ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุรพนิมิต

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 มังกรพลัดถิ่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 995
      9
      29 ธ.ค. 53

      
     
    ตอนที่ 1 มังกรพลัดถิ่น
     
    ‘สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา... ต่อให้เป็นดวงดารา  ข้านี้จักไขว่คว้าให้เจ้าได้ครอบครอง’
     
      
                ร่างของโฉมสะคราญนางหนึ่งที่กำลังเคลื่อนกาย ร่ายรำ หยอกเย้าเหล่าผีเสื้อหลากสีที่กำลังบินล้อมรอบตัวนางอยู่ริมฝั่งน้ำ ช่างเป็นภาพที่งดงามตระการตายิ่งนัก เรือนผมสีดำขลับยาวสยายพลิ้วไหวไปตามจังหวะการเคลื่อนกายตัดกับผิวขาวนวลเนียนราวหิมะที่โผล่พ้นแพรพรรณดุจดั่งน้ำค้างกลางแสงจันทร์ ส่งผลให้ชายหนุ่มที่เร้นกายแอบมองต้องตะลึงงันเมื่อนางเปล่งเสียงหัวเราะกังวานใสดุจเสียงระฆังจนแสงจันทร์ดูหม่นหมองไปในพริบตา
     
     
    “ท่านลู่!” หญิงสาวผู้นั้นตะโกนเรียกความว่างเปล่าก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ข้าเลี้ยงเจ้าพวกนี้ได้ไหม?” นางวาดมือไปในอากาศก่อนจะยกปลายนิ้วขึ้นในระดับสายตาเมื่อมีเจ้าผีเสื้อน้อยตัวหนึ่งเกาะติดนิ้วนางกระพือปีกบางอย่างเริงร่าคล้ายว่ารู้ภาษาคน
     
     
    “กระต่ายสองตัวยังไม่เพียงพออีกหรือ? ถึงได้หาภาระมาให้ข้าเสียเหลือเกิน” เสียงทุ้มนุ่มแผ่วหวานเอ่ยถามมาตามสายลม ส่งผลให้ชายอีกคนที่เร้นกายอยู่หันหาต้นตอแห่งเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว อนิจจา...แค่เพียงได้ยลเพียงชั่วครู่เขาก็บอกได้เลยว่าบุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังนอนทอดกายอยู่เหนือยอดกิ่งหลิวของอีกฝากลำธารนั้น ย่อมมิใช่มนุษย์อย่างแน่นอน
     
     
    “กระต่ายส่วนกระต่าย ผีเสื้อส่วนผีเสื้อซีเจ้าคะ”นางว่าก่อนส่งรอยยิ้มอ่อนหวานให้ชายหนุ่มที่อยู่อีกฝากอย่างประจบประแจง
     
     
    “ฟ้าใกล้สางแล้ว ข้าควรไปเสียที...” ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเส้นผมสีดำขลับยาวสยายถึงแผ่นหลังแต่งกายด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มขลิบทองเอ่ยกับหญิงสาวก่อนร่อนกายลงจากต้นหลิวมาหานางด้วยท่วงท่าสง่างามและฝีเท้าที่แผ่วเบาดุจสายลม “เจ้าก็เช่นกันเหม่ยเหริน เสร็จธุระทางนี้แล้วก็อย่ากลับให้ช้านัก หากใครได้เห็นเจ้าท่ามกลางแสงตะวัน ข้าหวั่นว่าจะมีปัญหาตามมา”
     
     
    “เจ้าค่ะ” นางตอบรับก่อนยอบกายลงแล้วยื่นมือออกไปหาชายหนุ่มผู้มีดวงตายาวรีสีนิลและคิ้วเรียวที่พาดเฉียงรับจมูกโด่งเป็นสันคมพร้อมทั้งเอ่ยว่า “ตี๋จื่อของข้าล่ะเจ้าคะ?”
     
     
    “ข้าต้องนำมาให้เจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ? ธุระไม่ใช่” เขากล่าวอย่างไร้เยื่อใยพลางหันหลังให้อีกฝ่ายจนชายผ้าสะบัด
     
     
    “ท่านลู่...”ลี่เหม่ยเหรินโอด กระโดดเข้าเกาะแขนของปีศาจหนุ่มทันควันก่อนยื่นหน้าออกมาหาพลางเอ่ยเสียงแผ่ว
     
    “ท่านก็รู้ว่าเหม่ยเหรินนั้นขี้ลืมนัก หากไม่มีท่านลู่คอยตระเตรียมสิ่งของให้ กิจของข้าคงไม่มีวันลุล่วงไปได้ด้วยดี โอ้ย!”หญิงสาวกล่าวก่อนอุทานเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายดีดนิ้วลงมาตรงกลางหน้าผากนางพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
     
     
    “เจ้ามันนางมารน้อยชัดๆ”ลู่ฟูไชว่าก่อนวาดฝ่ามือวนไปมาในอากาศจนปรากฏขลุ่ยผิวที่ทำจากไม้ไผ่ขึ้นกลางฝ่ามือ ซึ่งลี่เหม่ยเหรินเองก็ยิ้มร่าอย่างยินดียื่นมือออกไปรับตี๋จื่อของตนเองไว้โดยเร็วส่งยิ้มให้อีกฝ่ายจนตาหยี
     
      
    “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”  บริเวณมุมปากของปีศาจหนุ่มยกขึ้นเพียงนิดคล้ายจะแย้มยิ้มแต่ใบหน้ากลับเรียบสนิทยามเอ่ยกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
     
     
    “อย่าลืม ว่าห้ามมิให้ผู้ใดได้แลเห็นเจ้าท่ามกลางแสงตะวันเด็ดขาด เพราะข้านั้นมิอาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้ตลอดเวลา” ลู่ฟูไชเอ่ยจับไหล่ของหญิงสาวไว้แน่นพลางโน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากมนของอีกฝ่ายก่อนบอกลา โดยชายหนุ่มที่ยังคงแฝงเร้นกายจำต้องเบือนหน้าหนีภาพของคนคู่นี้ด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ ทุกข์ตรม “ข้าต้องไปแล้ว รักษาตัวด้วยเหม่ยเหริน”
     
     
    “เจ้าค่ะ...ข้าจะรอท่านที่บ้านของเรา” นางกล่าวรับคำ ยืนส่งปีศาจหนุ่มที่ลอยห่างออกไปบนท้องนภาด้วยรอยยิ้มขณะที่เหล่าผีเสื้อเองต่างก็รุมล้อมรอบกายนางคล้ายดั่งปลอบประโลม “รีบกลับมานะคะท่านลู่” ลี่เหม่ยเหรินเอ่ยพึมพำแผ่วเบากับสายลมเมื่อลับร่างของปีศาจหนุ่ม ณ เวลานี้ ใจของนางกลับรู้สึกว้าวุ่นอย่างประหลาดราวกับเป็นลางสังหรณ์ที่คอยเตือนให้นางพึงระวังไว้ว่า บางสิ่งบางอย่างกำลังจะเปลี่ยนแปลงดั่งกระแสคลื่นลมที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทาง...
     
      
                ทิวามาเยือนขับเคลื่อนราตรีกาลผ่านหายตะวันเริ่มเผยกายจนผืนนภาอาบไล้ไปด้วยลำแสงสีทอง ลี่เหม่ยเหรินยิ้มร่ายกตี๋จื่อของตนขึ้นแตะริมฝีปากแล้วผิวท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวาน ต้อนรับแสงแรกของรุ่งอรุณและฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาเยือน งานของนางได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
     
     
                เสียงของตี๋จื่อขับกล่อมให้เหล่าบุพผาเริ่มผลิบาน หิมะที่เคยเกาะผืนหญ้าจางหาย ความเขียวขจีคลุมรอบหาดทรายก่อนแผ่กระจายความมีชีวิตชีวาไปทั่วผืนป่าเมื่อวสันตฤดูมาเยือน ลมหายใจของถังหย่งไท่ติดขัด ความงดงามของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าดุจดั่งเทพธิดาจำแลงยามแสงตะวันอาบไล้ตกกระทบผิวกายของนางยิ่งส่งเสริมให้ดวงหน้าหวานดูงามสง่าน่าหลงใหล ยิ่งกว่าสตรีนางใดที่เขาเคยได้พบเจอ เหล่าผีเสื้อยังคงเฝ้าวนเวียนบินล้อมรอบกายนางดุจดั่งการเริงระบำที่ไม่มีวันสิ้นสุด จวบจนกระทั่งเสียงขลุ่ยผิวต้องมีอันสะดุดเมื่อชายหนุ่มปรากฏกายขึ้นตรงหน้าลี่เหม่ยเหรินโดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว
     
     
                กาลเวลาหยุดนิ่งยามนัยน์เนตรคมสีนิลได้สบกับตากลมโตของหญิงสาว มือของลี่เหม่ยเหรินชะงักค้างขณะที่บรรดาผีเสื้อเริ่มรุมล้อมรอบร่างของนางมากขึ้นกว่าเดิม
     
     
    “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงทุ้มนุ่มทรงอำนาจหลุดออกมาจากริมฝีปากหนาสีสดก่อนผู้เอ่ยถามจะค่อยๆสาวเท้าเข้าหาร่างบางที่ยังคงยืนอึ้งนิ่งงันจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างมิอาจละสายตา จวบจนกระทั่งฝ่ามือหนาสัมผัสเข้ากับแก้มเนียนจนความอุ่นร้อนแผ่ซ่านส่งผลให้นางหลุดพ้นออกจากภวังค์
     
     
                ลี่เหม่ยเหรินก้าวถอยหลังก่อนสะบัดหน้าหนีแล้วรีบวิ่งออกไปให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่สองเท้าของนางจะทำได้
     
     
    “เดี๋ยว เจ้า..อย่าเพิ่งไป!” ถังหย่งไท่เอ่ยเรียกก่อนกระโดดเข้ามาดักหน้าเจ้าร่างบางที่วิ่งหนีจนเส้นผมปลิวสยายชายกระโปรงสีเขียวแผ่กระจายดูน่ามองแต่ไม่น่าอภิรมย์ เมื่อนางกำลังจะหนีเขาไปจนเกือบสุดสายตา
     
     
    “ท่าน!” ลี่เหม่ยเหรินอุทานยามชายหนุ่มรูปงามกระโดดเข้ามาดักหน้า นึกพร่ำด่าตนเองในใจที่ไม่เคยขอให้ท่านลู่ช่วยสอนวิทยายุทธ์ตนจะได้หลุดพ้นไปจากเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย
     
     
    “เหตุใดต้องหนี” ชายหนุ่มเอ่ยถามดวงหน้าหล่อเหลาสง่างามสมชายเต็มไปด้วยความสงสัย ก้อนเนื้อที่อยู่ภายในอกข้างซ้ายกำลังเต้นแรงยามกลิ่นหอมโรยรินจากผิวกายของคนตรงหน้าโชยมาตามสายลมจนเขาอดสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอดราวกับจะตักตวงความหอมหวานนี่ไว้ให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ลี่เหม่ยรินยืนกัดริมฝีปากแน่นอย่างขัดใจไม่ยอมเอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกมา
     
     
    “เจ้าผีเสื้อน้อย...”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดหวาน “ข้าขอเรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่?”
     
     
                ดวงหน้าหวานมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ตากลมโตกรอกไปมาเมื่อความรู้สึกหวั่นไหวบางอย่างกำลังเข้าครอบงำยามฝ่ายนั้นเคลื่อนกายเข้าใกล้แล้วแตะปลายเส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา
     
     
    “ข้า...”
     
     
    “เหม่ยเหริน!” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นแทรกการสนทนาจนลี่เหม่ยเหรินแหงนเงยใบหน้ามองผู้มาใหม่อย่างยินดีแล้วรีบกระโดดเข้าหาร่างสูงของปีศาจแห่งรัตติกาลที่พานางล่องลอยหนีไปจากชายหนุ่มคนนั้นอย่างรวดเร็ว
     
     
    “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ลู่ฟูไชเอ่ยถามพลางมองแม่ร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ เขาจะทำเช่นไรกับนางดี หากปล่อยนางให้คงความพิสุทธิ์ไว้เช่นนี้ ข้าคงเสียนางไปเข้าสักวัน
     
     
    “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านลู่” นางตอบก่อนกระชับวงแขนที่โอบกอดปีศาจหนุ่มไว้แน่นก่อนซุกหน้าลงบนแผงอกหนาด้วยความเคยชินยามสายลมหนาวเย็นกระทบเข้าดวงหน้าและผิวกาย “ข้า...ไม่เป็นไร” นางเอ่ยย้ำกับตนเองแผ่วเบาก่อนร่างของทั้งสองจะลอยหายเข้ากลีบเมฆไปจนมิอาจมีผู้ใดสามารถติดตามได้แม้เพียงเงา
     
      
                เขาฝันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? ถังหย่งไซว่คิดขณะที่เอื้อมมือออกไปปิดนาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะที่กำลังแผดเสียงร้องว่าโอฮาโย! โอฮาโย! จนน่ารำคาญไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแต่ก่อนถึงได้ชอบเจ้านาฬิกาเรือนนี้ของมารดาเสียเหลือเกิน
     
     
    “หย่งไซว่ ตื่นหรือยังลูก” รมย์ชลีเอ่ยถามบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเคาะประตูหน้าห้องเป็นจังหวะสามครั้งก่อนเงียบเสียงลงเพื่อเงี่ยหูฟังเสียงของคนข้างใน
     
     
    “ครับแม่” ชายหนุ่มตอบก่อนสะบัดผ้าห่มผืนหนาออกจากกายแล้วตรงไปปลดล็อคประตูก่อนเปิดให้มารดา ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ยิ้มร่าขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นหน้าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่นานๆทีจะกลับมาพำนักอยู่ที่บ้านกับตน
     
     
    “อาหลินบอกแม่ว่าเราเพิ่งกลับมาเมื่อคืน เหนื่อยมากไหมลูก?” นางเอ่ยถามบุตรชายด้วยความเป็นห่วงพลางลูบฝ่ามือไปตามดวงหน้าหล่อเหลาที่ได้แต่ส่วนดีๆของเธอและสามีมาทั้งหมดจนดูคมเข้มยิ่งกว่าถังหย่งคังผู้เป็นบิดาอย่างน่าอัศจรรย์ จนเพ่ยหลินบุตรสาวคนเล็กของเธอมักจะค่อนขอดพี่ชายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า
     
     
       
                อย่างพี่ชายก็มีดีที่หน้าตาเท่านั้นแหล่ะค่ะ แต่ความสุขุมน่ะยังห่างไกลกะอาป๊าลิบลับเลย!”
     
     
    “ไม่ครับ ผมสบายดี”ถังหย่งไซว่ตอบก่อนรวบร่างของมารดาไว้ในอ้อมแขนแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ “แม่ละครับ เป็นยังไงบ้าง”
     
     
    “ก็สบายดีตามประสาแหล่ะลูก” เธอเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าคมสันและปัดปอยผมที่ระใบหน้าของบุตรชายก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความห่วงใยเมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตา “ว่าแต่...นอนไม่หลับหรือยังไงหน้าตาถึงได้อิดโรยซะขนาดนี้”
     
     
    “นิดหน่อยครับ” เขาตอบพลางยกนิ้วขึ้นบีบสันจมูกโด่งก่อนเลื่อนไปนวดคลึงขมับซึ่งเป็นท่าทางที่เขามักจะกระทำเวลามีเรื่องรบกวนจิตใจและรมย์ชลีเองก็รู้ถึงข้อนั้นได้ดี... หน้าตา กับน้ำเสียงแบบนี้คงไม่พ้นเรื่องเดิม
     
     
    “ไปอาบน้ำล้างหน้าเถอะลูก จะได้ลงไปกินข้าวเช้าพร้อมกัน”รมย์ชลีกล่าว เก็บความไม่สบายใจไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มก่อนหันหลังเดินออกจากห้องของบุตรชายไปในที่สุด...
     
     
    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
     
     
                “มีอะไรหรือเปล่า?” ถังหย่งคังเอ่ยถามภรรยาที่เดินเข้ามาในห้องครัวด้วยท่าทางเหม่อลอยและทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้เคียงข้างเขาอย่างเงียบๆอยู่หลายนาทีจนเพ่ยหลินบุตรสาวคนเล็กเองก็มองมารดาของตนอย่างแปลกใจไม่แพ้กัน
     
     
    “คะ?” รมย์ชลีสะดุ้งยามมือหนาสัมผัสเข้ากับไหล่บางจนเธอหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วกวาดสายตาไปยังดวงหน้าหล่อเหลาที่ยังคงความสง่าและภูมิฐานของวัยฉกรรจ์ไว้อย่างครบถ้วนทุกประการยกเว้นก็เพียงริ้วรอยบริเวณรอบดวงตาเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
     
     
    “พวกเราเห็นคุณแม่เงียบไป อาป๊าเลยถามคุณแม่ว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าน่ะค่ะ” ถังเพ่ยหลินอธิบายกับมารดาด้วยรอยยิ้มซุกซนยามเห็นบิดายื่นมือหนาออกมากุมมือบางของมารดาไว้ด้วยท่าทางรักใคร่จนน่าอิจฉา ไม่ว่ากี่วันคืนที่ผ่านมาการแสดงความรักระหว่างบิดาและมารดาก็ไม่เคยน้อยลงไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง
     
     
    “อ๋อ...”รมย์ชลีลากเสียงยานคางก่อนหันไปหาสามีที่กำลังสบตาเธออย่างรอคอยคำตอบ “ห่วงหย่งไซว่น่ะค่ะ ฉันคิดว่าลูกคงฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว” สรรพนามแทนตัวของเธอยามเอ่ยกับสามีเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เนื่องจากรมย์ชลีเริ่มรู้สึกว่า มันค่อนข้างน่ากระดากอายอยู่เหมือนกันเวลาเรียกตัวเองว่า น้องลี ทุกคำทั้งๆที่มีลูกสาวตัวโตนั่งฟังตาปริบๆอยู่อย่างนี้
     
      
    “คุณแม่หมายถึง สาวในฝันของพี่ชายน่ะเหรอคะ?” เพ่ยหลินเอ่ยถามพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ “ฝันหวานชะมัดเลย อุ๊บ!” ยกมือขึ้นปิดปากเมื่อเห็นสายตาที่มองมาอย่างปรามๆของบิดา ก่อนทำปากยื่นบ่นพึมพำ “หนูไม่ล้อแล้วก็ได้ค่ะ”
     
     
    “คุณอยากให้ลูกหยุดงานไปก่อนไหม?”
     
      
    “ทำได้ด้วยเหรอคะ?...ฉันนึกว่าคุณอยากให้ลูกเรียนรู้งานมากกว่านี้เสียอีก”
     
     
    “มันจำเป็น” เขาตอบสั้นๆพลางพับหนังสือพิมพ์ในมือแล้วส่งต่อให้บุตรสาว “หย่งไซว่อายุยังน้อย หากเทียบกันในเรื่องของช่วงเวลา ผมค่อนข้างจะเริ่มเรียนรู้งานและการบังคับใช้คนได้ดีกว่าเขานะ”
     
     
    “ถ้าอย่างนั้นจะถามทำไมล่ะคะว่าให้ลูกหยุดงานไปก่อนไหม” หล่อนโอดมองสามีอย่างตัดพ้อ โดยมีเพ่ยหลินที่กำลังตักอาหารเข้าปากมองบทสนทนาของบิดามารดาด้วยความสนใจ
     
     
    “ได้ข่าวว่าโรงแรมที่เมืองต้าลี่มีปัญหา” ถังหย่งคังเอ่ยก่อนเอื้อมมือออกไปกุมมือของภรรยาเอาไว้อย่างเอาใจ “ผมเลยคิดว่าจะส่งหย่งไซว่ไปจัดการ แค่ปัญหาเล็กๆหยุมหยิมใช้เวลาไม่นานก็น่าจะเรียบร้อย เสร็จธุระแล้วเขาจะได้ไปเที่ยวพักผ่อนก่อนเดินทางไปประเทศไทย คุณคิดว่ายังไง?”
     
     
    “น้องลีกับลูกมีทางเลือกด้วยเหรอคะ!” รมย์ชลีเอ่ยถามอย่างกระเง้ากระงอดขณะที่เพ่ยหลินหลุดเสียงหัวเราะคิกคักออกมาทันทีอย่างชอบใจ เมื่อบิดายกมือบางของมารดาขึ้นจรดกับริมฝีปากด้วยรอยยิ้มหวานบาดใจจนเธออดเอ่ยแทรกออกมาไม่ได้ว่า
     
     
    “ถ้าอาป๊ากับแม่จะทำลูกคนที่สาม หนูก็ไม่บ่นหรอกนะคะ แต่หนูขอให้เป็นน้องผู้ชายก็พอจะได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหนูแบบไม่กล้าหือ”
     
     
    “เพ่ยหลิน!” รมย์ชลีเอ่ยเรียกบุตรสาวที่กำลังแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ ดวงหน้างามแดงซ่านขึ้นอย่างเขินอายขณะที่สามีเองก็หัวเราะหึๆ ในลำคออย่างอารมณ์ดี “เฮ้อ...ก็แก่นซะขนาดนี้แล้วใครเขาจะรับลูกสาวแม่ไปเป็นเจ้าสาวล่ะ?”
     
      
    “อย่าห่วงเลยครับแม่”เสียงทุ้มนุ่มของถังหย่งไซว่ที่เดินเข้ามาภายในห้องครัวด้วยทรงผมที่เปียกลู่แนบต้นคอและใบหน้าดังแทรกขึ้นก่อนร่างสูงของชายหนุ่มจะทรุดกายลงนั่งข้างน้องสาวตัวดีของเขาด้วยแววตาเป็นประกายวิบวับ เลิกคิ้วขึ้นสูงข้างหนึ่งใส่หน้าของเพ่ยหลินอย่างเป็นต่อจนผู้อ่อนวัยกว่าหน้าแดง “ผมคิดว่า เพ่ยหลินคงไม่กล้าทำกิริยาทะเล้นทะลึ่งใส่เค้าคนนั้นหรอกครับ...มีแต่จะทำตัวน่ารัก น่าสงสาร ช่างอ้อนเสียมากกว่า”
     
     
    “พี่ชายเพ้อเจ้อ! หนูไปโรงเรียนก่อนดีกว่า สวัสดีค่ะอาป๊า สวัสดีค่ะแม่ บ๊ายบายค่ะพี่ชาย”ถังเพ่ยหลินต่อว่าใส่หน้าพี่ชายก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเก็บจานชามของตนเอง แล้วยกมือไหว้บิดามารดารวมไปถึงโบกมือลาถังหย่งไซว่ด้วยรอยยิ้มสดใสก่อนคว้ากระเป๋านักเรียนแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไปด้วยเกรงว่าจะเข้าเรียนไม่ทัน
     
     
    “หย่งไซว่” รมย์ชลีเอ่ยเรียกบุตรคล้อยหลังเสียงปิดประตูที่ดังลั่นบ้าน “มีอะไรเกี่ยวกับน้องที่แม่ไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
     
     
    “อ๋อ...พวกมดแดงแฝงพวงมะม่วงเท่านั้นล่ะครับ แม่อย่าใส่ใจเลย” ชายหนุ่มตอบพลางสบตาอดีตมดแดงด้วยรอยยิ้มขบขันซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบโต้เขาทันควันจนใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มนั้นหมองลงทันตา
     
      
    “หึ! ก็ดีกว่าพวกองุ่นเปรี้ยว”
     
     
    “ที่รักคะ...” เสียงหวานที่เอ่ยเรียกสามีอย่างแผ่วเบานั้นส่งผลให้ถังหย่งคังถอนหายใจ ยามมองตามสายตาของภรรยาแล้วเห็นว่าดวงหน้าหล่อเหลาของบุตรชายนั้นดูเศร้าสลดขึ้นทันที
     
      
    “ไหนๆ อาหลินก็ไม่อยู่แล้วเราสามคนก็มาคุยกันแบบเปิดอกไปเลยแล้วกัน”ประมุขของบ้านกล่าวพลางสบตาภรรยาแล้วเอ่ยอธิบายออกมาช้าๆเพื่อให้เธอได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ระหว่างบุตรสาวกับใครอีกคนที่เขาเองก็ทำใจยอมรับได้ยากลำบากนัก อย่างว่า...คนเราจะรู้สึกเข้าใจถึงหัวอกคนอื่นก็ต่อเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตน เขาไม่น่าค่อนขอดอาเหวินในสมัยก่อนเลยจริงๆ
     
     
    “เกี่ยวกับเพ่ยหลินหรือเปล่าคะ?”
     
     
    “ใช่ แล้วก็เรื่องของหย่งไซว่ด้วย”  รมย์ชลีนิ่งอึ้งพลางเหลือบมองบุตรชายที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบๆด้วยความไม่สบายใจ
     
     
    “มีเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องช็อคจนสลบไปเลยหรือเปล่าคะ? แบบจะต้องนอนให้น้ำเกลืออะไรพวกนั้นน่ะ จะได้ไปหยิบยาดมเตรียมเอาไว้ก่อน” หล่อนเย้า
     
      
    “แค่เรื่องรักๆใคร่ๆเท่านั้นแหล่ะครับแม่” หย่งไซว่เอ่ยแทรกหลังจากที่นั่งเงียบๆอยู่นาน “ไม่มีอะไรที่แม่จะต้องเป็นห่วงหรอกครับ แค่...เฮียตงอยากจะสร้างตำนานรักแบบฉบับเดียวกับอาป๊าเท่านั้นเอง”
     
      
    “อ๋อ...”รมย์ชลีพยักหน้ารับ ก่อนอุทานออกมาเสียงดังลั่นอย่างตกตะลึง “อะไรนะ! นี่อย่าบอกนะว่าอาตงกับเพ่ยหลินชอบพอกันน่ะ”
     
      
    “เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผมกับหย่งไซว่เท่านั้น” ถังหย่งคังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่ผมอยากให้คุณลองคุยกับลูกสาวเราอีกที ส่วนเรื่องอาตงเดี๋ยวผมจัดการเอง”
     
     
    “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” เธอรับคำก่อนยกมือขวาขึ้นกุมขมับอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไง ทั้งสับสน ดีใจ และก็ลำบากใจอยู่ในที “แล้วเรื่องของหย่งไซว่ล่ะคะ?”
     
     
    “ก็...อย่างที่รู้ว่าผมจะส่งลูกไปตรวจงานที่เมืองไทย” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างลำบากใจ ด้วยรู้ดีว่าภรรยาของตนนั้นรักบุตรชายแค่ไหน แม้จะเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายอยู่ไกลตา ผิดกับเขาที่อยากให้ลูกๆสามารถยืนอยู่ได้ด้วยขาของตนและสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่เหนือเขาได้เลยยิ่งดี
     
     
    “อาป๊าหมายถึง...ผมไม่ได้ไปตรวจงานแค่ 2-3 อาทิตย์แล้วค่อยกลับน่ะครับ แต่หมายถึงให้อยู่ประจำที่นั่นเลยจนกว่าอาป๊าจะเรียกตัวกลับมาทางนี้อีกที”
     
     
    “แม่ไม่ยอมนะ!”รมย์ชลีว่า ผุดลุกขึ้นยืนทันควันอย่างร้อนใจ “จะให้ลูกไปอยู่ที่นั่นคนเดียวได้ยังไงคะ แล้วงานทางนี้ใครจะดูแล คุณไม่เหนื่อยแย่เลยหรือ?”
    “อ้าว!” ถังหย่งไซว่อุทานวางช้อนที่กำลังตักอาหารเข้าปากลงบนจานทันที “นึกว่าจะห่วงผมเสียอีก”
     
     
    “แม่รักลูกจ้ะ แต่แม่ก็ห่วงสุขภาพอาป๊าของลูกเหมือนกัน” เธอว่าพลางหัวเราะคิกคักเมื่อบุตรชายลุกขึ้นยืนแล้วเดินอ้อมโต๊ะมาสวมกอดเธอจากด้านหลังเสียแน่นพร้อมทั้งฝังจุมพิตลงบนแก้มของเธออย่างมันเขี้ยว
     
     
    “แม่เป็นแม่ที่ใจร้ายและลำเอียงที่สุดในโลกเลยครับ”
     
     
    “ผมคิดว่าคุณจะไม่ยอมให้ลูกไปเสียอีก” ถังหย่งคังเอ่ยด้วยความแปลกใจ ในขณะที่รมย์ชลียังคงหัวเราะร่าอย่างรื่นเริง
     
      
    “แค่ลางสังหรณ์ของคนเป็นแม่น่ะค่ะ” หล่อนว่าก่อนหอมแก้มสากของบุตรชายอย่างแสนรัก “แม่เชื่อว่าจากนี้ไปต้องมีอะไรดีๆรอลูกชายแม่อยู่ที่เมืองไทยอย่างแน่นอน”
     
     
    “ขอให้เป็นสิ่งที่ผมกำลังมองหาเท่านั้นแหล่ะครับ”ดวงตายาวรีสีนิลที่ถอดแบบมาจากบิดาเหม่อลอยราวยามรำพึงกับตนเองเบาๆ “เพราะการรอคอยใครสักคน มันช่างยาวนานเหลือเกิน...นานเกินไปจริงๆ”
     
      
                “ผลที่ได้รับจากการรอคอยมักจะหอมหวาน” ถังหย่งคังกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จนกว่าจะถึงวันนั้น จงอย่าเดินไปในหนทางที่ผิดก็พอ...”
     
     
                ถังหย่งไซว่พยักหน้ารับก่อนเดินกลับไปนั่งที่เดิมด้วยสีหน้าครุ่นคิด ไม่ว่าบิดาจะหมายถึงสิ่งใดเขาก็จะจดจำมันไว้ตลอดกาล เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นย่อมไม่มีใครที่จะรักและหวังดีกับเขาได้เท่ากับคนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งนางในฝันที่เขาหลงรักก็ตาม…แต่คำถามหนึ่งยังคงคอบรบกวนจิตใจ นั่นก็คือ ในฝันนั้นเขาเป็นใครและเกี่ยวข้องยังไงกับหญิงสาวคนนั้น นางคนที่มีชื่อว่า เหม่ยเหริน ซึ่งแปลว่า ผู้งดงามและเปี่ยมด้วยความเมตตา...
     
     
    อนิจจา...เหตุใดใยสิเน่หา จึงมิเคยเสื่อมคลาย...
      
                                                                             @@@@@@@@@@@
     
    ช่วงนี้บิวไม่ค่อยสบายค่ะ อากาศที่เมืองกาญจน์หนาวมากๆ บางวันก็เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เลยเล่นเอาคนเป็นภูมิแพ้อย่างบิวแย่ไปเหมือนกัน แสบจมูกแทบทุกเช้าเลย T^T ต้องขอโทษที่มาอัพให้ได้ช้านะคะ ขอโทษด้วยจริงๆ
    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×