ลำดับตอนที่ #23
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : บทเรียนที่ 21 ความหวังริบหรี่
                                                          บทเรียนที่ 21  ความหวังริบหรี่
                      “ ฟ้าวววว !!! ”
                      แสงสว่างเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงประหลาด    นีโอซึ่งกำลังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประหลาดก็เดินออกมาดู       
                      ท่ามกลางความมืดของห้องปรากฎเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางห้อง    นีโอใช้เวลาจ้องมองไม่นานนักก็รู้ทันทีว่า  นั่นคือวานั่นเอง
                    “ นี่นายยังไม่นอนอีกหรอ ”
                      วาตกใจเล็กน้อยเมื่อนีโอทักขึ้น  ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งต้องใช้สมาธิอย่างสูง 
                    “ ยังหรอก  นี่เราทำให้นายตื่นหรือเปล่า ”
                    “ ไม่หรอกๆ  พอดีเรานอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว  ได้ยินเสียงก็เลยออกมาดูเท่านั้นเอง  แล้วนายทำอะไรอยู่น่ะ ”
                      วายิ้มอย่างลึกลับ  จากนั้นแบมือให้นีโอดู  สิ่งที่อยู่บนมือของวาไม่ใช่สิ่งอื่นใด  นอกจากสำรับไพ่ประจำตัวของเขานั่นเอง
                    “ เรากำลังฝึกซ้อมมายากลที่จะเอาไปใช้ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้สักหน่อยน่ะ ”
                    “ ขยันดีจังนะ ตอนแรกเรานึกว่าวันนี้นายจะไม่ฝึกเสียอีก  เห็นขึ้นห้องเร็วกว่าทุกวัน ”
                      “ ตอนแรกเราก็กะว่าจะไม่ฝึกแล้วละวันนี้  แต่พอจะทำใจนอนแล้วมันทำใจไม่ได้น่ะสิ  รู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูกเลยต้องมาฝึกซ้อมอีกทีนึงเพื่อความั่นใจ ”
                        ตั้งแต่วันที่วารู้ว่า เขาจะต้องเป็นตัวจริง  และซาซาไรบอกว่าจะฝึกมายากลรูปแบบประยุกต์ที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ให้กับเขา  วาก็เริ่มฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังแทบทุกวัน     
                      หลังจากเขาซ้อมปิงปองเสร็จเวลาช่วงหัวค่ำที่เหลือเขาจะใช้เวลาฝึกมายากลอยู่คนเดียวที่บริเวณต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก    กว่าเขาจะขึ้นห้องก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ตีหนึ่งเลยทีเดียว   
                    วันนี้เขาเป็นคนบอกนีโอเองว่าจะนอนเร็วเอาแรงไว้สู้ในวันพรุ่งนี้  แต่ดูเหมือนว่าใจของเขาจะไม่ยอมให้เขานอนได้ง่ายๆ    วารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก  หรือไม่ก็เพราะเขานอนดึกเพราะฝึกซ้อมมาเป็นเวลาหลายๆวันจนร่างกายเริ่มชินแล้ว  จึงไม่อาจนอนหลับได้  เขาจึงต้องมาซ้อมมายากลต่อ  แต่เขากลัวว่าจะรบกวนนีโอจึงไม่เปิดไฟซ้อม
                      “ อืม ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วละ ”
                      วาก้มดูนาฬิกาข้อมือสีดำของเขา                   
                      “  เหอๆ รู้สึกว่าจะเที่ยงคืนครึ่งแล้วนะ ”
                      “ หา นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย  เราว่านายนอนก่อนดีกว่าไหม  เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงนา ”
                      “ อืม เราก็ว่าสักพักเราก็จะไปนอนแล้วละ ”
                      วาประกบมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกัน  ซึ่งข้างในมีสำรับไพ่ของเขาอยู่ 
                      “ ถ้าอย่างนั้นละก็  ก่อนที่เราจะเข้านอนจะขอแสดงกลที่เราอุส่าห์คิดค้นขึ้นมาเองให้นายได้ชมก่อนจะแข่งก็แล้วกันนะ ”
                      นีโอพยักหน้า
                    “ จะให้เราเปิดไฟไหม ”
                    “ ไม่ต้องๆๆ  ปิดไฟแหละดีแล้ว  มืดๆสิถึงจะสวย ”
                      กล่าวจบวาก็เริ่มหลับตาคล้ายกับทำสมาธิ  ส่วนนีโอนั้นยืนดูอยู่อย่างสงบนิ่ง    วาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ  มือทั้งสองข้างของเขายังคงประกบกันอยู่  แต่สักพักทันใดแสงสว่างก็เปร่งแสงวูปออกมาจากมือทั้งสองข้างที่ประกบกันอยู่ของเขา   
                      ความสวยงามของแสงที่เปร่งออกมายากที่จะบรรยายได้  และทันใดนั้นเองวาก็แบมือทั้งสองข้างของเขาออกทันที    ไพ่แยกออกเป็นสองกอง  วางอยู่บนทั้งมือซ้ายและมือขวาของเขา    แสงสว่างที่เปร่งออกจากกองไพ่ข้างขวาเป็นสีขาว และแสงสว่างที่เปร่งออกจากมือข้างซ้ายเป็นสีม่วงออกดำ   
                      “ ฟ้าว !!! ”
                      ทันใดนั้นแสงสว่างจากกองไพ่ทั้งสองข้างคล้ายเปร่งประกายแสงออกมาพร้อมๆกัน  ไพ่จากมือทั้งสองข้างพุ่งออกทั่วทิศทาง    แต่ไม่ทันที่ไพ่จะพุ่งไปได้ไกลนักก็ตกลงกลับพื้น    ไม่นานนักไพ่ทุกใบก็ตกลงยังพื้น    วายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆเดินไปเก็บ 
                    “ เป็นอะไรไปหรอ  มันยังไม่สมบรูณ์รึ  แต่เราว่ามันสวยงามมากเลยนะเนี่ย    นายนี่เก่งจริงๆแค่เวลาไม่นานก็สามารถฝึกได้ถึงขนาดนี้แล้ว ”
                      “ ไม่ใช่มันไม่สมบรูณ์หรอกนะ  แต่เราลืมไปว่านี่เป็นหนึ่งในไม้ตายก้นหีบของเราน่ะสิ  ถึงมันจะสวยแต่ถ้าโดนมันเล่นงานเข้าละก็แย่เหมือนกันละ  เราเลยต้องหยุดมันลงก่อน ”
                      “ งั้นหรอ  ถ้าอย่างนั้นหวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้ดูมันเต็มๆ ตอนที่นายแข่งนะ ”
                      “ เราก็หวังว่าเราจะได้ใช้มันเหมือนกันแหละ  แต่ข้อจำกัดของการใช้กลอันนี้มันมีอยู่นะ  อย่างแรกเลยก็คือ  กลนี้เป็นกลที่เปลืองไพ่ในการใช้มากที่สุด  โดยจะใช้ไพ่เกือบทั้งสำรับเลยทีเดียว  และไม่ว่านายเหลือไพ่กี่ใบถ้าใช้กลนี้แล้วละก็ไพ่ของนายก็จะหมดในทันทีเลย    อย่างที่สองเลยก็คือ  การที่จะใช้กลนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆจะต้องใช้สมาธิอย่างมากเลยทีเดียว  และระยะเวลาก่อนที่จะใช้ออกได้ก็ค่อนข้างนานพอสมควรเลยทีเดียว  ยิ่งถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่มีความเร็วสูงแล้วละก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลยทีเดียว  ”
                      “ โห อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ  แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่นายว่าขึ้นมาละนายจะทำยังไง ”
                        วายิ้มเล็กน้อย
                      “ เราก็จะใช้เจ้านี่ยังไงละ !!! ”             
                      วาที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมแย้มยิ้มเล็กน้อย  เขาคิดถึงคำถามที่เมื่อคืนนีโอได้ถามเขาไว้ว่าจะทำยังไงถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาใช้กลที่เขาคิดขึ้นมาเองได้
                    “ คอยดูนะนีโอ นี่ก็คือสิ่งที่เราจะใช้ทำให้ศัตรูต้องเปิดโอกาสให้เราเอง ”    วาคิดในใจ  ใช่แล้ว  ในเมื่อศัตรูไม่เปิดโอกาสให้เรา  ถ้าอย่างนั้นเราก็สร้างโอกาสให้ตัวเราเองเลยจะเป็นไร 
                      เซ้นส์ซึ่งอยู่ห่างจากวาไม่มากวิ่งเข้าหาวาทันทีด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า    วาซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ตวัดไพ่ที่อยู่ในมือของเขาทันที 
                      แม้ความเร็วของเซ้นส์แม้จะถือได้ว่าเร็วมากแล้วก็ตามที  ความเร็วในการซัดไพ่ในมือของวาเมื่อสักครู่นี้กลับเรียกได้ว่าแทบใกล้เคียงกันเลยทีเดียว  หรือาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ     
                      ที่วาสามารถทำได้เช่นนี้นั้นก็เพราะว่า  การฝึกฝนเป็นระยะเวลานานทำให้เขาสามารถซัดไพ่ได้อย่างรวดเร็ว  ยิ่งในเวลาคับขันยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม  ซึ่งน่าแปลกที่คนส่วนใหญ่เวลาอยู่ในยามคับขันมักทำอะไรพลาดได้ง่ายกว่าเดิม  แต่วากลับไม่ใช่คนประเภทนั้น
                      ไพ่ของวาพุ่งแหวกอากาศออกด้วยความเร็วสูง    เซ้นส์ถึงแม้จะรวดเร็วเพียงใดแต่ด้วยความไม่ระมัดระวังตัวจึงถูกไพ่ของวาซัดใส่เข้าที่หน้าผากอย่างจัง        ความรวดเร็ว และความแม่นยำของไพ่นั้นเป็นที่เหนือความคาดหมายของทุกผู้คนจริงๆ    แสดงให้เห็นว่าพลังฝีมือ และสมาธิคนผู้ใช้นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาจริงๆ 
                    ไพ่ที่วาซัดออกนั้นไม่ใช่ไพ่ธรรมดาอีกเช่นกัน  เมื่อกระทบถูกหน้าผากของเซ้นส์แล้วก็เกิดควันพุ่งพวยออกมาในทันที  ที่แท้เป็นไพ่ควันนั่นเอง 
                      วาเมื่อซัดไพ่ออกไปแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้ามาเซ้นส์ในทันที    อาศัยจังหวะที่เซ้นส์ยังไม่ทันตั้งตัวก็ง้างมือข้างหนึ่งไปข้างหลัง      ทันใดนั้นมือข้างนั้นก็ปรากฎผ้าคลุมดำใหญ่ผืนหนึ่งขึ้นในทันที   
                    วากระโดดขึ้นสูงมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้จากนั้นสะบัดผ้าคลุมด้วยมือทั้งสองคลุมไปยังเซ้นส์    ผ้าคลุมของวาคล้ายมีเวทย์มนต์คลุมตัวเซ้นส์ได้อย่างพอดีเลยทีเดียว        จากนั้นวารีบวิ่งออกจากห่างเซ้นส์พร้อมกับประกบมือทั้งสองข้างของเขาในทันที  นั่นเป็นท่าที่เขาเคยใช้ให้นีโอดูเมื่อคืนนี้นั่นเอง 
                    “ เอาละนะ  ต่อไปนี้ก็คือ หนึ่งในไม้ตายก้นหีบที่เราคิดค้นขึ้นมาเอง  นายจงเบิกตาดูให้เต็มตาซะ  กลประสานมืดสว่าง !!!! ”
                      ทันใดนั้นในมือทั้งสองของวาปรากฎแสงสว่างขึ้นในทันที  แสงสว่างคราวนี้คล้ายสว่างกว่าที่นีโอเห็นเมื่อคืนมากนัก  แม้จะเป็นที่สว่างอยู่แล้วก็ตาม  นักเรียนทุกคนอดทึ่งไม่ได้ทีเดียว
                      “ โอ้ววววว !  อะไรกับครับเนี่ย  วาเด็กชายลึกลับกำลังทำอะไรกันแน่  ท่าทางจะเป็นท่าเผด็จศึกของเขาแล้วละครับ ”
                      จากนั้นวารีบแยกมือทั้งสองข้างของเขาออกในทันที    บนมือทั้งสองข้างปรากฎสำรับไพ่คนละกอง  กองด้านมือข้างขวาของเขาเปร่งแสงสีขาวออก  ส่วนกองด้านมือซ้ายของเขาเปร่งแสงสีม่วงออกดำ   
                      แต่ในขณะนั้นเองเซ้นส์ก็ฉีกผ้าคลุมของวาออกได้แล้ว  ท่าทางดูเหมือนว่าเซ้นส์จะโมโหมากกว่าเดิม  ความเกรี้ยวกราดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ    เซ้นส์หันหน้าไปมาเพื่อมองหาวา    จนในที่สุดก็พบว่าวายืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา  ก็พุ่งตัวออกในทันที  ความเร็วอยู่ในระดับที่ไม่ต้องบรรยายแล้ว
                     
   
                      วาถึงกับเหงื่อตกในทนที  เขาไม่คิดว่าเซ้นส์จะหลุดออกจากผ้าคลุมของเขาได้เร็วขนาดนี้    ขณะที่สมาธิของเขากำลังจะหลุดออกไปนั้น  วารีบข่มใจสะกดสมาธิเพื่อเตรียมตัวใช้กลประสานมืดสว่างของเขา    ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตัดสินระหว่างความเร็วของเซ้นส์  และสมาธิของวาเสียแล้ว 
                    เซ้นส์วิ่งจนถึงหน้าของวาแล้ว  ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าวาคงจะไม่สามารถรอด  เซ้นส์ง้างแขนทั้งสองข้างขึ้น  ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อแล้วว่าวาจะชนะได้  กงเล็บทั้งสองข้างพุ่งตรงเข้าหาวาแล้ว    แต่เป็นที่น่าแปลกที่สายตาของวายังแฝงความเชื่อมั่นอยู่  แม้ว่าความผ่ายแพ้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม 
                    แม้ในนาทีสุดท้ายวาก็ยังคงเชื่อมั่นอยู่ได้  เขาถือคติว่าถ้ายังไม่หมดลมหายใจความหวังก็ย่อมจะมีอยู่เสมอ    ดังนั้นในโลกมักเกิดเรื่องราวปาฎิหาร์ยขึ้นเสมอ  เพราะมีคนที่เชื่อเช่นเดียวกับวานั่นเอง  คนที่มีความหวังอยู่ทุกเมื่อ !!!
                    “ โอ้วววว !!!  ท่าทางวาคงจะไม่สามารถเอาชนะเซ้นส์สัตว์อสูรได้แล้วละค รั .....บ..บ........ !! ..”
                    เด็กชายนักประกาศกล่าวด้วยความตื่นเต้นระคนผิดหวังนิดหน่อย    นีโอซึ่งดูอยู่คล้ายผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร    มิวถึงกับกำกำปั้นด้วยความเสียดาย  เสือใบ้นิดนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อต่อภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา  วีวี่เองก็เช่นกัน      ภาพเหตุการณ์คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วครู่
                  โซเฟียถึงกับแทบเบือนหน้าหนี    แต่ขณะที่เธอกำลังจะเบือนหน้าหนีนั้นเอง  แสงสว่างก็พุ่งพวยออกจากเวทีลานประลองไปทั่วทุกทิศทาง  นักเรียนทุกคนต่างหันไปจับจ้องยังกลางเวทีเป็นสายตาเดียวกัน 
                    แสงสว่างที่พุ่งพวยออกมาไม่ทราบจะบรรยายความสวยงามออกมาได้อย่างไร  เป็นการผสมสีระหว่างสีขาวกับสีม่วงดำ !!!
                    และแน่นอนแสงสว่างที่พุ่งออกมา ไม่ได้พุ่งออกมาจากที่อื่นใด  นอกจากมือทั้งสองข้างของวานั่นเอง  ไม่น่าเชื่อว่าพริบตาเดียวกันนั้นกับที่เซ้นส์กำลังจะตะปปใส่วา  เพียงแค่เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น  แสงสว่างก็เปร่งออกมาจากมือทั้งสองข้างของวาทันที  นี่คงเป็นผลจากความเชื่อมั่นนั่นเอง 
                    เซ้นส์ถึงกับต้องเอามือปิดตาเสียหลักไปในทันที    วานั้นเหงื่อตก แต่ก็ยิ้มออกแล้ว
                    “ คอยดูให้ดี นี่แหละพลังแห่งความเชื่อมั่นของเรา  กลไม้ตายก้นหีบ ประสานมืดสว่าง จงสาดส่องแสสว่างไปทั่วทุกแห่งหนด้วยเถิด !!!! ”
                    ไพ่พุ่งออกมามือทั้งสองข้างของวาตรงเข้าใส่เซ้นส์อย่างรวดเร็ว    ความสวยงามย่อมไม่ต้องเป็นที่บอกกล่าว  แต่ในความสวยงามนั้นกลับแฝงด้วยพลังการทำลายล้างอย่างสูง    ไพ่พุ่งออกจากมือของวาเรื่อยๆราวกับไม่มีวันหมดสิ้น      ทุกคนต่างเบิกตาดูกลของวาด้วยความทึ่ง  โซเฟียถึงกับร้องเย้ออกมาด้วยความดีใจ 
                 
                    “ โอ้ววววววว ไม่น่าเชื่อเลยครับท่านผู้ชม วาซึ่งท่าทางจะแพ้อยู่แล้วกลับผลิกกลับมาเป็นฝ่ายเล่นงานเซ้นส์แทนได้    แถมยังใช้ออกมาด้วยกลอันสวยงามอีกด้วย  จะเรียกได้ว่า ปาฎิหาร์ย ก็ได้นะครับเนี่ยยยยย !!!! ”
                    ไพ่ของวาพุ่งใส่เซ้นส์จนหมดสิ้นแล้ว  หากตอนนี้เซ้นส์ยังไม่หมดไลท์พอต์ยละก็  คนที่จะพ่ายแพ้ก็ต้องเป็นวาแล้ว      แต่โชคย่อมเข้าข้างคนที่มีความเชื่อมั่น  และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ  ดังนั้นวาชนะแล้ว !!!
                    ไลท์พอต์ยของเซ้นส์ไม่เพียงเหลือ 0 หน่วยเท่านั้น  ยังติดลบไปอีก 500 หน่วยเลยทีเดียว  ความร้ายกาจของกลประสานมืดสว่างนับว่าสมแล้วทีเดียวที่เป็นไม้ตายก้นหีบ
                    วาเปาลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ  ขณะที่เขากำลังเป่าลมออกจากปากเขานั้น  เขาสังเกตว่าไพ่ที่คิดว่าน่าจะใช้ออกจนหมดกลับหลงเหลืออยู่ในมือของเขาหนึ่งใบ    วาทำหน้าสงสัยสักพักจากนั้นก็ยิ้มออกแล้ว  ที่แท้ไพ่ใบที่เหลือใบสุดท้ายนั้นสำคัญอย่างไรกันแน่  หรือจะเป็นใบเดียวกับใบที่วาใช้กลเกราะปักษาที่หน้าห้องแล้วทำไพ่ใบสุดท้ายตกกันแน่ ?
                    อย่างไรก็ตามวาชนะแล้ว  นี่เป็นการชนะครั้งแรกของเขา  โดยที่เขาไม่คิดว่าโชคจะเข้าข้างเขาเลยแม้แต่น้อย   
                    “ ในที่สุดเราก็ได้ตัวผู้ชนะจากการแข่งขันครั้งนี้แล้วละครับ  ผู้ชนะก็คือ วา คร๊าบบบบบบ 
และก็เป็นอย่างที่รู้กันนะครับว่า  ทีมที่จะชนะก็จะต้องเป็นทีม  มิราเคิล นั่นเอง !!!!! ”
                    เสียงปรบมือดังจากรอบด้าน  มีนักเรียนบางคนถึงกับตะโกนคำ  “ เอาอีกๆ ”  ออกมา  เด็กนักเรียนหญิงบางคนถึงกับเริ่มหันมาสนใจเชียร์วาเข้าให้แล้ว
                      แต่ในมุมหนึ่งของห้องนั้นเอง  กลับมีบางคนซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยินดีกับการชนะของวาเลย  คนๆนั้นพูดด้วยความโมโห
                    “ ชิ ไอ้เจ้ากระจอกนั้นชนะได้ยังไงกัน ”
                    “ ใจเย็นสิค่ะ  เขาอาจจะฟลุคก็ได้นะค่ะ ”
                    “ ก็ถ้าเกิดเจ้านั่นไม่ชนะนะ  ป่านนี้เราก็จะได้เห็นคุณโซเฟียแสดงฝีมือแล้วเชียว  อดเลย ”
                      ที่แท้คนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  กลับเป็นเซตคู่ปรับของวานั่นเอง  ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นก็ไม่ใช่ใครอีกเช่นกันเป็น เอมี่   
                  “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงครั้งต่อไปก็คงจะได้เห็นเธอเองแหละ ”
                      เอมี่ความจริงพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับไม่ต้องการจะพูดอย่างนั้น  ความจริงเธอแอบอชอบเซตอยู่  แต่เซตกลับไปชอบโซเฟียเข้า  แถมยังชอบมาปรึกษากับเธออีก  บางครั้งเธอก็นึกแค้นโซเฟียขึ้นมาบ้างเช่นกัน 
                    “ อีกอย่างหนึ่ง  ทำไมคนเก่งๆอย่างคุณโซเฟียต้องไปอยู่ทีมเดียวกับเจ้านั่นด้วย ”
                    “ ไม่รู้เหมือนกันสิค่ะ ”
                    เซตทำท่าจะกล่าวต่อ  แต่เหมือนกับคิดอะไรออกจึงนั่งเงียบไป    ดูเหมือนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่   
                    “ เป็นอะไรไปหรอ เงียบเชียว ”
                    เอมี่ถามอย่างสงสัย  แต่ไม่ทันที่เซตจะตอบว่าอะไรเขาก็รีบลุกขึ้นทันที 
                    “ เราไปกันเถอะ ”
                    จากนั้นเซตก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเอมี่จะตามเขามาหรือเปล่า 
                    “ รอเดี๋ยวสิ ! ”    เอมี่รีบตามเซตไปในทันที  และเช่นกันเจ้าเด็กชายตัวใหญ่ทั้งสองซึ่งเป็นคล้ายๆบอดี้การ์ดของเซตก็รีบตามเซต และเอมี่ไปในทันที
                    “ หึหึ  คอยดูเหอะเจ้าวา  สักวันเราจะต้องแย่งโซเฟียมาจากแกให้ได้ ”    เซตคิดในใจ  เขาหารู้ไม่ว่าที่จริงวาไม่ได้ชอบโซเฟีย  และโซเฟียก็ไม่ได้ชอบวา  แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะมีแผนการณ์แล้ว  เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น  จะเป็นเมื่อไหร่มีแต่เซตเท่านั้นที่ทราบได้............
                     
                      วาค่อยๆเดินลงจากเวที  พร้อมกับถอดชุดป้องกันออก    เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่นั่งทีมของเขา  โซเฟียก็รีบเข้ามาทักทายในทันที 
                    “ สุดยอดมากเลยคุณเด๋อเก่งกว่าเราเสียอีกนะเนี่ย  ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ”
                    “ ไม่หรอก มันฟลุคน่ะ ”
                      วายิ้มพร้อมกับเกาหัว 
                      “ ยินดีด้วยนะครับ  ในที่สุดก็ชนะมาจนได้ ”
                      “ ก็เพราะนายน่ะแหละ  ที่บอกว่าให้เราสู้จนวินาทีสุดท้าย  ขอบคุณมากนะดีว่า ”
                      “ ไม่หรอกครับ  ที่ชนะก็เพราะคุณเชื่อมั่นเองต่างหากละ ”
                      “ เอาน่า  ยังไงก็ชนะแล้วนี่เนอะ  แหะๆ ”
                        โซเฟียกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างดีใจ  จากนั้นดีว่า และวาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม    มีแต่ไซโคร แนชเท่านั้นที่ไม่ได้ออกอาการดีใจด้วยเลย      วาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีไซโคร แนชอีกคนก็เลยกล่าวกับไซโคร แนช
                    “ ผมชนะได้แล้วนะครับ  เป็นยังไงบ้าง ”
                      “ ก็ดี ไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะหมอนั่นได้  แต่ว่าการต่อสู้เมื่อกี้ยังมีจุดอ่อนอยู่มากนัก    ถ้าเป็นข้าละก็เจ้าคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะปล่อยไพ่แรกออกแล้วละ  ”
                      ไซโคร แนชพูดอย่างไม่อ้อมค้อม  ส่วนวานั้นก้มหัวรับคำสั่งสอน  หากเป็นคนอื่นคงไม่คิดว่านี่เป็นคำสั่งสอน เพราะฟังๆดูแล้วมันคล้ายกับคำโอ่อวดตัวเองชัดๆ      แต่ถ้าเขาคิดว่าเป็นคำโอ่วอวดก็แสดงว่าไม่รู้จักไซโคร แนชดีแล้ว   
                      ไซโคร แนชแม้กล่าวออกไปอย่างนั้นที่จริงจงใจจะบอกกับวาว่า    พยายามได้ดีแล้ว  แต่ควรจะฝึกฝนให้มากกว่านี้  ถ้าอีกหน่อยเจอคู่ต่อสู้ที่เร็วกว่านี้จะแย่    จากนั้นไซโคร แนชก็คิดที่จะจากไปแล้ว
                    “ เอาละในเมื่อการแข่งของทีมเราสิ้นสุดลงแล้ว  ข้าก็จะขอตัวไปก่อนนะ ”
                    “ จะไปเลยหรอครับเนี่ย  ไม่อยู่ดูคู่อื่นก่อนหรอครับ ”
                    “ ดูไปก็เท่านั้นแหละนะ ข้าไปก่อนละ  ถ้าพวกเจ้าอยากดูก็เชิญตามสบาย  เจอกันตอนแข่งคราวหน้า  อย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมกันดีๆละ    เพราะยิ่งแข่งคู่ต่อสู้ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆจำไว้ ”
                    “ ครับ แล้วเจอกันนะครับ  ครั้งหน้าผมจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้ให้ได้ ”
                        กล่าวจบไซโคร แนชก็เดินจากไปแล้ว    วา ดีว่า และโซเฟียก็เตรียมตัวที่จะไปนั่งที่คนดูแทน
                     
                      ขณะที่วา กับโซเฟียพยายามจะหาที่นั่งอยู่นั้น  มิวก็วิ่งมาหาพวกเขาในทันที
                    “ เฮ้ๆๆๆ  สุดยอดไปเลยเพื่อน ”
                      มิวแสดงอาการดีใจยิ่งกว่าคนที่ชนะเสียอีก    เมื่อหันไปเห็นดีว่าก็อดจะแสดงความยินดีกับดีว่าด้วยไม่ได้  จนดีว่าต้องอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นท่าทางดีใจอย่างสุดตัวของมิว
                   
                    “ เรากำลังหาที่นั่งกันอยู่น่ะ  ”
                      โซเฟียพูดขึ้นมาก่อนที่มิวจะบ้าไปกว่านั้น 
                      “ อ่อ เรื่องที่นั่งน่ะหรอ  ที่เราลงมาเนี่ยก็เพราะจะพาพวกเธอไปอยู่พอดี  มาๆตามเรามาเลยๆ ”
                      มิวรีบเดินนำหน้าไปในทันที    ไม่นานนักก็พามาจนถึงที่นั่ง  ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเพื่อนๆของวาทั้งนั้นเลยที่นั่งดูกันอยู่    มีทั้งนีโอ วีวี่ เสือใบนิค เบต้า พิชากิ ซักก้า หรือแม้กระทั่งจ๋อย 
                    “ โอ้โห  พวกนายก็มาด้วยหรอเนี่ย ” 
                    “ แน่นอนละนาย ”
                      ซักก้าพูดตอบวา ซึ่งลักษณะการพูดของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม  โดยจะลงท้ายคำพูดด้วยคำว่านายเกือบทุกครั้ง  ส่วนพิชากิไม่ได้พูดกับวาเพียงแค่ทำท่ามาดเข้มพร้อมกับพยักหน้ายอมรับ    นีโอก็ยิ้มแสดงความยินดี
                      “ เก่งมากเลย  ในที่สุดเราก็ได้เห็นกลที่นายบอกเราแล้วนะ  สวยงามมาก ”
                          “ เอาละ พวกเรานั่งกันก่อนดีไหม  ยืนอยู่อย่างนี้เกรงใจคนอื่นเขา ”
                          โซเฟียพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาที่นั่ง  โดยโซเฟียไปนั่งอยู่ระหว่างมิว และวีวี่    ส่วนวานั้นขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า  ตอนเย็นตัวเองอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อ
                      “ เออ นี่เราขอตัวก่อนนะ  พอดีตอนเย็นอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อน่ะ ”
                      “ โห นี่ยังมีแรงจะซ้อมปิงปองต่ออีกเรอะเนี่ย  ไม่ช้ำตายหรอเนี่ย ”
                          มิวถามอย่างเป็นห่วง
                      “ ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกรายนั้น  ท่าทางจะยอมช้ำตายดีกว่าให้ประธานชมรมปิงปองฆ่าตายนะ แหะๆ ”
                          ได้ยินโซเฟียพูดทุกคนถึงกับหัวเราะเป็นเสียงเดียวกันในทันที  ส่วนวาทำท่าเหมือนคนโดนรู้ทัน  จึงบอกขอตัวก่อนอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับจากไป    ส่วนดีว่านั้นก็ทำท่าทีเกรงใจกะว่าจะถามวาไปเหมือนกัน
                      “ ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องขอตัวด้วยเหมือนกันพอดีจะต้องไปซ้อม  เออ.............”
                      ก่อนที่ดีว่าจะพูดอะไรต่อโซเฟียก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
                      “ อะไรกันจะรีบไปไหนละมาอยู่ด้วยกันก่อนสิ  ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ”
                        โซเฟียพูดพร้อมกับลุกขึ้นดึงตัวดีว่ามาในทันที
                      “ ยืนอยู่อย่างนั้นก็บังคนอื่นเขาหมดสิ  นายนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ ”
                        ที่ๆ โซเฟียลากดีว่าให้นั่งไม่ใช่ที่อื่นใด  นอกจากข้างๆวีวี่นั่นอง  ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าวีวี่จะรู้สึกเช่นไร  เธอถึงกับหน้าแดงในทันที    ส่วนดีว่านั้นเห็นวีวี่นั่งเงียบเลยนึกว่าไม่พอใจจึงรีบกล่าว
                      “ เออ ผมนั่งนี่ไม่เป็นการรบกวนใช่ไหมครับ ”
                          วีวี่ถึงกับเกือบสะดุ้งกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
                      “ มะ  ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่รบกวนเลยแม้แต่น้อย ”
                          มิวที่เห็นวีวี่  ซึ่งปกติชอบเถียงกับตัวเองมาทำท่าเขินอายเมื่อนั่งข้างๆดีว่า ก็ถึงกับหัวเราะออกมาในทันที  แต่ก็ถูกโซเฟียส่งสายตาใส่มิวเลยต้องหยุดหัวเราะลง 
                          วาเมื่อเดินออกมาจากห้องชมรมอัศวินแล้ว  ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะไปบอกซาซาไรหน่อยว่าตัวเองนั้นสามารถเอาชนะการประลองได้แล้ว  แต่พอคิดไปคิดมาดูอีกที  เขาคิดว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกก็ได้  ดังนั้นจึงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะเดินทางไปยังห้องชมรมปิงปอง 
                        ถึงตอนนี้วาเองก็ยังไม่มีไม้ปิงปองที่เขาถนัดใช้อยู่ดี    เขาต้องยืมไม้ปิงปองธรรมดาๆที่มีอยู่ในห้องชมรมปิงปองใช้ไปก่อน        การที่วาไม่มีไม้ปิงปองที่ตัวเองถนัดใช้นั้นทำให้ความสามารถในการตีปิงปองเขาลดลงไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
                        ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมจะไปหาซื้อไม้ปิงปองใหม่  หรือในห้องชมรมปิงปองมีไม้ที่ดีไม่เพียงพอหรอก  แต่ที่วายังไม่มีไม้ที่ถนดนั่นก็เพราะ  เขามีไม้ที่ถนัดอยู่แล้วนั่นเอง  !
                        ความจริงก็คือ วาเองก็มีไม้ที่ตัวเองถนัดใช้อยู่แล้ว  แต่ว่าเขาไม่ได้นำมาจากบ้านของเขา  ไม้ปิงปองที่เขาถนัดนั้นเป็นไม้ปิงปองที่เขาใช้ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดตีครั้งแรก    สำหรับบางคนแล้วถ้าได้เห็นสภาพไม้ปิงปองของวาแล้วก็คงจะไม่เชื่อแน่นอนว่านี่หรือไม้ที่เขาถนัด  บางคิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนไม้ได้แล้ว  แต่วากลับไม่คิดที่จะเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย  นั่นก็เพราะเขาเชื่อมั่นในไม้ของเขา  จึงทำให้เขาสามารถไต่เต้าตัวเอง  จนได้ฉายาว่า  “ ปีศาจ ” จากโรงเรียนเก่าของเขา     
                        วาเป็นคนที่รักของของเขามาก  ถ้าเขาถูกใจสิ่งไหนแล้วก็ตาม  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่  ไม่ว่าของเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างไร  ไม่ว่าจะมีของรุ่นใหม่ที่ดีกว่านั้นออกมา  ไม่ว่าคนรอบข้างจะพูดว่าอย่างไร  เขาไม่เคยจะสนเลยแม้แต่น้อย    นี่ถ้าหากเปลี่ยนจากของที่เขารัก เป็นคนที่เขารักแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ? 
                         
                               
                           
                          วาเดินไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็มาถึงยังห้องชมรมปิงปองจนได้    เสียงลูกปิงปองที่ถูกตีโต้ไปมายังคงดังก้องออกจากห้องชมรมปิงปองเหมือนเช่นเคย    วาค่อยๆเปิดประตูห้องชมรมด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย             
                          คนแรกที่วาพบก็คือ พรีสไซ รองประธานชมรมปิงปองเจ้าเก่านั่นเอง    พรีสไซยิ้มเมื่อเห็นวาเดินเข้ามาทันที                     
                        “ วันนี้มาช้ากว่าปกตินิ  เอ๊ะทำไมดูท่านายเหนื่อยๆนะ ”
                        “ ก็พอดีวันนี้ เราไปแข่งประลองอาวุธมาน่ะสิ ”
                        “ อ่อ อย่างนี้นี่เอง  เราลืมไปเลย  ไม่งั้นจะแวะไปดูเสียหน่อย ”
                              วาหันไปมองรอบๆห้อง บรรยากาศของห้องก็ยังคงดูเหมือนเดิม  พวกนักเรียนชมรมปิงปองหลายคนที่ยังคงฝึกซ้อมตัวเองอยู่ไม่ยอมกลับ  แต่ที่ทำให้วารู้สึกแปลกออกไปก็คือ โซลีน นั่นเอง
                          โซลีนนั่งเงียบอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในชมรมจ้องมองไปยังนักเรียนชมรมปองปิงสองคนที่กำลังตีโต้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย  วันนี้ดูเหมือนว่าโซลีนจะดูเครียดมากกว่าปกติอย่างมาก
                          วาเมื่อเห็นท่าทางโซลีนดูเครียดๆ เลยลองเดินเข้าไปเพื่อจะถามว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่    วาเดินไปจนถึงข้างโซลีนแล้ว  แต่โวลีนก็ยังคงจ้องมองไปยังคนทั้งสองที่กำลังโต้ปิงปองกันอยู่  ราวกับว่าวาไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนั้นก็ตาม   
                            วาเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ปกติแม้เขาจะมาสายไปหน่อยโซลีนก็ไม่เคยแสดงท่าทีเงียบขรึมออกนี้เลย  หรือว่าวันนี้เขามาสายมากเกินไป      วาเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือของเขา  แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายไปแค่สิบห้า ยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง      ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ?
                             
                            ขณะที่วากำลังจะเอ่ยปากถาม  โซลีนซึ่งนั่งเงียบอยู่ก็เอ่ยปากขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันหน้ามาทางวา 
                            “ มาถึงแล้วสินะ  วันนี้สายไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร  นายบอกไว้แล้วนินะว่าจะไปประลองอาวุธ ”
                              ที่แท้โซลีนรู้แต่แรกแล้วว่าวาจะไปประลอง  ถ้าอย่างนั้นเขาคงไม่ได้โกรธเรื่องที่วามาสาย  แล้วถ้าอย่างนั้นมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่    แต่วาก็ยังไม่ทันได้กล่าวถามโซลีนก็กล่าวต่อ
                            “ เป็นยังไงบ้างละ ชนะไหม ”
                            “ ก็ชนะนะ ”
                            “ อืม ดีแล้ว ”
                              โซลีนลุกขึ้นยืนขึ้นทันที  ซึ่งดูๆแล้วท่าทางเขาจะไม่ได้โกรธวาเลยแม้แต่น้อย  แต่ที่จริงเขาดูเครียดมากกว่า      โซลีนแม้ลุกขึ้นยืนแล้ว  แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังคนที่เบ่นปิงปองทั้งสองคนนนั่น
                            “ นายรู้ไหม ว่าทำไมวันนี้เราถึงดูเครียดๆ ”
                              โซลีนกล่าวถามเหมือนกับรู้ใจวา
                            “ ไม่รู้สิ ”
                              ขณะที่โซลีนกำลังจะบอกกับวา  พรีสไซก็เดินมาพร้อมกับกล่าวแทน
                            “ นั่นก็เป็นเพราะว่า อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะต้องแข่งแล้วน่ะสิ  ”
                              โซลีนพยักหน้า
                            “ หา  อีกไม่กี่สัปดาห์แล้วหรอเนี่ย  ทำไมการแข่งขันระหว่างสถาบันถึงกำลังจะเริ่มขึ้นเร็วอย่างนี้นะ ”
                            “ พวกเราก็เพิ่งรู้มาเมื่อสักครู่นี้เอง  ”
                            “ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า  เราจะต้องฝึกหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างนั้นใช่ไหม
                              วาถามได้ตรงประเด็นมาก  ทำให้โซลีนต้องพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า  “ ใช่แล้ว “
                              ( ในบทเรียนที่ 8 นั้นได้มีการพิมผิด  ถ้าใครจำได้โซลีนจะบอกว่าให้วามาร่วมเป็น 1 ใน 5 ตัวจริงของโรงเรียน  ซึ่งที่จริงต้องเป็น 1 ใน 3 หากใครยังจำได้ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ )
                            “ แต่การที่เราจะเริ่มฝึกหนักได้ นายก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่านายจะต้องมีไม้คู่ใจเสียก่อน  แต่เมื่อไหร่ละนายถึงจะมีน่ะ ”
                            “ เออ เรื่องนั้นขอเวลาอีกสอง สามวันนะ  วันอาทิตย์นี้เราจะลองกลับบ้านไปหาดู  ถ้าหาไม่เจอสงสัยเราก็คงต้องหาไม้คู่ใจใหม่เสียแล้วละ ”
                            “ อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ ”
                              โซลีนเมื่อกล่าวจบก็ก้าวเดินตรงไปยังโต๊ะประธานชมรมห้องเขาพร้อมกันนั้นก็หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมา  จากนั้นก็เดินกลับมาหาวา และพรีสไซ    พร้อมกันนั้นก็ยืนให้ทั้งสองคนนั้นชมดู
                              “ ดูซะ  นี่ก็คือ รายชื่อทีมทั้งหมดที่เราจะต้องเจอ  และก็รายละเอียดกติกาการแข่งขัน ”
                              วายื่นมือรับเอกสารนั้นมาดู  พรีสไซซึ่งอยู่อยู่ข้างๆก็อดที่จะขอดูด้วยไม่ได้  แม้เขาจะเคยดูมาแล้วรอบหนึ่งก็ตาม      วากลอกตาไปมาซ้ายขวาด้วยความรวดเร็ว  ที่แท้เขากำลังค้นหาอะไรอยู่กันแน่ ?
                                และในที่สุดสายตาของวาก็หยุดจับจ้องมองไปยังจุดๆหนึ่งบนเอกสารใบนั้น    สิ่งที่วาเพ่งมองหานั้นก็คือ  ชื่อทีมปิงปองนั่นเอง    และทีมที่วากำลังจ้องมองอยู่นั้นก็คือ  “ ทีมเหยี่วทมิฬ  !!! ”
                              ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ที่วายังคงจ้องมองไปยังชื่อทีมนั้น    ความรู้สึกของวาในตอนนี้ยากที่จะบ่งบอกได้  ไม่ทราบว่าเป็นความดีใจ หรือรู้สึกเช่นไรกันแน่  ที่วารู้เช่นนั้นก็เพราะ  ชื่อทีมเหยี่วทมิฬนั้นก็คือ  ชื่อทีมของลมดำเพื่อนนักปิงปองจากโรงเรียนเก่าของนั้นนั่นเอง
                                ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่ วา และลมดำเคยช่วยกันตั้งขึ้นมานั่นเอง  เป็นชื่อที่เขาและลมดำเคยคิดว่าจะใช้เมื่อสามารถลงแข่งปิงปองระหว่างสถาบันได้   
                                บัดนี้ความฝันของทั้งคู่กลายเป็นความจริงแล้ว  เพียงแต่ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็ได้อยู่ในทีมนั้น        วาเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดๆนั้น    แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งเขาเองก็แอบดีใจอยู่เหมือนกัน    ที่จะได้สู้กับเพื่อนเก่าของเขา      ไม่ทราบว่าป่านนี้ฝีมือของลมดำพัฒนาไปถึงไหนแล้ว  คิดถึงตอนนี้วาก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาในทันที 
                                ขณะนั้นเองที่วากำลังคิดฮึดสู้ขึ้น  พรีสไซก็ออกปากตะโกนออกมาในทันที
                                “ โอ้ !!!  นี่สินะทีมของเรา ”
                                พร้อมกับชี้ไปยังทีมที่ชื่อว่า  “ แพทริออท !!!  ”    วาก็มองตามที่พรีสไซได้ชี้ไป  ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่โซลีนตั้งขึ้นมาเอง  ซึ่งวาเองก็ไม่ได้รู้ความหมายของชื่อทีมนี้  แต่ฟังๆดูแล้ว  ก็มีความเท่ไม่แพ้กับชื่อทีมเหยี่วทมิฬเลย   
                              “ ความหมายของชื่อทีม แพทริออทเนี่ย  นายอาจจะยังไม่รู้นะ ว่ามันหมายความว่ายังไง  เพราะฉะนั้นเราจะบอกให้ฟัง  ”
                                โซลีนกล่าวเหมือนรู้ว่าวากำลังสงสัยในที่มา
                              “ ชื่อ แพทริออทนั้นเป็นชื่อของเครื่องป้องกันขีปนาวุธทางอากาศ  เป็นเครื่องป้องกันการโจมตีทางอากาศที่มีอานุภาพสูงมาก  ซึ่งที่เอามาตั้งเป็นชื่อทีมก็เพราะว่า  จะเปรียบให้ทีมของเราเสมือนเครื่องป้องกันขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพสามารถต่อกรกับศัตรูได้ทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม  ต่อให้เป็นเครื่องบินรบที่แข็งแกรงเพียงใดพวกเราก็จะโค่นมันลงให้จงได้ !!!  ”
                                ความหมายของชื่อทีมแม้จะไม่ลึกซึ่งเท่าไหร่  แต่ฟังดูแล้วน่าเกรงขาม ทำให้เกิดกำลังใจฮึกเฮิมขึ้นมาในทันที      วาเมื่อฟังที่มาของชื่อทีมเขาแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้  เห็นทีทีมเหยี่วทมิฬจะเจอทีมแพทริออทของเขาสอยร่วงลงจากท้องฟ้าเสียแล้วกระมัง 
                                “ แล้วที่สำคัญน่ะ  เรามีอะไรจะให้นายดูด้วยละ  ”
                                  โซลีนยิ้มอย่างภูมิใจจากนั้นเด็กในชมรมคนหนึ่งก็ยื่นเสื้อโค๊ช และเสื้อยืดให้กับโซลีน  จากนั้นก็วิ่งไปเล่นปิงปองต่อ
                                  วาจ้องมองไปยังเสื้อโค๊ช สีดำและเสื้อยืดสีขาวทั้งสองตัวนั้น  เขาพอจะรู้แล้วว่าสิ่งที่โซลีนกำลังจะให้เขาดูมันคืออะไร  โซลีนก้างเสื้อยืดสีขาวออกโชว์ให้วาดูก่อน  ที่แท้นั่นก็คือ  เสื้อประจำทีมของเขานั่นเอง
                                  เสื้อยืดสีขาวนั้นไม่ได้มีลวยลายใดๆมากมายนอกจากปักคำว่า    “ Patriot “    เป็นอักษรสีน้ำเงินเข้มตัดกับขาวไว้ตรงด้านซ้ายของอกเสื้อ  พร้อมด้วยรูปเครื่องบินรบสวยงามลำหนึ่ง  บริเวณรอบๆเครื่องบินนั้นคล้ายมีขีปนาวุธเล็กๆหลายลูกวิ่งไล่ตาม  ดูโดยรวมแล้วถือว่าเท่มากเลยทีเดียว 
                                  ต่อจากนั้นโซลีนก็โชว์เสื้อโค๊ชสีดำให้วาดู  วาก็ต้องตะลึงในทันที  ความสวยงามของเสื้อโค๊ชสีดำเรียกได้ว่า  ถูกใจวามากเลยทีเดียว        เสื้อโค๊ชสีดำนี้ดูไปคล้ายทำจากหนังสีดำมันวับ  ไม่มีแขนเสื้อ  ไม่มีกระดุม  ใช้ซิปรูดแทน  ด้านซ้ายบนนั้นเหมือนกับที่ปรากฎอยู่บนเสื้อยืดสีขาว  ปกคอเสื้อตั้งชันขึ้น    ข้างปกคอทั้งสองข้างติดเข็มตราโรงเรียนอับดุล อินเตอร์        ส่วนด้านหลังของเสื้อนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำทีมเช่นเดียวกันกับที่ติดอยู่บนอกซ้ายของเสื้อ  เพียงแต่เป็นขนาดใหญ่  แถมยังเคลือบด้วยพลาสติกสวยงาม  หากดูไกลๆสามารถสะท้อนแสงได้ด้วย   
                                  วารู้สึกถูกใจเครื่องแบบของชมรมปิงปองมากเลยทีเดียว  ไม่เสียแรงที่เขาได้เป็นตัวจริงเลยได้มีโอกาสใส่ชุดพวกนี้  ในใจคิดขึ้นหากถ้าใส่มันแข่งแล้วจะเท่ขนาดไหนเชียว  และถ้าโซเฟียได้เห็นเขาแล้วจะพูดว่ายังไงบ้างนะ   
                                  “ ความจริงยังมีกางเกง  และก็เข็มขัดด้วยนะเพียงแต่ตอนนี้ยังทำให้ไม่เสร็จ  นายเอาเจ้าสองตัวนี้ไปก่อนก็แล้วกัน  ”
                                  วายื่นมือออกรับด้วยความดีใจ  แต่ก่อนที่เขาจะชื่นชมมันอีกทีโซลีนก็รีบกล่าวห้ามเขา
                                  “ เมื่อรับชุดนี้ไปแล้ว  ห้ามนายโชว์ให้ใครดูก่อนที่จะแข่งเป็นอันขาดเข้าใจไหม  และที่สำคัญห้ามทำหายเข้าใจไหม  เพราะเราสั่งทำไปเพียงแค่สามชุดเท่านั้น  ”
                                  “ รับทราบภารกิจ ”
                                    โซลีนแม้จะดูเข้มงวดไปบ้าง  แต่ก็คงไม่ต้องการให้ใครได้เห็นเสื้อตัวนี้ก่อน  นั่นก็คงเพราะว่าเขาคงต้องการจะทำให้คนในโรงเรียนที่ไปดูการแข่งเกิดความประทับใจนั่นเอง 
                                    “ อ่อ ลืมบอกไปว่า เจ้าเสื้อตัวนี้สามารถเรืองแสงได้ด้วยนะ ”
                                    “ โอ้โห คงจะสวยน่าดูเลยนะเนี่ย  นายคิดแบบเองหรอเนี่ย ”
                                      โซลีนไม่ตอบแต่พยักหน้าแล้วยิ้มแทน  เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อยที่เห็นวาดูชอบเสื้อผลงานของเขา
                                    “ เอาละ  เรื่องปลีกย่อยก็บอกไปแล้วนะ  ต่อจากนี้ก็เป็นกติกาคร่าวๆของการแข่งขังปิงปองระหว่างสถาบันของปีนี้นะ  “
                                      พรีสไซ กับวาทำท่าตั้งใจฟัง 
                                    โซลีนยืนเอามือไขว่หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกล่าว
                                  “ กติกาการแข่งคราวนี้ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่หรอก  หนึ่งทีมจะมีจำนวนผู้เล่นได้เพียงแค่สามคนเท่านั้น  โดยการตัดสินแพ้ชนะนั้น  ทีมไหนสามารถชนะผู้เล่นในทีมอื่นได้ สองในสามถือว่าชนะ  โดยจะตัดสินกันคนละหนึ่งเกม  เกมละจำนวนยี่สิบเอ็ดลูก ”
                                  “ ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรพิเศษไปกว่าทุกปีเลยนี่หน่า ”
                                    พรีสไซถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
                                  “ มีสิ !  ที่มันแตกต่างไปจากทุกปีนั่นก็คือ ...................”
                                         
                                  วาก้าวเดินออกมาจากห้องชมรมปิงปองหลังจากซ้อมเสร็จแล้ว    วันนี้เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันปิงปองระหว่างสถาบัน  แถมโซลีนยังฝึกหนักมากกว่าที่เคยด้วย  ทำเอาวาที่เหนื่อยอยู่แล้ว  ถึงกับเหนื่อยมากกว่าเดิม  เล่นเอาเขาแทบแย่เลยทีเดียว 
                                  ขณะที่วากำลังเดินตามทางเรื่อยๆ เขาก็ได้คิดถึงสิ่งที่โซลีนได้บอกกับเขาในวันนี้    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกติกาประหลาดๆ ที่เพิ่มเข้ามาหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่แข่งเก่งๆของแต่ละโรงเรียน   
                                  ฟังว่าเจ้านักปิงปองตาบอดที่วาเคยได้ยินมาไม่ได้มีเพียงแค่ข่าวลือ  แต่กลับมีตัวตนอยู่จริง    และยังมีนักปิงปองหน้าใหม่ฝีมือร้ายกาจเพิ่มมาอีกมากมาย  แต่ที่ฟังแล้วทำให้วาต้องรู้สึกอดหวั่นใจไม่ได้ก็คือ    เจ้านักปิงปองหน้าใหม่ชั้น ม.5  ซึ่งเพิ่งจะลงแข่งปีนี้ปีแรกนั้น      ฟังว่าความสามารถในการตีปิงปองของเจ้านี่อยู่ในขั้นอัจฉริยะแล้ว  ความรุนแรง รวดเร็วของลูกตบนั้นแทบไม่มีผู้ใดสามารถทนทานต้านรับได้เลยทีเดียว    ดังนั้นแม้เจ้านี่จะไม่เคยลงแข่งระหว่างสถาบันมาก่อนก็ตาม    แต่ด้วยความสามารถของมันแล้วถึงกับเขาให้เหล่านักปิงปองจากหลายโรงเรียนอดไม่ได้ที่จะได้ยินชื่อเสียงของมันในนาม  “ ดาบอัคคีทมิฬไร้พ่าย ” 
                                  ชื่อฉายานี้นั้นถึงไม่ต้องให้ใครมาแปลความหมายให้ฟังนั้นวาก็พอที่จะแปลความหมายออกมาได้  ดาบทิมฬอัคคีไร้พ่ายนั้นคงหมายถึงพลังทำลายล้างของลูกตบของมันนั่นเอง    เมื่อมันตบลูกตบออกไปแล้วไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถที่จะทนทานรับได้  หรือถ้าสามารถทนทานรับได้ละก็มันก็จะเป็นฝ่ายจู่โจมตบไปเรื่อยๆ ราวกับอัคคีเวลาไห้มแล้วจะลุกลามด้วยความรวดเร็ว  ไร้ความปราณี  จนกว่าคนผู้นั้นจะพ่ายแพ้  และฟังว่าคนที่สามารถรับลูกตบของเจ้านี่ได้นั้นมีจำนวนไม่นานนัก   
                                ดังนั้นเจ้านี่จึงเปรียบเสมือนดาบเพลิงปีศาจที่อยู่ในความมืด    การที่มันได้ฉายาอย่างนี้มานั้นนับว่าไม่แปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย        วาได้ยินชื่อเสียงของเจ้านี่มาวันนี้ถึงแม้จะอดหวั่นใจไม่ได้อยู่บ้าง  แต่ภายในใจนั้นกลับมีความรู้สึกหนึ่งพุ่งพวยขึ้นมา    ความรู้สึกที่อยากจะลองสู้กับเจ้านี่ดูสักครั้ง 
                                คนเราบางครั้งอาจจะอยู่เพื่อหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองก็เป็นได้  แต่พวกเขาเหล่านั้นอาจจะหารู้ไม่ว่า  เมื่อเขาสามารถโค่นศัตรู หรือคู่แข่งของพวกเขาลงได้หมดแล้วนั้น  สิ่งที่เหลืออยู่อาจจะมีแต่ความว่างเปล่าก็เป็นไปได้    นั้นก็อาจจะคล้ายกับคำพูดที่ว่า  “ ยิ่งสูงยิ่งหนาวก็เป็นไปได้ “
                                วาแย้มยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย  ‘ ดาบอัคคีทมิฬงั้นรึ  แล้วถ้ามาเจอกับ ปีศาจละจะเกิดอะไรขึ้น !!  ‘
                                 
                                ขณะที่วากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่เรื่อยนั้นๆ  เขาก็หยุดฝีเท้าลงนั่นก็เพราะว่า  ที่เบื้องนอกคึกอาคารฝนตกปรากฎฝนตกขึ้นแล้ว    สายฝนตกลงมาเมื่อไหร่วาไม่อาจทราบได้  น่าจะเป็นช่วงที่เขากำลังซ้อมปิงปองอยู่นั่นเอง   
                                สายฝนตกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  นี่ถ้าเกิดเขาก้าวออกไปละก็ได้เปียกโชกแน่นอน  แต่ถ้าไม่ก้าวออกไปก็ไม่ได้เสียด้วย  หรือว่าเขาควรจะกลับไปที่ห้องชมรมเพื่อซ้อมต่ออีกดี 
                              ในที่สุดวาก็ตัดสินแล้วว่าเขาควรจะกลับไปยังหอพักเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างที่จะดึกแล้ว  เขาควรจะกลับไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านบ้าง ไม่ก็รีบพักพ่อนเสียหน่อย  เนื่องจากวันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว     
                              คิดได้เช่นนั้นวาก็พับเสื้อทั้งสองตัวที่โซลีนให้มาพร้อมกับกอดเอาไว้  กันไม่ให้มันเปียกให้ได้มากที่สุด  จากนั้นก็ตัดสินใจวิ่งออกไปแล้ว
                           
                              ท้องฟ้ามืดมิด  สายฝนสาดซัดโหดกระหน่ำราวกับท้องฟ้ายามราตรีนี้กำลังร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งก็มิปาน      วาวิ่งผ่าสายฝนอย่างรีบร้อน  ทางข้างหน้าแทบจะมองไม่เห็นเลยถ้าหากไม่มีแสงไฟจากโคมที่ติดอยู่ตามข้างทาง       
                            เวลานี้หากยังมีใครอยู่ข้างนอกนี้ก็แปลกมากแล้ว    เสื้อผ้าของวาในตอนนี้เปียกไปเกือบทั้งตัวแล้ว    ระยะทางจากตึกอาคารชมรมไปยังหอพักไม่ใช่ทางใกล้ๆเลย    แต่วายังคงแข็งใจวิ่งต่อไปแม้จะเหนื่อยมากแล้วก็ตามที
                            ในที่สุดแสงไฟจากข้างหน้าของเขาก็สว่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  นั่นก็เพราะวามาถึงหน้าหอพักแล้วนั่นเอง      วาค่อยๆก้าวอย่างเหนื่อยล้าเข้าไปในหอพัก  พร้อมกันนั้นก็บิดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเขาก่อนที่จะก้าวเข้าไปในหอพัก     
                            ขณะที่วากำลังบิดเสื้อผ้าของเขาอยู่นั่น  เขาพลันพบเห็นอะไรบางอย่างไกลออกไปที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก  หรือว่านี่จะเป็นผีกันแน่ ?
                            คงไม่ใช่หรอกมั้ง  ผีอะไรโผ่ลมาตอนฝนตก    วาด้วยความสงสัยจึงตั้งใจเพ่งมองไปยังจุดนั้นมากขึ้น      สายตาของวาเริ่มปรับสภาพเมื่อเขาจ้องมองไปยังที่มืด  ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นนั่นเอง    ชุดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นที่คุ้นตาของวามาก     
 
                           
                            ในที่สุดวาก็คิดออกว่าคนๆนั้นที่แท้เป็นใคร  นั่นทำให้วาต้องรู้สึกอึ้งไปในทันที  เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นไซโคร แนชนั่นเอง !
                            ไซโคร แนชความจริงขอตัวจากพวกเขาไปตั้งแต่ประลองอาวุธเสร็จแล้ว  ถ้านับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านเวลาไปมากพอสมควรแล้ว  น่าแปลกที่ว่าทำไมไซโคร แนชยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่นอีก  แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ  ทำไมเขาถึงต้องยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนนี้ด้วยละ
                            คิดแล้ววาก็สงสัยมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก  เขาจึงตัดสินใจว่า ไหนๆก็เปียกแล้วเปียกเพิ่มอีกสักนิดจะเป็นไรไป  บางทีไซโคร แนชอาจจะหมดสติไปก็เป็นได้  แต่ใครจะหมดสติในท่านั้นตอนฝนตกนะ ? 
                                 
                            วาวิ่งผ่าสายฝนออกไปอีกครั้ง  ในที่สุดเขาก็วิ่งไปจนถึงไซโคร แนช    ไซโคร แนชทั้งไม่ได้หมดสติ และไม่ได้เป็นอะไร    แต่พอวาวิ่งเข้ามาหาเขาก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย  เขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาหาเขาตอนนี้      ในมือของไซโคร แนชนั้นกำไม้กางเขนที่หอยอยู่ของเขาแน่นขึ้นราวกับว่าถ้าเขาปล่อยมือออกไปแล้ว  กางเขนอันนั้นก็จะหายไปในทันที
                          วาหอบเล็กน้อยพร้อมกับถาม
                          “ รุ่นพี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับเนี่ย  เป็นอะไรรึเปล่าครับ ”
                          เสียงสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้  เสียงของวากลายเป็นเบาไปในทันที  วาจึงต้องตะโกนบอกกับไซโคร แนช    แต่ทันใดนั้นเองไซโคร แนชต้องสะดุ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงวาตะโกนขึ้น 
                          วาเห็นท่าทีไซโคร แนชแปลกๆ  ถามก็ไม่ตอบตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  คิดเตรียมขอตัวจากไป    แต่ทันใดนั้นไซโคร แนชก็ค่อยๆเอ่ยปากขึ้น
                          “ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  เจ้าจะไปก็ไปเถอะ ”
                            เสียงของไซโคร แนชไม่ได้ห้าวอย่างเช่นคย  ถึงกับกล่าวแทบไม่ได้ยิน  ดีที่วาตั้งใจรับฟังอยู่  วาก่อนจะจากไปด้วยความเป็นห่วงจึงกล่าวขึ้น
                        “ ไม่เป็นไรแน่นะครับ  แต่ผมว่าถ้าไม่มีอะไรรุ่นพี่เข้าไปในหอพักก่อนจะดีกว่านะครับ  เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่นะครับ ” 
                          คำพูดของวาคล้ายกับมีดกรีดใจของไซโครแนชในทันที  ไซโคร แนชถึงกับแทบร่ำไห้ออกมา  ดีที่ฝนตกอยู่ทำให้วาไม่สามารถมองเห็นหน้าของไซโคร แนชได้อย่างชัดเจนนัก   
                        “ ไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงข้าหรอก  ข้าอยากอยู่คนเดียว.......... ”
                          “ ครับ ”
                          วาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับวิ่งกลับไปยังหอพัก  เขาเข้าใจว่าไซโคร แนชคงมีเรื่องในใจอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้ดังนั้นจึงไม่คิดถามไถ่ให้มากความ  เพราะเขาคิดว่าถ้ายิ่งถามอาจจะเป็นกระตุ้นให้ไซโคร แนชเศร้ามากขึ้นก็เป็นไปได้
   
 
                          ในที่สุดที่ใต้ต้นไม้ก็เหลือเพียงไซโคร แนชคนเดียวเท่านั้น    เสียงสายฝนร่วงหล่นลงกระทบพื้นดินยังคงดังอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีวันสิ้นสุด    ไซโคร แนชยังคงยืนกำกางเขนในมือของเขาอยู่แนบแน่นเช่นนั้น............
                                    ___________________________________________________
                                     
                           
                               
                                       
                                 
                           
                           
                         
   
                               
             
             
           
           
                     
                     
   
 
                           
                           
                       
             
   
     
             
                      “ ฟ้าวววว !!! ”
                      แสงสว่างเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงประหลาด    นีโอซึ่งกำลังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประหลาดก็เดินออกมาดู       
                      ท่ามกลางความมืดของห้องปรากฎเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางห้อง    นีโอใช้เวลาจ้องมองไม่นานนักก็รู้ทันทีว่า  นั่นคือวานั่นเอง
                    “ นี่นายยังไม่นอนอีกหรอ ”
                      วาตกใจเล็กน้อยเมื่อนีโอทักขึ้น  ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งต้องใช้สมาธิอย่างสูง 
                    “ ยังหรอก  นี่เราทำให้นายตื่นหรือเปล่า ”
                    “ ไม่หรอกๆ  พอดีเรานอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว  ได้ยินเสียงก็เลยออกมาดูเท่านั้นเอง  แล้วนายทำอะไรอยู่น่ะ ”
                      วายิ้มอย่างลึกลับ  จากนั้นแบมือให้นีโอดู  สิ่งที่อยู่บนมือของวาไม่ใช่สิ่งอื่นใด  นอกจากสำรับไพ่ประจำตัวของเขานั่นเอง
                    “ เรากำลังฝึกซ้อมมายากลที่จะเอาไปใช้ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้สักหน่อยน่ะ ”
                    “ ขยันดีจังนะ ตอนแรกเรานึกว่าวันนี้นายจะไม่ฝึกเสียอีก  เห็นขึ้นห้องเร็วกว่าทุกวัน ”
                      “ ตอนแรกเราก็กะว่าจะไม่ฝึกแล้วละวันนี้  แต่พอจะทำใจนอนแล้วมันทำใจไม่ได้น่ะสิ  รู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูกเลยต้องมาฝึกซ้อมอีกทีนึงเพื่อความั่นใจ ”
                        ตั้งแต่วันที่วารู้ว่า เขาจะต้องเป็นตัวจริง  และซาซาไรบอกว่าจะฝึกมายากลรูปแบบประยุกต์ที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ให้กับเขา  วาก็เริ่มฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังแทบทุกวัน     
                      หลังจากเขาซ้อมปิงปองเสร็จเวลาช่วงหัวค่ำที่เหลือเขาจะใช้เวลาฝึกมายากลอยู่คนเดียวที่บริเวณต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก    กว่าเขาจะขึ้นห้องก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ตีหนึ่งเลยทีเดียว   
                    วันนี้เขาเป็นคนบอกนีโอเองว่าจะนอนเร็วเอาแรงไว้สู้ในวันพรุ่งนี้  แต่ดูเหมือนว่าใจของเขาจะไม่ยอมให้เขานอนได้ง่ายๆ    วารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก  หรือไม่ก็เพราะเขานอนดึกเพราะฝึกซ้อมมาเป็นเวลาหลายๆวันจนร่างกายเริ่มชินแล้ว  จึงไม่อาจนอนหลับได้  เขาจึงต้องมาซ้อมมายากลต่อ  แต่เขากลัวว่าจะรบกวนนีโอจึงไม่เปิดไฟซ้อม
                      “ อืม ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วละ ”
                      วาก้มดูนาฬิกาข้อมือสีดำของเขา                   
                      “  เหอๆ รู้สึกว่าจะเที่ยงคืนครึ่งแล้วนะ ”
                      “ หา นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย  เราว่านายนอนก่อนดีกว่าไหม  เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงนา ”
                      “ อืม เราก็ว่าสักพักเราก็จะไปนอนแล้วละ ”
                      วาประกบมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกัน  ซึ่งข้างในมีสำรับไพ่ของเขาอยู่ 
                      “ ถ้าอย่างนั้นละก็  ก่อนที่เราจะเข้านอนจะขอแสดงกลที่เราอุส่าห์คิดค้นขึ้นมาเองให้นายได้ชมก่อนจะแข่งก็แล้วกันนะ ”
                      นีโอพยักหน้า
                    “ จะให้เราเปิดไฟไหม ”
                    “ ไม่ต้องๆๆ  ปิดไฟแหละดีแล้ว  มืดๆสิถึงจะสวย ”
                      กล่าวจบวาก็เริ่มหลับตาคล้ายกับทำสมาธิ  ส่วนนีโอนั้นยืนดูอยู่อย่างสงบนิ่ง    วาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ  มือทั้งสองข้างของเขายังคงประกบกันอยู่  แต่สักพักทันใดแสงสว่างก็เปร่งแสงวูปออกมาจากมือทั้งสองข้างที่ประกบกันอยู่ของเขา   
                      ความสวยงามของแสงที่เปร่งออกมายากที่จะบรรยายได้  และทันใดนั้นเองวาก็แบมือทั้งสองข้างของเขาออกทันที    ไพ่แยกออกเป็นสองกอง  วางอยู่บนทั้งมือซ้ายและมือขวาของเขา    แสงสว่างที่เปร่งออกจากกองไพ่ข้างขวาเป็นสีขาว และแสงสว่างที่เปร่งออกจากมือข้างซ้ายเป็นสีม่วงออกดำ   
                      “ ฟ้าว !!! ”
                      ทันใดนั้นแสงสว่างจากกองไพ่ทั้งสองข้างคล้ายเปร่งประกายแสงออกมาพร้อมๆกัน  ไพ่จากมือทั้งสองข้างพุ่งออกทั่วทิศทาง    แต่ไม่ทันที่ไพ่จะพุ่งไปได้ไกลนักก็ตกลงกลับพื้น    ไม่นานนักไพ่ทุกใบก็ตกลงยังพื้น    วายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆเดินไปเก็บ 
                    “ เป็นอะไรไปหรอ  มันยังไม่สมบรูณ์รึ  แต่เราว่ามันสวยงามมากเลยนะเนี่ย    นายนี่เก่งจริงๆแค่เวลาไม่นานก็สามารถฝึกได้ถึงขนาดนี้แล้ว ”
                      “ ไม่ใช่มันไม่สมบรูณ์หรอกนะ  แต่เราลืมไปว่านี่เป็นหนึ่งในไม้ตายก้นหีบของเราน่ะสิ  ถึงมันจะสวยแต่ถ้าโดนมันเล่นงานเข้าละก็แย่เหมือนกันละ  เราเลยต้องหยุดมันลงก่อน ”
                      “ งั้นหรอ  ถ้าอย่างนั้นหวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้ดูมันเต็มๆ ตอนที่นายแข่งนะ ”
                      “ เราก็หวังว่าเราจะได้ใช้มันเหมือนกันแหละ  แต่ข้อจำกัดของการใช้กลอันนี้มันมีอยู่นะ  อย่างแรกเลยก็คือ  กลนี้เป็นกลที่เปลืองไพ่ในการใช้มากที่สุด  โดยจะใช้ไพ่เกือบทั้งสำรับเลยทีเดียว  และไม่ว่านายเหลือไพ่กี่ใบถ้าใช้กลนี้แล้วละก็ไพ่ของนายก็จะหมดในทันทีเลย    อย่างที่สองเลยก็คือ  การที่จะใช้กลนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆจะต้องใช้สมาธิอย่างมากเลยทีเดียว  และระยะเวลาก่อนที่จะใช้ออกได้ก็ค่อนข้างนานพอสมควรเลยทีเดียว  ยิ่งถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่มีความเร็วสูงแล้วละก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลยทีเดียว  ”
                      “ โห อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ  แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่นายว่าขึ้นมาละนายจะทำยังไง ”
                        วายิ้มเล็กน้อย
                      “ เราก็จะใช้เจ้านี่ยังไงละ !!! ”             
                      วาที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมแย้มยิ้มเล็กน้อย  เขาคิดถึงคำถามที่เมื่อคืนนีโอได้ถามเขาไว้ว่าจะทำยังไงถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาใช้กลที่เขาคิดขึ้นมาเองได้
                    “ คอยดูนะนีโอ นี่ก็คือสิ่งที่เราจะใช้ทำให้ศัตรูต้องเปิดโอกาสให้เราเอง ”    วาคิดในใจ  ใช่แล้ว  ในเมื่อศัตรูไม่เปิดโอกาสให้เรา  ถ้าอย่างนั้นเราก็สร้างโอกาสให้ตัวเราเองเลยจะเป็นไร 
                      เซ้นส์ซึ่งอยู่ห่างจากวาไม่มากวิ่งเข้าหาวาทันทีด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า    วาซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ตวัดไพ่ที่อยู่ในมือของเขาทันที 
                      แม้ความเร็วของเซ้นส์แม้จะถือได้ว่าเร็วมากแล้วก็ตามที  ความเร็วในการซัดไพ่ในมือของวาเมื่อสักครู่นี้กลับเรียกได้ว่าแทบใกล้เคียงกันเลยทีเดียว  หรือาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ     
                      ที่วาสามารถทำได้เช่นนี้นั้นก็เพราะว่า  การฝึกฝนเป็นระยะเวลานานทำให้เขาสามารถซัดไพ่ได้อย่างรวดเร็ว  ยิ่งในเวลาคับขันยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม  ซึ่งน่าแปลกที่คนส่วนใหญ่เวลาอยู่ในยามคับขันมักทำอะไรพลาดได้ง่ายกว่าเดิม  แต่วากลับไม่ใช่คนประเภทนั้น
                      ไพ่ของวาพุ่งแหวกอากาศออกด้วยความเร็วสูง    เซ้นส์ถึงแม้จะรวดเร็วเพียงใดแต่ด้วยความไม่ระมัดระวังตัวจึงถูกไพ่ของวาซัดใส่เข้าที่หน้าผากอย่างจัง        ความรวดเร็ว และความแม่นยำของไพ่นั้นเป็นที่เหนือความคาดหมายของทุกผู้คนจริงๆ    แสดงให้เห็นว่าพลังฝีมือ และสมาธิคนผู้ใช้นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาจริงๆ 
                    ไพ่ที่วาซัดออกนั้นไม่ใช่ไพ่ธรรมดาอีกเช่นกัน  เมื่อกระทบถูกหน้าผากของเซ้นส์แล้วก็เกิดควันพุ่งพวยออกมาในทันที  ที่แท้เป็นไพ่ควันนั่นเอง 
                      วาเมื่อซัดไพ่ออกไปแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้ามาเซ้นส์ในทันที    อาศัยจังหวะที่เซ้นส์ยังไม่ทันตั้งตัวก็ง้างมือข้างหนึ่งไปข้างหลัง      ทันใดนั้นมือข้างนั้นก็ปรากฎผ้าคลุมดำใหญ่ผืนหนึ่งขึ้นในทันที   
                    วากระโดดขึ้นสูงมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้จากนั้นสะบัดผ้าคลุมด้วยมือทั้งสองคลุมไปยังเซ้นส์    ผ้าคลุมของวาคล้ายมีเวทย์มนต์คลุมตัวเซ้นส์ได้อย่างพอดีเลยทีเดียว        จากนั้นวารีบวิ่งออกจากห่างเซ้นส์พร้อมกับประกบมือทั้งสองข้างของเขาในทันที  นั่นเป็นท่าที่เขาเคยใช้ให้นีโอดูเมื่อคืนนี้นั่นเอง 
                    “ เอาละนะ  ต่อไปนี้ก็คือ หนึ่งในไม้ตายก้นหีบที่เราคิดค้นขึ้นมาเอง  นายจงเบิกตาดูให้เต็มตาซะ  กลประสานมืดสว่าง !!!! ”
                      ทันใดนั้นในมือทั้งสองของวาปรากฎแสงสว่างขึ้นในทันที  แสงสว่างคราวนี้คล้ายสว่างกว่าที่นีโอเห็นเมื่อคืนมากนัก  แม้จะเป็นที่สว่างอยู่แล้วก็ตาม  นักเรียนทุกคนอดทึ่งไม่ได้ทีเดียว
                      “ โอ้ววววว !  อะไรกับครับเนี่ย  วาเด็กชายลึกลับกำลังทำอะไรกันแน่  ท่าทางจะเป็นท่าเผด็จศึกของเขาแล้วละครับ ”
                      จากนั้นวารีบแยกมือทั้งสองข้างของเขาออกในทันที    บนมือทั้งสองข้างปรากฎสำรับไพ่คนละกอง  กองด้านมือข้างขวาของเขาเปร่งแสงสีขาวออก  ส่วนกองด้านมือซ้ายของเขาเปร่งแสงสีม่วงออกดำ   
                      แต่ในขณะนั้นเองเซ้นส์ก็ฉีกผ้าคลุมของวาออกได้แล้ว  ท่าทางดูเหมือนว่าเซ้นส์จะโมโหมากกว่าเดิม  ความเกรี้ยวกราดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ    เซ้นส์หันหน้าไปมาเพื่อมองหาวา    จนในที่สุดก็พบว่าวายืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา  ก็พุ่งตัวออกในทันที  ความเร็วอยู่ในระดับที่ไม่ต้องบรรยายแล้ว
                     
   
                      วาถึงกับเหงื่อตกในทนที  เขาไม่คิดว่าเซ้นส์จะหลุดออกจากผ้าคลุมของเขาได้เร็วขนาดนี้    ขณะที่สมาธิของเขากำลังจะหลุดออกไปนั้น  วารีบข่มใจสะกดสมาธิเพื่อเตรียมตัวใช้กลประสานมืดสว่างของเขา    ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตัดสินระหว่างความเร็วของเซ้นส์  และสมาธิของวาเสียแล้ว 
                    เซ้นส์วิ่งจนถึงหน้าของวาแล้ว  ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าวาคงจะไม่สามารถรอด  เซ้นส์ง้างแขนทั้งสองข้างขึ้น  ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อแล้วว่าวาจะชนะได้  กงเล็บทั้งสองข้างพุ่งตรงเข้าหาวาแล้ว    แต่เป็นที่น่าแปลกที่สายตาของวายังแฝงความเชื่อมั่นอยู่  แม้ว่าความผ่ายแพ้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม 
                    แม้ในนาทีสุดท้ายวาก็ยังคงเชื่อมั่นอยู่ได้  เขาถือคติว่าถ้ายังไม่หมดลมหายใจความหวังก็ย่อมจะมีอยู่เสมอ    ดังนั้นในโลกมักเกิดเรื่องราวปาฎิหาร์ยขึ้นเสมอ  เพราะมีคนที่เชื่อเช่นเดียวกับวานั่นเอง  คนที่มีความหวังอยู่ทุกเมื่อ !!!
                    “ โอ้วววว !!!  ท่าทางวาคงจะไม่สามารถเอาชนะเซ้นส์สัตว์อสูรได้แล้วละค รั .....บ..บ........ !! ..”
                    เด็กชายนักประกาศกล่าวด้วยความตื่นเต้นระคนผิดหวังนิดหน่อย    นีโอซึ่งดูอยู่คล้ายผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร    มิวถึงกับกำกำปั้นด้วยความเสียดาย  เสือใบ้นิดนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อต่อภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา  วีวี่เองก็เช่นกัน      ภาพเหตุการณ์คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วครู่
                  โซเฟียถึงกับแทบเบือนหน้าหนี    แต่ขณะที่เธอกำลังจะเบือนหน้าหนีนั้นเอง  แสงสว่างก็พุ่งพวยออกจากเวทีลานประลองไปทั่วทุกทิศทาง  นักเรียนทุกคนต่างหันไปจับจ้องยังกลางเวทีเป็นสายตาเดียวกัน 
                    แสงสว่างที่พุ่งพวยออกมาไม่ทราบจะบรรยายความสวยงามออกมาได้อย่างไร  เป็นการผสมสีระหว่างสีขาวกับสีม่วงดำ !!!
                    และแน่นอนแสงสว่างที่พุ่งออกมา ไม่ได้พุ่งออกมาจากที่อื่นใด  นอกจากมือทั้งสองข้างของวานั่นเอง  ไม่น่าเชื่อว่าพริบตาเดียวกันนั้นกับที่เซ้นส์กำลังจะตะปปใส่วา  เพียงแค่เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น  แสงสว่างก็เปร่งออกมาจากมือทั้งสองข้างของวาทันที  นี่คงเป็นผลจากความเชื่อมั่นนั่นเอง 
                    เซ้นส์ถึงกับต้องเอามือปิดตาเสียหลักไปในทันที    วานั้นเหงื่อตก แต่ก็ยิ้มออกแล้ว
                    “ คอยดูให้ดี นี่แหละพลังแห่งความเชื่อมั่นของเรา  กลไม้ตายก้นหีบ ประสานมืดสว่าง จงสาดส่องแสสว่างไปทั่วทุกแห่งหนด้วยเถิด !!!! ”
                    ไพ่พุ่งออกมามือทั้งสองข้างของวาตรงเข้าใส่เซ้นส์อย่างรวดเร็ว    ความสวยงามย่อมไม่ต้องเป็นที่บอกกล่าว  แต่ในความสวยงามนั้นกลับแฝงด้วยพลังการทำลายล้างอย่างสูง    ไพ่พุ่งออกจากมือของวาเรื่อยๆราวกับไม่มีวันหมดสิ้น      ทุกคนต่างเบิกตาดูกลของวาด้วยความทึ่ง  โซเฟียถึงกับร้องเย้ออกมาด้วยความดีใจ 
                 
                    “ โอ้ววววววว ไม่น่าเชื่อเลยครับท่านผู้ชม วาซึ่งท่าทางจะแพ้อยู่แล้วกลับผลิกกลับมาเป็นฝ่ายเล่นงานเซ้นส์แทนได้    แถมยังใช้ออกมาด้วยกลอันสวยงามอีกด้วย  จะเรียกได้ว่า ปาฎิหาร์ย ก็ได้นะครับเนี่ยยยยย !!!! ”
                    ไพ่ของวาพุ่งใส่เซ้นส์จนหมดสิ้นแล้ว  หากตอนนี้เซ้นส์ยังไม่หมดไลท์พอต์ยละก็  คนที่จะพ่ายแพ้ก็ต้องเป็นวาแล้ว      แต่โชคย่อมเข้าข้างคนที่มีความเชื่อมั่น  และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ  ดังนั้นวาชนะแล้ว !!!
                    ไลท์พอต์ยของเซ้นส์ไม่เพียงเหลือ 0 หน่วยเท่านั้น  ยังติดลบไปอีก 500 หน่วยเลยทีเดียว  ความร้ายกาจของกลประสานมืดสว่างนับว่าสมแล้วทีเดียวที่เป็นไม้ตายก้นหีบ
                    วาเปาลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ  ขณะที่เขากำลังเป่าลมออกจากปากเขานั้น  เขาสังเกตว่าไพ่ที่คิดว่าน่าจะใช้ออกจนหมดกลับหลงเหลืออยู่ในมือของเขาหนึ่งใบ    วาทำหน้าสงสัยสักพักจากนั้นก็ยิ้มออกแล้ว  ที่แท้ไพ่ใบที่เหลือใบสุดท้ายนั้นสำคัญอย่างไรกันแน่  หรือจะเป็นใบเดียวกับใบที่วาใช้กลเกราะปักษาที่หน้าห้องแล้วทำไพ่ใบสุดท้ายตกกันแน่ ?
                    อย่างไรก็ตามวาชนะแล้ว  นี่เป็นการชนะครั้งแรกของเขา  โดยที่เขาไม่คิดว่าโชคจะเข้าข้างเขาเลยแม้แต่น้อย   
                    “ ในที่สุดเราก็ได้ตัวผู้ชนะจากการแข่งขันครั้งนี้แล้วละครับ  ผู้ชนะก็คือ วา คร๊าบบบบบบ 
และก็เป็นอย่างที่รู้กันนะครับว่า  ทีมที่จะชนะก็จะต้องเป็นทีม  มิราเคิล นั่นเอง !!!!! ”
                    เสียงปรบมือดังจากรอบด้าน  มีนักเรียนบางคนถึงกับตะโกนคำ  “ เอาอีกๆ ”  ออกมา  เด็กนักเรียนหญิงบางคนถึงกับเริ่มหันมาสนใจเชียร์วาเข้าให้แล้ว
                      แต่ในมุมหนึ่งของห้องนั้นเอง  กลับมีบางคนซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยินดีกับการชนะของวาเลย  คนๆนั้นพูดด้วยความโมโห
                    “ ชิ ไอ้เจ้ากระจอกนั้นชนะได้ยังไงกัน ”
                    “ ใจเย็นสิค่ะ  เขาอาจจะฟลุคก็ได้นะค่ะ ”
                    “ ก็ถ้าเกิดเจ้านั่นไม่ชนะนะ  ป่านนี้เราก็จะได้เห็นคุณโซเฟียแสดงฝีมือแล้วเชียว  อดเลย ”
                      ที่แท้คนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  กลับเป็นเซตคู่ปรับของวานั่นเอง  ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นก็ไม่ใช่ใครอีกเช่นกันเป็น เอมี่   
                  “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงครั้งต่อไปก็คงจะได้เห็นเธอเองแหละ ”
                      เอมี่ความจริงพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับไม่ต้องการจะพูดอย่างนั้น  ความจริงเธอแอบอชอบเซตอยู่  แต่เซตกลับไปชอบโซเฟียเข้า  แถมยังชอบมาปรึกษากับเธออีก  บางครั้งเธอก็นึกแค้นโซเฟียขึ้นมาบ้างเช่นกัน 
                    “ อีกอย่างหนึ่ง  ทำไมคนเก่งๆอย่างคุณโซเฟียต้องไปอยู่ทีมเดียวกับเจ้านั่นด้วย ”
                    “ ไม่รู้เหมือนกันสิค่ะ ”
                    เซตทำท่าจะกล่าวต่อ  แต่เหมือนกับคิดอะไรออกจึงนั่งเงียบไป    ดูเหมือนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่   
                    “ เป็นอะไรไปหรอ เงียบเชียว ”
                    เอมี่ถามอย่างสงสัย  แต่ไม่ทันที่เซตจะตอบว่าอะไรเขาก็รีบลุกขึ้นทันที 
                    “ เราไปกันเถอะ ”
                    จากนั้นเซตก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเอมี่จะตามเขามาหรือเปล่า 
                    “ รอเดี๋ยวสิ ! ”    เอมี่รีบตามเซตไปในทันที  และเช่นกันเจ้าเด็กชายตัวใหญ่ทั้งสองซึ่งเป็นคล้ายๆบอดี้การ์ดของเซตก็รีบตามเซต และเอมี่ไปในทันที
                    “ หึหึ  คอยดูเหอะเจ้าวา  สักวันเราจะต้องแย่งโซเฟียมาจากแกให้ได้ ”    เซตคิดในใจ  เขาหารู้ไม่ว่าที่จริงวาไม่ได้ชอบโซเฟีย  และโซเฟียก็ไม่ได้ชอบวา  แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะมีแผนการณ์แล้ว  เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น  จะเป็นเมื่อไหร่มีแต่เซตเท่านั้นที่ทราบได้............
                     
                      วาค่อยๆเดินลงจากเวที  พร้อมกับถอดชุดป้องกันออก    เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่นั่งทีมของเขา  โซเฟียก็รีบเข้ามาทักทายในทันที 
                    “ สุดยอดมากเลยคุณเด๋อเก่งกว่าเราเสียอีกนะเนี่ย  ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ”
                    “ ไม่หรอก มันฟลุคน่ะ ”
                      วายิ้มพร้อมกับเกาหัว 
                      “ ยินดีด้วยนะครับ  ในที่สุดก็ชนะมาจนได้ ”
                      “ ก็เพราะนายน่ะแหละ  ที่บอกว่าให้เราสู้จนวินาทีสุดท้าย  ขอบคุณมากนะดีว่า ”
                      “ ไม่หรอกครับ  ที่ชนะก็เพราะคุณเชื่อมั่นเองต่างหากละ ”
                      “ เอาน่า  ยังไงก็ชนะแล้วนี่เนอะ  แหะๆ ”
                        โซเฟียกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างดีใจ  จากนั้นดีว่า และวาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม    มีแต่ไซโคร แนชเท่านั้นที่ไม่ได้ออกอาการดีใจด้วยเลย      วาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีไซโคร แนชอีกคนก็เลยกล่าวกับไซโคร แนช
                    “ ผมชนะได้แล้วนะครับ  เป็นยังไงบ้าง ”
                      “ ก็ดี ไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะหมอนั่นได้  แต่ว่าการต่อสู้เมื่อกี้ยังมีจุดอ่อนอยู่มากนัก    ถ้าเป็นข้าละก็เจ้าคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะปล่อยไพ่แรกออกแล้วละ  ”
                      ไซโคร แนชพูดอย่างไม่อ้อมค้อม  ส่วนวานั้นก้มหัวรับคำสั่งสอน  หากเป็นคนอื่นคงไม่คิดว่านี่เป็นคำสั่งสอน เพราะฟังๆดูแล้วมันคล้ายกับคำโอ่อวดตัวเองชัดๆ      แต่ถ้าเขาคิดว่าเป็นคำโอ่วอวดก็แสดงว่าไม่รู้จักไซโคร แนชดีแล้ว   
                      ไซโคร แนชแม้กล่าวออกไปอย่างนั้นที่จริงจงใจจะบอกกับวาว่า    พยายามได้ดีแล้ว  แต่ควรจะฝึกฝนให้มากกว่านี้  ถ้าอีกหน่อยเจอคู่ต่อสู้ที่เร็วกว่านี้จะแย่    จากนั้นไซโคร แนชก็คิดที่จะจากไปแล้ว
                    “ เอาละในเมื่อการแข่งของทีมเราสิ้นสุดลงแล้ว  ข้าก็จะขอตัวไปก่อนนะ ”
                    “ จะไปเลยหรอครับเนี่ย  ไม่อยู่ดูคู่อื่นก่อนหรอครับ ”
                    “ ดูไปก็เท่านั้นแหละนะ ข้าไปก่อนละ  ถ้าพวกเจ้าอยากดูก็เชิญตามสบาย  เจอกันตอนแข่งคราวหน้า  อย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมกันดีๆละ    เพราะยิ่งแข่งคู่ต่อสู้ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆจำไว้ ”
                    “ ครับ แล้วเจอกันนะครับ  ครั้งหน้าผมจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้ให้ได้ ”
                        กล่าวจบไซโคร แนชก็เดินจากไปแล้ว    วา ดีว่า และโซเฟียก็เตรียมตัวที่จะไปนั่งที่คนดูแทน
                     
                      ขณะที่วา กับโซเฟียพยายามจะหาที่นั่งอยู่นั้น  มิวก็วิ่งมาหาพวกเขาในทันที
                    “ เฮ้ๆๆๆ  สุดยอดไปเลยเพื่อน ”
                      มิวแสดงอาการดีใจยิ่งกว่าคนที่ชนะเสียอีก    เมื่อหันไปเห็นดีว่าก็อดจะแสดงความยินดีกับดีว่าด้วยไม่ได้  จนดีว่าต้องอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นท่าทางดีใจอย่างสุดตัวของมิว
                   
                    “ เรากำลังหาที่นั่งกันอยู่น่ะ  ”
                      โซเฟียพูดขึ้นมาก่อนที่มิวจะบ้าไปกว่านั้น 
                      “ อ่อ เรื่องที่นั่งน่ะหรอ  ที่เราลงมาเนี่ยก็เพราะจะพาพวกเธอไปอยู่พอดี  มาๆตามเรามาเลยๆ ”
                      มิวรีบเดินนำหน้าไปในทันที    ไม่นานนักก็พามาจนถึงที่นั่ง  ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเพื่อนๆของวาทั้งนั้นเลยที่นั่งดูกันอยู่    มีทั้งนีโอ วีวี่ เสือใบนิค เบต้า พิชากิ ซักก้า หรือแม้กระทั่งจ๋อย 
                    “ โอ้โห  พวกนายก็มาด้วยหรอเนี่ย ” 
                    “ แน่นอนละนาย ”
                      ซักก้าพูดตอบวา ซึ่งลักษณะการพูดของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม  โดยจะลงท้ายคำพูดด้วยคำว่านายเกือบทุกครั้ง  ส่วนพิชากิไม่ได้พูดกับวาเพียงแค่ทำท่ามาดเข้มพร้อมกับพยักหน้ายอมรับ    นีโอก็ยิ้มแสดงความยินดี
                      “ เก่งมากเลย  ในที่สุดเราก็ได้เห็นกลที่นายบอกเราแล้วนะ  สวยงามมาก ”
                          “ เอาละ พวกเรานั่งกันก่อนดีไหม  ยืนอยู่อย่างนี้เกรงใจคนอื่นเขา ”
                          โซเฟียพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาที่นั่ง  โดยโซเฟียไปนั่งอยู่ระหว่างมิว และวีวี่    ส่วนวานั้นขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า  ตอนเย็นตัวเองอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อ
                      “ เออ นี่เราขอตัวก่อนนะ  พอดีตอนเย็นอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อน่ะ ”
                      “ โห นี่ยังมีแรงจะซ้อมปิงปองต่ออีกเรอะเนี่ย  ไม่ช้ำตายหรอเนี่ย ”
                          มิวถามอย่างเป็นห่วง
                      “ ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกรายนั้น  ท่าทางจะยอมช้ำตายดีกว่าให้ประธานชมรมปิงปองฆ่าตายนะ แหะๆ ”
                          ได้ยินโซเฟียพูดทุกคนถึงกับหัวเราะเป็นเสียงเดียวกันในทันที  ส่วนวาทำท่าเหมือนคนโดนรู้ทัน  จึงบอกขอตัวก่อนอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับจากไป    ส่วนดีว่านั้นก็ทำท่าทีเกรงใจกะว่าจะถามวาไปเหมือนกัน
                      “ ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องขอตัวด้วยเหมือนกันพอดีจะต้องไปซ้อม  เออ.............”
                      ก่อนที่ดีว่าจะพูดอะไรต่อโซเฟียก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที
                      “ อะไรกันจะรีบไปไหนละมาอยู่ด้วยกันก่อนสิ  ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ”
                        โซเฟียพูดพร้อมกับลุกขึ้นดึงตัวดีว่ามาในทันที
                      “ ยืนอยู่อย่างนั้นก็บังคนอื่นเขาหมดสิ  นายนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ ”
                        ที่ๆ โซเฟียลากดีว่าให้นั่งไม่ใช่ที่อื่นใด  นอกจากข้างๆวีวี่นั่นอง  ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าวีวี่จะรู้สึกเช่นไร  เธอถึงกับหน้าแดงในทันที    ส่วนดีว่านั้นเห็นวีวี่นั่งเงียบเลยนึกว่าไม่พอใจจึงรีบกล่าว
                      “ เออ ผมนั่งนี่ไม่เป็นการรบกวนใช่ไหมครับ ”
                          วีวี่ถึงกับเกือบสะดุ้งกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
                      “ มะ  ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่รบกวนเลยแม้แต่น้อย ”
                          มิวที่เห็นวีวี่  ซึ่งปกติชอบเถียงกับตัวเองมาทำท่าเขินอายเมื่อนั่งข้างๆดีว่า ก็ถึงกับหัวเราะออกมาในทันที  แต่ก็ถูกโซเฟียส่งสายตาใส่มิวเลยต้องหยุดหัวเราะลง 
                          วาเมื่อเดินออกมาจากห้องชมรมอัศวินแล้ว  ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะไปบอกซาซาไรหน่อยว่าตัวเองนั้นสามารถเอาชนะการประลองได้แล้ว  แต่พอคิดไปคิดมาดูอีกที  เขาคิดว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกก็ได้  ดังนั้นจึงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะเดินทางไปยังห้องชมรมปิงปอง 
                        ถึงตอนนี้วาเองก็ยังไม่มีไม้ปิงปองที่เขาถนัดใช้อยู่ดี    เขาต้องยืมไม้ปิงปองธรรมดาๆที่มีอยู่ในห้องชมรมปิงปองใช้ไปก่อน        การที่วาไม่มีไม้ปิงปองที่ตัวเองถนัดใช้นั้นทำให้ความสามารถในการตีปิงปองเขาลดลงไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
                        ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมจะไปหาซื้อไม้ปิงปองใหม่  หรือในห้องชมรมปิงปองมีไม้ที่ดีไม่เพียงพอหรอก  แต่ที่วายังไม่มีไม้ที่ถนดนั่นก็เพราะ  เขามีไม้ที่ถนัดอยู่แล้วนั่นเอง  !
                        ความจริงก็คือ วาเองก็มีไม้ที่ตัวเองถนัดใช้อยู่แล้ว  แต่ว่าเขาไม่ได้นำมาจากบ้านของเขา  ไม้ปิงปองที่เขาถนัดนั้นเป็นไม้ปิงปองที่เขาใช้ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดตีครั้งแรก    สำหรับบางคนแล้วถ้าได้เห็นสภาพไม้ปิงปองของวาแล้วก็คงจะไม่เชื่อแน่นอนว่านี่หรือไม้ที่เขาถนัด  บางคิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนไม้ได้แล้ว  แต่วากลับไม่คิดที่จะเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย  นั่นก็เพราะเขาเชื่อมั่นในไม้ของเขา  จึงทำให้เขาสามารถไต่เต้าตัวเอง  จนได้ฉายาว่า  “ ปีศาจ ” จากโรงเรียนเก่าของเขา     
                        วาเป็นคนที่รักของของเขามาก  ถ้าเขาถูกใจสิ่งไหนแล้วก็ตาม  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่  ไม่ว่าของเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างไร  ไม่ว่าจะมีของรุ่นใหม่ที่ดีกว่านั้นออกมา  ไม่ว่าคนรอบข้างจะพูดว่าอย่างไร  เขาไม่เคยจะสนเลยแม้แต่น้อย    นี่ถ้าหากเปลี่ยนจากของที่เขารัก เป็นคนที่เขารักแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ? 
                         
                               
                           
                          วาเดินไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็มาถึงยังห้องชมรมปิงปองจนได้    เสียงลูกปิงปองที่ถูกตีโต้ไปมายังคงดังก้องออกจากห้องชมรมปิงปองเหมือนเช่นเคย    วาค่อยๆเปิดประตูห้องชมรมด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย             
                          คนแรกที่วาพบก็คือ พรีสไซ รองประธานชมรมปิงปองเจ้าเก่านั่นเอง    พรีสไซยิ้มเมื่อเห็นวาเดินเข้ามาทันที                     
                        “ วันนี้มาช้ากว่าปกตินิ  เอ๊ะทำไมดูท่านายเหนื่อยๆนะ ”
                        “ ก็พอดีวันนี้ เราไปแข่งประลองอาวุธมาน่ะสิ ”
                        “ อ่อ อย่างนี้นี่เอง  เราลืมไปเลย  ไม่งั้นจะแวะไปดูเสียหน่อย ”
                              วาหันไปมองรอบๆห้อง บรรยากาศของห้องก็ยังคงดูเหมือนเดิม  พวกนักเรียนชมรมปิงปองหลายคนที่ยังคงฝึกซ้อมตัวเองอยู่ไม่ยอมกลับ  แต่ที่ทำให้วารู้สึกแปลกออกไปก็คือ โซลีน นั่นเอง
                          โซลีนนั่งเงียบอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในชมรมจ้องมองไปยังนักเรียนชมรมปองปิงสองคนที่กำลังตีโต้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย  วันนี้ดูเหมือนว่าโซลีนจะดูเครียดมากกว่าปกติอย่างมาก
                          วาเมื่อเห็นท่าทางโซลีนดูเครียดๆ เลยลองเดินเข้าไปเพื่อจะถามว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่    วาเดินไปจนถึงข้างโซลีนแล้ว  แต่โวลีนก็ยังคงจ้องมองไปยังคนทั้งสองที่กำลังโต้ปิงปองกันอยู่  ราวกับว่าวาไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนั้นก็ตาม   
                            วาเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ปกติแม้เขาจะมาสายไปหน่อยโซลีนก็ไม่เคยแสดงท่าทีเงียบขรึมออกนี้เลย  หรือว่าวันนี้เขามาสายมากเกินไป      วาเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือของเขา  แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายไปแค่สิบห้า ยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง      ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ?
                             
                            ขณะที่วากำลังจะเอ่ยปากถาม  โซลีนซึ่งนั่งเงียบอยู่ก็เอ่ยปากขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันหน้ามาทางวา 
                            “ มาถึงแล้วสินะ  วันนี้สายไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร  นายบอกไว้แล้วนินะว่าจะไปประลองอาวุธ ”
                              ที่แท้โซลีนรู้แต่แรกแล้วว่าวาจะไปประลอง  ถ้าอย่างนั้นเขาคงไม่ได้โกรธเรื่องที่วามาสาย  แล้วถ้าอย่างนั้นมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่    แต่วาก็ยังไม่ทันได้กล่าวถามโซลีนก็กล่าวต่อ
                            “ เป็นยังไงบ้างละ ชนะไหม ”
                            “ ก็ชนะนะ ”
                            “ อืม ดีแล้ว ”
                              โซลีนลุกขึ้นยืนขึ้นทันที  ซึ่งดูๆแล้วท่าทางเขาจะไม่ได้โกรธวาเลยแม้แต่น้อย  แต่ที่จริงเขาดูเครียดมากกว่า      โซลีนแม้ลุกขึ้นยืนแล้ว  แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังคนที่เบ่นปิงปองทั้งสองคนนนั่น
                            “ นายรู้ไหม ว่าทำไมวันนี้เราถึงดูเครียดๆ ”
                              โซลีนกล่าวถามเหมือนกับรู้ใจวา
                            “ ไม่รู้สิ ”
                              ขณะที่โซลีนกำลังจะบอกกับวา  พรีสไซก็เดินมาพร้อมกับกล่าวแทน
                            “ นั่นก็เป็นเพราะว่า อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะต้องแข่งแล้วน่ะสิ  ”
                              โซลีนพยักหน้า
                            “ หา  อีกไม่กี่สัปดาห์แล้วหรอเนี่ย  ทำไมการแข่งขันระหว่างสถาบันถึงกำลังจะเริ่มขึ้นเร็วอย่างนี้นะ ”
                            “ พวกเราก็เพิ่งรู้มาเมื่อสักครู่นี้เอง  ”
                            “ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า  เราจะต้องฝึกหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างนั้นใช่ไหม
                              วาถามได้ตรงประเด็นมาก  ทำให้โซลีนต้องพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า  “ ใช่แล้ว “
                              ( ในบทเรียนที่ 8 นั้นได้มีการพิมผิด  ถ้าใครจำได้โซลีนจะบอกว่าให้วามาร่วมเป็น 1 ใน 5 ตัวจริงของโรงเรียน  ซึ่งที่จริงต้องเป็น 1 ใน 3 หากใครยังจำได้ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ )
                            “ แต่การที่เราจะเริ่มฝึกหนักได้ นายก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่านายจะต้องมีไม้คู่ใจเสียก่อน  แต่เมื่อไหร่ละนายถึงจะมีน่ะ ”
                            “ เออ เรื่องนั้นขอเวลาอีกสอง สามวันนะ  วันอาทิตย์นี้เราจะลองกลับบ้านไปหาดู  ถ้าหาไม่เจอสงสัยเราก็คงต้องหาไม้คู่ใจใหม่เสียแล้วละ ”
                            “ อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ ”
                              โซลีนเมื่อกล่าวจบก็ก้าวเดินตรงไปยังโต๊ะประธานชมรมห้องเขาพร้อมกันนั้นก็หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมา  จากนั้นก็เดินกลับมาหาวา และพรีสไซ    พร้อมกันนั้นก็ยืนให้ทั้งสองคนนั้นชมดู
                              “ ดูซะ  นี่ก็คือ รายชื่อทีมทั้งหมดที่เราจะต้องเจอ  และก็รายละเอียดกติกาการแข่งขัน ”
                              วายื่นมือรับเอกสารนั้นมาดู  พรีสไซซึ่งอยู่อยู่ข้างๆก็อดที่จะขอดูด้วยไม่ได้  แม้เขาจะเคยดูมาแล้วรอบหนึ่งก็ตาม      วากลอกตาไปมาซ้ายขวาด้วยความรวดเร็ว  ที่แท้เขากำลังค้นหาอะไรอยู่กันแน่ ?
                                และในที่สุดสายตาของวาก็หยุดจับจ้องมองไปยังจุดๆหนึ่งบนเอกสารใบนั้น    สิ่งที่วาเพ่งมองหานั้นก็คือ  ชื่อทีมปิงปองนั่นเอง    และทีมที่วากำลังจ้องมองอยู่นั้นก็คือ  “ ทีมเหยี่วทมิฬ  !!! ”
                              ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ที่วายังคงจ้องมองไปยังชื่อทีมนั้น    ความรู้สึกของวาในตอนนี้ยากที่จะบ่งบอกได้  ไม่ทราบว่าเป็นความดีใจ หรือรู้สึกเช่นไรกันแน่  ที่วารู้เช่นนั้นก็เพราะ  ชื่อทีมเหยี่วทมิฬนั้นก็คือ  ชื่อทีมของลมดำเพื่อนนักปิงปองจากโรงเรียนเก่าของนั้นนั่นเอง
                                ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่ วา และลมดำเคยช่วยกันตั้งขึ้นมานั่นเอง  เป็นชื่อที่เขาและลมดำเคยคิดว่าจะใช้เมื่อสามารถลงแข่งปิงปองระหว่างสถาบันได้   
                                บัดนี้ความฝันของทั้งคู่กลายเป็นความจริงแล้ว  เพียงแต่ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็ได้อยู่ในทีมนั้น        วาเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดๆนั้น    แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งเขาเองก็แอบดีใจอยู่เหมือนกัน    ที่จะได้สู้กับเพื่อนเก่าของเขา      ไม่ทราบว่าป่านนี้ฝีมือของลมดำพัฒนาไปถึงไหนแล้ว  คิดถึงตอนนี้วาก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาในทันที 
                                ขณะนั้นเองที่วากำลังคิดฮึดสู้ขึ้น  พรีสไซก็ออกปากตะโกนออกมาในทันที
                                “ โอ้ !!!  นี่สินะทีมของเรา ”
                                พร้อมกับชี้ไปยังทีมที่ชื่อว่า  “ แพทริออท !!!  ”    วาก็มองตามที่พรีสไซได้ชี้ไป  ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่โซลีนตั้งขึ้นมาเอง  ซึ่งวาเองก็ไม่ได้รู้ความหมายของชื่อทีมนี้  แต่ฟังๆดูแล้ว  ก็มีความเท่ไม่แพ้กับชื่อทีมเหยี่วทมิฬเลย   
                              “ ความหมายของชื่อทีม แพทริออทเนี่ย  นายอาจจะยังไม่รู้นะ ว่ามันหมายความว่ายังไง  เพราะฉะนั้นเราจะบอกให้ฟัง  ”
                                โซลีนกล่าวเหมือนรู้ว่าวากำลังสงสัยในที่มา
                              “ ชื่อ แพทริออทนั้นเป็นชื่อของเครื่องป้องกันขีปนาวุธทางอากาศ  เป็นเครื่องป้องกันการโจมตีทางอากาศที่มีอานุภาพสูงมาก  ซึ่งที่เอามาตั้งเป็นชื่อทีมก็เพราะว่า  จะเปรียบให้ทีมของเราเสมือนเครื่องป้องกันขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพสามารถต่อกรกับศัตรูได้ทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม  ต่อให้เป็นเครื่องบินรบที่แข็งแกรงเพียงใดพวกเราก็จะโค่นมันลงให้จงได้ !!!  ”
                                ความหมายของชื่อทีมแม้จะไม่ลึกซึ่งเท่าไหร่  แต่ฟังดูแล้วน่าเกรงขาม ทำให้เกิดกำลังใจฮึกเฮิมขึ้นมาในทันที      วาเมื่อฟังที่มาของชื่อทีมเขาแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้  เห็นทีทีมเหยี่วทมิฬจะเจอทีมแพทริออทของเขาสอยร่วงลงจากท้องฟ้าเสียแล้วกระมัง 
                                “ แล้วที่สำคัญน่ะ  เรามีอะไรจะให้นายดูด้วยละ  ”
                                  โซลีนยิ้มอย่างภูมิใจจากนั้นเด็กในชมรมคนหนึ่งก็ยื่นเสื้อโค๊ช และเสื้อยืดให้กับโซลีน  จากนั้นก็วิ่งไปเล่นปิงปองต่อ
                                  วาจ้องมองไปยังเสื้อโค๊ช สีดำและเสื้อยืดสีขาวทั้งสองตัวนั้น  เขาพอจะรู้แล้วว่าสิ่งที่โซลีนกำลังจะให้เขาดูมันคืออะไร  โซลีนก้างเสื้อยืดสีขาวออกโชว์ให้วาดูก่อน  ที่แท้นั่นก็คือ  เสื้อประจำทีมของเขานั่นเอง
                                  เสื้อยืดสีขาวนั้นไม่ได้มีลวยลายใดๆมากมายนอกจากปักคำว่า    “ Patriot “    เป็นอักษรสีน้ำเงินเข้มตัดกับขาวไว้ตรงด้านซ้ายของอกเสื้อ  พร้อมด้วยรูปเครื่องบินรบสวยงามลำหนึ่ง  บริเวณรอบๆเครื่องบินนั้นคล้ายมีขีปนาวุธเล็กๆหลายลูกวิ่งไล่ตาม  ดูโดยรวมแล้วถือว่าเท่มากเลยทีเดียว 
                                  ต่อจากนั้นโซลีนก็โชว์เสื้อโค๊ชสีดำให้วาดู  วาก็ต้องตะลึงในทันที  ความสวยงามของเสื้อโค๊ชสีดำเรียกได้ว่า  ถูกใจวามากเลยทีเดียว        เสื้อโค๊ชสีดำนี้ดูไปคล้ายทำจากหนังสีดำมันวับ  ไม่มีแขนเสื้อ  ไม่มีกระดุม  ใช้ซิปรูดแทน  ด้านซ้ายบนนั้นเหมือนกับที่ปรากฎอยู่บนเสื้อยืดสีขาว  ปกคอเสื้อตั้งชันขึ้น    ข้างปกคอทั้งสองข้างติดเข็มตราโรงเรียนอับดุล อินเตอร์        ส่วนด้านหลังของเสื้อนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำทีมเช่นเดียวกันกับที่ติดอยู่บนอกซ้ายของเสื้อ  เพียงแต่เป็นขนาดใหญ่  แถมยังเคลือบด้วยพลาสติกสวยงาม  หากดูไกลๆสามารถสะท้อนแสงได้ด้วย   
                                  วารู้สึกถูกใจเครื่องแบบของชมรมปิงปองมากเลยทีเดียว  ไม่เสียแรงที่เขาได้เป็นตัวจริงเลยได้มีโอกาสใส่ชุดพวกนี้  ในใจคิดขึ้นหากถ้าใส่มันแข่งแล้วจะเท่ขนาดไหนเชียว  และถ้าโซเฟียได้เห็นเขาแล้วจะพูดว่ายังไงบ้างนะ   
                                  “ ความจริงยังมีกางเกง  และก็เข็มขัดด้วยนะเพียงแต่ตอนนี้ยังทำให้ไม่เสร็จ  นายเอาเจ้าสองตัวนี้ไปก่อนก็แล้วกัน  ”
                                  วายื่นมือออกรับด้วยความดีใจ  แต่ก่อนที่เขาจะชื่นชมมันอีกทีโซลีนก็รีบกล่าวห้ามเขา
                                  “ เมื่อรับชุดนี้ไปแล้ว  ห้ามนายโชว์ให้ใครดูก่อนที่จะแข่งเป็นอันขาดเข้าใจไหม  และที่สำคัญห้ามทำหายเข้าใจไหม  เพราะเราสั่งทำไปเพียงแค่สามชุดเท่านั้น  ”
                                  “ รับทราบภารกิจ ”
                                    โซลีนแม้จะดูเข้มงวดไปบ้าง  แต่ก็คงไม่ต้องการให้ใครได้เห็นเสื้อตัวนี้ก่อน  นั่นก็คงเพราะว่าเขาคงต้องการจะทำให้คนในโรงเรียนที่ไปดูการแข่งเกิดความประทับใจนั่นเอง 
                                    “ อ่อ ลืมบอกไปว่า เจ้าเสื้อตัวนี้สามารถเรืองแสงได้ด้วยนะ ”
                                    “ โอ้โห คงจะสวยน่าดูเลยนะเนี่ย  นายคิดแบบเองหรอเนี่ย ”
                                      โซลีนไม่ตอบแต่พยักหน้าแล้วยิ้มแทน  เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อยที่เห็นวาดูชอบเสื้อผลงานของเขา
                                    “ เอาละ  เรื่องปลีกย่อยก็บอกไปแล้วนะ  ต่อจากนี้ก็เป็นกติกาคร่าวๆของการแข่งขังปิงปองระหว่างสถาบันของปีนี้นะ  “
                                      พรีสไซ กับวาทำท่าตั้งใจฟัง 
                                    โซลีนยืนเอามือไขว่หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกล่าว
                                  “ กติกาการแข่งคราวนี้ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่หรอก  หนึ่งทีมจะมีจำนวนผู้เล่นได้เพียงแค่สามคนเท่านั้น  โดยการตัดสินแพ้ชนะนั้น  ทีมไหนสามารถชนะผู้เล่นในทีมอื่นได้ สองในสามถือว่าชนะ  โดยจะตัดสินกันคนละหนึ่งเกม  เกมละจำนวนยี่สิบเอ็ดลูก ”
                                  “ ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรพิเศษไปกว่าทุกปีเลยนี่หน่า ”
                                    พรีสไซถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
                                  “ มีสิ !  ที่มันแตกต่างไปจากทุกปีนั่นก็คือ ...................”
                                         
                                  วาก้าวเดินออกมาจากห้องชมรมปิงปองหลังจากซ้อมเสร็จแล้ว    วันนี้เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันปิงปองระหว่างสถาบัน  แถมโซลีนยังฝึกหนักมากกว่าที่เคยด้วย  ทำเอาวาที่เหนื่อยอยู่แล้ว  ถึงกับเหนื่อยมากกว่าเดิม  เล่นเอาเขาแทบแย่เลยทีเดียว 
                                  ขณะที่วากำลังเดินตามทางเรื่อยๆ เขาก็ได้คิดถึงสิ่งที่โซลีนได้บอกกับเขาในวันนี้    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกติกาประหลาดๆ ที่เพิ่มเข้ามาหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่แข่งเก่งๆของแต่ละโรงเรียน   
                                  ฟังว่าเจ้านักปิงปองตาบอดที่วาเคยได้ยินมาไม่ได้มีเพียงแค่ข่าวลือ  แต่กลับมีตัวตนอยู่จริง    และยังมีนักปิงปองหน้าใหม่ฝีมือร้ายกาจเพิ่มมาอีกมากมาย  แต่ที่ฟังแล้วทำให้วาต้องรู้สึกอดหวั่นใจไม่ได้ก็คือ    เจ้านักปิงปองหน้าใหม่ชั้น ม.5  ซึ่งเพิ่งจะลงแข่งปีนี้ปีแรกนั้น      ฟังว่าความสามารถในการตีปิงปองของเจ้านี่อยู่ในขั้นอัจฉริยะแล้ว  ความรุนแรง รวดเร็วของลูกตบนั้นแทบไม่มีผู้ใดสามารถทนทานต้านรับได้เลยทีเดียว    ดังนั้นแม้เจ้านี่จะไม่เคยลงแข่งระหว่างสถาบันมาก่อนก็ตาม    แต่ด้วยความสามารถของมันแล้วถึงกับเขาให้เหล่านักปิงปองจากหลายโรงเรียนอดไม่ได้ที่จะได้ยินชื่อเสียงของมันในนาม  “ ดาบอัคคีทมิฬไร้พ่าย ” 
                                  ชื่อฉายานี้นั้นถึงไม่ต้องให้ใครมาแปลความหมายให้ฟังนั้นวาก็พอที่จะแปลความหมายออกมาได้  ดาบทิมฬอัคคีไร้พ่ายนั้นคงหมายถึงพลังทำลายล้างของลูกตบของมันนั่นเอง    เมื่อมันตบลูกตบออกไปแล้วไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถที่จะทนทานรับได้  หรือถ้าสามารถทนทานรับได้ละก็มันก็จะเป็นฝ่ายจู่โจมตบไปเรื่อยๆ ราวกับอัคคีเวลาไห้มแล้วจะลุกลามด้วยความรวดเร็ว  ไร้ความปราณี  จนกว่าคนผู้นั้นจะพ่ายแพ้  และฟังว่าคนที่สามารถรับลูกตบของเจ้านี่ได้นั้นมีจำนวนไม่นานนัก   
                                ดังนั้นเจ้านี่จึงเปรียบเสมือนดาบเพลิงปีศาจที่อยู่ในความมืด    การที่มันได้ฉายาอย่างนี้มานั้นนับว่าไม่แปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย        วาได้ยินชื่อเสียงของเจ้านี่มาวันนี้ถึงแม้จะอดหวั่นใจไม่ได้อยู่บ้าง  แต่ภายในใจนั้นกลับมีความรู้สึกหนึ่งพุ่งพวยขึ้นมา    ความรู้สึกที่อยากจะลองสู้กับเจ้านี่ดูสักครั้ง 
                                คนเราบางครั้งอาจจะอยู่เพื่อหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองก็เป็นได้  แต่พวกเขาเหล่านั้นอาจจะหารู้ไม่ว่า  เมื่อเขาสามารถโค่นศัตรู หรือคู่แข่งของพวกเขาลงได้หมดแล้วนั้น  สิ่งที่เหลืออยู่อาจจะมีแต่ความว่างเปล่าก็เป็นไปได้    นั้นก็อาจจะคล้ายกับคำพูดที่ว่า  “ ยิ่งสูงยิ่งหนาวก็เป็นไปได้ “
                                วาแย้มยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย  ‘ ดาบอัคคีทมิฬงั้นรึ  แล้วถ้ามาเจอกับ ปีศาจละจะเกิดอะไรขึ้น !!  ‘
                                 
                                ขณะที่วากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่เรื่อยนั้นๆ  เขาก็หยุดฝีเท้าลงนั่นก็เพราะว่า  ที่เบื้องนอกคึกอาคารฝนตกปรากฎฝนตกขึ้นแล้ว    สายฝนตกลงมาเมื่อไหร่วาไม่อาจทราบได้  น่าจะเป็นช่วงที่เขากำลังซ้อมปิงปองอยู่นั่นเอง   
                                สายฝนตกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  นี่ถ้าเกิดเขาก้าวออกไปละก็ได้เปียกโชกแน่นอน  แต่ถ้าไม่ก้าวออกไปก็ไม่ได้เสียด้วย  หรือว่าเขาควรจะกลับไปที่ห้องชมรมเพื่อซ้อมต่ออีกดี 
                              ในที่สุดวาก็ตัดสินแล้วว่าเขาควรจะกลับไปยังหอพักเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างที่จะดึกแล้ว  เขาควรจะกลับไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านบ้าง ไม่ก็รีบพักพ่อนเสียหน่อย  เนื่องจากวันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว     
                              คิดได้เช่นนั้นวาก็พับเสื้อทั้งสองตัวที่โซลีนให้มาพร้อมกับกอดเอาไว้  กันไม่ให้มันเปียกให้ได้มากที่สุด  จากนั้นก็ตัดสินใจวิ่งออกไปแล้ว
                           
                              ท้องฟ้ามืดมิด  สายฝนสาดซัดโหดกระหน่ำราวกับท้องฟ้ายามราตรีนี้กำลังร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งก็มิปาน      วาวิ่งผ่าสายฝนอย่างรีบร้อน  ทางข้างหน้าแทบจะมองไม่เห็นเลยถ้าหากไม่มีแสงไฟจากโคมที่ติดอยู่ตามข้างทาง       
                            เวลานี้หากยังมีใครอยู่ข้างนอกนี้ก็แปลกมากแล้ว    เสื้อผ้าของวาในตอนนี้เปียกไปเกือบทั้งตัวแล้ว    ระยะทางจากตึกอาคารชมรมไปยังหอพักไม่ใช่ทางใกล้ๆเลย    แต่วายังคงแข็งใจวิ่งต่อไปแม้จะเหนื่อยมากแล้วก็ตามที
                            ในที่สุดแสงไฟจากข้างหน้าของเขาก็สว่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  นั่นก็เพราะวามาถึงหน้าหอพักแล้วนั่นเอง      วาค่อยๆก้าวอย่างเหนื่อยล้าเข้าไปในหอพัก  พร้อมกันนั้นก็บิดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเขาก่อนที่จะก้าวเข้าไปในหอพัก     
                            ขณะที่วากำลังบิดเสื้อผ้าของเขาอยู่นั่น  เขาพลันพบเห็นอะไรบางอย่างไกลออกไปที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก  หรือว่านี่จะเป็นผีกันแน่ ?
                            คงไม่ใช่หรอกมั้ง  ผีอะไรโผ่ลมาตอนฝนตก    วาด้วยความสงสัยจึงตั้งใจเพ่งมองไปยังจุดนั้นมากขึ้น      สายตาของวาเริ่มปรับสภาพเมื่อเขาจ้องมองไปยังที่มืด  ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นนั่นเอง    ชุดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นที่คุ้นตาของวามาก     
 
                           
                            ในที่สุดวาก็คิดออกว่าคนๆนั้นที่แท้เป็นใคร  นั่นทำให้วาต้องรู้สึกอึ้งไปในทันที  เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นไซโคร แนชนั่นเอง !
                            ไซโคร แนชความจริงขอตัวจากพวกเขาไปตั้งแต่ประลองอาวุธเสร็จแล้ว  ถ้านับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านเวลาไปมากพอสมควรแล้ว  น่าแปลกที่ว่าทำไมไซโคร แนชยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่นอีก  แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ  ทำไมเขาถึงต้องยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนนี้ด้วยละ
                            คิดแล้ววาก็สงสัยมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก  เขาจึงตัดสินใจว่า ไหนๆก็เปียกแล้วเปียกเพิ่มอีกสักนิดจะเป็นไรไป  บางทีไซโคร แนชอาจจะหมดสติไปก็เป็นได้  แต่ใครจะหมดสติในท่านั้นตอนฝนตกนะ ? 
                                 
                            วาวิ่งผ่าสายฝนออกไปอีกครั้ง  ในที่สุดเขาก็วิ่งไปจนถึงไซโคร แนช    ไซโคร แนชทั้งไม่ได้หมดสติ และไม่ได้เป็นอะไร    แต่พอวาวิ่งเข้ามาหาเขาก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย  เขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาหาเขาตอนนี้      ในมือของไซโคร แนชนั้นกำไม้กางเขนที่หอยอยู่ของเขาแน่นขึ้นราวกับว่าถ้าเขาปล่อยมือออกไปแล้ว  กางเขนอันนั้นก็จะหายไปในทันที
                          วาหอบเล็กน้อยพร้อมกับถาม
                          “ รุ่นพี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับเนี่ย  เป็นอะไรรึเปล่าครับ ”
                          เสียงสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้  เสียงของวากลายเป็นเบาไปในทันที  วาจึงต้องตะโกนบอกกับไซโคร แนช    แต่ทันใดนั้นเองไซโคร แนชต้องสะดุ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงวาตะโกนขึ้น 
                          วาเห็นท่าทีไซโคร แนชแปลกๆ  ถามก็ไม่ตอบตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  คิดเตรียมขอตัวจากไป    แต่ทันใดนั้นไซโคร แนชก็ค่อยๆเอ่ยปากขึ้น
                          “ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  เจ้าจะไปก็ไปเถอะ ”
                            เสียงของไซโคร แนชไม่ได้ห้าวอย่างเช่นคย  ถึงกับกล่าวแทบไม่ได้ยิน  ดีที่วาตั้งใจรับฟังอยู่  วาก่อนจะจากไปด้วยความเป็นห่วงจึงกล่าวขึ้น
                        “ ไม่เป็นไรแน่นะครับ  แต่ผมว่าถ้าไม่มีอะไรรุ่นพี่เข้าไปในหอพักก่อนจะดีกว่านะครับ  เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่นะครับ ” 
                          คำพูดของวาคล้ายกับมีดกรีดใจของไซโครแนชในทันที  ไซโคร แนชถึงกับแทบร่ำไห้ออกมา  ดีที่ฝนตกอยู่ทำให้วาไม่สามารถมองเห็นหน้าของไซโคร แนชได้อย่างชัดเจนนัก   
                        “ ไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงข้าหรอก  ข้าอยากอยู่คนเดียว.......... ”
                          “ ครับ ”
                          วาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับวิ่งกลับไปยังหอพัก  เขาเข้าใจว่าไซโคร แนชคงมีเรื่องในใจอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้ดังนั้นจึงไม่คิดถามไถ่ให้มากความ  เพราะเขาคิดว่าถ้ายิ่งถามอาจจะเป็นกระตุ้นให้ไซโคร แนชเศร้ามากขึ้นก็เป็นไปได้
   
 
                          ในที่สุดที่ใต้ต้นไม้ก็เหลือเพียงไซโคร แนชคนเดียวเท่านั้น    เสียงสายฝนร่วงหล่นลงกระทบพื้นดินยังคงดังอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีวันสิ้นสุด    ไซโคร แนชยังคงยืนกำกางเขนในมือของเขาอยู่แนบแน่นเช่นนั้น............
                                    ___________________________________________________
                                     
                           
                               
                                       
                                 
                           
                           
                         
   
                               
             
             
           
           
                     
                     
   
 
                           
                           
                       
             
   
     
             
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น