินซึ่งถ้านับจากชั้นที่เดินกันมาแล้วชมรมปิงปองน่าจะอยู่ที่ประมาณชั้นที่ 4 ของตึกอาคารชมรม              มิว พาทั้งหมดเดินตรงไปยังทางเดินซึ่งก้เห็นป้ายที่ยื่นออกมาอยู่ไม่ไกลนักเขียนว่า  “ ห้องชมรมปิงปอง “
      เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้องชมรมปิงปอง  วาก็ได้ยืนเสียงไม้ปิงปองและลูกปิงปองกำลังกระทบกันอยู่หลายเสียงเลยทีเดียว    แสดงว่าก็มีคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
      “ ไหนนายบอกว่า  ไม่ค่อยมีคนมาเล่นปิงปองไม่ใช่หรอ  ทำไมได้ยินเสียงออกจะเยอะแย่ะขนาดนี้ ”
      “ ไอ้เสียงที่นายได้ยินมันฟังดูเยอะอยู่หรอก  แต่ที่จริงไอ้พวกที่อยู่ข้างในนั้นมีแค่ไม่กี่คนหรอก  เพียงแต่ว่า  ความเร็วในการตีมันสูงมากจนทำให้นายคิดว่ามันมีคนอยู่เยอะยังไงละ      พวกที่อยู่ในห้องนี้ก็คงมีแต่พวกชมรมทั้งนั้นแหละ  และเป็นพวกที่ฝีมือไม่ธรรมดาสะด้วย  ”
      “ ว่าแต่เราเข้าไปกันได้หรือยังละ ”
      “ อยากเข้าก้เปิดประตูเข้าไปเลยครับท่านผู้ชม ”
      วา ไม่รอช้ารีบผลักประตูห้องชมรมปิงปองออก  ซึ่งบานประตูเป็นกระจกสีดำบานใหญ่          เพียงแค่วาผลักประตูเท่านั้น  ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปในห้องชมรมเลย    เสียงลูกปิงปองต่างๆ  ก็ต่างเงียบหายไปตามๆ กัน      ซึ่งเมื่อวาเข้าไปแล้วก็ต้องพบกับสายตามากมายแต่ก็ไม่ถึง 20 คน        ดูคร่าวๆ  ก็คงประมาณ 10 15 คนเท่านั้น      ห้องชมรมปิงปองเป็นห้องที่ใหญ่มากห้องหนึ่งดูไปแล้วกว้างกว่าห้องเรียนของวาเสียอีก    เพดานก็สูงมากเสียด้วย        ห้องทั้งห้องทาด้วยสีขาวทำให้รู้สึกสว่างและน่าเล่นปิงปองเป้นอย่างมาก
      คนทั้งหมดในห้องชมรมต่างจ้องมองมาที่วา    ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคยเหียบเข้ามาที่ห้องชมรมมาเป็นเวลานานชั่วกัปชั่วกัลป์แล้ว          วารู้สึกแปลกๆ  แต่ก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับนักเรียนพวกนั้น    จากนั้นเมื่อโซเฟีย นิค และมิวเข้ามาเสร็จเรียบร้อย      ทุกคนต่างมีท่าทางคล้ายๆ กับวา  คือ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทางของคนในห้องนี้
        โซเฟียนั้นได้แต่ยิ้มกวนๆ เล็กน้อย    ส่วนนิคนั้นไม่แสดงท่าทีอะไร  ผิดกับมิวซึ่งรู้สึกว่าจะกดดันกว่าเพื่อน      ทุกคนในห้องต่างตกอยู่ในความเงียบสักพักหนึ่ง    ก็มีคนรูปร่างผอมสูง    เดินตรงเข้ามาที่พวกของวา      คนๆ นี้สวมแว่นกรอบสีดำรุปทรงสี่เหลี่มดูท่าทางมีฝีมือในการเล่นปิงปองอย่างมาก        ไม่รอช้าวาจึงรีบเอ่ยปากถามไปว่า
        “ เออ คือ พวกเราต้องการจะมาเล่นปิงปองในห้องชมรมของพวกนาย    เราพอจะเล่นได้ไหม ”
        เด็กนักเรียนคนที่สวมแว่นนั้นยังไม่ได้ตอบวา    หากแต่หัวเราะด้วยเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายเป็นการใหญ่  ซึ่งเมื่อเขาหัวเราะแล้ว    คนที่อยู่ในห้องทั้งห้องก็ต่างหัวเราะตาม 
        “ นายรู้ไหมว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาขอพวกเราเล่นปิงปองในห้องนี้เป้นเวลานานเท่าไหร่แล้วรู้ไหม  ”
        “ เรื่องนั้นเราไม่ได้สน  เราสนเพียงแต่เราจะมาเล่นได้หรือไม่ ”          วา พูดตอบกลับไปด้วยคำพูดที่คมกรีบทำให้เด็กชายที่สวมแว่นคนนั้นต้องเงียบไปสักพักหนึ่ง  จึงกล่าวต่อได้
        “ ได้สิ ทำไมจะไม่ได้แต่มีข้อแม้นะ ”
        “ ข้อแม้อะไรหรอ ว่ามาสิ ”
        “ นายจะต้องเอาชนะการเล่นปิงปองกับเราให้ได้ก่อน    ขอแน่ะนำตัวเลยนะ    เรามีชื่อว่า  พรีสไซ    เป็นว่าที่รองประธานชมรมปิงปองแห่งนี้  ”
        “ อ๋อได้สิ  แล้วเราจะเริ่มกันได้เลยหรือยังละ ”        วา ดูจะมีความมั่นเป็นอย่างมาก    ทำให้พรีสไซต้องยิ้มเป็นการใหญ่    ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้กลัวฝีมือของวา    พอๆ กับที่วาก็ไม่กลัวเขาเหมือนกัน 
      “ ได้เลยงั้นตามมานี่    อย่าเป็นพวกเกลือก็แล้วกันละ ( พวกเกลือเป็นคำว่าเฉพาะที่พรีสไซคิดขึ้นมาสำหรับว่า  พวกไม่มีฝีมือ )”
        วา ไม่พูดตอบหากแต่เดินตามพรีสไซตรงไปยังโต๊ะปิงปองซึ่งอยู่แถวๆ  กลางห้องโต๊ะหนึ่ง        ระหว่างที่เดินอยู่โซเฟียก็เข้ามากระซิบข้างๆ เขา
        “ อย่าทำหน้าแตกนะคุณเด๋อ  แหะๆ ”
      “ รับทราบภารกิจครับ  คุณหัวหน้าห้อง ”          วา ตอบพร้อมกับกระพริบตาข้างซ้ายให้จากนั้นก็เดินไปประจำโต๊ะปิงปอง            พรีสไซหยิบไม้ปิงปองออกมาจากซองใส่ไม้ปิงปองข้างๆ เอวของเขาพร้อมกับสวมถุงมือสีดำที่มือข้างซ้ายของเขา        ดูจากลักษณะจากการจับไม้แล้ว  แสดงว่าเขาเป็นคนถนัดซ้ายลักษณะการจับไม้ของเขาเป็นแบบธรรมดา                ส่วนวานั้นเมื่อยืนเข้าที่แล้วก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งดุท่าทางจะมีอายุน้อยกว่าเขาเล็กน้อยเดินเข้ามาหา
        “ นายมีไม้ปิงปองแล้วหรือยัง  ถ้าไม่มีละก็ยืมของเราได้นะ    รับรองใช้ได้ดีเลยทีเดียวละ ”
        “ ยังไม่มีหรอก  ขอบใจนะ  แล้วจะชนะให้ดู ”          วา ดุท่าทางมีความมั่นใจมากจากนั้นก็รับไม้ปิงปองมาจากนักเรียนหญิงคนนั้น    ซึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากส่งยิ้มให้     
        ท่าที่วาใช้จับไม้ปิงปองเป็นท่าการจับที่เหมือนกับพรีสไซ  เพียงแต่ว่าวาใช้มือขวาในการตีลูกเท่านั้นเอง 
        “ เอาละในเมื่อนายพร้อมแล้วละก็  เรามาเริ่มกันเลย กติกาการเล่นนายคงจะรู้อยู่แล้วนะ    เราจะแข่งกัน 21 ลูกโดยใครได้แต้มถึงก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะ  เอาละใครจะเป็นฝ่ายเสริฟ์ก่อนดีละ ” 
      “ เราให้เกรียตินายในฐานะเจ้าที่ละกัน  เสริฟ์มาก่อนได้เลย ”
      “ งั้นก็ไม่เกรงใจละนะ ” 
        พรีสไซเมื่อพูดจบก็ไม่รอช้า    เสริฟ์ออกมาในทันที  ความเร็วในการเสริฟ์นั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาทีเดียวเชียว  แต่วาก็รับมันได้พร้อมกับโต้กลับไปในทันที      ลูกที่วาตีกลับไปนั้นก็แรงไม่ใช่เลนเหมือนกัน    มันเร็วมากพร้อมกับหมุนอย่างแรง    ทำให้พรีสไซถึงกับรับมันไม่ทัน  ลูกกระเด็นออกไปค่อนข้างไกล 
        วา ยิ้มอย่างมั่นใจเล็กน้อย  ซึ่งทุกคนในห้องเมื่อเห็นดังนี้ต่างก็พากันเงียบไปตามๆ กัน    ส่วนโซเฟียนั้นยกนิ้วโป้งให้กับวา    มิว รู้สึกว่าจะหายกดดันไปนิดหน่อย        ส่วนเด็กผู้หญิงคนที่วาให้ยืมไม้ดูท่าทางมีอาการสนใจวาขึ้นมาบ้างเล็กน้อย     
        พรีสไซเดินไปเก็บลุกจากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับมาที่โต๊ะ  พร้อมกับหัวเราะเป็นการใหญ่
      “ เยี่ยม !  นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถโต้ลูกเสริฟ์ของเราได้  แต่จากนี้มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วนะ    เพราะเราจะเอาจริงละนะ ” 
      “ ได้เลยพวก ” 
      วา เตรียมตั้งท่ารับการเสริฟ์ครั้งต่อไปของพรีสไซ    ส่วนพรีสไซนั้นขยับแว่นอีกเล็กน้อยจากนั้นก็เริ่มเสริฟ์ออกไป
   
                                      _________________________________________
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น