ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวทย์ จอมไตร

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่9 ...รีไรท์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 292
      2
      21 เม.ย. 62

    ไม่อยากเชื่อเลยว่า เด็กตัวนิดเดียวจะเป็นมือสังหารอันดับหนึ่งของโลกวิญญาณ เวทย์ดึงแขนเธอกลับเข้ามาในอาคาร ลากแผงประตูเหล็กปิดดังปัง!

    กุมารเพชรย่างสามขุมเข้ามา รัศมีจากแสงเพชรแพรวพราวระยิบระยับ ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ด้วยดวงจิตแห่งการฆ่าฟัน  มาถึงแผงประตูเหล็กจะใช้ฝ่ามือผลักให้พัง พลันร่างกระเด้งลอยออกไปคล้ายถูกไฟฟ้าแรงสูง 

    “โปรเฟรสเซอร์  ได้ป้องปกอาคารหลังนี้ไว้แล้ว..ขอรับ”

    นานิครางอึ๋ย “เมื่อกี้นายเห็นตาเด็กนั่นไหม น่ากลัวซะมัดเลย”

    จิตของเด็กบริสุทธิ์..ขอรับ  หากแต่ถูกอำนาจด้านมืดสะกดเอาไว้ ให้ต้องทำตามคำสั่ง ทำในสิ่งที่ชั่วร้าย      

    แล้วเรา...จะทำยังไงดี

    คนข้างตัวเริ่มขวัญแขวน  เวทย์รู้ดีถึงสถานการณ์คับขัน  จำต้องได้เผชิญหน้ากับศัตรูด้วยตัวเอง  มองพระขรรค์อาวุธประจำกายของเทวดา  ได้มาปรากฏบนอุ้งมือ   เขาไม่ต้องการจะทำร้ายเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์เลย

    ร่างเล็กๆ เท่าเด็กวัยอนุบาลของกุมารเพชรหันมาเดินเลียบตัวตึก  มองหาทางเข้า เพียงก้าวที่สองที่สาม ร่างกายขยายใหญ่ ส่วนศีรษะสูงจนท่วมตึก 

    ตึ่งงงง!...ตึ่งงงง!...ตึ่งงงง!...

    “เสียงอะไร ทำไมมันดังขนาดนี้! นานิเอามืออุดหู

    ข้างนอกภูตร้ายยังคงวนเวียน หาทางเข้าอยู่เช่นนั้น ด้วยได้รับคำสั่ง เป้าหมายไม่สิ้นชีวิตจะไม่เลิกรา  

    “กุมารเพชร..ขอรับ กำลังหาทางเข้ามา แต่อย่ากังวลไปเลย ตาข่ายมนตร์ของโปรเฟรสเซอร์  ได้คลอบคลุมตึกหลังนี้ไว้หมดแล้ว”

    มนุษย์โลกอย่างนานิหายใจยืดยาว ทรุดกายลงนั่งพิงเสาต้นหนึ่ง มีเหงื่อโทรมทั้งตัว  ผิดกับเวทย์ที่ดูเฉย ไม่มีเหงื่อ เธอมองดูเนื้อตัวของเขาไม่มีริ้วรอยอันใดเลย

    “นายไม่เหนื่อย ไม่ร้อนบ้างหรือไง”

    เวทย์ยิ้มอ่อน  มองมายังคนถาม  “เราชาวหิมพานต์นคร จะไม่มีเหงื่อ..ขอรับ วันใดที่มีเหงื่อออก คือวันสิ้นอายุขัย”

    “เหรอ...แปลกจัง”

    พอจบคำ เธอชักจะเคลิ้มๆ เหมือนว่าจะหลับ  พอลืมตาอีกที นานิต้องกรีดร้องลั่น เมื่อมองผ่านหน้าต่าง  เห็นใบหน้าอันใหญ่โตของกุมารเพชรก้มมองเข้ามา

    พอเอื้อมมือจะถูกพลังงานตีกลับ คล้ายกระแสไฟฟ้าแล่นเข้าตัว  ถึงกับเซถอยหลังออกไป ไม่มีทางเข้ามาในตัวตึกได้เลย

    การไล่ล่าเหมือนแมวไล่จับหนู แม้จะอยู่ในรังที่แข็งแรง  นานิมองไม่เห็นทางออกเลยว่าจะหนีรอดไปได้อย่างไร  

    รักยมบีบอยพุ่งพรวดออกมาจากขวด ด้วยหวังจะช่วยนาย พอมองออกหน้าต่างถึงกับร้องลั่น

     “พ่อๆ มาดูนี่เร็ว!

    “อะไรอีก!

    “กุมารเพชร...มันกำลังจะปาก้อนหินใส่พวกเรา”

    มันช้าไปแล้ว เวทย์พอพุ่งไปที่หน้าต่าง ภาพที่เห็นคือกุมารเพชรใช้กำลังมหาศาลยกซากผนังตึกน้ำหนักหลายตันขึ้นเหนือหัว แล้วทุ่มพุ่งตรงเข้ามา

    เวทย์รีบกระโดดไปคว้านานิให้พ้นรัศมี

    ตูมมมมม !!!!  โครมมมม!!!!.

    คอนกรีตหนักถูกปาทะลุผนังเข้ามา  ด้วยความแรงขนาดรถสิบล้อพุ่งชน

    ตูมมมมม !!!!  ตูมมมมม !!!!  ตูมมมมม !!!! 

    “กรี๊ดดดด เวทย์ช่วยด้วย”

    “ไม่ต้องกลัว! กระผมอยู่นี่”

    ก้อนหินกับเศษวัสดุหนักๆ ถูกระดมปาเข้ามาไม่หยุดหย่อน  ปะทะกับอาคารราวกับถูกลูกปืนใหญ่  เศษวัสดุปลิวว่อนฝุ่นผงตลบฟุ้ง  ทำเอาทั้งสองคนสำลัก เวทย์เป่าปากฟู่  อีกไม่นานตึกหลังนี้ได้พังลงมาแน่ 

    “เราต้องออกไปจากที่นี่!

    ชายหนุ่มหญิงสาวพากันวิ่งออกมาด้านหลังตึก  วิ่งหน้าตั้ง หมายตาตึกพาณิชย์หลังหนึ่งที่ใหญ่โตกว่า คงทนทานต่อการถูกโจมตีได้มากกว่า  กุมารเพชรหยุดมือจากการปาก้อนหิน  ย่อกายนอนหมอบลง ร่างกายยืดยาวกลายเป็นตะขาบตัวแดงราวกับไฟ  เลื้อยส่ายตามมา เพียงไม่กี่อึดใจจะถึงเป้าหมาย

    “มันจะตามเรามาทันแล้ว!” นานิร้องเสียงหลง

    ควายธนูแลมโบกีนี่พุ่งออกมาจากอกเสื้อของเวทย์ ขยายร่างเท่าควายจริง เวทย์กระโจนขึ้นขี่หลัง  นานิกระโจนมานอนพาด ไม่มีเวลาจัดท่านั่ง ควายธนูวิ่งควบห้อลิ่ว  ตะขาบยักษ์ไล่กวดมาติดๆ เสียงฝีเท้านับร้อยพันของมันดังถี่ราวกับเสียงพายุ

    ท้องฟ้าเบื้องบน เวทย์ชี้ไปที่ลูกไฟอุกกาบาตที่กำลังลุกไหม้เป็นทางยาว กำลังตกลงมาบนพื้นโลก

    ตูมมมมมมมม!!!!!!!!!

    ด้วยความแรงของอุกกาบาต  เมื่อมันชนเข้ากับพื้นโลก  เวทย์สั่งให้ควายธนูแลมโบกีนี่ลอยตัวสูงเหนือพื้นดิน  ป้องกันอันตรายจากเศษซากของอาคารบ้านเรือน เมื่อมองสภาพบ้านเมืองแทบราพณาสูร  เสียงแผ่นดินยังคงสะเทือนเลื่อนลั่น

    “เวทย์...จะมีคนตายหรือเปล่า”

    นานิพูดอย่างใจเสีย น้ำตาคลอด้วยนึกเป็นห่วงพ่อแม่

    “อย่าตกใจไป..ขอรับ  ที่นี่เป็นเมืองคู่ขนานของโลกในอีกมิติหนึ่ง  สิ่งมีชีวิตในนี้ที่สามารถตายได้ มีเพียงเราสองคนเท่านั้น”  

    ในใจกลางหลุมอุกกาบาต  ที่ทั้งสองคนลอยอยู่เหนือ  นานิชี้ไปที่ควายเผือกตัวหนึ่ง  มันกำลังไต่ขอบหลุมขึ้นมา  ยามเมื่อชูคอส่ายไปมา ใช้จมูกสูดหากลิ่นของศัตรูร่างกายกำยำล่ำสันฉกาจฉกรรจ์ยิ่งนัก 

    พอเจอกับตะขาบยักษ์  ขาทั้งสี่ของมันควบโขยกด้วยอาการคึกคะนอง เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าโรมรัน

    เวทย์เป่าปากดังอย่างโล่งอก  พอหันมายังนานิเธอยังยิ้มสู้อยู่ ต่างยิ้มให้กัน

    “โปรเฟรสเซอร์  ส่งควายธนูมาช่วยเราแล้ว..ขอรับ”

    นานิไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย

    “ควายตัวนิดเดียว จะสู้ตะขาบยักษ์ได้เหรอ”

    “ได้..ขอรับ ควายธนู ดัสสัน 720 ของโปรเฟรสเซอร์ถึงจะแก่ แต่เก๋า”

    การประจันหน้าของสัตว์ที่ได้รับการปลุกเสกขึ้นมาจากคาถาอาคม ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง  ควายธนูตัวเล็กเท่าหนู เมื่อเทียบกับตะขาบ หาได้หวั่นเกรงไม่ ร่างกายของมันกำยำล่ำสัน  มีความปราดเปรียวว่องไวยิ่งนัก

    ควายธนูสะบัดเขาไปมา ตามสะบักหลัง  สีข้าง  โคนขาอันกำยำมีรอยร้าวปริแตกไปทั่วตัว  มันพ่นขี้เถ้าไฟออกมาออกจากจมูก  เปลวไฟแลบเลียออกมาตามรอยแยกทั่วตัว  มันคือไฟและขี้เถ้าจากการเผาศพ ที่ร้อนแรงดุจไฟนรก

    ตะขาบพุ่งลงใช้ปากงับ ควายธนูพุ่งดิ่งเป็นลูกไฟ เข้าไปในปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยว ทะลุเข้าไปวิ่งอยู่ภายในลำตัวอันใหญ่โต  

    กุมารเพชรสละร่างตะขาบ ที่กำลังถูกไฟลุกท่วม  ออกมาขยายกายเท่ากับมนุษย์วัยหนุ่มฉกรรจ์  ควายธนูพุ่งเข้าใส่  วาดเขาโง้งหมายขวิดให้เต็มเหนี่ยว พอถูกจับเขาได้ เกิดการประลองกำลังกันขึ้น  สองเท้าของกุมารเพชรที่ยันพื้นสุดกำลัง ถูกไถครูดเป็นทางยาวด้วยถูกแรงมหาศาล  ควายธนูสลัดจากถูกจับเขาได้  ขวิดเข้าสีข้างกุมารเพชร ร่างปลิวด้วยแรงชนตึกดังตูม! 

    นานิต้องเอามืออุดหู เด็กคนนั้นจะทนแรงปะทะได้นานแค่ไหน  ควายธนูน่ากลัวมาก ไม่น่าจะสู้กันได้เลย

    “โปรเฟรสเซอร์พอเถอะ..ขอรับ เด็กบริสุทธิ์ เขาแค่ถูกบังคับให้ทำ ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเราเลยนะ..ขอรับ”

    เสียงอันทรงอำนาจมาจากฟากฟ้าเบื้องบน ดังตอบมา “เวทย์ เอ็งมันก็ใจอ่อนแบบนี้ แล้วจะปกป้องคนที่เอ็งรักได้ยังไง”

    “เป็นผู้ใหญ่ ต้องไม่คิดทำร้ายเด็กนะ..ขอรับ”

    เสียงบนฟ้า หัวร่อดัง เออแน่ะๆ...

    “ท่านเทพบุตร...แล้วท่าน เอาพระขรรค์เทวดาออกมาทำไม”

    เวทย์ยิ้มแหย รีบปล่อยอาวุธออกไปจากมือ สั่นหน้าบอกไม่มีเจตนา

    แม้สถานการณ์ยังคับขัน  ยังมีเรื่องให้หัวเราะ นานิมือกุมท้องขำ เขาไม่เหมาะจะถือมีดดาบไปทำร้ายใครได้หรอก

    สีหน้าของกุมารเพชรยังคงนิ่งเฉยเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต ด้วยร่างกายแกร่งดั่งเพชร ยากที่ศัตรูจะทำลายลงได้  แม้ถูกขวิดหนักหน่วงเพียงใดไม่สะเทือน 

    โปรเฟรสเซอร์เร่งพลังจิตข้ามมิติ  เสริมให้กับควายธนู ร่างของมันย่อตัวลงปริแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนแจกันแตก  ไฟลุกปะทุขึ้นจากเศษซาก ไหลหลากเหมือนลาวาที่ขยายเป็นวงกว้างออกไปทุกที  เดือดปุดส่งกลิ่นกำมะถันคละคลุ้ง

    เวทย์ต้องบังคับควายธนูที่ขี่ให้ลอยห่างออกมา

    “ไอ้เด็กนี่ มันจะแกร่งแคไหน มันทนไฟจากนรกได้หรือเปล่าวะ”

    ร่างของกุมารเพชรซวนเซ ด้วยพิษของความร้อน  พื้นดินเบื้องล่างบัดนี้ได้กลายสภาพเป็นปากปล่องภูเขาไฟ อันเต็มไปด้วยลาวาจนหมดสิ้นแล้ว

    คาถาของโปรเฟรสเซอร์ขลังมาก เวทย์รู้แล้วว่าทำไมพ่อจึงให้เขามาร่ำเรียนด้วยถึงในโลกมนุษย์

    กุมารเพชรได้ทิ้งร่างลง กลายเป็นตุ๊กตาเด็กธรรมดา ที่กำลังจะมอดไหม้

    “เวทย์ ถ้าเอ็งเก่งจริง ก็จงใช้คาถาที่ข้าสอนให้ ดับพิษร้อนของไฟนรก แล้วส่งดวงวิญญาณของมัน ไปสู่สุขคติสิวะ”

    “นี่คือหน้าที่ของสัปเหร่อ..ขอรับ”

    ควายธนูร่อนลงมาบนพื้น  เวทย์หยุดยืนที่ขอบบ่อลาวา  ความร้อนทำให้กายและจิตรุ่มร้อนดั่งผู้ที่ตกไปสู่นรก มีแต่ต้องทำจิตให้สงบด้วยความเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ 

    เขาจะต้อง หักด่านไฟนรก เพื่อให้ผ่านบททดสอบของโปรเฟรสเซอร์ ให้จงได้ ลาวาสีส้มสุก บ้างแดงฉาน มันร้อนแรงขนาดหลวมเพชร  นานิรู้สึกปวดแสบปวดร้อนมาก  หากไม่ดับพิษร้อนตนเองจะแย่ไปด้วย  มองดูสีหน้าของเวทย์สงบมาก ขยับปากสวดคาถาพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ 

    “มันได้ผล!

    เวทย์ลืมตามอง รู้สึกโล่งไปหมด สีของลาวาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าของน้ำทะเล พิษไฟได้ดับลงแล้ว  

    “เยี่ยมมากศิษย์ข้า  บัดนี้พิษร้อนของไฟนรก ได้สงบลงแล้ว ดวงวิญญาณของกุมาร จะไปในภพภูมิใด สุดแต่บุญกรรมที่ทำไว้ในชาติภพก่อนจะนำพาไป ชาตินี้ที่ต้องมาตายตั้งแต่ในท้องแม่  ถูกคนมีวิชาอาคม  นำไปปลุกเสกเป็นกุมารเพชร บังคับ ให้ไปก่อเวรสร้างกรรม ถือว่าได้ชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรไปแล้ว  กรรมใหม่ที่เกิดขึ้น ย่อมตกเป็นของผู้บงการ”

    แสงเรืองรองที่ประตูมิติ  เวทย์เห็นแสงเรืองรอง เหมือนช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน  ใช้แล้วตอนนี้อีกโลก  กำลังจะเข้าสู่เขตแดนของราตรีกาล

    “เวทย์ แล้วเด็กคนนั้นล่ะ จะเป็นยังไงต่อไป”

    “ร่างของกุมารเพชรสลายไปแล้ว..ขอรับ” 

    “ตายใช่ไหม น่าสงสารนะ”

    “เด็กตายมาก่อนแล้ว..ขอรับ ถูกคนมีวิชาอาคมบังคับควบคุมดวงวิญญาณไว้ในร่างกายที่เรียกว่ากุมารเพชร แต่เมื่อร่างกายถูกสลายด้วยไฟ ให้กลับคืนสู้ธาตุทั้งสี่ ดวงวิญาณจะเป็นอิสระ มีเพียงสัปเหร่อเท่านั้น ที่มีพิธีกรรมปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกกักขังให้เป็นอิสระ”

    พูดจบนานิพนมมืออธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณของเด็กไปสู่สุขติ เวทย์ยิ้มเธอเป็นคนจิตใจมีเมตตากรุณา ไม่ได้ผูกโกรธกุมารเพชรที่ปองร้าย ดีใจที่ได้คบหาด้วย

    “ประตูมิติเปิดแล้ว..ขอรับ  เรากลับกันเถอะ”

    ทะลายมิติออกมาได้ก็เข้ามืดค่ำ ดวงจันทร์ลอยอ้อยอิ่งหลังเมฆหม่น ร้านขายโลงศพของผีพรายก็ถูกปิด ประตูหน้าต่างถูกปิดแน่นหนา แล้วยังมีเขตอาคมกั้นไว้อีกชั้น เวทย์ปล่อยรักยมเข้าไปสืบความ กลับหาทางเข้าไม่ได้  

    “เข้าไปไม่ได้เลยพ่อ”

    “หรือว่า เราจะไปขอพวกกรมเมือง ออกหมายค้น”

    มาคิดดูอีกที ของกลางคงถูกปู่โสมกับพวกเก็บไปหมดแล้ว  ไม่เหลือหลักฐานให้เอาผิดได้  เป้าหมายตอนนี้คงต้องตามตัวผีพรายพ่อลูกมาให้ได้เสียก่อน

    เวทย์ตามสืบหาร่องรอยของผีพราย จากพวกสัมภเวสีข้างทาง ได้ความว่า      ผีพรายพ่อลูกกำลังขับรถมุ่งหน้าไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา

    “แย่แล้ว!..

    “อะไรแย่รึเวทย์?

    “หากผีพรายหนีลงน้ำได้  เราจะจับตัวเขาไม่ได้เลย อิทธิฤทธิ์ของพวกเขาจะมากกว่าเดิมหลายเท่า เราต้องตามพวกเขาให้ทันก่อนพวกเขาจะหนี

    นานิยังคงสับสนมึนงงกับการย้ายข้ามมิติ  ได้แต่เดินตามต้อยๆ พอเขาพูดได้แต่พยักหงึกๆ ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง  เวทย์ได้ใช้ให้ยมบีบอยไปแจ้งความพวกกรมเมืองให้มาช่วยอีกแรง  ผีพรายน้ำกับผีพรายน้อย คือสองผู้ต้องสงสัยในคดีทำคุณไสยใส่มนุษย์

    ควายธนูแลมโกบีนี่ยังต้องพักฟื้นตัว ภายหลังเสร็จจากศึกหนัก เวลานี้รถติดมาก ไม่มีทางตามทันสองผู้ต้องสงสัยในคดี   เวทย์ยืนเดินไม่ติด หากผีพรายน้ำได้ลงแม่น้ำจะมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูน  การจะจับกุมตัวจะเป็นเรื่องยุ่งยาก

    นานิเห็นจะยอมไม่ได้เช่นกัน  ในเมื่อยอมลงทุนเหน็ดเหนื่อยกันมาขนาดนี้  ต้องจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้

    “แล้วเรา จะตามสองพ่อลูกนั่นทันได้ยังไง  รถของนายพังไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

    “วางใจเถอะ..ขอรับ  คุณนานิ” แววตาของพ่อคนซื่อ เวลานี้เฉียบคมยิ่งนัก มองไปที่วินมอเตร์ไซด์ที่ขับผ่านมาถึงดีพอดีโบกจอด

    “พาไปส่งที่ท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด  ให้ทันภายในเพลาหนึ่งก้านธูป..ขอรับ”

    “เพลาอะไรของนาย พี่วินงงหมดแล้ว” นานิพูดขัดมา

    “ประมาณ 15 นาที”

    พี่วินร่างใหญ่ตัวดำเพราะตากแดดบ่อย  ร้องอ๋อ...ยิ้มแยกเขี้ยวอย่างมั่นใจ

    “ได้เลยไอน้อง  10 นาทีก็ถึง พี่มีทางลัด”

    มาถึงท่าน้ำ ทำเวลาได้ไวกว่าที่คิด นานิลงจากเบาะรถมาบ่นอุบ

    “คนนิสัยไม่ดี  ขับรถบนฟุตบาท แล้วยังขับย้อนศรอีก”

    เวทย์ได้ยินแล้วเหนื่อยใจ  “มันจำเป็น..ขอรับ” 

    “นี่นาย  ปกตินั่งวินบ่อยใช่ไหม” 

    คราวนี้สีหน้าจืดสนิทกับการถูกตำหนิ นี่เขากำลังสนับสนุนให้คนทำผิดกฎหมายโดยไม่คิดห้ามปราม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×