ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #18 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER SIXTEEN

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 579
      6
      2 ก.ค. 55


     

     MY STORY IS A LIE::CHAPTER SIXTEEN

     

    ฉันกลับมาถึงบ้านตอนสามทุ่มกว่าๆ พี่เหมยังไม่กลับ ส่วนพี่คิมฉันเจอตั้งแต่มาถึงเลยล่ะ เราคุยกันถึงเรื่องงานแต่งงานของฉันนิดหน่อย ก่อนที่ฉันจะขอตัวขึ้นห้องก่อนเพราะรู้สึกเหนื่อย

     ตอนขากลับก่อนจะออกมาฉันไม่ได้โทรบอกให้เจนัวมารับ เพราะคิดว่าไม่จำเป็น และที่สำคัญที่เขามีงานค้างท่วมหัวอยู่แบบนี้ก็เป็นเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานของเราแท้ๆ เลย  แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะโทรไปหาเขาอยู่ดี น่าแปลกที่จู่ๆ วันนี้ฉันได้ยินคำบอกรักที่เคยโหยหาจากเขาบ่อยเหลือเกิน แม้แต่กระทั้งครั้งสุดท้ายก่อนจะกดตัดสายของเขา

     

    ..ฉันรักเธอ....

     

    คำพูดของเขายังคงดังก้อง ...ฟังกี่ครั้งก็ไม่นึกเบื่อสักที

     

    ก๊อกๆ

     

    เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ฉันรีบก้มลงล้างหน้าในอ่างอีกครั้งก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาซับหน้าเบาๆ ในระหว่างที่เดินออกจากห้องน้ำไปเปิดประตูห้อง

     

    “พี่เหม?” ฉันนิ่วหน้าแปลกใจนิดๆ ที่เห็นว่าเป็นพี่เหมที่ยืนอยู่หน้าห้อง ก็แหงสิ จะไม่ให้แปลกใจได้ยังไง เมื่อกี้พี่คิมยังบอกอยู่เลยว่าพี่เหมยังไม่กลับมา แต่จู่ๆ พี่เหมก็โผล่มาแบบนี้ แถมสีหน้ายังดูซีดแปลกๆ อีก

     

     “พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

     

    “เมื่อกี้” พี่เหมบอก ฉันเพิ่งสังเกตว่าในมือของพี่เหมมีแก้วนมถือมาด้วยล่ะ “พี่เจอพี่คิมพอดี เลยเอามาให้แทน” พี่เหมบอกแล้วยื่นแก้วนมมาให้ฉัน

     

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันรับแก้วนมมาถือไว้แล้วรอจังหวะให้พี่เหมพูดก่อน ใช่ ฉันว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ  แต่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรล่ะ? พี่เหมไม่ยอมสบตากับฉันเลยตั้งแต่เมื่อกี้ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกแต่ก็พูดไม่ออก...

     

    “พี่เหมมีอะไรจะพูดกับขิงหรือเปล่าคะ?” ฉันถามออกไปตรงๆ

     

    “คือ...ไอ้เจมัน....”

     

    “เจนัว ...ทำไมคะ?” ฉันนิ่วหน้าถามอย่างไม่เข้าใจ ...แต่ก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “เกิดอะไรขึ้น?”

     

    สีหน้าของพี่เหมดูไม่ค่อยดีนักตอนที่ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น แววตาที่เคยมีแววหยอกล้อกลับดูอ่อนแสงลงอย่างที่ฉันไม่เคยเห็น ฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น รู้สึกได้ว่ามันเหนียวจนกลืนลงคอได้ลำบาก  จู่ๆ พี่เหมก็ยื่นมือมาวางไว้บนไหล่ทั้งสองข้างของฉันพร้อมกับออกแรงกดเบาๆ และสบสายตามองกับฉัน

     

    “ขิง...” พี่เหมเรียกฉันแล้วหยุดเม้มริมฝีปากไว้แน่น แววตาที่จ้องมาดูสับสนเหลือเกิน

     

    “ขิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น!!” ฉันถามน้ำเสียงแข็งกร้าว รู้สึกได้เลยว่าเริ่มควบคุมสติตัวเองไม่ได้แล้ว

     

    “ตั้งสติแล้งฟังพี่ดีๆ นะน้ำขิง...” พี่เหมพูด เพียงแค่นั้นน้ำตาของฉันก็เอ่อคลอขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ฉันยืนนิ่งไป พยายามข่มความคิดต่างๆ เอาไว้  แต่เพียงแค่ช่วงวินาทีที่คิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเจนัวฉันก็ทนไม่ได้แล้ว จู่ๆ น้ำตาก็ร่วงลงมา มือที่ถือแก้วนมไว้เริ่มสั่นและก็ถึงกับหมดแรงปล่อยมันหลุดตกลงพื้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากปากของพี่เหม

     

    เพล้ง!

     

    ไอ้เจตายแล้ว

     

    “ไม่จริง... เกิดอะไรขึ้น....ฮึก เกิดอะไรขึ้นกับเขา!!” ฉันตะคอกถามพี่ชายทั้งน้ำตาพลางผลักตัวออกจากอ้อมแขนที่รวบตัวฉันเอาไว้ทันทีที่เจ้าของมันพูดจบ “ขิงจะไปหาเขา เจนัวอยู่ที่ไหน? ฮึก....ฮือ...เขาอยู่ไหน!!

     

    ไร้คำพูดใดๆ จากปากของพี่เหม ร่างสูงเพียงแค่กอดฉันไว้แน่น ในขณะที่ฉันกลับปล่อยโฮออกมาอย่างไร้สติ

     

     

    เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ...ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุตำรวจพบรถบรรทุกถูกจอดทิ้งไว้ ด้านหน้าพังเสียหายจากแรงกระแทก ตำรวจสันนิฐานว่าน่าจะเป็นรถที่พุ่งชนรถของไอ้เจ แต่ไม่พบคนขับ

     

    “เชิญครับ”

     

    ...แล้วก็ไม่พบหลักฐานอะไรเลยจากรถคันนั้นที่พอจะใช้เป็นเบาะแสสืบหาตัวเจ้าของรถหรือว่าตัวคนขับ

     

    สองขาที่ก้าวเดินเข้ามาในห้องเก็บศพเริ่มอ่อนแรงจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหวเพียงแค่ได้เห็นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงฉันก็กลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่อยู่ แต่ก็ยังกล้ำกลืนเดินต่อจนไปหยุดอยู่ข้างเตียงเพื่อให้ได้มองเห็นร่างนั้นได้ชัด

    ผ้าสีขาวที่ใช้คลุมร่างของเขาถูกดึงลงมาถึงช่วงหน้าอก ใบหน้าของเจนัวมีรอยฟกช้ำ ข้างๆ ขมับมีแผลที่น่าจะเกิดจากเศษกระจก ริมฝีปากที่คุ้นยังคงมีสีแดงของเลือดค้างอยู่ แต่ทว่าดวงตาของเขากลับหลับสนิท...

    แววตาที่ถึงแม้ไม่ได้อบอุ่นแต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขามองมา... แววตาคู่นั้น ฉันจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้วจริงๆ เหรอ?

    ริมฝีปากสีจางที่เคยพูดให้ฉันเสียใจ แต่ทว่าจนนาทีสุดท้ายฉันก็ยังได้ยินคำว่ารักจากเขา... มันจะไม่มีอีกแล้วใช่มั้ยคำบอกรักของเขาที่ฉันยังอยากจะได้ยินมันอีกนานแสนนาน....

     

    “...ตื่นสิเจนัว...ฮึก.....ตื่นสิ...ฮือ...ได้โปรด...ได้โปรดเถอะเจนัว...อย่าทิ้งฉันไป...” คำพูดขาดห้วงไปเพราะเสียงสะอื้น ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเจนัวขึ้นมากุมไว้ก่อนจะยกมันขึ้นแนบแก้ม

     

    “...ถ้าไม่มีนายแล้วฉันจะอยู่ยังไง..ฮือ...นายไม่ไม่สงสารฉันเหรอ? ....ฮึก....นายไม่รักฉันแล้วเหรอเจนัว...ฮือ...ไม่รักแล้วเหรอ...” ฝ่ามือหนาที่เคยอบอุ่นเย็นเชียบจนน่าใจหาย... ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิมจนตัวโยก ยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้สักทีว่าเขาจากฉันไปแล้ว พี่เหมที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามาประคองฉันเอาไว้ไม่ให้ล้มทั้งยืน

     

    “ขิง” 

     

    “.............”

    ฉันวางมือของเจนัวลงก่อนจะหันกลับไปกอดพี่เหม ซบหน้ากับแผ่นอกกว้างแล้วปล่อยโฮออกมาจนเสื้อยืดของพี่เหมชุ่มน้ำตาไปด้วย  

     

    “ฮึก...ขิงไม่ได้ฝันไปใช่ไหมพี่เหม.... เขาทิ้งขิงไปแล้ว...ฮึก...ฮือ....จะไม่มีเขาอีกแล้ว...”

     

    “................”

     

    “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...ทำไม....ฮึก...ที่ผ่านมาขิงยังเสียไปไม่พออีกเหรอ? เขาถึงต้องจากขิงไปอีก...ฮึก...ทำไมล่ะพี่เหม...ฮือ...ทำไม....แล้วขิงจะอยู่ยังไง....”

     

    “อย่าลืมสิขิงยังมีพี่ มีพี่คิม มีคุณพ่อ แล้วไหนจะพวกไอ้อีสอีก ...พวกเราทุกคนก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าขิงเลย” พี่เหมบอกพลางลูบหัวฉันอย่างที่เขาเคยทำ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ...มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้เผชิญหน้าอยู่กับความเสียใจเพียงคนเดียว

     

     

    ฉันกระพริบตาถี่ๆ ปรับสายตาให้มองเห็นได้ชัด สิ่งแรกที่ฉันมองเห็นคือเพดานห้องสีขาวคุ้นตา พอกระพริบตาอีกทีความรู้สึกเคืองที่ตาก็แล่นเข้าทันที เมื่อคืนฉันคงร้องไห้หนักมากจนเป็นลมล้มฟุบไป และพี่เหมก็คงเป็นคนพาฉันกลับมาส่งที่บ้าน

    จริงสิ... เมื่อคืน....ฉันไม่ได้ฝันไปจริงๆ สินะ เขา...จากฉันไปแล้ว จากไปแล้วจริงๆ...ฉันอยากจะคิดว่ามันเป็นแค่ความฝัน พอตื่นขึ้นแล้วฉันจะยังมีเขาอยู่ข้างๆ แต่ภาพเจนัวเมื่อคืนกับความรู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอกมันทำให้ฉันคิดอย่างนั้นไม่ได้ ...มันเลวร้ายเกินไปสำหรับการสูญเสียที่ฉันไม่เคยเตรียมใจเอาไว้เลย

    เมื่อวานฉันยังอยู่กับความฝันที่แสนหวาน วาดภาพงานแต่งงานที่สวยหรู ชีวิตคู่ที่จะมีแต่ความสุข แต่พอวันนี้ทุกอย่างกลับมลายหายไปจนหมด ไม่มีแล้ว...งานแต่งงานของฉันกับเขา ...ไม่มีแล้วเขาที่ฉันอยากจะอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงจากหางตา ฉันยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอยู่อย่างนั้น

     

    ...ถ้าร้องไห้แล้วมันจะทำให้ฉันรู้สึกเสียใจน้อยลงไปด้วยก็คงจะดี

     

    แกรก

     

    เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง พอเห็นว่าเป็นใครเท่านั้นฉันก็ปล่อยโฮแล้วโผเข้ากอดร่างนั้นทันที

     

    “คุณพ่อคะ...”

     

    “พ่ออยู่ตรงนี้แล้วลูก ไม่เป็นไรนะ ...อย่าร้อง”

    คำพูดที่บอกว่า พ่ออยู่ตรงอยู่นี้แล้วลูกทำให้หัวใจที่หนักหน่วงคลายลงอย่างน่าประหลาด ฉันกำเสื้อและกอดท่านไว้แน่น สองมือที่คอยลูบหลังปลอบประโลมฉันทุกครั้งยามที่ร้องไห้หรือเสียใจ ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนหรือว่าฉันจะร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องอะไรความอบอุ่นของมันก็ไม่เคยลดน้อยลงเลยสักนิด...

     

    “ฮึก...ฮือ....”

     

    “ตอนที่เจ้าคิมโทรไปบอกพ่อ พ่อเป็นห่วงขิงมากเลยรู้มั้ย....ทั้งกลัวขิงเสียใจกลัวขิงร้องไห้...พ่อกลัวไปหมด...”

     

    “ฮือ...ฮึก...ฮือ....”

    มีคำพูดมากมายที่ฉันอยากจะบอกและระบายมันกับคุณพ่อแต่มันยากที่จะห้ามน้ำตาให้หยุดไหล และกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ได้ นานนับสิบนาทีที่ท่านกอดปลอบฉันอยู่อย่างนั้น ถ้าเป็นคนอื่นฉันอาจจะทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แต่พอเป็นคุณพ่อสิ่งที่ฉันทำคือการปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอยู่อย่างนั้น

     

    “เข้มแข็งไว้ลูก เข้มแข็งเข้าไว้ ขิงต้องผ่านมันไปให้ได้....อดทนหน่อยนะลูก พ่อเชื่อว่าขิงต้องทำได้แน่” คุณพ่อพูดก่อนจะดันฉันให้ออกจากอ้อมกอดของท่าน ท่านยิ้มให้ฉันบางๆ ตอนที่ยื่นมือทั้งสองข้างมาจับหน้าฉันแล้วค่อยๆ ใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มออกให้

     

    ตอนที่ได้เห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของคุณพ่อจากน้ำตาที่เอ่อคลอของท่าน ความรู้สึกของฉันมันพูดไม่ออกเลย... ฉันอยากร้องไห้ อยากร้องออกมาดังๆ จนสุดเสียงให้มันสมกับความเสียใจและความเจ็บปวดที่มีอยู่ในใจ แต่ฉันทำไม่ได้... ถ้าฉันร้องคนที่จะยิ่งเสียใจก็คือคุณพ่อ...ฉันไม่อยากเห็นท่านต้องเสียใจไปด้วย

     

    “...ขะ....ขิง...ขิงจะไม่ร้อง...ฮึก....ไม่ร้องแล้วค่ะคุณพ่อ....อึก...ฮึก...”

     

    “ไม่เป็นไรลูก...พ่อเข้าใจ...ขิงอยากร้องก็ร้องออกมาให้พอเลยลูก...พ่อจะกอดขิงอยู่อย่างนี้ไม่ทิ้งไปไหน...พ่อจะอยู่เป็นเพื่อนขิงเองนะลูก”

    ฉันโผตัวเข้ากอดคุณพ่ออีกครั้ง ท่านกอดตอบพลางใช้มืออีกข้างลูบผมฉันอย่างปลอบประโลม นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันที่ฉันห่างเหินจากอ้อมกอดนี้ไป ตั้งแต่ตอนเรียนจบรึเปล่านะ ฉันจำได้ว่าวันนั้นฉันดีใจร้องไห้กอดท่านไม่ยอมปล่อยจนพี่เหมเก็บเอามาล้อฉันอยู่นานจนกระทั้งถูกพี่คิมปรามถึงยอมเลิกไป

    แล้วตอนนี้ล่ะ?

    ....ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนคุณพ่อก็ยังเป็นคุณพ่อคนเดิม ไม่ว่าฉันจะทุกข์ จะสุข จะเศร้าหรือว่าเสียใจท่านก็ยังคงอยู่ข้างๆ ฉันเสมอไม่เคยห่าง

     

    ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ขิงมาตลอด ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ...คุณพ่อ

     

      

    9:45 P.M.

    ตอนนี้ฉันอยู่ที่คอนโดฯของเจนัว... ไม่เคยคิดไว้เลยว่าจะต้องมาเห็นภาพเก่าๆ ขึ้นทับซ้อนกับความอ้างว้างแบบนี้ เมื่อหลายวันก่อนฉันกับเขาเราช่วยกันจัดห้องนี้ใหม่เพราะคิดว่าจะใช้มันเป็นเรือนหอ ...แต่ตอนนี้คงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ

    ฉันวางกระเป๋าสะพายไปบนโซฟาก่อนจะไปเดินที่ระเบียง เมื่อตอนบ่ายฉันเพิ่งเข้าไปที่เวดดิ้งสตูดิโอเพื่อบอกยกเลิกเรื่องงานแต่ง ตอนแรกที่คิมบอกว่าจะเป็นคนจัดการให้ แต่ฉันอยากทำเองเลยไปที่เวดดิ้งสตูดิโอเพียงคนเดียว ตอนที่เข้าไปถึงพนักงานที่รับหน้าที่ดูแลงานแต่งงานของฉันก็รีบปรี่ไปเอารูปที่ถ่ายเมื่อวานมาให้ดูทันที บอกว่าให้เลือกภาพที่จะใช้วางไว้หน้างานเลี้ยง ส่วนชุดเจ้าสาวของฉันที่ให้แก้ ตอนนี้แก้เสร็จแล้ว เหลือแค่ให้ฉันลองใส่มันเท่านั้น

    ฟังดูเหมือนทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมเลย... ยังเหมือนเมื่อวานที่ฉันยังมีเขา ต่างกันแค่วันนี้และวันต่อๆ ไปฉันจะไม่มีเขาอีกแล้ว ฉันพยายามกลั้นน้ำตาตอนที่บอกยกเลิกการเตรียมงานทุกอย่าง พนักงานทุกคนทำสีหน้าตกใจ แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไรและถึงถามได้ฉันก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องบอกอยู่ดี...

    ตอนที่ขับรถกลับออกมาฉันถามตัวเองอยู่ในใจซ้ำๆ ว่าทุกอย่างมันจบลงแล้วเหรอ ทุกอย่างที่ใช้เวลาสร้างมาด้วยกัน...มันจบแล้ว...จะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น จะมีแค่ฉันที่ต้องใช้ชีวิตก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเพียงลำพัง...

    จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกทำใจไม่ได้สักที ทุกอย่างมันดูเร็วไปหมดจนฉันรู้สึกสับสน ตอนที่ช่วยกันจัดห้องนี้กับเขา รอยยิ้มและสียงหัวเราะภาพต่างๆ ยังคงชัดแจ๋วอยู่ทุกครั้งที่หลับตานึกถึง ...ภาพใบหน้าของเขาตอนที่ยิ้มแล้วมองมาที่ฉันยังคงชัดเจนเหลือเกิน.... ชัดเจนจนฉันคิดว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าฉัน

     

    “เจนัว... นายได้ยินฉันมั้ย ....ได้ยินหรือเปล่า....ฉันรักนาย...รักมาก....ฮึก...ได้ยินมั้ยเจนัว...นายได้ยินฉันมั้ย...ฮือ...” ฉันปล่อยเสียงสะอื้นออกมาตอนที่เอ่ยถามเสียงสั่นกับความเงียบสงัดที่อยู่รอบตัวเหมือนคนบ้าไร้สติ

     

    ไร้คำตอบจากความมืดที่ปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงสายลมเบาๆ เท่านั้นที่พัดผ่านแก้มของฉันไปราวกับฝ่ามืออุ่นของเขาที่เช็ดน้ำตาให้... ฉันยกมือขึ้นวางบนแก้มข้างนั้นเหมือนกับว่าต้องการจะจับมือข้างนั้นของเขาไปด้วย

     

    “ถ้าลมนี่คือนาย ได้โปรด อย่าเพิ่งพัดผ่านเลยไปได้มั้ย... ช่วยหยุดอยู่ตรงนี้ ...อยู่กับฉันอีกหน่อยนะเจนัว...ฮึก....ฮือ....”

     

    สายลมแผ่วเบาพัดโอบรอบร่างที่ยืนสั่นไหวเพราะแรงสะอื้นอย่างปลอบโยน ฉันปล่อยโฮออกมาอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมสติได้...

    แรงลมที่กำลังลอยโอบอยู่รอบตัวฉันตอนนี้ไม่ต่างไปจากอ้อมแขนของเขาเลย... หากแต่สิ่งที่ฉันมองเห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่าของมวลอากาศและเส้นผมของตัวเองที่ปลิวไหวเบาๆ ตามแรงลมเท่านั้น

     

    ...ไม่ใช่เขา

     

     


     

     

    Talk To U

    สวัสดีค่ะทุกคน :D คิดถึงจริงๆ เลย มามะ ขอก้อยกอดคนละที ให้หายคิดถึงหน่อย >O<  หายหัวไปนานมากเลย แต่สาบานได้ว่าก้อยไม่ได้แอบอู้นะเออ =O=; (ไม่ได้อู้เลยจริงๆ _ _) ก่อนอื่นเลย เป็นไงกันบ้างคะ เนื้อเรื่องมันพลิกได้ตรงกับที่หลายๆ คนเคยเดากันไว้หรือเปล่า เม้นบอกกันหน่อยนะ >O<

    สำหรับตอนนี้กว่าแต่งออกมาได้จนจบเล่นเอาคนแต่งเสียน้ำตาไปหลายรอบมากๆ เลย =____=; มันอาจไม่ยาวมาก แต่มีหลายฉากที่แต่งไปร้องไห้ไปด้วย ก้อยพยายามสร้างอารมณ์ประมาณว่าฉันคือน้ำขิงอะไรประมาณนั้น แอบเกลียดตัวเองเหมือนกันที่แต่งให้นางเอกเรื่องนี้อาภัพเหลือเกิน ถ้าก้อยเป็นน้ำขิงจริงๆ ล่ะก็คงร้องไห้จนเป็นบ้าแน่ๆ ขนาดแค่พิมพ์ไปมือก้อยงี้ยังสั่นหงึกๆ เลย ในความรู้สึกก้อยนะ ตอนนี้ที่แต่งมาก้อยชอบอยู่สองฉาก ฉากแรกคือฉากที่พ่อพูดกับน้ำขิง ก้อยอาจใช้คำพูดได้ไม่สวยและบรรยายได้ห่วยนิดหนึ่งนะคะ ต้องขออภัย แต่ก้อยชอบฉากนั้นจริงๆ พยายามคิดอีกครั้งว่าถ้าตัวเองเป็นพ่อแล้วจะพูดอะไรกับลูกสาวดีถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะโทรไปถามพ่อก็กลัวว่าพ่อจะสงสัยแล้วก็คงไม่ใช่เรื่อง (พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าก้อยแต่งนิยายแต่ก็คงจะระแคะระคายหูอยู่บ้างแหละ เพราะเจ้ก้อยมันรู้แล้วชอบบ่นบ่อยๆ =___=) ก็เลยนั่งเทียนเขียนเอาซะเลย ถ้ามันติดขัดไปก็ขออภัยค่ะ ส่วนฉากที่สองก็คือฉากสุดท้ายตอนที่น้ำขิงยืนร้องไห้อยู่หน้าระเบียงห้องของเจนัว พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบยังไง มันเหมือนจะซึ้งแต่ก็เศร้าละมั้งคะ ส่วนตอนต่อไปจะเป็นยังไง ก้อยยังไม่ขอสปอยค่ะ ขออุบเอาไว้ก่อน เพื่อความลึกลับ J แล้วก็จากคำถามจากน้องHINZII ที่เคยถามว่าเรื่องนี้ก้อยกะจะแต่งกี่ตอน ตอบค่ะ ถ้าเป็นพล็อตใหม่ที่เพื่อนช่วยคิดประมาณยี่สิบตอนก็คงจะจบแล้วค่ะ แต่เพราะว่าก้อยเปลี่ยนใจเอาพล็อตเรื่องเก่าที่ตัวเองเคยคิดไว้มาแต่งเหมือนเดิม (ซึ่งก็คือตอนนี้) เรื่องกี่ตอนจบมันก็เลยยังไม่ชัวร์  =____=

    สุดท้ายแล้ว ขอบคุณแฟนคลับคนเก่าสำหรับการติดตามกันมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ และก็ยินดีต้อนรับสำหรับแฟนคลับที่เพิ่งกดติดตามด้วยนะคะ ส่วนนักอ่านที่กดลบไปก็ขอบคุณที่อย่างน้อยคุณเคยให้ความสนใจกับนิยายเรื่องนี้ รักพวกคุณมากค่ะ แล้วเจอกันตอนหน้า J

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×