คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #71 : บทเรียนที่ 65 รับถ่ายทอดยอดวิชา
บทเรียนที่ 65 รับถ่ายทอดยอดวิชา
หลังจากเหตุการณ์ต่างๆได้ผ่านพ้นไป ที่ห้องอาหารของปราสาท เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นเบต้า มิว และพวกพิชากิต่างก็บอกลาวากับโซเฟียและกล่าวให้กำลังใจ เนื่องจากผู้ที่มีสิทธิจะได้อยู่มีเพียงนักกีฬาที่เข้าแข่งการประลองเท่านั้น
“ สู้ๆนะเพื่อน โอ๊ยตื่นเต้นแทนจริงๆ แล้วพวกเราจะมาเชียร์แน่นอน ” มิวชูนิ้ว แต่เมื่อเห็นท่าทีของวีวี่ที่ดูเหมือนจะมองหาดีว่ามากกว่าสนใจตนก็เงียบลง
“ เธอเองก็อย่ายอมแพ้เขาละ พวกนั้นน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก็อย่าประมาทเชียวละ ” วีวี่ให้กำลังใจโซเฟีย
“ แหะๆ ขอบคุณนะจ๊ะ ”
“ เอาละพวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันรถโรงเรียนเอา ” เบต้ากล่าวราวหุ่นยนต์ที่คอยกำหนดตารางเวลา
พิชากิยิ้มให้กับวาและโซเฟียก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันไปขึ้นรถโรงเรียน
“ อ้าว นี่พวกนายยังไม่กลับกันอีกหรอ ” วาทำท่าประหลาดใจเมื่อพบเสือใบ้นิค และนีโอเพื่อนร่วมห้องของเขา
“ ไม่ละ นายคงไม่รู้สินะว่าพวกเราลงแข่งตอบปัญหาทางคณิตศาสตร์ระหว่างสถาบัน ” นีโอหัวเราะ ส่วนเสือใบ้นิคยิ้มเล็กน้อย “ คงเพราะไม่ค่อยได้เจอกันเลยไม่ได้บอกนายไว้ก่อน ”
“ แต่ถ้านายยังไม่กลับงั้นก็แสดงว่า
. ” วาทำท่าดีใจ “ นายสองคนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศแล้วใช่ไหม ”
“ ก็ทำนองนั้นแหละ ” นีโอยิ้ม ความสามารถของนีโอไม่เป็นที่แปลกใจของวาเลยว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งโรงเรียนอื่นได้ แต่ที่น่าแปลกใจคคือเสือใบ้นิคซึ่งวาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเก่งในด้านนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยได้ยินคำพูดจากปากของเสือใบ้นิคเลยสักครั้ง
“ ถ้ามีเวลาก็ไว้ไปเชียร์พวกเราด้วยละกัน แต่คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาแข่งของพวกเราชนกันพอดี ” นีโอกล่าว
“ จริงหรอ ” วาทำท่าสนใจ “ ว่าแต่ตารางแข่งวันสุดท้ายออกแล้วหรอ ”
“ อืม โน่นแนะเพื่อนนายคงกำลังจะมาบอกแล้ว งั้นพวกเราขอตัวไปปรึกษาเรื่องการแข่งก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน ” ว่าแล้วนีโอกับเสือใบ้นิคก็เดินจากไป สมแล้วจริงๆที่นีโออยู่ชมรมผู้รอบรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็รู้ไปเสียหมดจริงๆ วาสงสัยว่าจะมีใครเอาชนะนีโอในรอบชิงชนะเลิศได้กัน
“ หาตัวแทบแย่ที่แท้ก็มาอยู่นี่เอง ” พรีสไซฉีกยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มปลอมชอบกล ส่วนโซลีนก็วางมาดขรึมเหมือนเช่นเคย ที่แต่ทำให้วาแทบช๊อคนั่นก็คือ ชายร่างท้วมจนเรียกได้ว่าอ้วนที่เดินตามมาด้านหลังของทั้งสองคนนั่นมากกว่า ที่บนหัวของชายร่างอ้วนผิวดำที่ดูคล้ายฮิปโปตัวเบิ่มใส่ไว้ด้วยแว่นตากันน้ำที่ดูยังไงก็น่าจะเพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำหมาดๆ
“ นี่แหละครับอาจารย์ นักกีฬาตัวจริงอีกคนหนึ่งของเรา ” พรีสไซชี้นิ้วไปยังวา โดยไม่สนใจอาการตกใจของวาแม้แต่น้อย
“ อืม หน่วยก้านไม่เลวนี่ ” ฮิปโปยักษ์อ้าปากขึ้น
ก่อนที่วาจะเอ่ยปากถาม พรีสไซก็ชิงพูดก่อนตามสูตร
“ ขอแนะนำให้รู้จักนี่คือ อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชมรมของเรา อาจารย์พาทัม ”
“ สวัสดีครับ ” วาก้มหัวทำความเคารพ ส่วนโซเฟียก้มหัวยิ้มแหยงๆ
“ ผมได้เห็นการแข่งของคุณเมื่อเช้าแล้วละ เยี่ยมมากกู้ดจ๊อบ (good job) !!! ” ฮิปโปยักษ์ หรืออาจารย์พาทัมชูนิ้วอวบอิ่มให้
“ ขอบคุณครับ ” วารีบกล่าว
“ แต่ว่าเรารีบมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ” จู่ๆอาจารย์พาทัมก็ตัดบทขึ้นมาซะงั้น “ กติกาและตารางการแข่งปิงปองในรอบชิงชนะเลิศออกมาแล้ว เธอคงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าเราต้องเจอกับทีมอะไร ”
วาพยักหน้า
“ ดีมาก แฟนแทสติก (fantastic) ! เราจะต้องแข่งกับเอสมอนเต้ในรอบเก้าโมงเช้า ซึ่งกติกาการแข่งจะแบ่งออกเป็นการแข่งประเภทเดี่ยวยี่สิบเอ็ดลูกหนึ่งเซท และประเภทคู่สิบเอ็ดลูกสามเซท ” อาจารย์พาทัมเว้นช่วงหายใจจากนั้นกล่าวต่อ “ ซึ่งผมคิดว่าคนที่จะลงแข่งคู่ควรจะเป็นเธอกับพรีสไซนะ ”
คำพูดนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขามาก เพราะวาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องมาลงแข่งคู่ในรอบชิงชนะเลิศ
“ ส่วนมือเดี่ยวก็จะให้เป็นโซลีนประธานชมรมของพวกคุณนะ ”
วาอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าจะพิจารณาตามความเป็นจริงแล้วก็สมเหตุสมผลอยู่ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าจะเล่นคู่กับพรีสไซได้ หรือว่าลึกๆเขาอยากจะแข่งกับครอสในประเภทเดี่ยวกันแน่นะ
“ แต่ผมว่าน่าจะให้ผมกับพรีสไซคู่กันมากกว่านะครับ ” โซลีนพูด
“ ทำไมละวาย (why) ?” พาทัมทำท่าประหลาดใจ พุ่งกระเพื่อมเล็กน้อย
“ เพราะคนที่จะเล่นคู่กับพรีสไซได้ดีที่สุดมีเพียงแค่ผมเท่านั้น ” โซลีนกล่าวหนักแน่น “ อีกอย่างถ้าไม่ได้อัดพวกนั้นสักตั้งก็คงจะไม่สาแกใจว่าไหม ”
พรีสไซยิ้มรับ
“ ถ้าอย่างนั้นการแข่งในประเภทเดียวละ หรือว่าคุณจะลงทั้งสองรายการเลย ” พาทัมถาม
แต่โซลีนส่ายหน้า
“ ประเภทเดี่ยวนั้นผมขอให้วาเป็นคนแข่งได้ไหมครับ ”
ไม่ทราบว่าโซลีนอ่านใจวาออกหรือเพราะอะไรแต่วาก็แอบขอบคุณลึกๆ
“ แต่ถ้าพูดกันเรื่องฝีมือแล้ว คุณน่าจะเป็นคนลงแข่งประเภทเดี่ยวมากกว่านะ ” พาทัมแย้ง “ ขอโทษนะ ผมไม่ได้จะดูถูกอะไร แต่เท่าที่สังเกตมาโซลีนน่าจะเหนือกว่าอยู่นะ ”
“ แต่คนที่ชนะวิสด้อมมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ ” โซลีนกล่าว
ด้วยความหนักแน่น ประกอบกับคำพูดจากประธานชมรม ทำให้พาทัมไม่กล้าไม่ยอมรับ
“ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขอเชื่อในการตัดสินใจของคุณก็แล้วกัน เพราะคนที่ทำให้ทีมมาถึงจุดนี้ได้ก็คือพวกคุณ ” พาทัมฉีกยิ้ม จากนั้นดันแว่นตากันน้ำเข้ามาใส่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม “ แล้วผมจะรอดูการแข่งในรอบชิงของพวกคุณก็แล้วกัน พยายามกันให้เต็มที่ ขอให้พวกคุณโชคดี ”
“ ขอบคุณมากครับอาจารย์ อาจารย์ก็เช่นกันครับ ถ้าไม่มีอาจารย์พวกผมก็คงมาไม่ได้ถึงจุดนี้หรอกครับ ” โซลีนโค้ง ส่วนที่บอกว่ามาไม่ถึงจุดนี้ได้นี่วาไม่แน่ใจว่าหมายถึงแรงใจหรือ ลูกฮิปโปไดร์ฟที่พรีสไซไปขโมยฝึกมากันแน่
พาทัมชูมือให้แล้วเดินผ่านกลุ่มนักเรียนที่เริ่มทยอยกันเข้ามาในห้องอาหารไป นักเรียนหลายคนที่เดินเฉียดกับพาทัมแสดงอาการตกใจที่เห็นฮิปโปยักษ์สวมแว่นตากันน้ำเดินเข้ามาให้ห้องอาหาร โดยเฉพาะนักเรียนหญิงจะแสดงท่าทีหวาดกลัวเป็นพิเศษ
“ อาจารย์แกเพิ่งบินกลับมาจากการแข่งว่ายน้ำที่ต่างประเทศน่ะ ” พรีสไซเสริมให้วาหายสงสัย “ ความจริงก็ยังแข่งไม่เสร็จหรอก แต่แกบอกว่าอดใจไม่ไหวเมื่อได้ข่าวว่าพวกเราแข่งมาจนถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว เลยรีบบินกลับมาดู ดูเสร็จแล้วก็คงจะรีบกลับไปแข่งต่อน่ะ เจ๋งไหมละ ”
หากไม่ได้ยินจากปากของพรีสไซวาย่อมไม่รู้เลยว่า อาจารย์ประจำชมรมปิงปองที่คล้ายฮิปโปยักษ์ผู้นี้จะมีสปิริตที่แรงกล้าขนาดนี้ แต่ที่รู้สึกขัดใจวาอย่างมากก็คือ ทำไมอาจารย์ชมรมปิงปองถึงไปแข่งว่ายน้ำได้นะ โรงเรียนนี้ยังมีอะไรที่แปลกมากกว่าโจรสลัดเฝ้าประตูโรงเรียนจริงๆให้ตายสิ
“ ขอบคุณมากครับที่ให้ผมลงตัวจริงประเภทเดี่ยว แต่ว่าถ้ารุ่นพี่จะแข่งผมก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ ” วากล่าว
โซลีนส่ายหน้า
“ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ ถ้านายยืนยันว่าอยากจะแข่งกับเจ้าหมอนั่นให้ได้ เคยได้ยินคำพูดนี้ไหมว่าแม้ชัยชนะจะสำคัญ แต่ความรู้สึกของเพื่อนร่วมทีมนั้นสำคัญกว่า แต่นอกเหนือจากนั้นก็คือ ชั้นเชื่อในฝีมือของนาย ”
คำพูดของโซลีนทำให้วารู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก วารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวของโซลีนที่คล้ายคลึงกับไซโคร แนชและนั่นคงจะเป็นเรื่องของความเป็นผู้นำกระมัง
“ ทีนี้ปัญหาก็คือ ” โซลีนหันมาพูดจริงจัง “ การแข่งประลองอาวุธในรอบสุดท้ายกับการแข่งปิงปองเป็นการแข่งในช่วงเวลาเดียวกันน่ะสิ เธอจะเลือกอะไรละ ”
“ เรื่องนั้น
. ” วาหันมามองโซเฟีย
“ แหะๆไม่เห็นต้องคิดเรื่อง ” โซเฟียตบไหล่วา “ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าคนที่ฝีมืออ่อนที่สุดก็คือ คุณเด๋อนี่ เพราะฉะนั้นไปเอาดีด้านปิงปองเถอะ แล้วก็นะจะได้จับการปัญหาที่มันคาใจไปด้วยไง ”
แม้โซเฟียจะแหย่เช่นนั้นแต่วาก็รู้สึกขอบคุณเธอโดยไม่รู้สึกว่านั่นเป็นการกวนเลย
“ ถ้าอย่างนั้นตัวจริงที่จะลงแข่งประเภทเดี่ยวในวันมะรืนขอให้เป็นหน้าที่ของผมเองก็แล้วกัน ”
“ มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะคึกคักขึ้นมาหน่อย ” โซเฟียหัวเราะ ส่วนพรีสไซยิ้มมุมปากชอบใจ แต่ดูยังไงก็เหมือนคนโรคจิตอยู่ดี
“ เอาละ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ ถ้าจะเปลี่ยนใจยังไงก็รีบบอกล่วงหน้าละ หลังทานข้าวเสร็จก็เจอกันที่ห้องซ้อมนะ ”
โซลีนบอกจากนั้นแยกตัวไปกินข้าวกับพรีสไซ
วากับโซเฟียนั่งกินข้าวกันไปได้สักพักก็พบกับดีว่าที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางอิดโรยเล็กน้อย
“ ดีว่าๆ ทางนี้ๆ มานั่งก่อนสิ ” โซเฟียกวักมือเรียก
ดีว่ายิ้มรับ แม้จะดูอิดโรยแต่ในแววตาแฝงความมุ่งมั่นเป็นพิเศษ ซึ่งวาสามารถสังเกตได้
“ โทษทีนะครับ พอดีไปดูอาการของคุณซากุระกับตารางการแข่งมานะครับ ”
“ หรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม ” โซเฟียถาม
“ อาการภายนอกไม่เป็นอะไรมาก แต่อาการบอบช้ำภายในนี่สิครับ ใช่เล่นเลยละ ”
“ ก็น่าจะหนักอยู่นะ เพราะดูฝ่ายนั้นใส่ไม่ยั้งเลย ” วาเสริม ยังจำความสยองของกระบวนท่าที่รูเกียร์ใช้ออกได้
ดีว่าที่ได้ยินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ถามถึงไซโคร แนช
“ ว่าแต่เจอรุ่นพี่แนชบ้างไหมครับ ”
“ ไม่เลย เพราะพวกเราก็เพิ่งมา ก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน ” โซเฟียกล่าว
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นั่งรอไซโคร แนชว่าจะโผล่มาทานอาหารเย็นหรือไม่แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววจนดีว่าตัดสินใจว่าจะแยกตัวไปฝึกวิชาก่อน
อีกด้านหนึ่งของปราสาท บริเวณมุมมืดที่เกิดการปะทะกันอย่างลับๆของเจ้าชายกับยมทูต ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น แต่ด้วยความหนาวเย็นของอากาศภายนอกทำให้ร่างนั้นถูกปลุกขึ้น
เจ้าของร่างนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไซโคร แนชที่ทุกคนกำลังตามหาอยู่นั่นเอง การปะทะกันเมื่อสักครู่ทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นความกลัวเข้าครอบงำจิตใจจนมารู้ตัวอีกทีตนเองก็ล้มหลับลงไปเป็นเวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่สิ่งที่ไซโคร แนชยังคงรู้สึกก็คือ ความน่าสะพรึงกลัวของชายชุดดำปริศนานั่น ความสิ้นหวังที่ถาโถมเข้ามาสมองของเขาเหมือนเช่นครั้งที่เขาไม่สามารถปกป้องเจ้าหญิงได้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่หยุดสิ้น
จากความเหนื่อยล้าก่อเกิดเป็นความไม่มั่นใจ จากความไม่มั่นใจก่อเกิดเป็นความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่าง จนในตอนนี้จิตใต้สำนึกของไซโคร แนชติดได้เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
‘ ไม่ ไม่มีทางสู้ได้ ไม่มีทางปกป้องใครได้ สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันไร้ค่า ’
‘ หนี ! ต้องรีบหนี หนีไปให้ไกลที่สุด ’
ว่าแล้วไซโคร แนชก็ออกตัววิ่งไปอย่างไร้สติ ทิ้งดาบคู่กางเขนประจำกายไว้อย่างไม่แยแส สภาพในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับคนจอนจัด ทิ้งคราบของพาลาดินไปหมดสิ้น
ยังพอมีหนทางที่จะทำให้เจ้าชายได้พบกับเจ้าหญิงเหลืออยู่หรือไม่ คนที่จะตอบคำถามนี้ได้คงมีแค่ร่างที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปด้วยความกลัวเท่านั้น
ทางด้านดีว่าหลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็รีบจัดแจงเก็บข้าวของหอบเทพกระบี่ประกายแสงออกไปด้านนอกปราสาทที่ได้ทำการนัดหมายกับผู้อาวุโสเสี่ยงไว้
เดินมาระยะหนึ่งจนกระทั่งถึงบริเวณหลังกระท่อมที่เป็นที่ตั้งของชมรมอัศวินโรงเรียนไอแซก แม้หิมะจะยังคงตกอยู่แต่ก็ไม่มากนัก จึงไม่ทำให้หนาวแต่อย่างใด ขณะที่จิตใจดีว่ากำลังร้อนรนอยู่นั้นก็ปรากฏเงาของชายชราร่างท้วมขึ้น จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้อาวุโสเสี่ยงนั่นเอง
ดีว่าทำการเคารพหนึ่งครั้ง ส่วนอาวุโสเสี่ยงทำท่ารับ จากนั้นเดินนำดีว่าไปยังโขดหินใหญ่พร้อมทรุดนั่งลง
“ ไม่ทราบว่าวันนี้จะสอนเพลงกระบี่อะไรให้ผมหรือครับ ” ดีว่าชิงถาม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากฝึกเพิ่มเมื่อตระหนักถึงความอ่อนด้อยในฝีมือของตน
“ ฮ่าๆ ” ผู้อาวุโสเพียงหัวเราะ “ นั่งลงก่อนเถอะเจ้าหนู ”
จากนั้นชี้นิ้วไปยังพระจันทร์ที่อยู่เบื้องหน้า ดีว่าพอมองตามก็พบว่าดวงจันทร์ในคืนนี้สว่างชัดนัก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะ ณ ขณะนี้ไม่มีเมฆบดบังหรือเพราะเขาไม่เคยตั้งใจจะสังเกตกันแน่
“ วันนี้วิชาที่ข้าจะสอนเจ้าก็คือ การชมจันทร์ยังไงละ ”
ดีว่าตะลึงในสิ่งที่ได้ยิน ชมจันทร์อย่างนั้นหรือแล้วมันเกี่ยวกับวิชาอย่างไรกัน แต่ผู้อาวุโสเสี่ยงราวกับอ่านความคิดของดีว่าได้ จึงกล่าวต่อ
“ หากมิอาจชมจันทร์ที่สวยงามเช่นนี้ได้ด้วยความสุขใจแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการฝึกกระบี่อะไรกันได้อีก ”
จากนั้นผู้อาวุโสไม่ว่ากล่าวอะไรอีก นั่งชมจันทร์ด้วยความอิ่มเอมทิ้งดีว่าที่จิตใจร้อนรนนั่งมองตามด้วยความสงสัย ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงจิตใจของดีว่าที่เคยร้อนรนเมื่อได้นั่งชมจันทร์ก็เริ่มสงบลงทีละนิดๆ
จนกระทั่งหนึ่งชั่วโมงผ่านไปดีว่ารู้สึกว่าตนเองสงบนิ่งได้แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“ ผมเข้าใจแล้วครับ ”
“ เข้าใจอะไรรึ ” ผู้อาวุโสยิ้ม
“ ดวงจันทร์นั้นเปรียบเสมือนจิตใจของคน เมื่อใดที่ถูกเมฆบดบังแม้ตัวมันเองจะมีแสงสว่างแค่ไหนก็ไม่อาจฉายแสงแห่งความงดงามออกมาได้ ได้แต่รอเวลาให้เมฆหมอกคืบคลานหายไปจันทร์จึงกระจ่างเฉกเช่นจิตใจคน ถูกไหมครับ ”
“ ไม่เลวๆ ” ผู้อาวุโสลูบเคราขาวโผลน จากนั้นตวัดเทพกระบี่ประกายแสงที่ไม่ทราบหยิบฉวยจากดีว่ามาตั้งแต่เมื่อใดขึ้น “ ครั้งกระโน้นอาจารย์ของอาจารย์แตกฉานถึงหลักกระบี่ บัญญัติเพลงกระบี่มากมาย ทั้งยังมีพลังลมปราณลึกล้ำ ทว่าเมื่อพบเจอศัตรูคู่อริด้วยความคับแค้นมิอาจบังคับจิตให้สงบนิ่งได้ ถึงกับต้องผ่ายแพ้และตรอมใจจนเกือบคิดจบชีวิตตนเองในที่สุด ”
ผู้อาวุโสผลันลุกขึ้นจากนั้นร่ายรำเพลงกระบี่
“ ขณะที่ท่านกำลังหมดสิ้นหนทางก็พลันแหงนมองดวงจันทร์ จากนั้นราวกับปาฏิหาริย์จู่ๆท่านก็ฉุกคิดได้ขึ้นมาเช่นเจ้านั่นเอง ความสุขในโลกหล้าล้วนไม่จีรัง ยึดติดรังแต่จะทำให้เจ็บปวด แพ้ชนะแม้สำคัญ แต่ชีวิตคนเทียบกับฟ้าแล้ว สั้นราวฝันตื่นหนึ่งใยต้องยึดติด เมื่อละทิ้งได้ซึ้งทุกสิ่งท่านจึงได้บัญญัติสุดยอดเพลงกระบี่ขึ้นมา ”
จากนั้นท่ากระบี่ของผู้อาวุโสเร่งรัดขึ้น ดูไปมาไม่คล้ายเป็นเพลงกระบี่เสียด้วยซ้ำ ดีว่ายอมรับว่าตนเองก็เคยร่ำเรียนเพลงกระบี่มาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ชุดไหนเป็นเช่นนี้มาก่อน นั่นเพราะนี่แทบไม่มีรูปลักษณ์หรือกระบวนท่าที่สอดคล้องกันเลยแม้แต่น้อย ดูไปคล้ายการแทงกระบี่ของมือสมัครเล่นเสียด้วยซ้ำ แล้วจะนับว่าเป็นสุดยอดเพลงกระบี่ได้อย่างไร
“ นามนั้นคือ ชมจันทร์ !!! ”
จากนั้นกระบี่ชี้ตรงปลายกระบี่สั่นไหวไม่หยุด ในท่าหยุดแฝงความน่าเกรงขามสะกดให้ดีว่าที่แม้ยังไม่ยอมรับแต่ก็ไม่กล้าดูแคลนขึ้นมา
ผู้อาวุโสเสี่ยงโยนเทพกระบี่ประกายแสงในมือให้ดีว่า จากนั้นเดินไปหักกิ่งไม้ขึ้น
“ เจ้าลองใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดจู่โจมเข้ามาหาข้าดูสิ หากสามารถรุกได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวถือว่าเจ้าชนะ ”
ดีว่าคำนับคราหนึ่งจากนั้นตั้งท่ากระบี่ เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสบอกให้โจมตีเข้ามา แต่น่าประหลาดตรงที่ไร้ซึ่งความกดดันอย่างสิ้นเชิง
พริบตานั้นดีว่าอาศัยความรวดเร็วใช้ออกด้วยท่ากระบี่พายุพุ่งแทงใส่ผู้อาวุโส จุดเด่นของกระบี่ชุดนี้คือใช้ออกด้วยท่าเริ่มที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับโจมตีโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัว แต่มิคาดขณะที่กระบี่กำลังจะถึงตัวผู้อาวุโสจู่ๆกิ่งไม้ที่ไม่ทราบถูกใช้ออกเมื่อใดกลับจ่อถึงคอหอยดีว่าแล้ว ความรวดเร็วนี้นับว่าน่าตื่นตระหนกถึงขีดสุด เพราะนี่คือขั้นใช้ออกหลังบรรลุขึ้นก่อน หากเปลี่ยนกิ่งไม้เป็นกระบี่ดีว่าไม่แน่ว่าอาจจะจบชีวิตลงไปแล้ว
“ ไหนลองอีกทีสิ ” ผู้อาวุโสยิ้ม
คราวนี้ดีว่าตัดสินใจเปลี่ยนแผนเป็นใช้ปราณกระบี่ไร้เงาหลอกล่อจู่โจมไปก่อน จากนั้นใช้กระบี่ฟันเฉียงใส่ขาของผู้อาวุโส แต่ลมปราณราวกับสายลมหอบหนึ่งพัดลมผู้อาวุโสไป ทั้งๆที่ดีว่าก็ใช้พลังลมปราณออกไปไม่น้อย ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือ เมื่อกระบี่ฟันออกกิ่งไม้ก็เข้ามาผัวพัน หมุนควงรอบกระบี่พร้อมแทงสวนกลับหาดีว่าทำให้เขาต้องรีบรั้งกระบวนท่ากลับมาตั้งรับในบัดดล แต่ดีว่าก็ไม่ยอมแพ้เมื่อตั้งรับได้ก็ตระเตรียมรุกคืบอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มพลังลมปราณเข้าไปอีกเท่าตัว แต่ก็ไร้ผลเมื่อจู่โจมใส่กิ่งไม้ กิ่งไม้เพียงสั่นไหวไปตามแรงลมจากนั้นก็ผัวพันและแทงสวน บ้างก็ปัดป่ายทำเอาดีว่ามือไม้ปั่นป่วนจากรุกกลายเป็นรับ จากรับกลายเป็นกระอักกระอวนจนกระทั่งพลาดท่าในที่สุด
“ ยอมแล้วครับ ”
ดีว่าแม้จะยอมรับว่าไม่ว่าตนจะใช้กระบวนท่าหรือพลังลมปราณแบบไหนก็ไม่อาจรุกผู้อาวุโสได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แต่นั่นเป็นเพราะตนเองฝีมือไม่ถึงเอง หากเปลี่ยนเป็นรูเกียร์ที่บรรลุถึงขั้นใช้จิตคุมกระบี่ด้วยกิ่งไม้เพียงแค่นี้หรือจะต้านรับได้
“ ฮ่าๆ ดูเหมือนเจ้าคงยังไม่เชื่อในวิชากระบี่นี้สินะ ถ้าอย่างนั้นการฝึกในวันนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้ จงนั่งชมจันทร์ต่ออีกสักหนึ่งชั่วยามแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที ”
ว่าแล้วผู้อาวุโสเสี่ยงก็จากไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งดีว่าไว้กับความสงสัยเช่นเดิม เพียงแต่คราวนี้เขารู้สึกสับสนกว่าเก่า ไม่ว่าจะนั่งชมจันทร์อีกสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่คิดว่าจิตใจจะสงบได้โดยง่าย
ทางด้านโซเฟียหลังจากแยกกับวาก็เข้านอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้า เธอจะต้องเก็บแรงให้พร้อมที่สุดเพราะพรุ่งนี้ซาซาไรมีนัดฝึกกับเธอตั้งแต่เช้า
เช้าวันรุ่งขึ้นโซเฟียตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใสจากนั้นรีบอาบน้ำ แต่งตัวและลงไปทานอาหารเช้า อากาศในยามเช้าหนาวกว่าปกติเล็กน้อย แต่เธอกลับรู้สึกคึกคักแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเสร็จภารกิจเธอก็ตรงไปยังสถานที่ซึ่งนัดกับซาซาไรไว้นั่นก็คือ สนามประลองนั่นเอง
เป็นที่น่าแปลกเมื่อเปิดประตูเข้ามากลับไม่พบใครเลยแต่แม้คนเดียว เพราะอย่างน้อยก็น่าจะมีทีมโรงเรียนคู่แข่งอย่างไกเซอร์ด้อมมาซ้อมอาวุธอยู่บ้าง หรือเป็นเพราะเธอมาเช้าเกินไปกันแน่ แต่เวลาเก้าโมงก็ไม่น่าจะเรียกว่าเช้าเกินไปกระมัง
‘ ปัง ! ’
จู่ๆ ประตูหินของปราสาทก็ถูกปิดลง จากนั้นห้องทั้งห้องกลายเป็นมืดมิดถึงขั้นแค่ยื่นมือไปข้างหน้ายังไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง ขณะกำลังประหลาดใจอยู่นั้นไฟรอบๆเวทีหินทรงกลมก็ถูกขุดขึ้นเรียงกันจนครบ พร้อมกับควันขโมงที่บริเวณกลางเวที ก่อนที่ควันจะค่อยๆหายไปเหลือแต่ร่างของชายนักมายากลหน้าตาคมคายไว้
ซาซาไรอาจารย์ประจำชมรมนักมายากล และหนึ่งในอาจารย์ผู้ดูแลการประลองของโรงเรียนอับดุลอินเตอร์ปรากฏกายแล้ว
ความจริงโซเฟียอยากจะปรบมือให้ แต่ซาซาไรชิงกล่าวก่อน
“ ยินดีต้อนรับครับคุณโซเฟีย นับว่าตรงเวลาไม่เลว ไม่เสียชื่อที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนและความหวังของโรงเรียนจริงๆ ”
“ แหะๆ ขอบคุณคะ ”
“ มานี่สิครับ ” ซาซาไรกวักมือเรียก โซเฟียเดินช้าๆขึ้นไปยังเวที คำถามหลายอย่างผ่านเข้ามาในหัวของเธอแต่ต้องเก็บไว้ก่อน เพราะเธอกับซาซาไรอาจจะนิสัยคล้ายๆกันก็คือ ชอบแกล้งคน
ขณะที่กำลังรอซาซาไรเอ่ยปากขึ้น เธอก็ได้ยินเสียงลมแหวกอากาศ และด้วยสัญชาติญาณส่วนตัว เธอรีบชักดาบเพลิงอัคคีฟันใส่ต้นเสียงนั้น
‘ เกร๊ง ’
ดาวกระจายพลาสติกร่วงหล่นลงกับพื้น จากนั้นร่างของชายกับเด็กหนุ่มในชุดนินจาก็โผล่มาจากเงามืด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือ อาจารย์ชไนเดอร์ผู้น่าเกรงขามและลูกศิษย์สุดแสบก๊อบคู่ปรับเก่าของวานั่นเอง
“ ปฏิกิริยาตอบสนองไม่เลวนิ แต่หากเปลี่ยนเป็นดาวกระจายเหล็กก็คงจะเสร็จไปแล้ว ” อาจารย์ชไนเดอร์กล่าวอย่างเย็นชา เล่นเอาโซเฟียหัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว
“ ทักทายกันแรงเหมือนเคยนะครับ ” ซาซาไรกล่าวช่วยคลี่คลายบรรยากาศมาคุ “ เอาละครับ วันนี้ที่เราจะติว ไม่สิต้องเรียกว่าซ้อมก่อนการแข่งให้กับเธอก็คือ ให้เธอได้ลองซ้อมมือในเวทีจริง และแบบสมจริง เพราะการประลองในวันพรุ่งนี้จะเป็นการต่อสู้ในความมืด โดยมีเพียงแสงไฟรอบๆเวทีเป็นตัวช่วยเท่านั้น เพราะทางเจ้าภาพอยากให้รอบชิงชนะเลิศสมกับเป็นการแข่งในยุคอัศวินสมชื่อโรงเรียนเขายังไงละครับ น่าสนใจใช่ไหมครับ ”
“ คะ ” โซเฟียยิ้มทำราวกับไม่เห็นสายตาเย็นชาของสองศิษย์อาจารย์ชมรมนินจา
“ วิเคราะห์ตามสภาพการณ์คนที่คุณน่าจะเจอในการแข่งน่าจะมีเพียงคนเดียวก็คือ ซิลเวียร์ และก็น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกันเลยละครับ ”
เมื่อได้ยินชื่อซิลเวียร์โซเฟียก็ต้องอุทานขึ้นมา เพราะเธอลืมเสียสนิทเรื่องที่สัญญาว่าจะไปดูการแข่ง ซ้ำซาซาไรยังอยากให้เธอสู้กับซืลเวียร์ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ จะให้เธอไปสู้กับผู้หญิงตัวเล็กๆที่นับถือเธอเป็นรุ่นแบบนั้นได้อย่างไรกัน
“ ฮ่าๆ คงจะแปลกใจสินะครับ แต่เห็นอย่างนั้นก็เถอะครับ เธอเป็นถึงหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันหญิงที่น่าจะเก่งที่สุดของการแข่งครั้งนี้เลยนะครับ ”
นั่นยิ่งทำให้โซเฟียต้องประหลาดใจใหญ่ หากซิลเวียร์เป็นผู้หญิงร่างโตท่าทางบึกบึนก็ว่าไปอย่าง แต่เธอก็ไม่ได้นึกประมาทแต่อย่างใด เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าซืลเวียร์สักเท่าไหร่
“ เข้าเรื่องได้แล้วละมั้ง ” มาสเตอร์ชไนเดอร์เร่ง “ เรายืมห้องประลองได้แค่ถึงเที่ยงเท่านั้นนะ ”
“ โอเคครับ ” ซาซาไรยิ้ม “ ถึงตอนนี้คุณก็คงพอจะควบคุมดาบเพลิงอัคคีได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าคุณจะทำอย่างไร หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ! ”
พริบตานั้นซาซาไรโบกมือวูบ ไฟทั้งลานประลองก็ดับลง เหลือเพียงแต่ความมืดมิด จากนั้นดาวกระจายเกือบสิบก็ซัดใส่ร่างของโซเฟีย
‘ ฉึกๆ ’
แม้จะเป็นดาวกระจายพลาสติกแต่ก็เจ็บใช่เล่น โซเฟียไม่คิดมากอีกต่อไปเขี่ยดาบเพลิงอัคคีกับพื้นทันที ทันใดนั้นประกายไฟลุกโชน แต่แสงสว่างจากดาบเพลิงอัคคีเพียงพอให้เห็นแค่บริเวณรอบตัวของเธอเท่านั้น
ดาวกระจายยังคงซัดอย่างต่อเนื่อง โซเฟียหมุนตัวไปมาตวัดดาบคุมครองกาย ไม่นานนักก็สามารถปัดดาวกระจายได้หมดสิ้น ทว่าขณะกำลังตั้งท่าอยู่นั้นร่างก็รู้สึกเบาหวิวขึ้นมา ไม่ทราบที่ด้านหลังปรากฏเงาของมาสเตอร์ชไนเดอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวอีกทีเธอก็ถูกจับล็อคยกตัวขึ้นเรียบร้อย
‘ ฟึ่บ ’
แสงไฟกลับมาอีกครั้ง มาสเตอร์ไนเดอร์ก็ปล่อยตัวเธอลง พริบตานั้นเธอเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าหากเปลี่ยนเป็นการประลองจริงๆ เธอก็คงจะแพ้ไปแล้วด้วยการฟันเพียงดาบเดียว
“ คงจะเข้าใจแล้วสินะครับ แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปเพราะผมมีของเล่นชิ้นใหม่จะมอบให้กับคุณเอาไว้รับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เช่นกัน เพียงแต่จะใช้ได้ทันหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของคุณแล้วละครับ ”
ซาซาไรกล่าว จากนั้นโบกผ้าคลุมสีแดงขึ้นก็ปรากฏดาบลักษณะแตกต่างกันหกเล่มขึ้นมา
“ ผมขอขนานนามดาบทั้งหกเล่มที่เมื่อรวมกับดาบเพลิงอัคคีของคุณแล้วจะกลายเป็นเจ็ดเล่มชุดนี้ว่า เซเว่นเฮเว่น (Seven Heaven) !!! ”
วันรุ่งขึ้นดีว่ารุดไปยังบริเวณด้านหลังกระท่อนชมรมอัศวินอีกเช่นเคย คราวนี้เป็นยามเช้าจึงมองไม่เห็นพระจันทร์อีก อย่าว่าแต่พระจันทร์แม้แต่ร่องรอยของผู้อาวุโสเสี่ยงก็หาไม่พบ ดีว่าไม่ทราบจะหาผู้อาวุโสได้จากที่ใด เพราะท่านจากไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่บอกกล่าวใดๆ เขาเพียงหวังว่าอย่างน้อยคืนนี้หรือวันนี้ท่านจะมาช่วยสอนวิชาที่จะเอาชนะรูเกียร์ได้บ้าง
ความกังวลของดีว่าไม่ใช่แค่กลัวว่าจะผ่ายแพ้ให้กับรูเกียร์ แต่การที่ไซโคร แนชหายตัวไปอย่างไม่บอกกล่าวก็น่ากังวลไม่น้อย แม้เขาจะรู้ว่าปกติไซโคร แนชเป็นคนที่เชื่อใจได้ก็ตาม แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรครั้งนี้เขากลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักหนึ่ง เมื่อรู้ว่าคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาดีว่าก็เริ่มทบทวนเพลงกระบี่ของตน เขาทราบว่าพลังลมปราณของตนยังไม่หายดี และต่อให้หายดีก็ไม่อาจเปรียบได้กับพลังลมปราณอันมหาศาลของรูเกียร์ ดังนั้นตั้งใจทบทวนท่ากระบี่อย่างใจจดใจจ่อ ดีว่าฝึกซ้อมตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนรู้สึกจิตใจกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เมื่อม่านวิกาลเริ่มมืดลงร่างของผู้อาวุโสเสี่ยงก็ปรากฏกายขึ้น
“ ไม่เลว จิตของเจ้าในตอนนี้คงจะนิ่งและคิดได้แล้วกระมัง ”
ผู้อาวุโสเสี่ยงกล่าวราวกับเฝ้าจับตาดูการฝึกฝนของดีว่าอยู่ตลอดเวลา
“ ได้คิดแล้วครับ ” ดีว่าตอบ นึกดีใจที่ผู้อาวุโสกำลังจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้
“ ดีมาก งั้นจงลืมกระบวนท่าที่ร่ำเรียนมา และการโคจรลมปราณให้หมดสิ้นภายในคืนนี้ซะ ! ”
ทางด้านวาหลังจากฝึกซ้อมอย่างหนักเมื่อคืนโดยมีทั้งลมดำ วิสด้อมมาเป็นผู้ช่วยซ้อมให้ ส่วนพรีสไซกับโซลีนก็ได้รับการช่วยเหลือจากเอจิสและมุซาชิในการซ้อมคู่ จนทั้งหมดตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ซ้อมแล้ว นอกจากทำใจให้สงบและวอร์มอีกเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นวันนี้วาจึงมีเวลาว่างมากกว่าทุกคน
สิ่งแรกที่วาเป็นห่วงแม้จะไม่ใช่การหายไปอย่างไร้ร่องรอยของไซโคร แนชแต่ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ ทั้งยังท่าทางร้อนรนของดีว่าอีก หากเขาไม่ต้องแข่งปิงปองในเวลาเดียวกันก็คงจะดี นึกแล้วอยากต่อว่าคนจัดตารางแข่งเสียจริงๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาเป็นคนที่ลงสองรายการควบเอง ซึ่งกฎได้ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าสามารถลงแข่งพร้อมกันได้หลายรายการ แต่ในกรณีที่มีการแข่งชนกันทางผู้จัดไม่สามารถรับผิดชอบได้ในเรื่องนี้ เพราะมีการแข่งค่อนข้างมาก และตารางเวลาที่วุ่นวายพอสมควร
แสงแดดยามเช้าทอประกายผ่านกระจกลายโบราณของสองข้างทางเป็นภาพที่สวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อ ขณะกำลังเดินทอดน่องอยู่นั้นวาก็พบเจอกับบางสิ่งที่เขาเองก็ไม่ทราบว่าอยากเจอหรือไม่ นั่นก็คือ สโนว์ที่เดินมาทางเขาพอดี ทั้งคู่สบตากันโดยบังเอิญ ในหัวของวาตอนนี้ว่างเปล่า หากบอกให้เขาเขียนตอบข้อสอบในตอนนี้ยังจะง่ายกว่าเอ่ยปากคุยกับสโนว์
แต่วาก็ไม่ต้องปวดหัวคิดคำพูดแต่อย่างใด เมื่อสโนว์เป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายขึ้นก่อน ราวกับที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ บังเอิญจังนะ ” เสียงเล็กแหลมกล่าว
“ อืม ” วารับคำ “ มาดูการแข่งหรอ ”
แม้รู้ว่าเป็นคำถามโง่ๆ แต่วาก็คิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
“ ก็ไม่เชิงนะ แล้วเธอไม่ไปซ้อมหรือไง ”
สโนว์ยิ้มหวาน นี่เธอไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆใช่ไหม ความจริงวามีคำถามคาใจหลายอย่างที่อยากจะเอ่ยถาม แต่ตอนนี้เขารู้สึกราวกับยืนอยู่ในสุญญากาศ
“ ไม่แล้วละ ” วาตอบสั้นๆ
“ เก่งจังเลยที่ชนะเข้ามาถึงรอบชิงได้ ยอมรับนะว่าเธอเก่ง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาได้ขนาดนี้ ”
“ ขอบคุณนะ ” วายิ้มเจือนๆ “ แต่เราคงไม่หยุดแค่รอบชิงหรอกนะ เพราะเราจะต้องชนะเลิศ”
“ ฮ่าๆ ” สโนว์หัวเราะพร้อมส่ายหัว “ เรื่องนั้นคงจะยากหน่อย ไม่ได้จะดูถูกหรอกนะ ความจริงเธอก็เก่ง แต่ครอสเองก็คงไม่ยอมแพ้เธอง่ายๆหรอก เพราะเขาก็บอกว่าไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน ”
พูดถึงตอนนี้วาก็เริ่มฉุนกึกขึ้นมา ทำไมเวลาที่กำลังไปได้ด้วยดีต้องได้ยินเรื่องของครอสด้วยนะ
“ เดี๋ยวก็รู้เองแหละ ” วาพยายามทำใจเย็น ถ้าถูกสบประมาทเขาอาจจะพบทนได้ แต่หากเอ่ยอ้างถึงคนเช่นครอสขึ้นมาคงเป็นการยากที่จะทำให้ใจเย็นลงได้ ความจริงเขาควรจะรีบเป็นฝ่ายเดินจากไปเสีย แต่ไม่รู้ทำไมขามันถึงก้าวไม่ออก ได้แต่รอจนกว่าสโนว์จะไปคนเอ่ยปากก่อน เขามักจะเป็นเช่นนี้มักจะรอจนวินาทีสุดท้ายแม้รู้ว่าจะไม่มีความหวังก็ตาม
‘ ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ’
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น แต่ไม่ใช่จากเครื่องของวาหากแต่เป็นของสโนว์ เธอขอตัวรับสายจากนั้นก็ยิ้มขึ้น
“ อ๋อ ตอนนี้ถึงแล้วละ เดี๋ยวจะรีบไปนะ แค่นี้ก่อนนะ ”
สโนว์วางสาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปลายสายคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายผู้ซึ่งได้รับการเอ่ยถึงไปเมื่อครู่
“ โอเค ยังไงก็สู้ๆละกัน แล้วพรุ่งนี้จะรอดูผลนะ ”
สโนว์โบกมือลา เล่นเอาในหัวของวาชาไปหมด และไม่ทราบว่าเพราะอะไรจู่ๆวาก็เอ่ยปากขึ้น
“ ขอถามอะไรหน่อยสิ ” วามองหน้าสโนว์แบบจริงจัง ทันใดนั้นสโนว์คล้ายรับรู้ถึงสิ่งที่วาจะเอ่ยสีหน้ากลับจริงจังตาม
“ เอาสิให้เวลาถามสามนาที ” สโนว์ยิ้มกล่าวทีเล่นทีจริง
“ คือ คิดว่าเราเข้ากันได้ไหม ”
สโนว์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะทำสีหน้าเป็นปกติพร้อมกล่าว
“ ได้สิแบบเพื่อนไง ”
แต่วาส่ายหน้า
“ เธอรู้นี่ว่าเราหมายถึงอะไร ”
“ อยากรู้จริงๆหรอ ” สโนว์สีหน้าจริงจังอีกครั้ง ลมที่พัดจากหน้าต่างที่เปิดไว้พัดผ่านร่างของวาทำให้เขาหนาววูบ แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกชาด้านไปกว่านี้ได้แล้ว
“ ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก ”
สโนว์กล่าวอย่างชัดเจน ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรมุมแก้มของวากลับฉีกยิ้มขึ้นมาได้
“ คงเข้าใจนะ ด้วยนิสัยอะไรทำนองนี้แหละ จะให้พูดยังไงดีละก็นิสัยอะ ” สโนว์กล่าววกวน แต่นั่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วตั้งแต่คำว่าเป็นไปไม่ได้หลุดออกมา
“ อย่างนั้นหรอ ฮ่าๆ ” วาหัวเราะในหัวว่างเปล่า แต่จิตใจรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก
“ เฮ้ๆ อยู่นี่เอง ”
เสียงกวนประสาทดังขึ้นจากด้านหลัง วาหันขวับไปพบว่าเป็นหนึ่งในทูตดำขาวใครสักคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ อืม เดี๋ยวจะไปแล้วละ ” สโนว์กล่าวกับทั้งสองคน จากนั้นหันมากล่าวกับวา
“ ถ้าอย่างนั้นไปก่อนนะ ”
สโนว์ยิ้มให้กับวา โดยที่วาเองทราบดีว่านั่นอาจจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่เขาได้เห็น ไม่นานนักร่างของสโนว์และทูตดำขาวก็จากไปทิ้งเอาไว้เพียงแต่ความหนาวเหน็บที่วาต้องเผชิญ ความสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงมันเป็นอย่างนี้นี่เองวาคิด
“ แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ”
ที่นี่ที่ไหนกัน ความคิดวูบหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของชายคนหนึ่ง เขาแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อใด และขณะนี้เขาวิ่งมาไกลแค่ไหนแล้ว รู้สึกเพียงแต่ว่าท้องของเขาหิวอย่างสุดทน แต่สิ่งแรกที่เขาจับนั้นคือ ดาบ
ดาบยังอยู่ เพียงแต่ว่าเหลืออยู่ข้างเดียว อีกข้างหนึ่งคงจะหายไปตอนที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตสินะ
ทำยังไงต่อไปดีละ ชายคนนั้นคิด แต่ไม่มีใครตอบได้ ต่อให้ที่ตรงนั้นมีวิญญาณร้ายก็ไม่มีทางได้ยินความคิดของเขา เพราะมันเงียบเกินไป ที่บริเวณนี้มันเงียบเกินไป มืดเกินไป
ท่ามกลางความมืดมิดชายคนนั้นพยายามตั้งสติยันตัวลุกขึ้น ไม่นานนักเมื่อสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้ก็เริ่มดูออกว่าที่นี่น่าจะเป็นโบสถ์ โบสถ์นี้แห่งตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบเรอเนอซอง เก้าอี้ไม้เก่าๆบ่งบอกถึงอายุของโบสถ์ได้เป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ชายคนนั้นสนใจ เขาลากสังขารอันสิ้นศรัทธาของตนไม่ยังรูปปั้นเทวทูตที่กลางโบสถ์
‘ อ่า เทวทูตช่างสง่างามนัก แต่ท่านก็คงช่วยข้าไม่ได้หรอก ’
ชายคนนั้นทอดถอนใจขณะกำลังจะทรุดเข่าลงทำความเคารพก็เกิดเปลี่ยนแปลงอารมณ์กะทันหันชกเข้าที่ฐานของรูปปั้นราวกับเสียสติ แต่รูปปั้นเทวทูตหาได้โกรธไม่ยังคงตั้งท่าอย่างสง่างาม หากรูปปั้นยิ้มได้ไม่แน่ว่าจะยิ้มออกมาเพราะการกระทำอันบ้าบิ่นของชายคนนี้ก็เป็นได้
‘ เพราะอะไรทำไมถึงไม่โต้ตอบละ ใช่สิ เพราะเป็นรูปปั้นสินะ เลยไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไร เพียงแค่อยู่เฉยๆก็เรียกความน่าศรัทธาได้แล้ว ’
ยิ่งคิด ยิ่งสั่นสบ ห้วงสมองเลือนรางไปหมด ในที่สุดชายคนนั้นก็ฟาดหมัดใส่รูปปั้นอีกครั้ง
‘ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นหน่อยสิ ’
จู่ๆชายคนนั้นก็คุกเข่าลงก้มหัวขอพรจากรูปปั้น
“ ผมผิดไปแล้วเพราะฉะนั้นช่วยให้ผมได้พบกับเธอคนนั้นอีกครั้งด้วยเถอะ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ยอม ! ”
ไม่ทราบว่าชายคนนั้นก้มหัวอยู่นานเท่าไหร่ แต่ด้วยความอิดโรยและหิวโหยทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด
เหลือเวลาอีกแค่สิบชั่วโมง หรือก็คือคืนเดียวเท่านั้นก่อนที่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มขึ้น หากผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วยสภาพเช่นนี้ ด้วยสภาพร่างกาย และพลังใจที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวนี้ยังจะพอมีหวังให้ชายคนนี้ได้เจอกับเธอคนนั้นที่เฝ้าฝันถึงอยู่ทุกลมหายใจอีกหรือ
เงาของเทวทูตบดบังร่างที่สิ้นศรัทธามิด ราวกับต้องการจะตัดความหวังที่เหลืออยู่ให้หายไปอย่างหมดสิ้น
______________________________________________________
ความคิดเห็น