ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนมหาโจร

    ลำดับตอนที่ #23 : บทเรียนที่ 21 ความหวังริบหรี่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.53K
      47
      14 พ.ค. 48

                                                               บทเรียนที่ 21  ความหวังริบหรี่









                          “ ฟ้าวววว !!! ”

                          แสงสว่างเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงประหลาด    นีโอซึ่งกำลังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นเมื่อได้ยินเสียงประหลาดก็เดินออกมาดู        

                          ท่ามกลางความมืดของห้องปรากฎเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งอยู่กลางห้อง     นีโอใช้เวลาจ้องมองไม่นานนักก็รู้ทันทีว่า  นั่นคือวานั่นเอง

                         “ นี่นายยังไม่นอนอีกหรอ ”

                          วาตกใจเล็กน้อยเมื่อนีโอทักขึ้น   ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างซึ่งต้องใช้สมาธิอย่างสูง  

                         “ ยังหรอก  นี่เราทำให้นายตื่นหรือเปล่า ”

                         “ ไม่หรอกๆ  พอดีเรานอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว  ได้ยินเสียงก็เลยออกมาดูเท่านั้นเอง   แล้วนายทำอะไรอยู่น่ะ ”

                          วายิ้มอย่างลึกลับ  จากนั้นแบมือให้นีโอดู   สิ่งที่อยู่บนมือของวาไม่ใช่สิ่งอื่นใด   นอกจากสำรับไพ่ประจำตัวของเขานั่นเอง

                         “ เรากำลังฝึกซ้อมมายากลที่จะเอาไปใช้ในการต่อสู้วันพรุ่งนี้สักหน่อยน่ะ ”

                         “ ขยันดีจังนะ ตอนแรกเรานึกว่าวันนี้นายจะไม่ฝึกเสียอีก  เห็นขึ้นห้องเร็วกว่าทุกวัน ”

                          “ ตอนแรกเราก็กะว่าจะไม่ฝึกแล้วละวันนี้  แต่พอจะทำใจนอนแล้วมันทำใจไม่ได้น่ะสิ  รู้สึกตื่นเต้นยังไงบอกไม่ถูกเลยต้องมาฝึกซ้อมอีกทีนึงเพื่อความั่นใจ ”

                            ตั้งแต่วันที่วารู้ว่า เขาจะต้องเป็นตัวจริง  และซาซาไรบอกว่าจะฝึกมายากลรูปแบบประยุกต์ที่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ให้กับเขา   วาก็เริ่มฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังแทบทุกวัน      

                           หลังจากเขาซ้อมปิงปองเสร็จเวลาช่วงหัวค่ำที่เหลือเขาจะใช้เวลาฝึกมายากลอยู่คนเดียวที่บริเวณต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก    กว่าเขาจะขึ้นห้องก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ตีหนึ่งเลยทีเดียว    

                         วันนี้เขาเป็นคนบอกนีโอเองว่าจะนอนเร็วเอาแรงไว้สู้ในวันพรุ่งนี้  แต่ดูเหมือนว่าใจของเขาจะไม่ยอมให้เขานอนได้ง่ายๆ     วารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก  หรือไม่ก็เพราะเขานอนดึกเพราะฝึกซ้อมมาเป็นเวลาหลายๆวันจนร่างกายเริ่มชินแล้ว  จึงไม่อาจนอนหลับได้   เขาจึงต้องมาซ้อมมายากลต่อ  แต่เขากลัวว่าจะรบกวนนีโอจึงไม่เปิดไฟซ้อม

                          “ อืม ว่าแต่นี่กี่โมงแล้วละ ”

                          วาก้มดูนาฬิกาข้อมือสีดำของเขา                    

                          “  เหอๆ รู้สึกว่าจะเที่ยงคืนครึ่งแล้วนะ ”

                          “ หา นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย  เราว่านายนอนก่อนดีกว่าไหม  เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีแรงนา ”

                          “ อืม เราก็ว่าสักพักเราก็จะไปนอนแล้วละ ”

                          วาประกบมือทั้งสองข้างของเขาเข้าด้วยกัน  ซึ่งข้างในมีสำรับไพ่ของเขาอยู่  

                          “ ถ้าอย่างนั้นละก็  ก่อนที่เราจะเข้านอนจะขอแสดงกลที่เราอุส่าห์คิดค้นขึ้นมาเองให้นายได้ชมก่อนจะแข่งก็แล้วกันนะ ”

                          นีโอพยักหน้า

                         “ จะให้เราเปิดไฟไหม ”

                         “ ไม่ต้องๆๆ  ปิดไฟแหละดีแล้ว  มืดๆสิถึงจะสวย ”

                          กล่าวจบวาก็เริ่มหลับตาคล้ายกับทำสมาธิ  ส่วนนีโอนั้นยืนดูอยู่อย่างสงบนิ่ง     วาค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ   มือทั้งสองข้างของเขายังคงประกบกันอยู่   แต่สักพักทันใดแสงสว่างก็เปร่งแสงวูปออกมาจากมือทั้งสองข้างที่ประกบกันอยู่ของเขา    

                          ความสวยงามของแสงที่เปร่งออกมายากที่จะบรรยายได้  และทันใดนั้นเองวาก็แบมือทั้งสองข้างของเขาออกทันที    ไพ่แยกออกเป็นสองกอง  วางอยู่บนทั้งมือซ้ายและมือขวาของเขา     แสงสว่างที่เปร่งออกจากกองไพ่ข้างขวาเป็นสีขาว และแสงสว่างที่เปร่งออกจากมือข้างซ้ายเป็นสีม่วงออกดำ    

                          “ ฟ้าว !!! ”

                          ทันใดนั้นแสงสว่างจากกองไพ่ทั้งสองข้างคล้ายเปร่งประกายแสงออกมาพร้อมๆกัน   ไพ่จากมือทั้งสองข้างพุ่งออกทั่วทิศทาง    แต่ไม่ทันที่ไพ่จะพุ่งไปได้ไกลนักก็ตกลงกลับพื้น    ไม่นานนักไพ่ทุกใบก็ตกลงยังพื้น    วายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆเดินไปเก็บ  

                         “ เป็นอะไรไปหรอ   มันยังไม่สมบรูณ์รึ  แต่เราว่ามันสวยงามมากเลยนะเนี่ย    นายนี่เก่งจริงๆแค่เวลาไม่นานก็สามารถฝึกได้ถึงขนาดนี้แล้ว ”

                          “ ไม่ใช่มันไม่สมบรูณ์หรอกนะ  แต่เราลืมไปว่านี่เป็นหนึ่งในไม้ตายก้นหีบของเราน่ะสิ   ถึงมันจะสวยแต่ถ้าโดนมันเล่นงานเข้าละก็แย่เหมือนกันละ  เราเลยต้องหยุดมันลงก่อน ”

                          “ งั้นหรอ  ถ้าอย่างนั้นหวังว่าเราคงจะมีโอกาสได้ดูมันเต็มๆ ตอนที่นายแข่งนะ ”

                          “ เราก็หวังว่าเราจะได้ใช้มันเหมือนกันแหละ   แต่ข้อจำกัดของการใช้กลอันนี้มันมีอยู่นะ   อย่างแรกเลยก็คือ  กลนี้เป็นกลที่เปลืองไพ่ในการใช้มากที่สุด  โดยจะใช้ไพ่เกือบทั้งสำรับเลยทีเดียว  และไม่ว่านายเหลือไพ่กี่ใบถ้าใช้กลนี้แล้วละก็ไพ่ของนายก็จะหมดในทันทีเลย    อย่างที่สองเลยก็คือ   การที่จะใช้กลนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆจะต้องใช้สมาธิอย่างมากเลยทีเดียว   และระยะเวลาก่อนที่จะใช้ออกได้ก็ค่อนข้างนานพอสมควรเลยทีเดียว  ยิ่งถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่มีความเร็วสูงแล้วละก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้เลยทีเดียว  ”

                          “ โห อย่างนี้ก็แย่น่ะสิ  แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่นายว่าขึ้นมาละนายจะทำยังไง ”

                            วายิ้มเล็กน้อย

                          “ เราก็จะใช้เจ้านี่ยังไงละ !!! ”              









                          วาที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมแย้มยิ้มเล็กน้อย   เขาคิดถึงคำถามที่เมื่อคืนนีโอได้ถามเขาไว้ว่าจะทำยังไงถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาใช้กลที่เขาคิดขึ้นมาเองได้

                        “ คอยดูนะนีโอ นี่ก็คือสิ่งที่เราจะใช้ทำให้ศัตรูต้องเปิดโอกาสให้เราเอง ”    วาคิดในใจ  ใช่แล้ว  ในเมื่อศัตรูไม่เปิดโอกาสให้เรา  ถ้าอย่างนั้นเราก็สร้างโอกาสให้ตัวเราเองเลยจะเป็นไร  

                          เซ้นส์ซึ่งอยู่ห่างจากวาไม่มากวิ่งเข้าหาวาทันทีด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า    วาซึ่งเตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ตวัดไพ่ที่อยู่ในมือของเขาทันที  

                          แม้ความเร็วของเซ้นส์แม้จะถือได้ว่าเร็วมากแล้วก็ตามที   ความเร็วในการซัดไพ่ในมือของวาเมื่อสักครู่นี้กลับเรียกได้ว่าแทบใกล้เคียงกันเลยทีเดียว   หรือาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ      

                          ที่วาสามารถทำได้เช่นนี้นั้นก็เพราะว่า  การฝึกฝนเป็นระยะเวลานานทำให้เขาสามารถซัดไพ่ได้อย่างรวดเร็ว  ยิ่งในเวลาคับขันยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม  ซึ่งน่าแปลกที่คนส่วนใหญ่เวลาอยู่ในยามคับขันมักทำอะไรพลาดได้ง่ายกว่าเดิม   แต่วากลับไม่ใช่คนประเภทนั้น





                          ไพ่ของวาพุ่งแหวกอากาศออกด้วยความเร็วสูง     เซ้นส์ถึงแม้จะรวดเร็วเพียงใดแต่ด้วยความไม่ระมัดระวังตัวจึงถูกไพ่ของวาซัดใส่เข้าที่หน้าผากอย่างจัง        ความรวดเร็ว และความแม่นยำของไพ่นั้นเป็นที่เหนือความคาดหมายของทุกผู้คนจริงๆ     แสดงให้เห็นว่าพลังฝีมือ และสมาธิคนผู้ใช้นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาจริงๆ  

                         ไพ่ที่วาซัดออกนั้นไม่ใช่ไพ่ธรรมดาอีกเช่นกัน   เมื่อกระทบถูกหน้าผากของเซ้นส์แล้วก็เกิดควันพุ่งพวยออกมาในทันที  ที่แท้เป็นไพ่ควันนั่นเอง  

                          วาเมื่อซัดไพ่ออกไปแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้ามาเซ้นส์ในทันที     อาศัยจังหวะที่เซ้นส์ยังไม่ทันตั้งตัวก็ง้างมือข้างหนึ่งไปข้างหลัง       ทันใดนั้นมือข้างนั้นก็ปรากฎผ้าคลุมดำใหญ่ผืนหนึ่งขึ้นในทันที    

                         วากระโดดขึ้นสูงมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้จากนั้นสะบัดผ้าคลุมด้วยมือทั้งสองคลุมไปยังเซ้นส์     ผ้าคลุมของวาคล้ายมีเวทย์มนต์คลุมตัวเซ้นส์ได้อย่างพอดีเลยทีเดียว         จากนั้นวารีบวิ่งออกจากห่างเซ้นส์พร้อมกับประกบมือทั้งสองข้างของเขาในทันที   นั่นเป็นท่าที่เขาเคยใช้ให้นีโอดูเมื่อคืนนี้นั่นเอง  

                         “ เอาละนะ  ต่อไปนี้ก็คือ หนึ่งในไม้ตายก้นหีบที่เราคิดค้นขึ้นมาเอง  นายจงเบิกตาดูให้เต็มตาซะ  กลประสานมืดสว่าง !!!! ”

                          ทันใดนั้นในมือทั้งสองของวาปรากฎแสงสว่างขึ้นในทันที  แสงสว่างคราวนี้คล้ายสว่างกว่าที่นีโอเห็นเมื่อคืนมากนัก  แม้จะเป็นที่สว่างอยู่แล้วก็ตาม   นักเรียนทุกคนอดทึ่งไม่ได้ทีเดียว

                          “ โอ้ววววว !  อะไรกับครับเนี่ย  วาเด็กชายลึกลับกำลังทำอะไรกันแน่   ท่าทางจะเป็นท่าเผด็จศึกของเขาแล้วละครับ ”

                           จากนั้นวารีบแยกมือทั้งสองข้างของเขาออกในทันที    บนมือทั้งสองข้างปรากฎสำรับไพ่คนละกอง   กองด้านมือข้างขวาของเขาเปร่งแสงสีขาวออก  ส่วนกองด้านมือซ้ายของเขาเปร่งแสงสีม่วงออกดำ    

                           แต่ในขณะนั้นเองเซ้นส์ก็ฉีกผ้าคลุมของวาออกได้แล้ว  ท่าทางดูเหมือนว่าเซ้นส์จะโมโหมากกว่าเดิม  ความเกรี้ยวกราดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ    เซ้นส์หันหน้าไปมาเพื่อมองหาวา    จนในที่สุดก็พบว่าวายืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา  ก็พุ่งตัวออกในทันที   ความเร็วอยู่ในระดับที่ไม่ต้องบรรยายแล้ว

                          



        

                          วาถึงกับเหงื่อตกในทนที  เขาไม่คิดว่าเซ้นส์จะหลุดออกจากผ้าคลุมของเขาได้เร็วขนาดนี้    ขณะที่สมาธิของเขากำลังจะหลุดออกไปนั้น  วารีบข่มใจสะกดสมาธิเพื่อเตรียมตัวใช้กลประสานมืดสว่างของเขา    ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการตัดสินระหว่างความเร็วของเซ้นส์  และสมาธิของวาเสียแล้ว  

                         เซ้นส์วิ่งจนถึงหน้าของวาแล้ว   ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าวาคงจะไม่สามารถรอด   เซ้นส์ง้างแขนทั้งสองข้างขึ้น   ไม่ว่าใครก็ไม่เชื่อแล้วว่าวาจะชนะได้  กงเล็บทั้งสองข้างพุ่งตรงเข้าหาวาแล้ว    แต่เป็นที่น่าแปลกที่สายตาของวายังแฝงความเชื่อมั่นอยู่   แม้ว่าความผ่ายแพ้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วก็ตาม  

                         แม้ในนาทีสุดท้ายวาก็ยังคงเชื่อมั่นอยู่ได้   เขาถือคติว่าถ้ายังไม่หมดลมหายใจความหวังก็ย่อมจะมีอยู่เสมอ    ดังนั้นในโลกมักเกิดเรื่องราวปาฎิหาร์ยขึ้นเสมอ  เพราะมีคนที่เชื่อเช่นเดียวกับวานั่นเอง  คนที่มีความหวังอยู่ทุกเมื่อ !!!

                        “ โอ้วววว !!!  ท่าทางวาคงจะไม่สามารถเอาชนะเซ้นส์สัตว์อสูรได้แล้วละค รั .....บ..บ........ !! ..”

                         เด็กชายนักประกาศกล่าวด้วยความตื่นเต้นระคนผิดหวังนิดหน่อย    นีโอซึ่งดูอยู่คล้ายผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร    มิวถึงกับกำกำปั้นด้วยความเสียดาย   เสือใบ้นิดนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อต่อภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา   วีวี่เองก็เช่นกัน      ภาพเหตุการณ์คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วครู่

                       โซเฟียถึงกับแทบเบือนหน้าหนี    แต่ขณะที่เธอกำลังจะเบือนหน้าหนีนั้นเอง  แสงสว่างก็พุ่งพวยออกจากเวทีลานประลองไปทั่วทุกทิศทาง   นักเรียนทุกคนต่างหันไปจับจ้องยังกลางเวทีเป็นสายตาเดียวกัน  

                        แสงสว่างที่พุ่งพวยออกมาไม่ทราบจะบรรยายความสวยงามออกมาได้อย่างไร  เป็นการผสมสีระหว่างสีขาวกับสีม่วงดำ !!!

                        และแน่นอนแสงสว่างที่พุ่งออกมา ไม่ได้พุ่งออกมาจากที่อื่นใด  นอกจากมือทั้งสองข้างของวานั่นเอง  ไม่น่าเชื่อว่าพริบตาเดียวกันนั้นกับที่เซ้นส์กำลังจะตะปปใส่วา  เพียงแค่เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น  แสงสว่างก็เปร่งออกมาจากมือทั้งสองข้างของวาทันที   นี่คงเป็นผลจากความเชื่อมั่นนั่นเอง  

                        เซ้นส์ถึงกับต้องเอามือปิดตาเสียหลักไปในทันที     วานั้นเหงื่อตก แต่ก็ยิ้มออกแล้ว

                        “ คอยดูให้ดี นี่แหละพลังแห่งความเชื่อมั่นของเรา  กลไม้ตายก้นหีบ ประสานมืดสว่าง จงสาดส่องแสสว่างไปทั่วทุกแห่งหนด้วยเถิด !!!! ”

                        ไพ่พุ่งออกมามือทั้งสองข้างของวาตรงเข้าใส่เซ้นส์อย่างรวดเร็ว    ความสวยงามย่อมไม่ต้องเป็นที่บอกกล่าว  แต่ในความสวยงามนั้นกลับแฝงด้วยพลังการทำลายล้างอย่างสูง    ไพ่พุ่งออกจากมือของวาเรื่อยๆราวกับไม่มีวันหมดสิ้น      ทุกคนต่างเบิกตาดูกลของวาด้วยความทึ่ง  โซเฟียถึงกับร้องเย้ออกมาด้วยความดีใจ  

                      





                         “ โอ้ววววววว ไม่น่าเชื่อเลยครับท่านผู้ชม วาซึ่งท่าทางจะแพ้อยู่แล้วกลับผลิกกลับมาเป็นฝ่ายเล่นงานเซ้นส์แทนได้     แถมยังใช้ออกมาด้วยกลอันสวยงามอีกด้วย  จะเรียกได้ว่า ปาฎิหาร์ย ก็ได้นะครับเนี่ยยยยย !!!! ”

                         ไพ่ของวาพุ่งใส่เซ้นส์จนหมดสิ้นแล้ว   หากตอนนี้เซ้นส์ยังไม่หมดไลท์พอต์ยละก็  คนที่จะพ่ายแพ้ก็ต้องเป็นวาแล้ว       แต่โชคย่อมเข้าข้างคนที่มีความเชื่อมั่น  และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ  ดังนั้นวาชนะแล้ว !!!

                        ไลท์พอต์ยของเซ้นส์ไม่เพียงเหลือ 0 หน่วยเท่านั้น  ยังติดลบไปอีก 500 หน่วยเลยทีเดียว  ความร้ายกาจของกลประสานมืดสว่างนับว่าสมแล้วทีเดียวที่เป็นไม้ตายก้นหีบ

                         วาเปาลมออกจากปากด้วยความโล่งใจ   ขณะที่เขากำลังเป่าลมออกจากปากเขานั้น  เขาสังเกตว่าไพ่ที่คิดว่าน่าจะใช้ออกจนหมดกลับหลงเหลืออยู่ในมือของเขาหนึ่งใบ     วาทำหน้าสงสัยสักพักจากนั้นก็ยิ้มออกแล้ว   ที่แท้ไพ่ใบที่เหลือใบสุดท้ายนั้นสำคัญอย่างไรกันแน่   หรือจะเป็นใบเดียวกับใบที่วาใช้กลเกราะปักษาที่หน้าห้องแล้วทำไพ่ใบสุดท้ายตกกันแน่ ?

                         อย่างไรก็ตามวาชนะแล้ว   นี่เป็นการชนะครั้งแรกของเขา  โดยที่เขาไม่คิดว่าโชคจะเข้าข้างเขาเลยแม้แต่น้อย    

                        “ ในที่สุดเราก็ได้ตัวผู้ชนะจากการแข่งขันครั้งนี้แล้วละครับ  ผู้ชนะก็คือ วา คร๊าบบบบบบ  

    และก็เป็นอย่างที่รู้กันนะครับว่า  ทีมที่จะชนะก็จะต้องเป็นทีม  มิราเคิล นั่นเอง !!!!! ”

                         เสียงปรบมือดังจากรอบด้าน  มีนักเรียนบางคนถึงกับตะโกนคำ  “ เอาอีกๆ ”  ออกมา   เด็กนักเรียนหญิงบางคนถึงกับเริ่มหันมาสนใจเชียร์วาเข้าให้แล้ว

                          แต่ในมุมหนึ่งของห้องนั้นเอง  กลับมีบางคนซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ยินดีกับการชนะของวาเลย   คนๆนั้นพูดด้วยความโมโห

                         “ ชิ ไอ้เจ้ากระจอกนั้นชนะได้ยังไงกัน ”

                         “ ใจเย็นสิค่ะ  เขาอาจจะฟลุคก็ได้นะค่ะ ”

                         “ ก็ถ้าเกิดเจ้านั่นไม่ชนะนะ  ป่านนี้เราก็จะได้เห็นคุณโซเฟียแสดงฝีมือแล้วเชียว  อดเลย ”

                          ที่แท้คนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน  กลับเป็นเซตคู่ปรับของวานั่นเอง  ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นก็ไม่ใช่ใครอีกเช่นกันเป็น เอมี่    

                       “ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยังไงครั้งต่อไปก็คงจะได้เห็นเธอเองแหละ ”

                          เอมี่ความจริงพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจกลับไม่ต้องการจะพูดอย่างนั้น  ความจริงเธอแอบอชอบเซตอยู่  แต่เซตกลับไปชอบโซเฟียเข้า  แถมยังชอบมาปรึกษากับเธออีก   บางครั้งเธอก็นึกแค้นโซเฟียขึ้นมาบ้างเช่นกัน  

                         “ อีกอย่างหนึ่ง  ทำไมคนเก่งๆอย่างคุณโซเฟียต้องไปอยู่ทีมเดียวกับเจ้านั่นด้วย ”

                         “ ไม่รู้เหมือนกันสิค่ะ ”

                        เซตทำท่าจะกล่าวต่อ  แต่เหมือนกับคิดอะไรออกจึงนั่งเงียบไป    ดูเหมือนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่    

                        “ เป็นอะไรไปหรอ เงียบเชียว ”

                         เอมี่ถามอย่างสงสัย  แต่ไม่ทันที่เซตจะตอบว่าอะไรเขาก็รีบลุกขึ้นทันที  

                        “ เราไปกันเถอะ ”

                         จากนั้นเซตก็เดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเอมี่จะตามเขามาหรือเปล่า  

                        “ รอเดี๋ยวสิ ! ”     เอมี่รีบตามเซตไปในทันที  และเช่นกันเจ้าเด็กชายตัวใหญ่ทั้งสองซึ่งเป็นคล้ายๆบอดี้การ์ดของเซตก็รีบตามเซต และเอมี่ไปในทันที

                         “ หึหึ  คอยดูเหอะเจ้าวา  สักวันเราจะต้องแย่งโซเฟียมาจากแกให้ได้ ”     เซตคิดในใจ  เขาหารู้ไม่ว่าที่จริงวาไม่ได้ชอบโซเฟีย  และโซเฟียก็ไม่ได้ชอบวา  แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาจะมีแผนการณ์แล้ว  เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น   จะเป็นเมื่อไหร่มีแต่เซตเท่านั้นที่ทราบได้............





                          

                          วาค่อยๆเดินลงจากเวที  พร้อมกับถอดชุดป้องกันออก    เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่นั่งทีมของเขา   โซเฟียก็รีบเข้ามาทักทายในทันที  

                         “ สุดยอดมากเลยคุณเด๋อเก่งกว่าเราเสียอีกนะเนี่ย  ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ”

                         “ ไม่หรอก มันฟลุคน่ะ ”

                           วายิ้มพร้อมกับเกาหัว  

                          “ ยินดีด้วยนะครับ  ในที่สุดก็ชนะมาจนได้ ”

                          “ ก็เพราะนายน่ะแหละ  ที่บอกว่าให้เราสู้จนวินาทีสุดท้าย  ขอบคุณมากนะดีว่า ”

                          “ ไม่หรอกครับ  ที่ชนะก็เพราะคุณเชื่อมั่นเองต่างหากละ ”

                          “ เอาน่า  ยังไงก็ชนะแล้วนี่เนอะ  แหะๆ ”

                            โซเฟียกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างดีใจ  จากนั้นดีว่า และวาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม     มีแต่ไซโคร แนชเท่านั้นที่ไม่ได้ออกอาการดีใจด้วยเลย       วาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีไซโคร แนชอีกคนก็เลยกล่าวกับไซโคร แนช

                         “ ผมชนะได้แล้วนะครับ  เป็นยังไงบ้าง ”

                          “ ก็ดี ไม่คิดว่าจะสามารถเอาชนะหมอนั่นได้  แต่ว่าการต่อสู้เมื่อกี้ยังมีจุดอ่อนอยู่มากนัก    ถ้าเป็นข้าละก็เจ้าคงแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะปล่อยไพ่แรกออกแล้วละ  ”

                           ไซโคร แนชพูดอย่างไม่อ้อมค้อม  ส่วนวานั้นก้มหัวรับคำสั่งสอน  หากเป็นคนอื่นคงไม่คิดว่านี่เป็นคำสั่งสอน เพราะฟังๆดูแล้วมันคล้ายกับคำโอ่อวดตัวเองชัดๆ      แต่ถ้าเขาคิดว่าเป็นคำโอ่วอวดก็แสดงว่าไม่รู้จักไซโคร แนชดีแล้ว    

                          ไซโคร แนชแม้กล่าวออกไปอย่างนั้นที่จริงจงใจจะบอกกับวาว่า    พยายามได้ดีแล้ว  แต่ควรจะฝึกฝนให้มากกว่านี้   ถ้าอีกหน่อยเจอคู่ต่อสู้ที่เร็วกว่านี้จะแย่    จากนั้นไซโคร แนชก็คิดที่จะจากไปแล้ว

                         “ เอาละในเมื่อการแข่งของทีมเราสิ้นสุดลงแล้ว  ข้าก็จะขอตัวไปก่อนนะ ”

                         “ จะไปเลยหรอครับเนี่ย   ไม่อยู่ดูคู่อื่นก่อนหรอครับ ”

                         “ ดูไปก็เท่านั้นแหละนะ ข้าไปก่อนละ  ถ้าพวกเจ้าอยากดูก็เชิญตามสบาย   เจอกันตอนแข่งคราวหน้า  อย่าลืมตั้งใจฝึกซ้อมกันดีๆละ    เพราะยิ่งแข่งคู่ต่อสู้ยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆจำไว้ ”

                         “ ครับ แล้วเจอกันนะครับ  ครั้งหน้าผมจะต้องเก่งขึ้นกว่านี้ให้ได้ ”

                            กล่าวจบไซโคร แนชก็เดินจากไปแล้ว     วา ดีว่า และโซเฟียก็เตรียมตัวที่จะไปนั่งที่คนดูแทน







                          

                           ขณะที่วา กับโซเฟียพยายามจะหาที่นั่งอยู่นั้น  มิวก็วิ่งมาหาพวกเขาในทันที

                         “ เฮ้ๆๆๆ   สุดยอดไปเลยเพื่อน ”

                           มิวแสดงอาการดีใจยิ่งกว่าคนที่ชนะเสียอีก    เมื่อหันไปเห็นดีว่าก็อดจะแสดงความยินดีกับดีว่าด้วยไม่ได้  จนดีว่าต้องอดยิ้มไม่ได้ที่เห็นท่าทางดีใจอย่างสุดตัวของมิว

                        

                         “ เรากำลังหาที่นั่งกันอยู่น่ะ  ”

                           โซเฟียพูดขึ้นมาก่อนที่มิวจะบ้าไปกว่านั้น  

                          “ อ่อ เรื่องที่นั่งน่ะหรอ  ที่เราลงมาเนี่ยก็เพราะจะพาพวกเธอไปอยู่พอดี  มาๆตามเรามาเลยๆ ”

                           มิวรีบเดินนำหน้าไปในทันที    ไม่นานนักก็พามาจนถึงที่นั่ง  ซึ่งดูเหมือนว่าพวกเพื่อนๆของวาทั้งนั้นเลยที่นั่งดูกันอยู่     มีทั้งนีโอ วีวี่ เสือใบนิค เบต้า พิชากิ ซักก้า หรือแม้กระทั่งจ๋อย  

                         “ โอ้โห  พวกนายก็มาด้วยหรอเนี่ย ”  

                         “ แน่นอนละนาย ”

                           ซักก้าพูดตอบวา ซึ่งลักษณะการพูดของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม  โดยจะลงท้ายคำพูดด้วยคำว่านายเกือบทุกครั้ง   ส่วนพิชากิไม่ได้พูดกับวาเพียงแค่ทำท่ามาดเข้มพร้อมกับพยักหน้ายอมรับ    นีโอก็ยิ้มแสดงความยินดี

                           “ เก่งมากเลย  ในที่สุดเราก็ได้เห็นกลที่นายบอกเราแล้วนะ  สวยงามมาก ”

                              “ เอาละ พวกเรานั่งกันก่อนดีไหม  ยืนอยู่อย่างนี้เกรงใจคนอื่นเขา ”

                               โซเฟียพูดพร้อมกับเดินเข้าไปหาที่นั่ง   โดยโซเฟียไปนั่งอยู่ระหว่างมิว และวีวี่    ส่วนวานั้นขณะที่กำลังจะเข้าไปนั่งนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า  ตอนเย็นตัวเองอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อ

                           “ เออ นี่เราขอตัวก่อนนะ  พอดีตอนเย็นอาจจะต้องไปซ้อมปิงปองต่อน่ะ ”

                           “ โห นี่ยังมีแรงจะซ้อมปิงปองต่ออีกเรอะเนี่ย  ไม่ช้ำตายหรอเนี่ย ”

                               มิวถามอย่างเป็นห่วง

                           “ ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอกรายนั้น  ท่าทางจะยอมช้ำตายดีกว่าให้ประธานชมรมปิงปองฆ่าตายนะ แหะๆ ”

                              ได้ยินโซเฟียพูดทุกคนถึงกับหัวเราะเป็นเสียงเดียวกันในทันที  ส่วนวาทำท่าเหมือนคนโดนรู้ทัน  จึงบอกขอตัวก่อนอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับจากไป    ส่วนดีว่านั้นก็ทำท่าทีเกรงใจกะว่าจะถามวาไปเหมือนกัน

                           “ ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องขอตัวด้วยเหมือนกันพอดีจะต้องไปซ้อม   เออ.............”

                           ก่อนที่ดีว่าจะพูดอะไรต่อโซเฟียก็รีบพูดแทรกขึ้นมาทันที

                           “ อะไรกันจะรีบไปไหนละมาอยู่ด้วยกันก่อนสิ  ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย ”

                             โซเฟียพูดพร้อมกับลุกขึ้นดึงตัวดีว่ามาในทันที

                          “ ยืนอยู่อย่างนั้นก็บังคนอื่นเขาหมดสิ  นายนั่งตรงนี้ก็แล้วกันนะ ”

                             ที่ๆ โซเฟียลากดีว่าให้นั่งไม่ใช่ที่อื่นใด  นอกจากข้างๆวีวี่นั่นอง   ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าวีวี่จะรู้สึกเช่นไร  เธอถึงกับหน้าแดงในทันที     ส่วนดีว่านั้นเห็นวีวี่นั่งเงียบเลยนึกว่าไม่พอใจจึงรีบกล่าว

                           “ เออ ผมนั่งนี่ไม่เป็นการรบกวนใช่ไหมครับ ”

                              วีวี่ถึงกับเกือบสะดุ้งกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า

                           “ มะ  ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่รบกวนเลยแม้แต่น้อย ”

                               มิวที่เห็นวีวี่  ซึ่งปกติชอบเถียงกับตัวเองมาทำท่าเขินอายเมื่อนั่งข้างๆดีว่า ก็ถึงกับหัวเราะออกมาในทันที   แต่ก็ถูกโซเฟียส่งสายตาใส่มิวเลยต้องหยุดหัวเราะลง  







                              วาเมื่อเดินออกมาจากห้องชมรมอัศวินแล้ว  ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะไปบอกซาซาไรหน่อยว่าตัวเองนั้นสามารถเอาชนะการประลองได้แล้ว   แต่พอคิดไปคิดมาดูอีกที  เขาคิดว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกก็ได้   ดังนั้นจึงเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะเดินทางไปยังห้องชมรมปิงปอง  

                             ถึงตอนนี้วาเองก็ยังไม่มีไม้ปิงปองที่เขาถนัดใช้อยู่ดี    เขาต้องยืมไม้ปิงปองธรรมดาๆที่มีอยู่ในห้องชมรมปิงปองใช้ไปก่อน         การที่วาไม่มีไม้ปิงปองที่ตัวเองถนัดใช้นั้นทำให้ความสามารถในการตีปิงปองเขาลดลงไปค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

                             ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมจะไปหาซื้อไม้ปิงปองใหม่  หรือในห้องชมรมปิงปองมีไม้ที่ดีไม่เพียงพอหรอก   แต่ที่วายังไม่มีไม้ที่ถนดนั่นก็เพราะ  เขามีไม้ที่ถนัดอยู่แล้วนั่นเอง  !

                             ความจริงก็คือ วาเองก็มีไม้ที่ตัวเองถนัดใช้อยู่แล้ว   แต่ว่าเขาไม่ได้นำมาจากบ้านของเขา   ไม้ปิงปองที่เขาถนัดนั้นเป็นไม้ปิงปองที่เขาใช้ตั้งแต่เริ่มฝึกหัดตีครั้งแรก    สำหรับบางคนแล้วถ้าได้เห็นสภาพไม้ปิงปองของวาแล้วก็คงจะไม่เชื่อแน่นอนว่านี่หรือไม้ที่เขาถนัด   บางคิดว่าเขาน่าจะเปลี่ยนไม้ได้แล้ว  แต่วากลับไม่คิดที่จะเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย  นั่นก็เพราะเขาเชื่อมั่นในไม้ของเขา   จึงทำให้เขาสามารถไต่เต้าตัวเอง  จนได้ฉายาว่า  “ ปีศาจ ” จากโรงเรียนเก่าของเขา      

                            วาเป็นคนที่รักของของเขามาก  ถ้าเขาถูกใจสิ่งไหนแล้วก็ตาม  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่  ไม่ว่าของเหล่านั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างไร   ไม่ว่าจะมีของรุ่นใหม่ที่ดีกว่านั้นออกมา   ไม่ว่าคนรอบข้างจะพูดว่าอย่างไร  เขาไม่เคยจะสนเลยแม้แต่น้อย     นี่ถ้าหากเปลี่ยนจากของที่เขารัก เป็นคนที่เขารักแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ?  

                              

                                    

                                

                              วาเดินไปเรื่อยๆจนในที่สุดเขาก็มาถึงยังห้องชมรมปิงปองจนได้    เสียงลูกปิงปองที่ถูกตีโต้ไปมายังคงดังก้องออกจากห้องชมรมปิงปองเหมือนเช่นเคย     วาค่อยๆเปิดประตูห้องชมรมด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย              

                              คนแรกที่วาพบก็คือ พรีสไซ รองประธานชมรมปิงปองเจ้าเก่านั่นเอง    พรีสไซยิ้มเมื่อเห็นวาเดินเข้ามาทันที                      

                             “ วันนี้มาช้ากว่าปกตินิ   เอ๊ะทำไมดูท่านายเหนื่อยๆนะ ”

                             “ ก็พอดีวันนี้ เราไปแข่งประลองอาวุธมาน่ะสิ ”

                             “ อ่อ อย่างนี้นี่เอง  เราลืมไปเลย  ไม่งั้นจะแวะไปดูเสียหน่อย ”

                                  วาหันไปมองรอบๆห้อง บรรยากาศของห้องก็ยังคงดูเหมือนเดิม  พวกนักเรียนชมรมปิงปองหลายคนที่ยังคงฝึกซ้อมตัวเองอยู่ไม่ยอมกลับ   แต่ที่ทำให้วารู้สึกแปลกออกไปก็คือ โซลีน นั่นเอง

                               โซลีนนั่งเงียบอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในชมรมจ้องมองไปยังนักเรียนชมรมปองปิงสองคนที่กำลังตีโต้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย   วันนี้ดูเหมือนว่าโซลีนจะดูเครียดมากกว่าปกติอย่างมาก

                               วาเมื่อเห็นท่าทางโซลีนดูเครียดๆ เลยลองเดินเข้าไปเพื่อจะถามว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่    วาเดินไปจนถึงข้างโซลีนแล้ว  แต่โวลีนก็ยังคงจ้องมองไปยังคนทั้งสองที่กำลังโต้ปิงปองกันอยู่  ราวกับว่าวาไม่ได้ยืนอยู่ที่ตรงนั้นก็ตาม    

                                วาเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่  ปกติแม้เขาจะมาสายไปหน่อยโซลีนก็ไม่เคยแสดงท่าทีเงียบขรึมออกนี้เลย  หรือว่าวันนี้เขามาสายมากเกินไป       วาเริ่มไม่แน่ใจจึงต้องก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือของเขา  แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาสายไปแค่สิบห้า ยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง      ถ้าอย่างนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่นะ ?

                                  



                                 ขณะที่วากำลังจะเอ่ยปากถาม  โซลีนซึ่งนั่งเงียบอยู่ก็เอ่ยปากขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันหน้ามาทางวา  

                                “ มาถึงแล้วสินะ  วันนี้สายไปหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร  นายบอกไว้แล้วนินะว่าจะไปประลองอาวุธ ”

                                  ที่แท้โซลีนรู้แต่แรกแล้วว่าวาจะไปประลอง  ถ้าอย่างนั้นเขาคงไม่ได้โกรธเรื่องที่วามาสาย  แล้วถ้าอย่างนั้นมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่    แต่วาก็ยังไม่ทันได้กล่าวถามโซลีนก็กล่าวต่อ

                                 “ เป็นยังไงบ้างละ ชนะไหม ”

                                 “ ก็ชนะนะ ”

                                 “ อืม ดีแล้ว ”

                                  โซลีนลุกขึ้นยืนขึ้นทันที  ซึ่งดูๆแล้วท่าทางเขาจะไม่ได้โกรธวาเลยแม้แต่น้อย   แต่ที่จริงเขาดูเครียดมากกว่า       โซลีนแม้ลุกขึ้นยืนแล้ว  แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังคนที่เบ่นปิงปองทั้งสองคนนนั่น

                                 “ นายรู้ไหม ว่าทำไมวันนี้เราถึงดูเครียดๆ ”

                                   โซลีนกล่าวถามเหมือนกับรู้ใจวา

                                 “ ไม่รู้สิ ”

                                   ขณะที่โซลีนกำลังจะบอกกับวา  พรีสไซก็เดินมาพร้อมกับกล่าวแทน

                                “ นั่นก็เป็นเพราะว่า อีกไม่กี่สัปดาห์เราก็จะต้องแข่งแล้วน่ะสิ  ”

                                   โซลีนพยักหน้า

                                “ หา  อีกไม่กี่สัปดาห์แล้วหรอเนี่ย   ทำไมการแข่งขันระหว่างสถาบันถึงกำลังจะเริ่มขึ้นเร็วอย่างนี้นะ ”

                                “ พวกเราก็เพิ่งรู้มาเมื่อสักครู่นี้เอง  ”

                                “ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า  เราจะต้องฝึกหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างนั้นใช่ไหม

                                   วาถามได้ตรงประเด็นมาก  ทำให้โซลีนต้องพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า  “ ใช่แล้ว “

                                  ( ในบทเรียนที่ 8 นั้นได้มีการพิมผิด  ถ้าใครจำได้โซลีนจะบอกว่าให้วามาร่วมเป็น 1 ใน 5 ตัวจริงของโรงเรียน  ซึ่งที่จริงต้องเป็น 1 ใน 3 หากใครยังจำได้ก็ต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับ )

                                 “ แต่การที่เราจะเริ่มฝึกหนักได้ นายก็น่าจะรู้ใช่ไหมว่านายจะต้องมีไม้คู่ใจเสียก่อน  แต่เมื่อไหร่ละนายถึงจะมีน่ะ ”

                                 “ เออ เรื่องนั้นขอเวลาอีกสอง สามวันนะ  วันอาทิตย์นี้เราจะลองกลับบ้านไปหาดู   ถ้าหาไม่เจอสงสัยเราก็คงต้องหาไม้คู่ใจใหม่เสียแล้วละ ”

                                 “ อืม หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ ”

                                   โซลีนเมื่อกล่าวจบก็ก้าวเดินตรงไปยังโต๊ะประธานชมรมห้องเขาพร้อมกันนั้นก็หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งขึ้นมา   จากนั้นก็เดินกลับมาหาวา และพรีสไซ     พร้อมกันนั้นก็ยืนให้ทั้งสองคนนั้นชมดู

                                   “ ดูซะ  นี่ก็คือ รายชื่อทีมทั้งหมดที่เราจะต้องเจอ  และก็รายละเอียดกติกาการแข่งขัน ”

                                   วายื่นมือรับเอกสารนั้นมาดู  พรีสไซซึ่งอยู่อยู่ข้างๆก็อดที่จะขอดูด้วยไม่ได้   แม้เขาจะเคยดูมาแล้วรอบหนึ่งก็ตาม       วากลอกตาไปมาซ้ายขวาด้วยความรวดเร็ว  ที่แท้เขากำลังค้นหาอะไรอยู่กันแน่ ?

                                    และในที่สุดสายตาของวาก็หยุดจับจ้องมองไปยังจุดๆหนึ่งบนเอกสารใบนั้น    สิ่งที่วาเพ่งมองหานั้นก็คือ  ชื่อทีมปิงปองนั่นเอง    และทีมที่วากำลังจ้องมองอยู่นั้นก็คือ   “ ทีมเหยี่วทมิฬ  !!! ”

                                   ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไหร่ที่วายังคงจ้องมองไปยังชื่อทีมนั้น     ความรู้สึกของวาในตอนนี้ยากที่จะบ่งบอกได้   ไม่ทราบว่าเป็นความดีใจ หรือรู้สึกเช่นไรกันแน่   ที่วารู้เช่นนั้นก็เพราะ  ชื่อทีมเหยี่วทมิฬนั้นก็คือ  ชื่อทีมของลมดำเพื่อนนักปิงปองจากโรงเรียนเก่าของนั้นนั่นเอง

                                    ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่ วา และลมดำเคยช่วยกันตั้งขึ้นมานั่นเอง   เป็นชื่อที่เขาและลมดำเคยคิดว่าจะใช้เมื่อสามารถลงแข่งปิงปองระหว่างสถาบันได้    

                                    บัดนี้ความฝันของทั้งคู่กลายเป็นความจริงแล้ว  เพียงแต่ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็ได้อยู่ในทีมนั้น         วาเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดๆนั้น    แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งเขาเองก็แอบดีใจอยู่เหมือนกัน    ที่จะได้สู้กับเพื่อนเก่าของเขา       ไม่ทราบว่าป่านนี้ฝีมือของลมดำพัฒนาไปถึงไหนแล้ว   คิดถึงตอนนี้วาก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาในทันที  





                                    ขณะนั้นเองที่วากำลังคิดฮึดสู้ขึ้น  พรีสไซก็ออกปากตะโกนออกมาในทันที

                                    “ โอ้ !!!  นี่สินะทีมของเรา ”

                                     พร้อมกับชี้ไปยังทีมที่ชื่อว่า   “ แพทริออท !!!  ”     วาก็มองตามที่พรีสไซได้ชี้ไป   ชื่อทีมนี้เป็นชื่อที่โซลีนตั้งขึ้นมาเอง  ซึ่งวาเองก็ไม่ได้รู้ความหมายของชื่อทีมนี้  แต่ฟังๆดูแล้ว  ก็มีความเท่ไม่แพ้กับชื่อทีมเหยี่วทมิฬเลย    

                                   “ ความหมายของชื่อทีม แพทริออทเนี่ย  นายอาจจะยังไม่รู้นะ ว่ามันหมายความว่ายังไง  เพราะฉะนั้นเราจะบอกให้ฟัง  ”

                                     โซลีนกล่าวเหมือนรู้ว่าวากำลังสงสัยในที่มา

                                   “ ชื่อ แพทริออทนั้นเป็นชื่อของเครื่องป้องกันขีปนาวุธทางอากาศ   เป็นเครื่องป้องกันการโจมตีทางอากาศที่มีอานุภาพสูงมาก   ซึ่งที่เอามาตั้งเป็นชื่อทีมก็เพราะว่า   จะเปรียบให้ทีมของเราเสมือนเครื่องป้องกันขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพสามารถต่อกรกับศัตรูได้ทุกรูปแบบ  ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม  ต่อให้เป็นเครื่องบินรบที่แข็งแกรงเพียงใดพวกเราก็จะโค่นมันลงให้จงได้ !!!   ”

                                     ความหมายของชื่อทีมแม้จะไม่ลึกซึ่งเท่าไหร่  แต่ฟังดูแล้วน่าเกรงขาม ทำให้เกิดกำลังใจฮึกเฮิมขึ้นมาในทันที       วาเมื่อฟังที่มาของชื่อทีมเขาแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้   เห็นทีทีมเหยี่วทมิฬจะเจอทีมแพทริออทของเขาสอยร่วงลงจากท้องฟ้าเสียแล้วกระมัง  

                                     “ แล้วที่สำคัญน่ะ  เรามีอะไรจะให้นายดูด้วยละ  ”

                                      โซลีนยิ้มอย่างภูมิใจจากนั้นเด็กในชมรมคนหนึ่งก็ยื่นเสื้อโค๊ช และเสื้อยืดให้กับโซลีน  จากนั้นก็วิ่งไปเล่นปิงปองต่อ

                                      วาจ้องมองไปยังเสื้อโค๊ช สีดำและเสื้อยืดสีขาวทั้งสองตัวนั้น   เขาพอจะรู้แล้วว่าสิ่งที่โซลีนกำลังจะให้เขาดูมันคืออะไร   โซลีนก้างเสื้อยืดสีขาวออกโชว์ให้วาดูก่อน   ที่แท้นั่นก็คือ  เสื้อประจำทีมของเขานั่นเอง

                                      เสื้อยืดสีขาวนั้นไม่ได้มีลวยลายใดๆมากมายนอกจากปักคำว่า     “ Patriot “    เป็นอักษรสีน้ำเงินเข้มตัดกับขาวไว้ตรงด้านซ้ายของอกเสื้อ  พร้อมด้วยรูปเครื่องบินรบสวยงามลำหนึ่ง  บริเวณรอบๆเครื่องบินนั้นคล้ายมีขีปนาวุธเล็กๆหลายลูกวิ่งไล่ตาม   ดูโดยรวมแล้วถือว่าเท่มากเลยทีเดียว  

                                      ต่อจากนั้นโซลีนก็โชว์เสื้อโค๊ชสีดำให้วาดู  วาก็ต้องตะลึงในทันที   ความสวยงามของเสื้อโค๊ชสีดำเรียกได้ว่า  ถูกใจวามากเลยทีเดียว         เสื้อโค๊ชสีดำนี้ดูไปคล้ายทำจากหนังสีดำมันวับ  ไม่มีแขนเสื้อ   ไม่มีกระดุม   ใช้ซิปรูดแทน   ด้านซ้ายบนนั้นเหมือนกับที่ปรากฎอยู่บนเสื้อยืดสีขาว  ปกคอเสื้อตั้งชันขึ้น     ข้างปกคอทั้งสองข้างติดเข็มตราโรงเรียนอับดุล อินเตอร์        ส่วนด้านหลังของเสื้อนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำทีมเช่นเดียวกันกับที่ติดอยู่บนอกซ้ายของเสื้อ  เพียงแต่เป็นขนาดใหญ่  แถมยังเคลือบด้วยพลาสติกสวยงาม  หากดูไกลๆสามารถสะท้อนแสงได้ด้วย    

                                       วารู้สึกถูกใจเครื่องแบบของชมรมปิงปองมากเลยทีเดียว  ไม่เสียแรงที่เขาได้เป็นตัวจริงเลยได้มีโอกาสใส่ชุดพวกนี้   ในใจคิดขึ้นหากถ้าใส่มันแข่งแล้วจะเท่ขนาดไหนเชียว   และถ้าโซเฟียได้เห็นเขาแล้วจะพูดว่ายังไงบ้างนะ    

                                      “ ความจริงยังมีกางเกง  และก็เข็มขัดด้วยนะเพียงแต่ตอนนี้ยังทำให้ไม่เสร็จ   นายเอาเจ้าสองตัวนี้ไปก่อนก็แล้วกัน  ”

                                       วายื่นมือออกรับด้วยความดีใจ  แต่ก่อนที่เขาจะชื่นชมมันอีกทีโซลีนก็รีบกล่าวห้ามเขา

                                      “ เมื่อรับชุดนี้ไปแล้ว  ห้ามนายโชว์ให้ใครดูก่อนที่จะแข่งเป็นอันขาดเข้าใจไหม  และที่สำคัญห้ามทำหายเข้าใจไหม  เพราะเราสั่งทำไปเพียงแค่สามชุดเท่านั้น  ”

                                       “ รับทราบภารกิจ ”

                                        โซลีนแม้จะดูเข้มงวดไปบ้าง  แต่ก็คงไม่ต้องการให้ใครได้เห็นเสื้อตัวนี้ก่อน  นั่นก็คงเพราะว่าเขาคงต้องการจะทำให้คนในโรงเรียนที่ไปดูการแข่งเกิดความประทับใจนั่นเอง  

                                        “ อ่อ ลืมบอกไปว่า เจ้าเสื้อตัวนี้สามารถเรืองแสงได้ด้วยนะ ”

                                        “ โอ้โห คงจะสวยน่าดูเลยนะเนี่ย  นายคิดแบบเองหรอเนี่ย ”

                                          โซลีนไม่ตอบแต่พยักหน้าแล้วยิ้มแทน   เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อยที่เห็นวาดูชอบเสื้อผลงานของเขา

                                        “ เอาละ  เรื่องปลีกย่อยก็บอกไปแล้วนะ  ต่อจากนี้ก็เป็นกติกาคร่าวๆของการแข่งขังปิงปองระหว่างสถาบันของปีนี้นะ  “

                                          พรีสไซ กับวาทำท่าตั้งใจฟัง  

                                         โซลีนยืนเอามือไขว่หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกล่าว

                                      “ กติกาการแข่งคราวนี้ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่หรอก  หนึ่งทีมจะมีจำนวนผู้เล่นได้เพียงแค่สามคนเท่านั้น  โดยการตัดสินแพ้ชนะนั้น  ทีมไหนสามารถชนะผู้เล่นในทีมอื่นได้ สองในสามถือว่าชนะ   โดยจะตัดสินกันคนละหนึ่งเกม  เกมละจำนวนยี่สิบเอ็ดลูก ”

                                      “ ก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรพิเศษไปกว่าทุกปีเลยนี่หน่า ”

                                        พรีสไซถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

                                      “ มีสิ !   ที่มันแตกต่างไปจากทุกปีนั่นก็คือ ...................”

                                              





                                       วาก้าวเดินออกมาจากห้องชมรมปิงปองหลังจากซ้อมเสร็จแล้ว    วันนี้เขาได้ฟังเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับการแข่งขันปิงปองระหว่างสถาบัน   แถมโซลีนยังฝึกหนักมากกว่าที่เคยด้วย   ทำเอาวาที่เหนื่อยอยู่แล้ว   ถึงกับเหนื่อยมากกว่าเดิม  เล่นเอาเขาแทบแย่เลยทีเดียว  

                                       ขณะที่วากำลังเดินตามทางเรื่อยๆ เขาก็ได้คิดถึงสิ่งที่โซลีนได้บอกกับเขาในวันนี้     ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกติกาประหลาดๆ ที่เพิ่มเข้ามาหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องคู่แข่งเก่งๆของแต่ละโรงเรียน    

                                      ฟังว่าเจ้านักปิงปองตาบอดที่วาเคยได้ยินมาไม่ได้มีเพียงแค่ข่าวลือ  แต่กลับมีตัวตนอยู่จริง    และยังมีนักปิงปองหน้าใหม่ฝีมือร้ายกาจเพิ่มมาอีกมากมาย  แต่ที่ฟังแล้วทำให้วาต้องรู้สึกอดหวั่นใจไม่ได้ก็คือ    เจ้านักปิงปองหน้าใหม่ชั้น ม.5  ซึ่งเพิ่งจะลงแข่งปีนี้ปีแรกนั้น       ฟังว่าความสามารถในการตีปิงปองของเจ้านี่อยู่ในขั้นอัจฉริยะแล้ว   ความรุนแรง รวดเร็วของลูกตบนั้นแทบไม่มีผู้ใดสามารถทนทานต้านรับได้เลยทีเดียว    ดังนั้นแม้เจ้านี่จะไม่เคยลงแข่งระหว่างสถาบันมาก่อนก็ตาม    แต่ด้วยความสามารถของมันแล้วถึงกับเขาให้เหล่านักปิงปองจากหลายโรงเรียนอดไม่ได้ที่จะได้ยินชื่อเสียงของมันในนาม   “ ดาบอัคคีทมิฬไร้พ่าย ”  

                                      ชื่อฉายานี้นั้นถึงไม่ต้องให้ใครมาแปลความหมายให้ฟังนั้นวาก็พอที่จะแปลความหมายออกมาได้   ดาบทิมฬอัคคีไร้พ่ายนั้นคงหมายถึงพลังทำลายล้างของลูกตบของมันนั่นเอง    เมื่อมันตบลูกตบออกไปแล้วไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถที่จะทนทานรับได้  หรือถ้าสามารถทนทานรับได้ละก็มันก็จะเป็นฝ่ายจู่โจมตบไปเรื่อยๆ ราวกับอัคคีเวลาไห้มแล้วจะลุกลามด้วยความรวดเร็ว   ไร้ความปราณี  จนกว่าคนผู้นั้นจะพ่ายแพ้   และฟังว่าคนที่สามารถรับลูกตบของเจ้านี่ได้นั้นมีจำนวนไม่นานนัก    

                                     ดังนั้นเจ้านี่จึงเปรียบเสมือนดาบเพลิงปีศาจที่อยู่ในความมืด    การที่มันได้ฉายาอย่างนี้มานั้นนับว่าไม่แปลกปลอมเลยแม้แต่น้อย        วาได้ยินชื่อเสียงของเจ้านี่มาวันนี้ถึงแม้จะอดหวั่นใจไม่ได้อยู่บ้าง  แต่ภายในใจนั้นกลับมีความรู้สึกหนึ่งพุ่งพวยขึ้นมา    ความรู้สึกที่อยากจะลองสู้กับเจ้านี่ดูสักครั้ง  

                                     คนเราบางครั้งอาจจะอยู่เพื่อหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับตัวเองก็เป็นได้   แต่พวกเขาเหล่านั้นอาจจะหารู้ไม่ว่า  เมื่อเขาสามารถโค่นศัตรู หรือคู่แข่งของพวกเขาลงได้หมดแล้วนั้น  สิ่งที่เหลืออยู่อาจจะมีแต่ความว่างเปล่าก็เป็นไปได้    นั้นก็อาจจะคล้ายกับคำพูดที่ว่า   “ ยิ่งสูงยิ่งหนาวก็เป็นไปได้ “

                                     วาแย้มยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย  ‘ ดาบอัคคีทมิฬงั้นรึ  แล้วถ้ามาเจอกับ ปีศาจละจะเกิดอะไรขึ้น !!  ‘

                                      





                                     ขณะที่วากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่เรื่อยนั้นๆ  เขาก็หยุดฝีเท้าลงนั่นก็เพราะว่า  ที่เบื้องนอกคึกอาคารฝนตกปรากฎฝนตกขึ้นแล้ว     สายฝนตกลงมาเมื่อไหร่วาไม่อาจทราบได้   น่าจะเป็นช่วงที่เขากำลังซ้อมปิงปองอยู่นั่นเอง    

                                     สายฝนตกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา   นี่ถ้าเกิดเขาก้าวออกไปละก็ได้เปียกโชกแน่นอน  แต่ถ้าไม่ก้าวออกไปก็ไม่ได้เสียด้วย   หรือว่าเขาควรจะกลับไปที่ห้องชมรมเพื่อซ้อมต่ออีกดี  

                                   ในที่สุดวาก็ตัดสินแล้วว่าเขาควรจะกลับไปยังหอพักเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาค่อนข้างที่จะดึกแล้ว   เขาควรจะกลับไปอ่านหนังสือ ทำการบ้านบ้าง ไม่ก็รีบพักพ่อนเสียหน่อย   เนื่องจากวันนี้เขาเหนื่อยมามากพอแล้ว      

                                   คิดได้เช่นนั้นวาก็พับเสื้อทั้งสองตัวที่โซลีนให้มาพร้อมกับกอดเอาไว้  กันไม่ให้มันเปียกให้ได้มากที่สุด   จากนั้นก็ตัดสินใจวิ่งออกไปแล้ว

                                





                                  ท้องฟ้ามืดมิด  สายฝนสาดซัดโหดกระหน่ำราวกับท้องฟ้ายามราตรีนี้กำลังร่ำไห้อย่างบ้าคลั่งก็มิปาน      วาวิ่งผ่าสายฝนอย่างรีบร้อน  ทางข้างหน้าแทบจะมองไม่เห็นเลยถ้าหากไม่มีแสงไฟจากโคมที่ติดอยู่ตามข้างทาง        

                                 เวลานี้หากยังมีใครอยู่ข้างนอกนี้ก็แปลกมากแล้ว     เสื้อผ้าของวาในตอนนี้เปียกไปเกือบทั้งตัวแล้ว    ระยะทางจากตึกอาคารชมรมไปยังหอพักไม่ใช่ทางใกล้ๆเลย     แต่วายังคงแข็งใจวิ่งต่อไปแม้จะเหนื่อยมากแล้วก็ตามที

                                 ในที่สุดแสงไฟจากข้างหน้าของเขาก็สว่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  นั่นก็เพราะวามาถึงหน้าหอพักแล้วนั่นเอง       วาค่อยๆก้าวอย่างเหนื่อยล้าเข้าไปในหอพัก  พร้อมกันนั้นก็บิดเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเขาก่อนที่จะก้าวเข้าไปในหอพัก      

                                 ขณะที่วากำลังบิดเสื้อผ้าของเขาอยู่นั่น   เขาพลันพบเห็นอะไรบางอย่างไกลออกไปที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก   หรือว่านี่จะเป็นผีกันแน่ ?

                                 คงไม่ใช่หรอกมั้ง  ผีอะไรโผ่ลมาตอนฝนตก    วาด้วยความสงสัยจึงตั้งใจเพ่งมองไปยังจุดนั้นมากขึ้น      สายตาของวาเริ่มปรับสภาพเมื่อเขาจ้องมองไปยังที่มืด   ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นนั่นเอง    ชุดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นที่คุ้นตาของวามาก      



      

                                

                                 ในที่สุดวาก็คิดออกว่าคนๆนั้นที่แท้เป็นใคร   นั่นทำให้วาต้องรู้สึกอึ้งไปในทันที   เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นไซโคร แนชนั่นเอง !

                                ไซโคร แนชความจริงขอตัวจากพวกเขาไปตั้งแต่ประลองอาวุธเสร็จแล้ว   ถ้านับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านเวลาไปมากพอสมควรแล้ว   น่าแปลกที่ว่าทำไมไซโคร แนชยังคงอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่นอีก   แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ  ทำไมเขาถึงต้องยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้นในตอนนี้ด้วยละ

                                 คิดแล้ววาก็สงสัยมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก   เขาจึงตัดสินใจว่า ไหนๆก็เปียกแล้วเปียกเพิ่มอีกสักนิดจะเป็นไรไป   บางทีไซโคร แนชอาจจะหมดสติไปก็เป็นได้   แต่ใครจะหมดสติในท่านั้นตอนฝนตกนะ ?  



                                      

                                วาวิ่งผ่าสายฝนออกไปอีกครั้ง   ในที่สุดเขาก็วิ่งไปจนถึงไซโคร แนช    ไซโคร แนชทั้งไม่ได้หมดสติ และไม่ได้เป็นอะไร    แต่พอวาวิ่งเข้ามาหาเขาก็ถึงกับตกใจเล็กน้อย  เขาไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาหาเขาตอนนี้      ในมือของไซโคร แนชนั้นกำไม้กางเขนที่หอยอยู่ของเขาแน่นขึ้นราวกับว่าถ้าเขาปล่อยมือออกไปแล้ว  กางเขนอันนั้นก็จะหายไปในทันที

                               วาหอบเล็กน้อยพร้อมกับถาม

                               “ รุ่นพี่มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับเนี่ย   เป็นอะไรรึเปล่าครับ ”

                               เสียงสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้  เสียงของวากลายเป็นเบาไปในทันที  วาจึงต้องตะโกนบอกกับไซโคร แนช     แต่ทันใดนั้นเองไซโคร แนชต้องสะดุ้งอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงวาตะโกนขึ้น  

                               วาเห็นท่าทีไซโคร แนชแปลกๆ  ถามก็ไม่ตอบตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  คิดเตรียมขอตัวจากไป    แต่ทันใดนั้นไซโคร แนชก็ค่อยๆเอ่ยปากขึ้น

                              “ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก   เจ้าจะไปก็ไปเถอะ ”

                                เสียงของไซโคร แนชไม่ได้ห้าวอย่างเช่นคย  ถึงกับกล่าวแทบไม่ได้ยิน  ดีที่วาตั้งใจรับฟังอยู่  วาก่อนจะจากไปด้วยความเป็นห่วงจึงกล่าวขึ้น

                             “ ไม่เป็นไรแน่นะครับ   แต่ผมว่าถ้าไม่มีอะไรรุ่นพี่เข้าไปในหอพักก่อนจะดีกว่านะครับ   เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะแย่นะครับ ”  

                               คำพูดของวาคล้ายกับมีดกรีดใจของไซโครแนชในทันที   ไซโคร แนชถึงกับแทบร่ำไห้ออกมา  ดีที่ฝนตกอยู่ทำให้วาไม่สามารถมองเห็นหน้าของไซโคร แนชได้อย่างชัดเจนนัก    

                             “ ไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงข้าหรอก   ข้าอยากอยู่คนเดียว.......... ”

                              “ ครับ ”

                               วาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับวิ่งกลับไปยังหอพัก   เขาเข้าใจว่าไซโคร แนชคงมีเรื่องในใจอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถจะพูดออกมาได้ดังนั้นจึงไม่คิดถามไถ่ให้มากความ   เพราะเขาคิดว่าถ้ายิ่งถามอาจจะเป็นกระตุ้นให้ไซโคร แนชเศร้ามากขึ้นก็เป็นไปได้

        

      

                              ในที่สุดที่ใต้ต้นไม้ก็เหลือเพียงไซโคร แนชคนเดียวเท่านั้น    เสียงสายฝนร่วงหล่นลงกระทบพื้นดินยังคงดังอย่างต่อเนื่องราวกับไม่มีวันสิ้นสุด    ไซโคร แนชยังคงยืนกำกางเขนในมือของเขาอยู่แนบแน่นเช่นนั้น............







                                         ___________________________________________________

                                          

                                

                                    

                                            







                                      

                                



                                



                              



        

                                    

                  









                  

                



                

                          

                          

        

      



                                

                                

                            

                  











        







          

                  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×