ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #12 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER TEN

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.1K
      1
      5 พ.ย. 54

      

    MY STORY IS A LIE:: CHAPTER TEN

    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พี่เหมไม่ไปทำงาน พี่คิมไปดูงานที่เทกซัส ส่วนคุณพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น (ท่านกลับมาจากฮ่องกงได้เกือบอาทิตย์แล้วล่ะ) และฉันกำลังนั่งรอโทรศัพท์จากใครบางคนอยู่ในสวนหลังบ้าน!

     

     

    ไม่ต้องดีใจกันไป ไม่ใช่เจนัวหรอก สถานการณ์ของเขากับฉันตอนนี้ไม่ได้เข้าขั้นแย่จนน่าเป็นห่วงเหมือนทุกที แต่ก็ไม่ได้ดีจนน่าสบายใจหายทุกข์ได้

    ...ก็แค่อยู่ในช่วงเบาเบานะ  

     

    โชคดีที่ช่วงระยะเวลาสิบเอ็ดโมงใกล้เที่ยงอย่างนี้ถึงแม้จะมีแดดมากแต่ในสวนก็มีไม้ใหญ่แตกกิ่งใบบดบังแสงแดดไว้หมด ฉันนั่งไขว่ห้างอ่านนิตยสารแฟชั่นอยู่ริมสระว่ายน้ำ ยกน้ำส้มขึ้นจิบไปพลางๆ ฉันบอกไปแล้วสินะว่าฉันกำลังนั่งรอโทรศัพท์จากใครบางคนอยู่ แล้วฉันบอกไปหรือยังว่าฉันกำลังนั่งรอโทรศัพท์จากใคร  คำตอบคือยัยลิลินไง ฉันกำลังนั่งรอโทรศัพท์จากยัยนั่นอยู่ :)

     

    ครืด~ ครืด~

    ตายยากจริงๆ พูดไม่ทันขาดคำยัยนั่นก็โทรเข้ามาพอดีเลย J

     

    [อีบ้า! แกใช้มั้ยที่ส่งไอ้แกงบ้าอะไรบ้านี่มาให้ฉันน่ะ!!] เสียงแหลมสูงจากปลายสายดังมากจนฉันต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู

     

    ...สะใจชะมัดเลย!

     

    “ใช่ ฉันส่งไปเอง เธอไม่ชอบกินแกงกระหรี่หรอกเหรอ แหม... ฉันก็คิดว่าของโปรดซะอีก J

     

     

    [ของโปรดบ้านแกสิ!]

     

     

    “เหรอ... ฉันส่งสะตอไปด้วยนะ เอาไว้ปั่นกินคู่กับแกง ได้ข่าวว่ามันเป็นอาหารรสเลิศของพวกชอบตอแหล!

     

     

    [แก!...]

     

     

    “จำเอาไว้ว่าอยากมาตอแหลอะไรให้ฉันได้ยินอีก เพราะถ้ามันมีอีกฉันจะไม่ทำแค่นี้แน่!

     

     

    [เฮอะ! ช่วยไม่ได้ก็แกอยากโง่เชื่อฉันเองนี่! จะว่าไปขนาดไม่ใช่เรื่องจริงเธอยังมือไม้อ่อนฮวบเลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันทำให้มันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา....]

     

     

    “ฝันไปเถอะ! แล้วก็จำใส่หัวกะโหลกส่วนลึกของเธอเอาไว้ด้วยว่าต่อให้จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหนก็อย่าหวังว่าเธอจะแย่งเขาไปได้!

     

     

    พูดจบฉันก็กดตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่คิดที่จะต่อเถียงกับยัยนั่นต่อ พอคิดถึงเรื่องนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเผลอกำหมัดแน่นอย่างลืมตัวจนรู้สึกว่าเล็บคงจิกเข้าเนื้อฉันไปแล้วแน่ๆ

     

    ลิลินไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาพัวพันกับเขา และเท่าที่ฉันรับมือมายัยนี่น่ะร้ายกาจที่สุดแล้ว! เพราะผู้หญิงคนอื่นๆ แค่ขู่นิดขู่หน่อยก็พากันเลิกยุ่งกับเขา แต่ยัยนี่เล่นกัดแน่นไม่ยอมปล่อย แถมยังประกาศลั่นว่าจะแย่งเขาไปให้ได้อีก!!

     

    ก็แปลกดี มีปัญญาจะแย่งแฟนคนอื่นแต่ไม่มีปัญญาหาแฟนเอง!

     

     

    “อยู่นี่เอง ฉันเดินหาซะทั่วเลย” เสียงทุ้มของใครบางคนดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงตัวฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงก่อนจะขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือ แอมแปร์

     

     

    “คือฉันเพิ่งมาถึงตอนที่พ่อเธอกำลังให้เด็กมาเรียกเธอพอดี ก็เลยอาสามาแทน J” แอมแปร์พูดแล้วยิ้ม ว่าแต่หมอนี่ไปทำอะไรมาแขนถึงได้หัก?

     

     

    “งั้นเหรอ ขอบใจ แล้วแขนนายไปทำอะไรมา”

     

     

    “ไม่มีอะไร ก็แค่เล่นวิ่งไล่จับกับไอ้ราฟนิดหน่อย แต่เจ็บเป็นบ้าเลย L” แอมแปร์เบ้ปากทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ตอนท้ายประโยค และถ้าให้ฉันเดาจากคำตอบที่เขาตอบมา หมอนี่ต้องไปกวนประสาทราฟแล้วถูกจับหักแขนแหงๆ -___-^

     

     

    “ถ้ามาหาพี่เหมก็บอกให้เด็กไปตามให้แล้วกัน ฉันขอตัวไปหาคุณพ่อก่อน” ฉันลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดแบบไม่เป็นทางการมากนัก

     

     

    “ฉันเห็นไอ้ตี๋ที่ไหนไม่รู้กำลังนั่งคุยอยู่กับพ่อของเธอ แล้วท่านก็ให้คนมาเรียกเธอ เฮ้อ... ดูท่าคงมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะแน่เลย เพราะฉันแอบเห็นพ่อเธอกับไอ้ตี๋นั่นยิ้มกันจนแก้มแทบปริเลยซะด้วยสิ ต้องคุยกับถูกคอมากแน่ๆ เรื่องเธอหรือเปล่านะJ” คำพูดของแอมแปร์ทำให้ฉันที่กำลังเดินชะงักก่อนจะก้าวเท้าเดินไปต่อ

     

    ไอ้ตี๋หน้าขาวอย่าบอกนะว่าหมายถึงนายหนานเฟยอะไรนั่นน่ะ -___-

     

     

    ย้อนหลังเล่าให้ฟังกันหน่อยดีมั้ย คือเมื่อหลายวันก่อนคุณพ่อพาฉันไปออกงานการกุศลขององค์กรมาน่ะ และนั่นก็ทำให้ฉันได้เจอกับเขา นายหนานเฟยเป็นลูกชายของท่านอะไรสักอย่างนี่แหละ ฉันก็จำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่าพ่อของหมอนี่เป็นอะไรสักอย่างที่ยศสูงใช่เล่นเลยล่ะ ส่วนหน้าตาก็ออกแนวตี๋ๆ กระเดียดมีเชื้อสายไปทางตะวันตกอยู่นิดๆ พูดไม่ถูกเหมือนกัน แต่รวมๆ แล้วก็เพอร์เฟคนะน่ะ

    กลับเข้าประเด็นปัจจุบัน ตอนนี้ฉันเดินเข้ามาถึงห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว ฉันก้มหน้าทักเขานิดๆ ก่อนจะถูกคุณพ่อเรียกให้ไปนั่งลงข้างๆ กับท่าน

     

     

    “มีอะไรเหรอคะ?” ฉันถาม

     

     

    “นั่งคุยเป็นเพื่อนคุณหนานเฟยแทนพ่อหน่อย พ่อมีธุระด่วน”

     

     

    “คะ?”

     

     

    “เถอะน่า เขาเพิ่งกลับมาจากฮ่องกง ไปอยู่ที่นั้นเสียนาน ก็เลยยังไม่มีเพื่อน น้ำขิงก็นั่งคุยเป็นเพื่อนคุณหนานเฟยหน่อยล่ะกัน”

     

     

    “ขิงว่าขิงไปตามพี่เหมให้ดีกว่ามั้ยคะ? -____-” ฉันกระซิบถาม เพราะรู้สึกบอกไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ คุณพ่อก็ยัดเยียดให้ฉันนั่งคุยกับเขาตามลำพัง ทั้งๆ ที่เขาน่ะเป็นผู้ชาย และฉันก็เป็นผู้หญิง เหมือนอยากจะจับคู่....

     

    ฉันเห็นไอ้ตี๋ที่ไหนไม่รู้กำลังนั่งคุยอยู่กับพ่อของเธอ แล้วท่านก็ให้คนมาเรียกเธอ เฮ้อ... ดูท่าคงมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะแน่เลย เพราะฉันแอบเห็นพ่อเธอกับไอ้ตี๋นั่นยิ้มกันจนแก้มแทบปริเลยซะด้วยสิ ต้องคุยกับถูกคอมากแน่ๆ เรื่องเธอหรือเปล่านะJ

     

    คำพูดของแอมแปร์แวบเข้ามาในสมองของฉันแทบจะทันที หรือว่าคุณพ่อคิดจะจับคู่ฉันกับเขาจริงๆ

    แต่ว่าฉันมีแฟนแล้ว คุณพ่อก็รู้นี่!

     

     

    “คุณพ่อคงไม่ได้คิดจะจับคู่ขิงกับเขาหรอกนะ?” ฉันกระซิบถามอีกครั้ง

     

     

    “เปล๊า... พ่อก็แค่อยากเสนอตัวเลือกให้ขิงก็แค่นั้นเองลูก” คุณพ่อเอียงหน้ามากระซิบตอบ และมันก็เป็นคำตอบที่ทำให้ฉันช็อกมากเสียด้วย

     

     

    “ขิงไม่เอาด้วยหรอก คุณพ่อก็รู้นี่ว่าขิงกับเจนัวเป็นแฟนกัน!

     

     

    “แล้วยังไงล่ะ พ่อก็ไม่ได้บอกให้ขิงเลิกกับเจนัวเสียหน่อย พ่อก็แค่แนะนำคนที่น่าจะดีกว่าให้ลูกก็แค่นั้นเอง”

     

    “แต่พ่อคะ!...” ฉันที่กำลังแย้งพูดอะไรต่อไม่ออก เมื่อจู่ๆ คุณพ่อก็หันไปพูดตัดบทกับแขกของท่าน

     

     

    “เฮ้อ... สายแล้วสิ ยังไงก็นั่งคุยเป็นเพื่อนกับคุณหนานเฟยไปก่อนนะแล้วกันนะขิง เดี๋ยวพ่อออกไปทำธุระก่อน ทำตัวตามสบายนะหนานเฟย คิดซะว่าคนกันเองไม่ต้องเกรงใจอะไร”

     

     

    คุณพ่อเดินออกไปแล้ว ตอนนี้ในห้องรับแขกจึงเหลือแค่ฉันกับเขาสองคนเท่านั้น บรรยากาศเลยเงียบงันทันทีเพราะในระหว่างเราทั้งสองคนไม่มีใครที่คิดจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แต่ก็ต้องเป็นฉันสินะที่ต้องทำหน้าที่ ก็เป็นเจ้าของบ้านนี่ -____-++

     

     

    “ดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้งนะคะ^___^” ฉันปั้นหน้ายิ้มตอนพูด

     

     

    “เช่นกันครับ” และเขาก็ยิ้มตอบกลับมา -___-

     

     

    ....เงียบ......

     

     

    “เห็นคุณพ่อบอกว่าคุณไปอยู่ที่ฮ่องกงซะนาน เพิ่งกลับมาที่ประเทศไทย เลยยังไม่มีเพื่อน คุณไปทำอะไรที่นั้นเหรอคะ?” ฉันจำยอมถามต่อไป ทั้งๆ ที่ได้อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยสักนิด!

     

     

    “ผมเกิดและโตที่นั้น เลยใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นั้น”

     

     

    “ก็คุณพ่อบอกว่าคุณเพิ่งกลับมาก็แสดงว่าคุณต้องเคยอยู่ที่ไทยสิ”

     

     

    “ช่วงระยะเวลาสั้นๆ น่ะ ตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แม่ของผมท่านมีเชื้อสายไทยอยู่นิดหน่อย” เขาตอบอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเสแสร้งแข่งกับฉัน!

     

     

    “งั้นเหรอคะ แล้วคุณมีเชื้อทางฝั่งตะวันตกบ้างหรือเปล่า?” ฉันถามต่อ ใบหน้าเริ่มยิ้มไม่ค่อยออกแล้ว

     

     

    “ก็นิดหน่อยนะ คุณปู่ของผมท่านเป็นคนยุโรป”

     

     

    “งั้นเหรอคะ ....คุณพูดไทยชัดมากเลย เคยมาไทยก่อนหน้านี้หรือเปล่า?”

     

     

    “เปล่าครับ แม่ผมท่านเคี่ยวเรื่องภาษา ท่านกลัวผมจะพูดภาษาไทยไม่ได้ก็เลยคอยย้ำเตือนมาตั้งแต่เด็ก”

     

     

    “งั้นเหรอคะ...” ฉันรับคำด้วยน้ำเสียงเนือยๆ มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าเขาเพราะไม่อยากเห็นรอยยิ้มที่รู้ทันตัวเอง ให้ตายสิ... ฉันเสียมารยาทไล่เขากลับไปได้มั้ยเนี่ย?!

     

     

    “ไม่ถามต่อแล้วเหรอครับ?” เขาถามยิ้มๆ เหมือนดูออกมาฉันกำลังคิดอะไรอยู่ และนั่นก็ทำให้ฉันเผลอชักสีหน้าใส่เขาอย่างลืมตัว ส่วนเขาก็ทำหน้ากลั่นหัวเราะแบบสุดๆ

     

    พอกันที... ไม่ปั้นหน้าใส่หน้ากากแล้ว!!

     

     

    “ค่ะ! แล้วก็ขอเชิญคุณกลับไปด้วยนะคะ!” ฉันไล่พร้อมกับลุกขึ้นยืน จะเดินหนีออกไปทิ้งให้ไอ้บ้านี่ยืนเคว้งอยู่คนเดียว ใครจะว่าเสียมารยาทก็ช่างเถอะ ฉันไม่สนแล้ว!

     

    “หน้าคุณตอนโกรธยังดูดีกว่าตอนที่ฝืนปั้นหน้ายิ้มอีกนะ :)”

      

     

    “นี่คุณ!” ฉันตวัดสายตากลับไปจ้องหน้าคนพูดอย่างไม่พอใจ ส่วนเขาก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรเลย!

     

     

    “งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ไหนๆ คุณก็ไล่แล้ว ขืนอยู่ต่อคงแย่ J

     

     

    “เดี๋ยว! ฉันยังพูดไม่จบ และนายก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น!!” ฉันสั่งเสียงดังตอนที่ร่างสูงกำลังจะเดินออกไปจากห้องรับแขก

     

    J

     แต่เขาเพียงแค่หันมายิ้มทะเล้นให้แค่นั้นก่อนจะเดินออกไปเลย!!


     

    “ไอ้บ้า! ฉัน....!

    ปากที่กำลังเปิดขยับด่าเขาชะงักค้าง เพราะคนที่ควรจะโดนด่าตอนนี้ดันเดินออกไปแล้ว กลายเป็นว่าฉันโดนเขาหักหน้างั้นเหรอเนี่ย!?


     

    เฮอะ! อีตาบ้าเอ้ย! ต่อให้ฉันกับเจนัวเลิกกันแล้วเหลือผู้ชายอยู่ในโลกเป็นนายคนเดียวก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะเลือกนายน่ะ!

     

     

     

      

     

     










     

     

    Talk To U

    สวัสดีค่ะ :D ตอนนี้ส่วนมากก็เปิดเทอมกันแล้วเน๊าะ ก้อยก็เพิ่งกลับจากกีฬาสีมาเลยวันนี้ แดดร้อนมาก แต่ก็สนุกมากอีกเช่นกัน =O=;

    เรามาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าเนอะ สำหรับตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากกค่ะ มีตัวละครใหม่เข้ามาหนึ่งตัว เพราะเคยมีนักอ่านรีเควสกันเข้ามาว่าอยากให้มีผู้ชายเข้ามายุ่งกับน้ำขิงบ้างอะไรบ้าง ตอนนี้ก็เลยจัดไป

    อีกอย่างตอนนี้ จริงๆ ก้อยก็ยังไม่อยากอัพเลย กะว่าจะแต่งให้ยาวกว่านี้อีกหน่อย แต่ก็คงจะใช้เวลานานไม่ใช่น้อยเลยคิดว่าจะหายไปสักพัก (บวกกับตอนนี้ก้อยกำลังลองแต่งนิยายวายอยู่ ซึ่งในความรู้สึกก้อยมันยากมาก แต่งไปแต่งมาดันสับสนตัวเองซะอีก อีกอย่างก้อยลองเอาไปให้เพื่อนแล้วก็รุ่นพี่ช่วยแก้ให้ ปรากฏว่าโดนแก้เยอะมาก เลยทำให้กระทบมาถึงการแต่งนิยายชายหญิงเพราะก้อยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าก้อยเขียนนิยายได้ดีแล้วจริงๆ เหรอ? =[]=)
    แต่ว่า..

     
    พอได้อ่านข้อความของคุณปอฤทัย ฝน ความรู้สึกของนักเขียนคนหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้แต่งเก่งหรือเป็นมืออาชีพเหมือนนักเขียนหลายๆ คน ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาเยอะเลย แค่คำสั้นๆ ว่าจะ 'รอ' แค่นั้นก็เกินพอสำหรับก้อยแล้ว  ขอบคุณมากเลยค่ะคุณฝน :D

    สุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันนะคะ ขอบคุณๆๆ จริงๆ ค่ะ แล้วคงได้เจอกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีค่ะ -/\-

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×