ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนมหาโจร

    ลำดับตอนที่ #10 : บทเรียนที่ 9 Just dream

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.22K
      65
      26 เม.ย. 47

                                                     บทเรียนที่ 9  Just dream







          

                  เสียงสายฟ้าฟาดออกมาจากดาบเล่มหนึ่งที่เซเรส       ชายหนุ่มผู้ใส่หมวกแก๊ปสีน้ำเงินพร้อมเสื้อยืดสีขาวธรรมดาตัวหนึ่งที่มีผ้าคลุมสีน้ำเงินคลุมอยู่ถืออยู่ส่งเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น       ความเกรี้ยวกราดของสายฟ้าสร้างความน่าเกรงขามอย่างยิ่ง          เพียงแต่ว่า  มันกลับไม่สามารถสร้างความกดดันให้แก่ชายที่อยู่ในชุดสีดำขาดๆ    ตัวหนึ่งได้เลย   และดูเหมือนว่าความน่ากลัวของชายชุดเสื้อคลุมสีดำคนนั้นอาจจะดูน่ากลัวกว่าอานุภาพของดาบสายฟ้าก็เป็นได้    



                ภายใต้ห้องบนสุดของปราสาทแห่งความมืด    ดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินชี้ชะตาครั้งสุดท้ายของมวลมนุษย์เลยทีเดียว                  เซเรสใช้พลังทั้งหมดที่มีต่อสู้กับชายชุดดำคนนั้นหรือที่ใครๆ ก็เรียกเขาว่า   จอมมารเวทย์นรกซาตั้น !      



                “ พลังของแกไม่สามารถโค่นข้าลงได้หรอก    อีกไม่นานแกก็จะต้องตายเหมือนพี่ของแกเจ้าหนูน้อย ”     จอมมารซาตั้น พูดด้วยเสียงแหบแห้งที่ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง     พร้อมกับร่ายเวทย์มนต์สีดำออกมาจากมือที่เหมือนจะมีแต่กระดูกของมันตรงเข้าใส่เซเรส        



                 เซเรสไม่สนคำพูดของจอมมาร  แต่ดูเหมือนว่าพลังของเขาที่ฝึกมาทั้งหมดจะยังไม่พอที่จะโค่นจอมมารได้เลย       ดาบสายฟ้าฟันใส่พลังเวทย์มนต์ของซาตั้นทำให้เกิดการระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่า      



                พี่ครับ นี่ผมจะไม่สามารถโค่นมันได้เลยหรือครับ    เซเรสเริ่มเกิดอาการท้อใจ   ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างเขาจะมีวันท้อแท้ใจด้วย      แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องใช้ความสามารถทั้งหมดทุ่มออกไปเพื่อการต่อสู้ครั้งสุกท้ายเพื่อตัดสินชะตากรรมของโลกฮาโมเนีย        



                เซเรสกันพลังของจอมมารไปเรื่อยๆ   แต่แล้วเขาก็พลาดท่าจอมมาร    บอลพลังสีดำอีกลูกหนึ่งตรงเข้าใส่เซเรสอย่างรวดเร็ว      เสียงระเบิดดังกึกก้องทั่วทั้งห้อง    เกิดควันลอยไปทั่ว     จอมมารหัวเราะอย่างมีชัย  



                แต่แล้วมันก็ต้องหยุดหัวเราะ      เนื่องจากเมื่อควันหายไปกลับปรากฎเป็นเด็กชายอีกคนหนึ่งในชุดนักมายากล   เป็นวานั่นเอง!                  วารู้สึกสับสนเล็กน้อยที่ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้    แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะคิดแล้ว   ตอนนี้เขาจะต้องปราบจอมมารลงให้ได้เพื่อความสงบสุขของโลกฮาโมเนีย



              เมื่อวาคิดถึงอาวุธไพ่ก็ปรากฎขึ้นมาบนมือที่ใส่ถุงมือนักมายากลสีขาวของเขาในทันใด    ดูเหมือนว่าจอมมารก็ไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะเป็นคนออกมา     มันสนเพียงแต่ว่าจะต้องฆ่าให้หมด    ไม่รอช้ามันปล่อยบอลสีดำออกไปที่วาเป็นร้อยๆ ลูก            เป็นที่น่าแปลกที่วาสามารถวิ่งหลบมันได้หมดเลย        



               ในขณะที่เขากำลังวิ่งหลบบอลพลังนั้นไปเรื่อยๆ      เมื่อจอมมารเปิดช่องโหว่    เขาก็กระโดดตีลังกากางอากาศพร้อมกับล่อนไพ่ในมืออกไปด้วยความเร็งสูงตรงไปที่จอมมาร           ไพ่นั้นปักใส่คอหอยของจอมมารทันที    แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่รู้สึกอะไรเลย             ทันใดนั้นเองเมื่อขาของวาเพิ่งจะสัมผัสกับพื้นดาบเวทย์มนต์สีดำออกม่วงๆ   ก็ปรากฎขึ้นบนเพดานดูเหมือนว่า      มันจะปักลงมาในตอนนั้นเอง       ซึ่งวาก็สะดุดกับขาของเขาเองทันที  



              ดาบที่เกิดจากเวทย์มนต์นั้นพุ่งลงใส่วาอย่างจัง          วารีบหลับตาเนื่องจากเขาไม่สามารถหลบมันได้ทันแล้ว              วาคิดว่าเขาคงไม่รอดแล้วแต่ทันใดนั้นเอง     เมื่อเขาลืมตาขึ้นภาพเหล่านั้นก็หายไปแล้ว    นี่เขาฝันไปเองหรือเนี่ย     แต่ที่ๆ เขาอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ห้องของเขาอยู่ดี      



             วาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง    เขาพยายามมองไปรอบๆ  แต่ก็ไม่พบใครแม้แต่คนเดียว   บรรยากาศรอบๆ  โรงเรียนดูมืดไปหมดคงจะเป็นเวลาตอนตี 4-5    หมอกปกคลุมไปทั่ว    

          

            วาค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆตามทางจนในที่สุดเขาก็พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเธออยู่ในชุดสีขาวทั้งตัว    ทั้งเสื้อทั้งกางเกงขายาวของเธอต่างก็เป็นสีขาว           เห็นเพียงแค่นั้นวาก็รู้ทันทีว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร             เมื่อรู้ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งตรงไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น              เขาคือคนที่วาไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอ      ดังนั้นวาจึงรีบวิ่งอย่างเต็มที่



             ในที่สุดวาก็สามารถวิ่งไปจนถึงเด็กผู้หญิงชุดขาวคนนั้นจนได้    แต่ทว่าเขาก็ต้องหยุดชะงักลงเพียงแค่ตรงนั้น      เมื่อข้างๆ เด็กผู้หญิงคนนั้นปรากฎเด็กชายอีกคนหนึ่งขึ้นมา       เด็กชายคนนั้นค่อยๆ จูงมือกบเด็กผู้หญิงชุดขาวเดินตรงไปเรื่อยๆ            ซึ่งดูเหมือนวาว่าก็พยายามที่จะวิ่งตามต่อไป     แต่เขาก็ไม่สามรถวิ่งตามทั้งสองคนนั้นไปได้ทันเลย            มันทำให้วารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก





             ความเศร้าจับใจนั้นทำให้วาต้องตื่นขึ้นมาจากความฝันของเขา      ห้องทั้งห้องของเขาตอนนี้ดูมืดมาก    ซึ่งหลังจากตั้งสติอยู่สักครู่หนึ่งตาของเขาก็เริ่มมองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น           อากาศในห้องตอนนี้หนาวเป็นอย่างยิ่ง   ทำให้วาต้องสั่นนิดหน่อยก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วตรงไปเข้าห้องน้ำ    



            วามองดูนาฬิกาข้อมือของเขาซึ่งเขาไม่เคยถอดมันออกมาเลย แม้แต่เวลาอาบน้ำ     ตอนนี้เป็นเวลาตี 4.50 น.   แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้เขาจะไม่มีอารมณ์ที่จะกลับไปนอนอีกแล้ว      เหตุผลสำคัญคงเกิดจากฝันที่เขาฝันถึงกระมัง           วาจึงตัดสินใจแปรงฝันอาบน้ำไปเสียเลย





              หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว    วาก็เพิ่งสังเกตได้ว่า  ตอนนี้นีโอไม่ได้นอนอยู่บนโต๊ะของนีโอแล้ว    ซึ่งเมื่อตอนที่วากลับขึ้นมาเขาก็เห็นนีโอกำลังนอนอยู่คาโต๊ะ       ไม่แปลกใจที่ทำไมเขาถึงหลับคาโต๊ะ    คงเป็นเพราะเขาคงอ่านหนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะนั้นไปเกือบหมด             ตอนแรกวาก็กะว่าจะปลุกนีโอแต่ก็ไม่กล้าจึงปล่อยไว้อยู่อย่างนั้น        



              ในตอนนี้เมื่อวาอาบน้ำเสร็จแล้ว   เขาก็ไม่คิดที่จะกลับไปนอนอีกแล้ว      เขาจึงตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นรอบๆ  โรงเรียนสักหน่อย     โดยที่เขาคงจะต้องไปคนเดียว   เพราะไม่อยากจะรบกวนใครให้ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาในตอนนี้ทั้งนั้น   แล้วอีกอย่างตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียว    





              ลิฟท์ค่อยๆ  เปิดออก  วาก้าวขาออกมาจากลิฟท์อย่างช้าๆ    อากาศชั้นล่างก็หนาวไม่ต่างกับในห้องของเขาสักเท่าไหร่นัก     ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มีคนอยู่เลย   แต่ถึงกระนั้นก็ยังเปิดไฟสว่างไสว     ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้บ้าง                 วาเดินตรงไปที่ประตูกระจกบานใหญ่ข้างหน้าหอพักเพื่อที่จะออกไปข้างนอก     เมื่อเปิดประตูกระจกออกลมเย็นๆ   ก็พัดเข้าใส่วา     ทำให้เขาต้องสูดปากดังซี๋ดเนื่องจากความหนาว  



              ลมหนาวนี่ช่างไม่ปราณีคนที่กำลังมีความเศร้าเสียเลย     ดูเหมือนบรรยากาศรอบๆ   ตัวของเขาจะเหมือนกับในฝันที่เพิ่งฝันไปเมื่อสักครู่นี้จริงๆ       ขาดแต่ว่ายังไม่ถึงกับมีหมอกลงก็เท่านั้นเอง        

             วาเดินลงบันไดไม่กี่ขั้นหน้าหอพักที่มีรูปปั้นมังกรสีขาวอยู่ขนาบทั้งสองข้างอย่างช้าๆ        ดูเหมือนว่าเขาจะชอบอากาศอย่างนี้เสียจริงๆ      คงจะเข้ากับอารมณ์ของเขาในตอนนี้กระมัง    



      

              ความฝันเมื่อสักครู่นี้ทำให้วาเดินร้องเพลงไปเรื่อยๆ   ในขณะที่เขาเริ่มออกเดินไปตามทาง       เพลงที่วากำลังร้องอย่างเบาๆ อยู่นั้น คือ เพลงอยากหลับตา        “  อยากหลับตาและนอนหลับชั่วนิรันดร์     เพื่อจะสานต่อเรื่องราวความฝันที่สวยงามของหัวใจ    อยากพบเจอเธอแม้จะเป็นแค่เพียงในฝัน   ตราบใดที่ยังมีเธอ    ชั้นจะขอนอนอยู่อย่างนั้น  ”              เพลงนี้มันช่างเข้ากับเขาเสียจริงๆ   ทำไมต้องปลุกให้เขาตื่นด้วยนะ    แต่คิดอีกทีเขาก็ไม่ค่อยอยากจะฝันอย่างนี้สักเท่าไหร่นัก                  ใจหนึ่งของวาก็ไม่อยากที่จะฝันถึงเรื่องนี้เลย   แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายอยากจะฝันอีก   เพราะมันคงเป็นทางเดียวที่เขาจะได้เจอกับเธอคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง          



             วาเดินตามทางที่จะไปยังน้ำพุกลางโรงเรียนเรื่อยๆ   เขามองไปรอบๆ ก็พบกับต้นไม้ต้นใหญ่ที่เขาเห็นในวันแรกที่เขาเข้ามาถึงที่นี่        ต้นไม้ที่ใหญ่ราวกับอยู่มาชั่วกัปชั่วกัลป์        วารู้สึกสนใจเจ้าต้นไม้ต้นนี้มากจึงค่อยๆ เดินตรงไปที่มัน         วาเดินไปถึงลำต้นของมันซึ่งใหญ่มาก      อยู่ใต้ต้นไม้ต้นนี้แล้วรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเสียจริงๆ        คงเป็นเพราะใบและกิ่งก้านของมันปกคลุมพื้นรอบๆ    ทำให้ภายใต้ต้นของมันนั้นดูมืดลงไปเลยทีเดียวคงประกอบกับบรรยากาศยามเช้าที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นด้วย          





             วารู้สึกว่าบรรยากาศ ใต้ต้นไม้ต้นนี้ดีมาก   เขาจึงค่อยๆ นั่งลงเอาหลังพิงกับลำต้น      เขาไม่สนพื้นหญ้าที่ดูเหมือนจะมีเปียกอยู่บ้างนิดๆ               วาสูดหายใจยาวๆ รับลมหนาวและอากาศยามใกล้เช้าเข้าปอดอย่างมีความสุข ปนความเศร้าจากเรื่องที่เขาฝันเล็กน้อย          



             เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังเศร้าหรือสุขกันแน่   เรื่องที่เขาฝันมันทำให้เขาต้องคิดมากเป็นอย่างยิ่ง        เพราะว่าเด็กผู้หญิงคนที่เขาได้เจอในฝันนั้นก็คือ คนที่เขาเคยชอบนั่นเอง       เธอเป็นคนที่ทำให้วาไม่สามารถลืมได้เลย   มันยังคงติดอยู่ในใจของเขาเรื่อยมา  เหมือนกับเป็นแผลในใจ        เมื่อไหร่เขาจะลืมเธอได้เสียทีนะ   วาได้แต่ลำพันกับตัวเอง           ไม่แน่ว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  เขาอาจจะต้องแต่งออกมาเป็น นิราศ สักเรื่องหนึ่งเลยก็ได้





             ขณะที่วากำลังคิดเรื่องในความฝันอยู่นั้น  ก็มีคนๆ หนึ่งกำลังเดินมาทางเขา       วามองตรงไปยังคนๆ นั้นซึ่งเขาก็นึกออกในทันทีว่า คนๆนั้นก้คือ ดีว่า นั่นเอง      ซึ่งน่าจะดูออกไปยากเนื่องจากชุดใส่ที่ดูเป็นเอกลักษณ์ของดีว่า คือ ชุดเสื้อคลุมสีออกส้มอ่อนนั่นเอง        



              ดีว่าค่อยๆ เดินตรงเข้ามาหาวา   ซึ่งวาก็ยิ้มให้กับดีว่าถึงแม้จะนั่งอยู่ก็ตาม      



             “ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนตื่นมาเช้าๆ เหมือนกับผมนะครับเนี่ย ”        ดีว่าเป็นคนเริ่มทักทายวา

             “ ปกติเราก็ไม่ได้ตื่นเช้าสักเท่าไหร่หรอก   พอดีวันนี้รู้สึกนอนไม่ค่อยจะหลับนะสิ     ฝันไม่ค่อยจะดีน่ะ ”  

             “ ฝันเรื่องอะไรหรอครับ ”         ดีว่าถามและค่อยๆ นั่งลงข้างๆวา        “ เรื่องปัญญาอ่อนน่ะ  ช่างมันเถอะ   ว่าแต่นายมาวิ่งทุกเช้าเลยหรอ ”        

             “ รู้ได้ยังไงครับ ว่าผมมาวิ่งทุกเช้าเนี่ย ”

             “ ก็เมื่อวานเราก็เห็นนายวิ่งอยู่จากห้องเราน่ะ ”

             “ เข้าใจแล้วครับ “  ดีว่ายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวต่อ    ”ผมมาวิ่งทุกเช้าแหละครับ   ร่างกายจะได้แข็งแรงแถมที่นี่อากาศดีเสียด้วย   ยิ่งอากาศหนาวๆ  อย่างนี้ยิ่งไม่น่าพลาด ”        

      

             วา เพิ่งเห็นด้วยเป็นครั้งแรกกับดีว่า  ว่าอากาศที่นี่ตอนใกล้เช้า   มันช่างดีนัก     ถ้าเป็นเมื่อก่อนขาคงเลือกที่จะนอนอยู่ในห้องนอนของเขาต่อแน่ๆ    และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่ชอบทำให้เขาไปโรงเรียนสายอย่างไม่น่าให้อภัย   แต่เมื่อเขามาที่โรงเรียนอับดุลนี้    เขากลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อยเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว    คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของทีนี่มันชวนให้น่าติดตามและตื่นตัวอยู่เสมอกระมัง      



           “ แล้วนี่เริ่มวิ่งไปได้กี่รอบแล้วละ ”

           “ ก็ยังไม่ได้เริ่มเลยละครับ   สนใจจะๆไปวิ่งด้วยกันไหมละครับ ”       เมื่อได้ยินคำชวนของดีว่านั้น วาก็ขำอีกเล็กน้อย    “ วิ่งด้วยก็ดีเหมือนกันนะ  แต่ถ้าวิ่งแล้วต้องรอเราด้วยนะ   เพราะเราเป็นคนวิ่งช้าแถมเหนื่อยง่ายอีกด้วย  ”

            “ ได้เลยครับ ”       ดีว่าพูดพร้อมกับลุกขึ้นในทันที  ซึ่งวาก็รีบลุกขึ้นตามในทันที     เขาไม่ได้วิ่งอย่างนี้มานานแล้วตั้งแต่ไปเข้าค่ายฝึกลูกเสือตอนเด็กๆ            



            การลุกขึ้นของดีว่านั้นทำให้วารู้สึกหนาวขึ้นมานิดๆ    เหมือนกับตอนที่เขาเดินจากวาไปตอนที่เจอกันครั้งแรก   มันทำให้วารู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก          จะเป็นเพราะลมมันบังเอิญพัดก็ไม่น่าจะใช่    หรือว่าเขาจะมีพลังพิเศษอะไรประหลาดๆ   ซึ่งคิดอีกทีมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก      คนที่ไหนจะมาเรียกลมได้        





             ดีว่าค่อยๆ วิ่งออกนำวาไปก่อน ซึ่งต่อมาไม่นานวาก็วิ่งตามดีว่าได้ทัน    ระหว่างที่วิ่งกันอยู่ลมก็พัดมาเรื่อยๆ    ทำให้หนาวขึ้นมากว่าเดิมอีก  



            “ เป็นยังไงบ้างครับ  วิ่งมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว   รู้สึกร่างกายสดชื่นขึ้นบ้างไหมครับ  ”        ดีว่าหันมาถามวา ขณะที่เขากำลังวิ่งอยู่ข้างขวาของวา

           “ ก็รู้สึกสดชื่นดีนะ ”       วา ตอบดีว่าไปโดยที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไหร่  

           “ อย่าโกหกผมเลยครับ   ดูท่าทางคุณอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนักเลย ”                

          “ เปล่านะ  เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ”                 วา พยายามพูดเลี่ยง   เขาแปลกใจเล็กน้อยที่ดีว่าสามารถอ่านเขาออก   เพราะปกติไม่เคยมีใครมองเขาออกเลย        

          “ ไม่ต้องปิดบังหรอกครับ   ผมรู้  มันคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่คุณฝันใช่ไหมละครับ ”              ในที่สุดวาก็ต้องยอมจำนนเพราะดีว่าสามารถอ่านเขาออกจริง      

          “ ใช่แล้วละ  ว่าแต่ทำไมนายถึงรู้ได้ละ   ปกติไม่เคยมีใครดูเราออกเลยนะ ”

          “ เป็นเพราะว่า  สายลมมันบอกผมน่ะสิครับ ”           ขณะที่ดีว่าพูดนั้นสายลมก็พัดโชยมาอีกระลอกหนึ่ง   เหมือนกับว่ามันเป็นเพื่อนของเขา     ทำให้วายิ่งรู้สึกประหลาดใจกับคนๆ นี้มากยิ่งขึ้น        แต่ไม่ทันที่วาจะพูดอะไรต่อ ดีว่าก็พูดต่อขึ้นทันที              



            “ ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังก็ได้นะครับ   ถ้าไม่อยาก ”

            “ อืม ไม่เป็นไรหรอก  พอดีเราแค่ฝันถึงใครบางคนเท่านั้น ”

           “ คุณนี่ตลกดีจริงๆ  เล่าก็เล่าแบบรู้อยู่คนเดียว  ว่าแต่ใครบางคนที่คุณว่าเขาเป็นใครหรอครับ ”

           “ เขาก็คือ  เออ ………”         ว่าเหม่อลอยอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ     “ คนที่เราเคยชอบน่ะ ”             เมื่อวาพูดจบก็เป็นที่น่าแปลกที่ดีว่าไม่ได้ถามอะไรต่ออีก     ซึ่งทั้งคู่ก็วิ่งไปเรื่อยๆ    โดยที่ไม่ได้มีใครพูดอะไรกันอีกเลย        





          

             ในที่สุดเมื่อวาเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งกับดีว่าแล้ว   เขาก็ก้มเหลือมองดูนาฬิกาก็ปรากฎว่า   ขณะนี้เป็นเวลาประมาณตีห้าสี่สิบนาทีกว่าๆ  ได้แล้ว     ซึ่งตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงที่จะวิ่งอีกต่อไปแล้ว    



              “ เราเหนื่อยแล้วละ  ขอตัวพักก่อนนะ ”  

              “ โอเคได้เลย  ผมก็กำลังจะเลิกวิ่งอยู่เหมือนกัน   พอดีวันนี้ลืมเอาของลงมาจากห้องด้วย       เดี๋ยวก็ต้องขึ้นไปเอาด้วยแหละครับ ”

             “ งั้นเราวิ่งกลับไปที่หอพักเลยละกัน ”                  



            ในที่สุดทั้งคู่ก็วิ่งกลับมาจนถึงหอพัก      ซึ่งวาก็แสดงอาการหอบออกมาอย่างเห็นได้ชัด  คงเป็นเพราะร่างกายยังไม่ชินกับการวิ่งตอนเช้าๆ   ในอากาศที่หนาวๆ  อย่างนี้กระมัง     แต่วาก็เป็นคนที่มีความอึดอยู่พอตัวจึงฝืนพยายามที่จะไม่แสดงทีท่าว่าตัวเองเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว                 ซึ่งผิดกับดีว่าที่ดูท่าทางเขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย  คงเป็นเพราะเขาชินกับการวิ่งตอนเช้าทุกวันแล้วกระมัง                

              ดีว่าหันมายิ้มให้กับวาก่อนที่จะพูดต่อ  



              “ คุณนี่ก็วิ่งทนดีเหมือนกันนะครับเนี่ย ”

              “ ไม่หรอก ที่จริงเราก็เหนื่อยเหมือนกันนะ   เราว่านายทนกว่าเราอีก ”

              “ ไม่จริงหรอกครับ  ผมวิ่งทุกวันก็เลยทนแต่คุณแค่วิ่งวันเดียวได้ขนาดนี้ก็นับว่าทนมากแล้วละครับ   แต่จะว่าไปแล้ว …………..”   ดีว่าหยุดพูดแต่ทำท่าทางส่งสายตาให้วามองตามไปแทน    ซึ่งวาก็รู้และก็มองตามโดยที่ไม่ต้องให้บอก         สิ่งที่วาเห็นก็คือ     ไกลออกไปไม่มากเท่าไหร่   ทางด้านขวาของหอพักปรากฎชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง        ซึ่งเมื่อสักครู่พวกวาวิ่งไปทางด้านซ้ายจึงไม่เห็นชายคนนั้น        





               วาอยากจะถามต่อว่าเขาเป็นใคร  แต่ก็อดใจเอาไว้มองดุต่อไป  ชายคนนั้นใส่เสื้อแขนยาวตัวหนึ่ง    ซึ่งชายเสื้อคลุมยาวจนเกินจะขาเลยทีเดียว   พร้อมกับกางเกงขายาว   แถมถ้าวามองไม่ผิดดูเหมือนว่าเขาจะห้อยไม้กางเขนไว้ที่คอเสียด้วย   ดูแล้วเขาคงจะไม่ต่างจากพวกนักบุญสักเท่าไหร่นัก        ถ้าไม่ติดที่เสื้อที่ดูออกจะเป็นแนวเท่ๆ หน่อย      แถมยังดูเหมือนจะมีดาบเหน็บไว้ที่ด้านขวาของตัวด้วย



             ชายคนนั้นยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ดูเหมือนกับว่ากำลังพยายามตั้งสมาธิเพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่       เขานิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง   จนในที่สุดใบไม้จากต้นไม้ต้นนั่นก็ร่วงลงมาประมาณ 5-6 ใบ    



            เมื่อใบไม้กำลังจะร่วงลงสู่พื้นดินชายคนนั้นก็ชักดาบออกมาด้วยความรวดเร็ว  เป็นช่วงเวลาแค่ชั่วพริบตาจริงๆ  เพราะไม่ทันไรดาบนั้นก็ถูกเก็บใส่ฝักของมันแล้ว            ใบไม้ที่ร่วงลงมาทั้งหมดถูกฉีกขาดออกเป็นหลายๆ ส่วน         วาแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเลย    ในโลกนี้จะมีใครที่สามารถฟันใบไม้ด้วยความเร็วขนาดนั้นได้    อย่าว่าแต่ฟันใบไม้ด้วยความเร็วขนาดนั้นเลย   การที่จะฟันให้โดนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  ต้องอาศัยความแม่นยำและการฝึกฝนเป็นอย่างดี   แถมการที่จะฟันให้มันขาดกลางอากาศก็ไม่ใช่เรื่องหมูๆ เลย





           วาหันไปมองหน้าดีว่าอีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้รอยยิ้มปรากฎบนหน้าของดีว่า   จากนั้นก็ไม่ต้องรอให้วาถามดีว่าก็พูดต่อทันที     “ คนที่ทนกว่าพวกเราก็ คือ เขายังไงละครับ  ”           ใช่แล้วชายคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น     หากแต่เขา คือ         “  ไซโคร แนช   “     นั่นเอง      เพียงแต่วาตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้น        



           “ เขาเป็นใครหรอ ”     วารีบถาม  ความสงสัยของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

           “ อ่าว นี่ยังไม่รู้จักหรอครับ เนี่ยจำคนที่ผมเคยบอกไปตอนเราเจอกันครั้งแรกได้ไหมละครับ    คนที่น่ากลัวคนหนึ่งในโรงเรียนไงละครับ  เขาชื่อว่า ไซโคร  แนช   หรือที่แต่ก่อนหลายๆ คนเคยเรียกเขาว่า  เจ้าชาย ”

           “ คนอะไรทำได้ขนาดนี้  ”        วาเริ่มรู้สึกสยองนิดหน่อยกับสิ่งที่ได้เห็นไป   เพราะดูเหมือนว่าไซโคร แนช ก็กำลังต้องการจะเจอกับเขาอยู่เหมือนกันจากที่ดีว่าได้บอกเขาไปครั้งที่แล้ว    ถ้าเขาถูกไซโคร แนช หาเรื่องเขาคงจะไม่รอดแน่ๆ            



          

             เมื่อดีว่าเห็นอาการตะลึงของวาก็อดขำอีกไม่ได้        “ เป็นอะไรไปหรอครับ  เห็นจ้องใหญ่เชียว ”    ระหว่างที่ดีว่าพูดอยู่ก็ดูเหมือนว่า  ไซโคร แนช   จะเดินไปที่อื่นเสียแล้ว  

            “ มันก็น่าตกใจนี่  โรงเรียนนี้มีแต่คนประหลาดๆ แฮะ     ว่าแต่ที่นายบอกเราเมื่อครั้งก่อนว่า  เขาต้องการจะเจอกับเรานี่มันจริงหรอ ”

           “ จริงครับ  ลางสังหรณ์ของลมมันบอกผม ”

           “ อย่างนี้เขาจะมาดีหรือร้ายละ ”

           “ อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ  แต่คนอย่างเขาผมเชื่อว่าไม่น่าจะทำอะไรคนอย่างคุณเหมือนพวกแก๊งเอ็ดดี้หรอก ”

           “ น่ากลัวแฮะ ”    

           “ ไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ  ยังไงผมก็เชื่อว่า เขาเป็นคนดีครับ ”             วาไม่คิดจะถามอะไรดีว่าต่อ  ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาอยากจะกลับไปที่ห้องของเขาก่อนเสียแล้ว     วาจึงบอกกับดีว่า  

           “ ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวก่อนนะ  ต้องไปจัดของเหมือนกัน ”      

          “ ได้ครับ ”      ดีว่ายิ้มให้กับวาพร้อมกับโบกมือ  แต่ขณะที่วากำลังหันหลังไปไม่ทันไรเอง  ดีว่าก็ตะโกนบอกกับวาอีกครั้ง   “ เดี๋ยวนะครับ  อยากเห็นอะไรดีไหมละครับ ”      

          “ อะไรหรอ ”       วาหันหลังกลับมาพร้อมกับทำท่าสงสัย   ส่วนดีว่านั้นไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับเดินตรงไปที่ต้นไม้ที่เมื่อสักครู่ไซโคร แนช นั้นอยู่      พร้อมกับหันหน้ามายิ้มให้กับวา                     วาก็ไม่ได้ถามอะไรแต่ก็เดินตามจนในที่สุดก็ไปถึงต้นไม้ต้นนั้นเหมือนกัน      

          

            

           “ มีอะไรหรอ ต้นไม้ต้นนี้ ”

           “ ต้นไม้ต้นนี้ไม่ได้มีอะไรหรอกครับ   เพียงแต่มีโชว์พิเศษจะให้ดู     ผมไม่ค่อยจะทำให้ใครดูนะครับเนี่ย   พร้อมจะชมหรือยังครับ ”    

           “ อืม ไหนละ ”        



             ดีว่าไม่พูดแต่ยิ้มอีกครั้งจากนั้นก็เดินตรงไปที่ลำต้นของต้นไม้ต้นใหญ่นั้น     พร้อมกับเอามือข้างหนึ่งเตะไปที่ลำต้นเบาๆ    ซึ่งวาก็ดูท่าทางสงสัยเป็นอย่างมาก   ว่าดีว่าต้องการจะทำอะไรกันแน่                    สักพักหนึ่งดีว่าก็เอามือมาจากต้นไม้พร้อมกับเดินยิ้มมาหาวา           “ เสร็จแล้วครับ โชว์พิเศษของผม ”        เมื่อพูดจบวาก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย    แต่ไม่ทันไรนั้นเอง          ลมก็พัดมาอย่างแรงแต่ที่พัดไม่ใช่เพราะเกิดจากลมโดยธรรมชาติ   แต่เป็นเพราะเนื่องจากต้นไม้ต้นนั้นนั่นเอง           ใบไม้เป็นร้อยๆ  ใบร่วงลงมาสู่พื้น   กิ่งไม้โบกสะบัดอย่างรุนแรง     แต่ไม่นานนักลมก็สงบลง              

      

            

             วาได้แต่ยืนตะลึงไปอีกสักพัก   เมื่อได้สติเขาก็ปัดใบไม้ใบหนึ่งซึ่งหล่นมาใส่หัวของเขาพอดีออกไป       ส่วนดีว่านั้นยืนยิ้มอยู่เฉยๆ   ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดาเลยก็ว่าได้             โรงเรียนนี้มีแต่คนประหลาดจริงๆ ด้วย          สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันคืออะไรกันแน่  



              ดีว่าเหมือนจะรู้ทันวา  จึงพูดออกไปก่อนว่า          “ เป็นยังไงบ้างละครับ โชว์พิเศษจากผม   พอจะสู้ของ     ไซโคร   แนชได้บ้างไหมละครับ     ผมขอเรียกมันว่า   ปราณกระบี่ไร้เงา      ละกันนะครับ ”  

               “ สุดยอดเลย   นายทำได้ยังไงเนี่ย   เป็นมายากลหรือเปล่าเนี่ย   ทำไมเราไม่เคยเห็นกลนี้ที่ไหนเลยละ ”         ดีว่าได้ยินวาพูดก็หัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า      

               “ นี่มันไม่ใช่มายากลหรอกครับ   มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ   จะให้อธิบายมันก็ค่อนข้างจะยาวหน่อยนะครับ     จะว่าไปเอาง่ายๆ เลยนะครับ   มันก็คือสิ่งที่คนทั่วไปเรียกกันว่า   กำลังภายใน  ยังไงละครับ ”        

              “ อย่างนี้แสดงว่า นายก็มีกำลังภายในสูงส่งมากที่เดียวเลยสินะ ”

             “ ไม่หรอกครับ  คนในชมรมผมมีเก่งๆ  กว่าผมอีกตั้งเยอะแย่ะ  อย่างผมนี้ยังไม่เรียกว่าเก่งหรอกครับ ”       ดีว่ายิ้มให้กับวาอีกครั้ง   แต่ก็ไม่รอให้วาพูดต่อ       “ เอาละครับ  ตอนนี้รีบขึ้นไปที่ห้องก่อนดีกว่านะครับ  เดี๋ยวจะไม่ทัน ”                   ดีว่าไม่รอให้วาถามอะไรอีก   เขาเดินนำหน้าวาไปที่หอพักทันทีซึ่งทั้งสองก็ได้แยกกันในลิฟท์                    





              

              ในที่สุดวาก็กลับมาถึงที่ห้องของเขาจนได้   เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาดูเหมือนจะหายเหนื่อยไปเสียแล้ว   เพราะสิ่งที่เขาได้เจอมันทำให้เขาหายเหนื่อยไปเสียสนิท     วาค่อยๆ รูดการ์ดที่หน้าประตูห้องก่อนที่จะเปิดประตูเพื่อเข้าไปในห้อง     และขณะนั้นเองเขาก็กลับมานึกถึงฝันของเขาอีกครั้ง   แต่คราวนี้มันไม่ใช่เรื่องผู้หญิงเสื้อขาวคนนั้น   หากแต่เป็นฝันตอนที่เขาได้ไปสู้กับจอมมารซาตั้นซึ่งเขาคงจะอ่านนิยายเรื่องตำนานดาบคู่สายฟ้ามากจนเกินไปจนเก็บไปฝัน            แต่ประเด็นก็ไม่ไดอยู่ที่ตรงนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า   ในฝันของเขาตอนที่เขาได้ล่อนไพ่ใส่จอมมารมันทำให้เขานึกอะไรได้      ใช่แล้วการบ้านที่ซาซาไรให้ไว้





                เมื่อวานนี้เองที่ซาซาไรได้ให้การบ้านเขาไว้    ซึ่งวาก็ได้ทำส่วนหนึ่งแล้วก็คือ การอ่านคู่มือนักมายากลบทที่หนึ่งไปแล้ว   แต่เมื่อคืนเขาก็ยังลืมที่จะฝึกการล่อนไพ่ให้มั่นคงนั่นเอง        ซึ่งดูเหมือนว่าคิดได้ตอนนี้จะช้าไปเสียแล้ว   เพราะอีกไม่นานก็จะได้เวลาเข้าเรียนภาคเช้าแล้ว      แถมตอนพักกลางวันก็ไม่แน่ว่าเขาจะมีเวลาพอจะฝึก       แต่เขาก็จะพยายามฝึกตอนพักกลางวันให้ได้ก่อนที่จะเข้าชั่วโมงชมรมแน่นอน   เขาบอกกับตัวเองเอาไว้        





               วาค่อยๆ เปิดประตูห้องซึ่งเมื่อเข้าไปก็พบกับนีโอที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟากลางห้องกลางห้อง       วาค่อยๆ ปิดประตูซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับที่นีโอทักทายวา        



              “ อรุณสวัสดิ์นะ  เรากำลังสงสัยอยู่เลยว่านายหายไปไหนแต่เช้า ”           วาเดินไปหานีโอที่โซฟาพร้อมกับพูดไปด้วย       “ ขอโทษทีนะ  คือ เราตื่นเช้าไปหน่อยแล้วนอนต่อไม่หลับ   เราเลยลงไปเดินเล่นที่ข้างล่างน่ะ ”

             “ อืม งั้นหรอ ”   นีโอ พูดพร้อมกับสายตาจดจ่อไปที่โทรทัศน์   ซึ่งดูเหมือนเขาจะสนใจมันมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกสำหรับตอนนี้           ซึ่งเมื่อวาได้ดูแล้วก็พบว่ามันเป็นรายการสารคดีเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์       สมแล้วที่เป็นนีโอ วาคิดในใจพร้อมกับอมยิ้มเล็กน้อย          



             วานั่งดูกับนีโอไปสักครุ่หนึ่งโดยที่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร   เพราะดูไปดูมามันก็น่าสนใจดีเหมือนกัน  แถมเรื่องที่กำลังฉายอยู่เป็นเรื่องที่เขาเพิ่งเรียนไปเมื่อวานในชั่วโมงประวัติสาสตร์นั่นเอง       มันคือเรื่องของเจ้าปลาประหลาดโอปาจีนั่นเอง    แต่ไม่ทันไรรายการนั้นก็จบไปอย่างน่าเสียดายพร้อมกับการสรุปหลักฐานอย่างไม่แน่ชัดของเจ้าปลาประหลาดตัวนี้              นีโอหยิบรีโมทที่อยู่ข้างตัวเขาพร้อมกับกดปุ่มปิดโทรทัศน์  



              “ เราดูมาตั้งนานแล้วละ  ไม่เห็นมันจะมีอะไรมากไปกว่าที่เราเรียนมากันเลย  เผลอๆ  ที่เราเรียนจะมีเยอะกว่าอีกเสียด้วย ”  

             “ หรอ แต่มันก็น่าสนใจดีนะ ”

             “ อืม ลืมถามไปเลย  นายลงไปตั้งแต่ตอนกี่โมงหรอ ”

             “ เราก็ไปตั้งแต่ตอนตีสี่ใกล้ๆ จะตีห้าน่ะ  ”

            “ แล้วนายไปทำอะไรตั้งนานนะ      เดินเล่นอย่างเดียวเลยหรอ        เราเพิ่งจะตื่นแล้วก็อาบน้ำเสร็จเมื่อสักครู่นี้เอง ”                 ระหว่างที่นีโอกำลังพูดอยู่วาก็เดินไปที่โต๊ะของเขาเพื่อที่จะจัดกระเป๋าเตรียมความพร้อมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดกับนีโอไปด้วย      

            “  เราก็ลงไปเดินเล่น แต่ว่าไปเจอกับดีว่าเข้าแล้วเขาก็ชวนไปวิ่งก็เลยไปวิ่งกับเขา   เหนื่อยแทบแย่เลย ”

            “ วิ่งแต่เช้ามันก็ดีเหมือนกันนะ   แต่เราว่าเราชอบอ่านหนังสือแต่เช้ามากกว่านะ ”             ระหว่างที่วากำลังจัดของอยู่นั้นก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้  



              “ อืม นีโอว่าแต่นายรู้จักไอ้พวกกำลังภายในอะไรพวกนี้ไหม ”

              “ ก็พอรู้บ้างนิดหน่อยนะ  ทำไมหรอ ”

             “ ก็คือว่าวันนี้ตอนก่อนที่เราจะขึ้นมา  ดีว่าเขาบอกว่าเขาใช้กำลังภายในโดยที่เขาเดินเอามือไปเตะต้นไม้    แล้วใบไม้มันก็ร่วงลงมาเยอะแย่ะไปหมดเลย   เขาทำได้ยังกันเนี่ย ”

             “ อืมนะ นายไม่รู้หรอว่า  ดีว่าเป็นคนที่มีพลังลมปราณหรือที่เรียกว่ากำลังภายในสูงมากคนหนึ่งในโรงเรียนเรา  จนเขาได้ฉายาว่า  ปราณกระบี่ไร้เงา ยังไงละ ”

              “ หรอ     เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย  นึกว่าจะเป็นคนธรรมดาเสียอีก  มิหน้าละเวลาอยุ่ใกล้ๆ  เหมือนมีลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา   ว่าแต่ทำไมถึงต้องเป็นปราณกระบี่ไร้เงาละ  ”

             “ ก็เพราะว่า  เวลาที่เขาใช้กระบี่ควบคู่กับลมปราณละก็    พลังทำลายนั้นก็จะน่ากลัวมากเลยละ   อย่างเมื่อสักครู่นี้ที่นายเห็นมันก็รุนแรงมากใช่ไหมละ   แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นหรอกนะ   ได้แต่ฟังเขาเล่าๆ กันมา  ”

            “ อย่างนี้ถ้าเราโดนเข้าไปถ้าจะไม่รอดแน่ ฮ่าๆ ”        วาพูดพร้อมกับหัวเราะแบบสยองๆ  

           “ เราว่าไม่ขนาดนั้นหรอก  อย่างมากก็แค่นอนซมไปสัก 2 – 3 อาทิตย์เอง ”         นีโอ พูดอย่างมีหลักการอีกครั้ง  ซึ่งวาก็ได้แต่หัวเราะแบบสยองๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก        2-3 อาทิตย์มันไม่ใช่น้อยๆ นะนีโอ  วาคิดในใจ              





              หลังจากที่นีโอและวาจัดของทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว  ทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องพร้อมกับเดินไปเรียกมิวและเสือใบ้นิคให้ไปลงทานอาหารเช้าที่ชั้นล่าง        

              ทั้งสี่คนลงไปที่ชั้นล่างพร้อมกัน  ซึ่งวันนี้วาก็ยังคิดอยู่แต่เรื่องฝันของเขายู่ดี    คนที่สังเกตเขาออกได้ชัดดีคนหนึ่งก็คือ มิว นั่นเอง



              “ นายเป็นอะไรหรอ  วันนี้ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบางอย่างเลย ”     มิว ถามขณะที่กำลังนั่งกินอาหารไปด้วย  

              “ ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ”

              “ จะป่าวได้ยังไง  นายดูไม่เหมือนเมื่อวานเลย   ดูซึมๆ นะ”

              “ งั้นหรอ ”   จากนั้นวาก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน  “ เราว่านายดูผิดไปแล้วละ  เห็นไหมว่าเราสบายดี ”        

              “ แล้วแต่นายก็แล้วกัน  แต่มีอะไรก็บอกเราได้นะ ”            



               ทั้งหมดนั่งทานอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยหมดทุกคน  ซึ่งวันนี้ก็ไม่มีวี่แววของเบต้า และแก๊งหมูดำเลย  อาจจะเป็นเพราะพวกนั้นลงมากันคนละเวลาก็เป็นได้หรืออาจจะไปทานข้าวเช้าที่โรงอาหารแทน        ซึ่งอีกคนที่วาไม่เห็นก็คือดีว่า  



             ระหว่างทางเดินไปน้ำพุมีเด็กนักเรียนบางคนถึงกับต้องใส่เสื้อกันหนาว  ที่สำคัญยังมีผ้าพันคอสีแสบพันอยู่ที่คอด้วย            อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวเกินไปสำหรับเขาก็ได้  แต่สำหรับที่วามองดูแล้ว     เขาน่าจะใส่เพื่ออยากที่จะเป็นผู้นำแฟชั่นเสื้อกันหนาวก่อนใครมากกว่า      เพราะดูจากบุคลิกท่าทางการเดินแล้ว ไม่มีท่าทีว่าเขาจะหนาวเลยแม้แต่นิดเดียว         โดยที่วาไม่ต้องเอ่ยปากถามเลยว่าเขาหนาวจริงหรือเปล่า  มิวก็เป็นคนพูดออกมาก่อนคนแรก



             “ ดูเจ้านั่นสิ ผู้นำแฟชั่นประจำโรงเรียนเราเลยละ ”  

            “ หรอ เราคิดว่าเขาหนาวเสียอีก ”        

            “ ไม่หรอก เจ้านั่นมันชอบแต่งตัวแบบแหวกแนวชาวบ้านเขาอะ   แต่ที่แสบสุดก็ตอนมันแต่งชุดชาวนาไปเรียนเนี่ยแหละ ”             วา ยังคิดสภาพไม่ออกว่า ยังมีใครกล้าแต่งชุดชาวนาไปเรียน  คงจะแปลกพิลึกแต่สำหรับเด็กชายคนที่เขาเห็นแล้วคงจะไม่มีปัญหาในข้อนี้

           “ แต่นายไม่ต้องห่วงหรอก  ยังดีที่เจ้านั่นไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเรา “      มิว พูดกับวาก่อนที่จะเดินต่อไปโดยไม่สนใจเด็กชายผู้นำแฟชั่นคนนั้น      



            “ เออ ว่าแต่นายพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าการแข่งขันระหว่างสถาบันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ”      มิว เป็นคนถามวา

            “ นั่นสินะ เราก็ยังไม่รู้เลย  แต่คงอีกประมาณ 2 เดือนมั้งนะ ”    วา เองก็ยังไม่รู้เวลาที่แน่นอนเหมือนกันซึ่งเมื่อนีโอได้ยินทั้งสองพูดกันจึงรีบพูดขึ้นทันที

           “ การแข่งขันระหว่างสถาบันรู้สึกว่ามันจะเริ่มขึ้นในอีก 2 เดือนอย่างที่วาพูดนั่นแหละ  ”

           “ นายก็รู้ด้วยหรอ ”       วา สงสัยเล้กน้อย แต่คนอย่างนีโอมีหรือเรื่องอะไรบ้างจะไม่รู้

          “ รู้สิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้เชียว   เพราะมันไม่ได้มีแต่การแข่งกีฬาหรืออะไรเพียงอย่างเดียวนะ   ยังมีการแข่งอื่นๆ อีกมากมายเลยละ ”

          “ เราเพิ่งรู้นะเนี่ย  ตอนแรกนึกว่ามีแต่การแข่งปิงปองเสียอีก ”

          “ แล้วตอนนายอยู่โรงเรียนเก่านายไม่รู้บ้างเลยหรอ ”

          “ พอดีเราไม่ค่อยจะรู้เรื่องอะไรหรอก  เพิ่งมารู้เนี่ยแหละว่ามีหลายอย่าง ”      

          “ อืม รู้ไว้ก็ดีแล้ว ”

          “ ว่าแต่การแข่งอย่างอื่นที่นายว่ามันมีอะไรบ้างหรอ ”

         “ ก็อย่างพวกกีฬาอะไรอย่างนี้ละ   แข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการ แล้วก็……. ”     นีโอยังไม่ทันที่จะพูดจบ มิวก็รีบพูดแทรกทันที     “ แล้วก็การแข่งขันประกวดวงดนตรียอดเยี่ยมระหว่างสถาบันด้วยละ    เพียงแต่ว่ารายการนี้จะจัดเป็นรายการสุดท้ายก็คือ  ตอนเกือบจะสิ้นปีการศึกษานะ    ซึ่งการที่วงเราจะลงแข่งได้ก็จะต้องผ่านการคัดเลือกให้เป็นวงอันดับต้นๆ ของโรงเรียนให้ได้เสียก่อนละ  ”

          “ ฟังอย่างนี้ดูแล้วยากจังเลย ”            วา ไม่คิดว่าวงของเขาจะสามารถเข้าไปประกวดวงดนตรียอดเยี่ยมระหว่างสถาบันได้แน่นอน   เพราะแต่ละวงในโรงเรียนนี้วาคิดว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน  

          “ ไม่ยากหรอก  อย่างน้อยถ้ามีเราอยู่ก็เข้าได้ไม่ยากแน่นอน ”             มิว พูดด้วยความมั่นใจ ซึ่งถึงวาจะไม่มีความมั่นใจเหมือนกับมิว แต่เขาก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้       เมื่อพูดถึงการแข่งขันระหว่างสถาบันทำให้วาคิดถึงอะไรบางอย่างได้     เขาอาจจะได้พบกับใครบางคนก็ได้ถ้าคนๆ นั้นไปดูการแข่งขันระกว่างสถาบันด้วย    ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปีนี้โรงเรียนไหนจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน        คนๆนั้นที่วาคิดไม่ใช่ลมดำเพื่อนเก่าของเขา  หากแต่เป็นผู้หญิงชุดขาวคนที่วาฝันถึงในวันนี้นั่นเอง        



            ใจหนึ่งวาเองก็คิดอยากจะเจอกับเธอคนนั้นอีกสักครั้งหนึ่งแต่กลัวว่า ตัวเองจะทำใจไม่ได้      ใช่แล้วคนๆ นั้นก็คือคนที่วาแอบชอบนั่นเอง   เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ชอบวาเหมือนที่วาชอบเขา      แต่วาเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาคนนั้นมีแฟนหรือยัง     ซึ่งในฝันเมื่อวาเห็นเขาเดินกับผู้ชายอีกคนหนึ่งจึงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมาก     แต่ก็ยังดีที่วาเองก็ทำใจได้ไปเกือบจะหมดแล้ว  มิเช่นนั้นคงจะแย่กว่านี้          



      

              วาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเรื่อยๆ   มิวเห็นดังนั้นจึงไม่อยากจะชวนคุยอะไรเพราะรู้ว่าวาคงจะมีอะไรไม่สบายใจบางอย่างอยู่แน่    ซึ่งไม่ทันไรทั้งสี่คนก็เดินมาจนถึงตึกอาคารเรียนแล้ว          ดูเหมือนว่าวันนี้รุ่นพี่ซาโต้จะยืนอยู่ที่หน้าประตูตึกอาคารเรียนเหมือนในวันแรกไม่มีผิด      ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็เดินผ่านไปมาก็จะทักทายรุ่นพี่ซาโต้กันทั้งนั้น       จนกระทั่งพวกของวาเดินไปถึงรุ่นพี่ซาโต้   ซึ่งคนที่ทักทายเป็นคนแรกก็เป็นนีโออีกเช่นเคย



              “ สวัสดีครับรุ่นพี่    วันนี้อากาศดีจังนะครับ ”            

             “ อืมสวัสดีนะ  อากาศดีก็จริงอยู่  แต่ออกจะหนาวไปสักนิดนะ ”       ซาโต้พูดด้วยท่าทางเข้มเหมือนวันแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน        ซึ่งเมื่อนีโอทักทายรุ่นพี่ซาโต้แล้ว   วากับมิวก็กล่าวสวัสดีตาม   มีเพียงแต่เสือใบ้นิคเท่านั้นที่เพียงแต่ก้มหัวให้เล็กน้อย      รุ่นพี่ซาโต้ดูเหมือนจะจ้องมองวาเหมือนวันแรกไม่มีผิด   การมองที่ดูเหมือนจะมองผ่านเข้าไปถึงความคิดภายในใจได้    มันทำให้วารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย  และเหมือนว่าดวงตานั้นจะสื่อความหมายอะไรบางอย่างราวกับว่า  เขารู้ว่าวันนี้วากำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่     แปลกตรงที่ว่าซาโต้นั้นไม่ได้ถามอะไรวาเลย        

             “ นี่ได้ข่าวว่า ลงสมัครเป็นตัวจริงในการแข่งขันปิงปองระหว่างสถาบันด้วยหรอ  ท่าทางจะเก่งไม่ใช่เล่นนะเรา ”

            “ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ”

           “ ว่าแต่ไม่ได้ลงแข่งอย่างอื่นอีกหรอ ”        

           “ ไม่มีแล้วละครับ  ผมไม่เก่งอะไรสักอย่างลงแข่งไปก็จะทำให้แพ้เปล่าๆ ”         การพูดจาถ่อมตนของวาทำให้ซาโต้รู้สึกชอบใจเล็กน้อย    ทำให้เขาอมยิ้มขึ้นมานิดหน่อย  

           “ อืมนะ ว่าแต่มาอยู่ที่นี่แล้วเป็นยังไงบ้าง ”

          “ ก็ดีนะครับ  ดีกว่าโรงเรียนเก่าผมเสียอีก ”

         “ ดีแล้วละ  ก็ถ้ามีปัญหาเรื่องอะไรก็มาบอกกับพี่ได้นะ   พี่ยินดีช่วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามนะ……..  ”    ซาโต้ หยุดพูดอยู่สักช่วงหนึ่งจากนั้นก็พูดต่อ   “ หรือแม้แต่เรื่องความรักนะ ”       พูดจบซาโต้ก็จ้องมองวาอีกครั้งพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย             ส่วนวานั้นรู้สึกประหลาดใจมากเพราะคำพูดนั้นดูเหมือนว่าซาโต้สามารถอ่านใจของเขาออกได้จนหมด   หรือว่าเขาจะมีพลังจิตจริงๆ    แต่เป็นไปไม่ได้หรอกพลังจิตมันไม่มีจริง    เขาคงจะคิดมากไปเอง

          “ ขอบคุณนะครับ ”     วา ตอบด้วยท่าทีอึดอัดเหมือนคนถูกอ่านใจออก

          “ แล้วรุ่นพี่มีลงแข่งอะไรไว้บ้างหรือเปล่าครับ ”       นีโอเป็นคนถาม ซึ่งดูเหมือนว่าซาโต้จะเปลี่ยนท่าทีจากตอนแรกที่จ้องวา  เป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจากนั้นก็พูดกับนีโอ

          “ พี่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันนะ  กะว่าวันนี้จะลองไปคิดดูก่อนว่าจะแข่งอะไรดี  ”

          “ งั้นหรอครับ ถ้ารุ่นพี่ลงแข่งอะไร ยังไงผมก็ว่ารุ่นพี่ชนะหมดละครับ ”      นีโอกับซาโต้ดูเหมือนพี่น้องกันเสียจริงๆ  แต่วาก็คิดว่ายังดีที่นีโอไม่สามารถจ้องเขาเหมือนที่ซาโต้จ้องได้  



          “ ไม่จริงหรอก พี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย  ว่าแต่นี่ไม่ไปเข้าห้องกันก่อนหรือ เผื่อจะได้ไปคุยกับเพื่อนๆ คนอื่นบ้าง ”

          “ อ๋อครับ ถ้างั้นพวกผมขอตัวก่อนละกันนะครับ ”       นีโอเป็นคนพูดจากนั้นก็ก้มหัวให้กับซาโต้   ซึ่งพวกวาก็ทำเช่นเดียวกันก่อนที่จะไป                ซาโต้มองพวกของวาเดินไปเรื่อยๆ  พร้อมกับยิ้มขึ้นเล็กน้อยอยู่คนเดียวเหมือนกับมีเรื่องอะไรบางอย่างที่คิดออกมาได้       ซาโต้กอดอกก้มหน้าหลับตาก่อนที่จะพูดออกไป

        

          “ หมู่นี้เราไม่ค่อยได้คุยกับเลยนะ   ทำไมไม่ออกมาคุยกันบ้างละ ”         ซาโต้พูดเหมือนกับว่าเขาพูดกับตัวเองเพราะที่ตรงนั้นไม่มีใครอยู่ด้วยเลย     ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนที่ซาโต้พูดด้วย  แม้กระทั่งเห็นก็ยังไม่มีร่องรอยว่า ซาโต้พูดอยู่กับใครกันแน่             เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับจากคนที่ซาโต้พูดด้วยเขาเองก็ขำเล็กน้อย  แต่จากนั้นเขาก็พูดต่อไปอีก  

           “ นายนี่มันหัวดื้อดีจริงๆ ”           ซึ่งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกเช่นเคย  แต่คราวนี้ดูเหมือนว่า จะเห็นคนที่ซาโต้พูดด้วยแล้ว          เพราะว่าคนๆ นั้นยืนอยู่ตรงมุมเสาข้างในตึกอาคารเรียนนี้เอง  จึงทำให้เหมือนกับว่าซาโต้พูดอยู่คนเดียว    ชายคนนั้นค่อยๆ เดินออกมาจากเสาแต่ท่าทางเขาดูเหมือนจะไม่สนใจคำพูดของซาโต้เลยแม้แต่น้อย    และดูเหมือนว่าคนๆ นั้นกำลังจะเดินเข้าไปข้างตึกเลยเสียด้วย        

           “ อะไรกันนะ ที่ทำให้นายเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้นะ ”          คนๆนั้นไม่ตอบหากแต่หยุดอยู่กับที่และทำท่าเหมือนจะฟังคำพูดของซาโต้อีกโดยที่ไม่คิดที่จะตอบกลับเลยแม้แต่น้อย       แต่พอซาโต้ตั้งท่าว่าจะพูดต่อคนๆนั้นก็หันกลับมาหาซาโต้ราวกับรู้กันว่าซาโต้จะพูดอะไรต่อไป           สายตาของคนๆนั้นดูไม่ค่อยเป็นมิตรนักหากแต่ก็ไม่ใช่สายตาที่มุ่งร้ายมันเป็นสายตาแห่งความโดเดี่ยว  

            “  คนอย่างเจ้าไม่มีวันจะมาเข้าใจข้าหรอก   ”         เมื่อพูดจบคนๆนั้นก็เดินจากไปทันที  ทิ้งซาโต้ให้ยืนกอดอกอยู่คนเดียว     ซาโต้ยิ้มเล็กน้อยราวกับว่าไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย     คนอย่างเขาถูกหาว่า ไม่มีวันเข้าใจใครได้          นับว่าคนที่พูดนั้นมีความกล้าอย่างยิ่ง           เนื่องจากคนอย่างเขานั้นเรียกได้ว่าเข้าใจคนเกือบหมดทุกคน   เพียงแต่คนอย่างเขาก็ต้องยอมจำนนต่อคำพูดของคนๆนั้น    

            “ คนอย่างนายนี่มันเข้าใจยากเสียจริงๆ เลยนะ  เจ้าชายไซโคร แนช ”      ซาโต้บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะเดินเข้าไปในตึก      





                เมื่อพวกวาเดินมาจนถึงห้องเรียนของเขาแล้ว   แต่ละคนเมื่อเข้ามาในห้องก็ต่างแยกย้ายกันไปว่างกระเป๋าหรือเป้ที่ตนเองถือมา    ซึ่งเมื่อมองที่นั่งของวาก็พบว่า โซเฟียมาถึงก่อนเขาอีกแล้ว   และดุเหมือนว่าวันนี้เธอจะไม่ได้นั่งเงียบอยู่คนเดียวเสียแล้ว   แต่คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะวาซึ่งกำลังคุยกับโซเฟียอยู่ก็ไม่ใช่ใครอื่นใด   หากแต่เป็นวีวี่นั่นเอง    เมื่อวาเดินเข้าไปใกล้ๆ   ก็กล่าวทักทายทั้งสองคนนั้น   ซึ่งดูเหมือนว่าวันนี้สองคนนั้นจะมีเรื่องอะไรสำคัญคุยกันอยู่    



                “ อืม ดีตอนเช้านะวา ”      วีวี่กล่าวทักวาเช่นกันซึ่งโซเฟียก็ทักทายตาม   “ ดีนะ ”         เมื่อวีวี่เห็นวามาถึงก็ทำท่าจะลุกเหมือนกันแต่วาบอกว่าไม่เป็นไร    เขาแค่นำเป้วางไว้บนโต๊ะจากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะข้างๆ  ซึ่งกำลังว่างอยู่            วันนี้วาเพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่ดูท่าทางจะอารมณ์ไม่ค่อยแจ่มใส   หากแต่โซเฟียก็รู้สึกว่าจะเป็นเหมือนเขาเช่นกัน          



               “ นี่กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรอ ”       วา เริ่มถามก่อน

               “ ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปนะ ”      วีวี่เป็นคนตอบ

               “ หรอ เห็นดูท่าทางซีเรียสกันจัง ”        

               “ ก็เมื่อเช้านะสิ ”      วีวี่ทำท่าจะพูดต่อแต่เหมือนจะลืมตัวจึงหันไปมองหน้าโซเฟียเหมือนกับจะถามว่าตัวเองจะพูดต่อได้ไหม    

              “ พูดต่อสิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย  เพื่อนๆกัน ”           โซเฟียบอก เหมือนกับรู้ว่าวีวี่ต้องการจะถามเธอว่าให้พูดได้ไหม      

             “ อืม เมื่อเช้าทำไมหรอ ”

             “ ก็เจ้านั่นนะสิ   มันมาตามตื้อโซเฟียอีกแล้วนะสิ ”         วา มีท่าทีสงสัยเล็กน้อย แล้วเจ้านั่นเป็นใครละ ซึ่งดูเหมือนว่าวีวี่ก็เพิ่งจะคิดได้ว่าตัวเองลืมบอกไปว่าเจ้านั่นเป็นใคร  

           “ โทษทีลืมไปว่านายไม่รู้เรื่องนี้      เจ้านั่นก็คือ ……… ”







                                            __________________________________________

              



          



          



        







          

        



          

            

            





          











          

          





            





            



          

          





          



            



              



              



              



              



              

            



              

            



            



      

          

          





          

          

            

      

            



                



            





              



              







              

      



          





              

              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×