ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY STORY IS A LIE (P.1)

    ลำดับตอนที่ #11 : MY STORY IS A LIE::CHAPTER NINE

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.1K
      3
      25 พ.ย. 54

      


    MY STORY IS A LIE:: CHAPTER NINE

     

      

     E & E Café

    “พวกแกจะเอาจริงดิ คิดให้ดีๆ กันก่อนนะเว้ย ไอ้เฉพาะตัวฉันมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอ้เหมล่ะ ...แกจะไม่พูดอะไรเลยหรือไงไอ้เหม?” แอมแปร์เป็นคนแรกที่แย้งขึ้นมาก่อนใครเพื่อน ก่อนจะหันไปถามเพื่อนอีกคนที่เกี่ยวข้องกับ หมาก ในแผนการนี้มากที่สุด

     

     

     “คิดอะไรไม่ออกว่ะ”

     

     

    เหมันต์ตอบแค่นั้นแล้วก็ถอนหายใจแรงๆ ออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะยกแก้วใบใสที่บรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันขึ้นจรดริมฝีปาก

     

     

    “แล้ว อะไรล่ะ ที่แกคิดไม่ออก” ราฟาเอลที่ยืนกอดอกเอนตัวลงอิงอยู่กับขอบโต๊ะสนุ๊กเกอร์ถามต่อ

     

     ตั้งแต่แต่งงานไปก็แทบจะนับจำนวนครั้งที่ได้เจอหน้าเขาได้เลย ...ไม่รู้ว่าสาวเจ้าอายุสิบเจ็ดคนนั้นมีอะไรดีหนอถึงทำให้นายมาเฟียจอมโหดอย่างนายราฟาเอลสยบแทบเท้าได้ขนาดนี้

     

    จะว่าไปคู่นี้เป็นคู่ที่ถูกคลุมถุงชนนี่ แต่ไหงตอนนี้กลับดูมีความสุขกว่าใครเพื่อนเลยวะ!

     

     

    “อนาคต ...ฉันคิดอนาคตของน้ำขิงไม่ออก ฉันมีน้องสาวอยู่คนเดียว ถ้ามันพลาด น้องสาวฉันไม่ต้องนั่งจมกองน้ำตาตายหรือไงวะ? แล้วนี่มันเรื่องอะไร ฉันกำลังนั่งอ่านนิยายน้ำเน่าอยู่งั้นสิ??”

     

     

    ทุกคนแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเหมันต์ แต่ก็อยากช่วยกันหาทางออกให้เรื่องนี้...

     

     

    “แกกับพวกฉันมีหน้าที่เป็นแค่กระดานที่ปล่อยให้หมากเดินไปตามเกม ถ้ามันจะพลาดก็ให้มันพลาดเพราะตัวหมาก ไม่ใช่เพราะกระดานล้ม” เรย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

     

     

    “จากพี่ชายฉันเลยกลายเป็นแค่กระดานหมากเนี่ยนะ นรกเหอะ” เหมันต์พึมพำอยู่ในลำคออย่างนึกสมเพชตัวเองก่อนจะกระดกเหล้าเพรียวๆ ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว...

     

     

     อีสเตอร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากบาร์กาแฟตบบ่าเหมันต์เบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาอีกตัว ในมือของหนุ่มใจเย็นถือแก้วกาแฟหอมกรุ่นอยู่ “จะว่าไปแล้ว เราต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ ฉันว่ามันแรงเกินไป ...น้ำขิงเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แล้วฉันก็คิดว่าเธออ่อนแอเกินกว่าจะรับเรื่องนั้นไหวด้วย ทั้งๆ ที่รู้แบบนี้แล้วพวกแกยังจะใจร้ายทำได้ลงอีกเหรอ”

     

     

    อีสเตอร์พูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่บ่งบอกได้ถึงความเป็นคนที่ชอบเห็นใจคนอื่นและขี้สงสารออกมาอย่างชัดเจน ก่อนจะหันไปมองทางเจนัวที่นั่งประสานมือหน้านิ่งอยู่ข้างๆ กับเรย์

     

    ...เขามองไม่ออกเลยว่าตอนนี้เจนัวกำลังคิดอะไรอยู่

     

     

    “ เป็นแค่ ผู้หญิงตัวเล็กๆ  เฮอะ! แกพูดทั้งๆ ที่แกก็รู้ว่ายัยนั่นร้ายแค่ไหนเนี่ยนะไอ้อีส ..โคตรจะพระเอกเลยเหอะ” ราฟาเอลพูดแล้วแค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง

     

     

    ก็นะ ...เขามันตัวร้ายนี่

     

     

     “ร้ายเพราะกลัวจะเสียคนรักไปอย่างน้ำขิงมันเลวร้ายมากเลยหรือไง แกนี่มันจริงๆ เลยไอ้ราฟ” อีสเตอร์อดไม่ได้ที่จะหันไปตำหนิราฟาเอล แต่ชายหนุ่มกลับยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวเท่าไหร่กับคำตำหนิของเขาเลยสักนิด  

     

     

    จะพูดให้ถูกเลยก็คือคำพูดของคนใจเย็นอย่างอีสเตอร์ไม่มีทางทำให้มาเฟียจอมโหดอย่างราฟาเอลระแคะระคายหูได้เลย อีกอย่างคนอย่างอีสเตอร์ด่าใครเป็นเรื่องเป็นราวเป็นซะที่ไหนล่ะ เรื่องนี้คนในกลุ่มก็รู้กันดีอยู่แล้ว

     

     

    “ช่ายๆ แกนี่มันจริงๆ เลย เดี๋ยวฉันก็โทรฟ้องน้องนิตาซะหรอก โทษฐานต่อว่าน้องสาวของคนอื่นต่อหน้าพี่ชายเขา ฮ่าๆๆ” แอมแปร์พูดแซวราฟาเอลก่อนจะระเบิดหัวเราะร่วนออกมา ส่วนฝ่ายที่ถูกแซวก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง หน้าตาเริ่มชักฉุนขึ้นมาเสียแล้ว

     

     

    “แกมีเบอร์เมียฉันได้ยังไง?!

     

     

    “ก็ไหนตอนแรกแกบอกว่าไม่เต็มใจแต่งไง ฉันก็เลยขอเบอร์น้องนิตาเผื่อไว้ รอเขาหย่ากับแกเมื่อไหร่ฉันจะได้เสียบ ฮ่าๆๆ :P” 

     

     

    “ไอ้เวรแอมป์!” จบประโยคของราฟาเอลแอมแปร์ก็รีบวิ่งหนีแทบไม่ทัน เพราะมาเฟียหนุ่มพุ่งเข้าไปหมายจะตะบันหน้าเขาให้ได้

     

     

    “ฮ่าๆ :P” แอมแปร์ฉีกยิ้มกว้างออกมากว่าเดิม ทั้งๆ ที่กำลังวิ่งหนีหมัดของราฟาเอลไม่รอด ปากก็ตะโกนพูดจายั่วโมโหจนราฟาเอลแทบอยากจะเปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่าเท้าแทนทันทีถ้าหากจับตัวไอ้คนขี้แกล้งได้ พ่อจะอัดให้เละเป็นปลากระป๋องเลย!!

     

     

    “แกจะลุกไปช่วยไอ้ราฟวิ่งไล่จับไอ้แอมป์ก็ได้นะ” เหมันต์ว่าพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถามเรย์ “ฉันไม่ว่าหรอก -___-^” 

     

     

    อย่างที่รู้กันว่าชั้นบนของ ‘E & E Café’ เป็นห้องโถงกว้าง และยังเป็นที่เฉพาะของพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้นที่นี่จึงมีพื้นที่กว้างมากพอให้ผู้ชายตัวใหญ่สองคนวิ่งไล่กันแบบไม่จนตรอกกันง่ายๆ ได้

     

     

    “เกี่ยวอะไรล่ะ ...ไม่ต้องมาแขวะ” เรย์ว่าพลางแยกเขี้ยวใส่เหมันต์ ก่อนจะหันไปมองราฟกับแอมแปร์ที่ยังวิ่งไล่กันไม่ยอมหยุดด้วยสายตาเอือมๆ “ไม่น่าเชื่อว่าพอมีเมียเป็นตัวเป็นตน มันจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้”

     

     

    “แกก็ลองมีสักคนดูสิ ”

     

     

    “แกเมากาแฟเหรอวะไอ้อีส คนอย่างไอ้เรย์เนี่ยนะจะมีเมีย ฮ่าๆ พูดอะไรเป็นเล่น” เหมันต์อดขำไม่ได้กับคำพูดของอีสเตอร์ ...รู้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในสามโลกเลยที่เรย์จะมีเมียน่ะ

     

     

    เหตุผลก็เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา เรย์ไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเลยสักคน แม้แต่กระทั้งคบเป็นเพื่อนก็นับได้ว่าน้อยมากๆ  และต่อให้จะมีลูกสาวคุณหญิงคุณนายที่ไหนวิ่งพุ่งเข้าหา นอกจากจะไม่สนใจแล้วเรย์ยังชอบหักหน้าพวกหล่อนเป็นกิจวัตรเสียด้วย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งพูดถึงขั้นว่าเรย์จะมีเมียเลย แค่จะรักผู้หญิงสักคนได้ก็ว่ายากสำหรับคนอย่างเรย์แล้ว...

     

     

    “ใครจะไปรู้ ดูอย่างไอ้ราฟสิ พวกแกเคยพูดไม่ใช่เหรอว่าคนอย่างมันจะรักษาอะไรได้ เพราะสุดท้ายจะพังคามือ แต่แล้วเป็นไงล่ะ พวกแกก็เห็นกับตาแล้วไม่ใช่เหรอ ...อนาคตข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอน เราทำได้แค่ปล่อยให้มันเดินไปตามทางของมัน” อีสเตอร์ฉีกยิ้มนิดๆ ตอนเท้าความหลัง หากแต่ท้ายประโยคแววตาเปื้อนยิ้มคู่นั้นก็ค่อยๆ อ่อนลง

     

     

    “เหมือนแกกับวิหยาสินะ”

     

    อีสเตอร์ชะงักไปเพราะถูกจี้จุดด้วยคำพูดของคนที่นั่งเงียบอยู่นานแล้วอย่างเจนัว ใบหน้านิ่งกับแววตาคมเลื่อนขึ้นมามองอีสเตอร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่นั่งคุยกันมา

     

     

     

    “คงงั้นล่ะมั้ง ...สิ่งที่ฉันทำได้คือยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีสิทธิ์คิดหวังอะไรทั้งนั้น  ต่างจากแกเจนัว แกรู้ว่าตัวเองคิดอะไรแล้วน้ำขิงคิดยังไง”

     

     

    ”...นั่นสินะ” น้ำเสียงเหม่อลอยเอ่ยรับคำช้าๆ

     

     

    “ถ้าพวกแกคิดกันดีแล้วเรื่องแผนอะไรนั่นก็แล้วแต่เถอะ ในเมื่อถ้าจะช่วยก็ต้องช่วยกันทั้งหมดอยู่แล้วนี่ จะเริ่มเมื่อไหร่ก็บอก”

     

     

    “ถ้าถามว่าคิดดีแล้วหรือยัง ฉันก็ตอบได้ไม่เต็มปากหรอกว่าคิดดีแล้วจริงๆ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ตอนนี้ฉันคิดอะไรไม่ออก” เหมันต์ว่า

     

     

    “แล้วแกล่ะ? เรย์”

     

     

    “ฉันเป็นคนคิดแผน...” คนเย็นชาพูดพลางลากสายตานิ่งๆ ขึ้นสบตากับคนถาม  “ต้องตอบยังไงดีล่ะ” อีสเตอร์จ้องนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาคู่นั่นกลับ ก่อนจะยิ้มนิดๆ เพราะคำพูดของเรย์ที่เหมือนไม่ใช่คำตอบกลับเป็นคำตอบที่บอกทุกอย่างได้ดีเลย

     

     

    “แล้วแกล่ะเจ คิดดีแล้วงั้นเหรอ”

     

     

     

    “.........” ไร้คำตอบใดๆ จากปากของเจนัว

     

     

     

     “...ตัดสินใจไปแล้วสินะ” อีสเตอร์สรุปเพราะเห็นอีกฝ่ายเงียบไป ...เขาเชื่อว่าเจนัวคงคิดดีแล้ว แต่ถึงมันจะเป็นความคิดที่เขาไม่เห็นด้วยยังไงก็ตาม อีสเตอร์ต้องเคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย

     

     

    “เดี๋ยวนะ ฉันว่าแทนที่เราจะทำให้เรื่องมันยุ่งยาก แกลองไปคุยกับน้องสาวฉันดีๆ ไม่ดีกว่าเหรอวะไอ้เจ พวกแกสองคนมีเรื่องอะไรค้างคาใจกันก็พูดๆ ออกไปเลย ง่ายกว่าตั้งเยอะ” เหมันต์ที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วเสนอ

     

     

    “แกก็รู้จักน้องสาวแกดีไม่ใช่เหรอ คิดเหรอว่ามันจะง่ายขนาดนั้น”

     

     

    “จริงด้วย”  เหมันต์เห็นด้วยกับคำพูดของเรย์ แต่จะให้ทำยังไงได้ เขาคิดอะไรนอกจากนี้ไม่ออกแล้วจริงๆ “ทำไมมันยุ่งยากวุ่นวายอย่างนี้วะ!” เหมันต์บ่นพึมพำอย่างหัวเสียเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

     

     

    “ก็เพราะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไง จากเรื่องง่ายๆ มันเลยกลายเป็นเรื่องยาก” อีสเตอร์พูด

     

    เพล้ง!

     

     

     “เฮ้ย! ที่แกขว้างใส่ฉันมันไวน์Château Latour’82 Vintage เลยนะเว้ย! พับผ่าเถอะ! เสียดายเป็นบ้าเลย  TTOTT” เสียงแอมแปร์ดังขึ้นต่อท้ายหลังจากที่เสียงขวดไวน์กระทบกับเข้าผนังห้องแล้วแตกกระจัดกระจายลงต่อหน้า เหลือแต่ร่องรอยของของเหลวสีม่วงอมแดงที่ตอนนี้กลายเป็นประติมากรรมอยู่บนผนังห้องไปแล้วเรียบร้อย

     

     

    “ใครสนล่ะ ไม่ใช่ของฉันนี่!

     

     

     “เออดิวะ! ก็มันของฉันนี่หว่า คุณโรนินอุตสาห์ซื้อมาเป็นของฝากจากฝรั่งเศล แล้วฉันก็ยังไม่ทันได้เชยชมมันเลยสักนิด! แกขว้างทิ้งง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังง่ายยยยย~ YOY” แอมแปร์โอดคราง

     

     

     “เฮอะ! ยังจะมีหน้ามาโวยวายเหมือนเด็กอีกไอ้นี่!! แกไม่รู้รึไงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร!?” และก็ตามมาด้วยเสียงดุดันของราฟาเอล ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับเข้าสู่วงเวียนการวิ่งไล่จับกันอีกครั้ง

     

     

     “นี่พวกมันอายุยี่สิบห้ากันแล้วใช่มั้ย?” เหมันต์พูดแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน

     

     

     “ตัวน่ะใช่ แต่สมองไม่แน่” เรย์ว่า ส่วนเจ้าของสถานที่อย่างอีสเตอร์ที่ดูไม่ค่อยสนใจกับความเสียหายที่เกิดขึ้นหนักหยักไหล่นิดๆ เท่านั้น ส่วนอีกคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงก็ยังคงเงียบนิ่งอยู่เหมือนเดิม

     

     

    ครืด~ ครืด~ ครืด~

     

     

    เสียงโทรศัพท์ของเหมันต์ดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะกดรับและขอตัวกลับออกไปก่อน แต่ก่อนที่จะเดินออกไปก็อดไม่ได้ที่จะหันไปกลับพูดอะไรบางอย่างกับเจนัว

     

     

     

    “คำตอบที่แกให้ฉัน ฉันจะถือว่ามันเป็นคำสัญญาว่าแกจะให้ทำให้น้ำขิงเสียใจอีก แล้วเรื่องแผนของไอ้เรย์แกจะเอายังไงก็ช่าง สิ่งที่แกควรทำก่อนมากที่สุดคืออะไรแกก็น่าจะรู้ น้องสาวฉันยังไม่รู้ว่าแกกลับมาแล้ว ...น้ำขิงคงจะดีใจมากถ้าแกไปหาเธอ”

     

     

     

        

     

     

    ตอนนี้ฉันกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว เวลาเดินเร็วใช่เล่นเลย เผลอแป็บเดียวก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว ไม่รู้สิ เหมือนกับฉันหายใจอยู่ทิ้งไปวันๆ ไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่ต่างอะไรจากการที่ฉันเคยวิ่งไล่ตามเจนัวเลย ...เพียงแต่ตอนนั้นฉันรู้ว่ายังไงก็มีเขา

     

     

    ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นมากมายตอนนี้มันก็ทำให้ฉันแยกความรู้สึกของตัวเองไม่ออก เพราะทั้งสับสนกับตัวเองและเรื่องของเขา เอาเข้าจริงๆ แล้วฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าบางทีการที่เขาหายไปเงียบๆ อย่างนี้อาจจะเป็นเพราะฉันก็ได้ เขาคงเบื่อและรำคาญฉันมาก   และถ้ามันเป็นจริงฉันก็ไม่สามารถเข้าใจตัวเองได้เลยว่าทั้งๆ ที่เขาทำให้ฉันเจ็บมามากมาย แต่ฉันก็ยังยอมที่จะเจ็บอยู่เรื่อยๆ เพียงเพราะต้องการที่จะมีเขาอยู่ข้างๆ มันถูกแล้วเหรอที่เป็นแบบนี้น่ะ...

     

     

     “คุณหนูคะ! คุณหนู”

     

     

    “จะเสียงดังทำไม   ...พี่เหมกลับมาแล้วเหรอ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากนิตติ้งที่ถักอยู่ถามสาวใช้ที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก่อนจะละสายตาจากหล่อนกลับมาสนใจเจ้านิตติ้งที่กำลังถักอยู่ดังเดิม

     

     

    “ใครว่าล่ะคะ ไม่ใช่สักหน่อย!

     

     

    “ถ้าไม่ใช่พี่เหมแล้วจะเป็นใคร พี่คิมงั้นเหรอ?” ฉันไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นมองหน้าสาวใช้คนนั้นอีก จึงถามทั้งๆ ที่ตัวเองยังก้มหน้าก้มตาถักนิตติ้งอยู่

     

     

    “ไม่ใช่ค่ะ”

     

     

    “ถ้างั้นใครล่ะ”

     

     

    “ฉันเอง”

     

    กึก

     

     

    น้ำเสียงนิ่งที่ดังขึ้นทำให้ฉันหยุดชะงักนิ่งงันไปอย่างนั้น... ก่อนที่จะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงช้าๆ ราวกับกลัวว่าเจ้าของเสียงจะหายไป เพราะว่าไม่อยากคาดหวังว่าจะเป็นเขา  เพราะกลัวว่าต้องจะเสียใจ... ถ้าหากมันเป็นเพราะฉันคิดไปเอง

     

     

    “...เจนัว”

     

     

    เป็นเขาจริงๆ สินะ... ใบหน้านิ่งของผู้ชายที่ยืนอยู่ห่างจากฉันไม่กี่ก้าวน่ะ  เขาทำให้ฉันร้องไห้เพราะเขาอีกแล้ว...

     

     

    ฉันยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืน แววตาขวางๆ ของเขาที่มองมาบ่งบอกอะไรฉันไม่ได้เลย ฉันมองไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไง ในขนาดที่ฉันกำลังใจเต้นแรงและรู้สึกข่มน้ำตาไม่อยู่ เพียงเพราะได้เห็นหน้าเขา...

     

     

    “นาย... หายไปไหนมา อึก... ฮึก ฉัน...”  ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่พออยู่ต่อหน้าเขาในเวลาแบบนี้ฉันกลับอ่อนแอมากเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงกล้าแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเขาแบบไม่เคยอายใครเลยสักครั้ง

     

     

    ไร้คำพูดใดๆ จากเขาที่ยืนอยู่ข้างหน้า แต่อยู่ๆ ร่างสูงของเขาก็เดินเข้ามาใกล้แล้วดึงฉันเข้าไปกอด ฉันซบหน้าลงกับหน้าอกกว้าง ในใจนึกสับสนว่าเป็นเขาจริงๆ น่ะเหรอ เป็นเจนัวจริงๆ ใช่มั้ยที่กอดฉันอยู่ตอนนี้น่ะ?

     

     

    “...ฉันขอโทษ”

     

     

    ...ฉันขอโทษ

     

     

    “ฮึก....ฮือ...”

     

     

    คำสามคำสั้นๆ ที่เขาพูดออกมาทำให้ฉันปล่อยโฮหนักยิ่งกว่าเดิมก่อนจะค่อยๆ ดันตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นและเผชิญหน้ากับเขา สีหน้าของเจนัวที่ถึงแม้ว่ามันจะนิ่งแค่ไหน แต่เสียงเต้นของหัวใจที่ดังก้องอยู่ตอนที่ฉันซบลงที่หน้าอกของเขามันก็ช่วยยืนยันได้ดีเลยว่าหัวใจของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ก้อนเนื้อที่ไม่มีความรู้สึกอย่างที่ฉันเคยคิด

     

    ...แต่เป็นเพราะฉันเองต่างหากที่ไม่เคยได้สัมผัสหัวใจของเขา 


     

     

     

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×