ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BLACKMA!L★วางแผนร้ายให้กลายเป็นรัก [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #29 : ★BlackMail Top Secret : Close Up!! [Bank*Mu] [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.04K
      12
      15 ต.ค. 54





    BlackMail

             S PECAIL CHAPTER : Close  Up!!  [ BANK*MUNICH ]

     


     

     

    “ ป๊อกเก้า!! ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ  เจ้าป๊อกเก้าเว้ยยยยยย~ จ่ายกูมารอบวง เร็วๆ อย่าลีลา!! ฮ่าๆ ”


     

                    เสียงกวนประสาทของไอ้เหี้ยขลุ่ยดังขึ้นพร้อมกับไพ่เลขเก้าโพดำกับสิบโพดำอย่างละใบที่ถูกโยนลงมากองแอ้งแม้งอยู่บนพื้นกับเสียงไอ้เจ้ามือที่หัวเราะร่วนดังลั่นพร้อมกับกวาดแบงค์ร้อยแบงค์ยี่สิบรอบวงมาไว้ที่หน้าตักของมันเอง เสียงหัวเราะสะใจของไอ้แซ๊บนั่นดังมาไม่ขาดจนผมที่เสียไปหลายร้อยเริ่มประสาทเสียและหมั่นไส้มันขึ้นมาตงิดๆ =..=

     


    “ ไอ้เหี้ยขลุ่ย
    !! มึงแม่งโกงไพ่แน่! จะเป็นไปได้ไงวะ มึงป๊อกมาห้าตาแล้วนะเว้ย!! =O=^


     

    “ โกงบ้านมึงดิ่!! เค้าเรียกดวงดีเว้ย!! อย่ามาใส่ร้ายกูนะอีมิว -*-


     

                    ผมจำได้ว่าตัวเองโยนแบงค์ร้อยไปให้ไอ้คนที่แบมือทวงพร้อมทำหน้าตาใสซื่อขาวสะอาดสุดๆก่อนจะแหกปากพาลใส่มันเนื่องจากผมเสียเงินไปเกือบห้าร้อยได้แล้ว T^T พ่อมึงเหอะไอ้เหี้ยแซ๊บ โกงเห็นๆอ่ะ ไพ่ห่าอะไรเจ้ามือป๊อกอยู่ได้คนเดียว คนอื่นไม่บอดก็แต้มต่ำเตี้ยเรี่ยราด กูไม่เชื่อกูไม่ยอม เอาเงินกูคืนมา ไม่งั้นกูจะปลุกระดมคนทั้งวงตื้บมึงแน่ไอ้แสรด งือ~ T^T


     

                    ตอนนี้ไม่บอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าพวกผมทำอะไรกัน? -..-^ ก็กิจกรรมยามว่างหลังทานข้าวเย็นยังไงหล่ะครับ ฮ่าๆ พอทานข้าวเย็นกันเสร็จ กิจกรรมค่ายอย่างแท้จริงที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เหล้าแสงโสมไม่ต่ำกว่ายี่สิบลังที่ถูกขนมาเต็มๆหนึ่งคันรถแดงดูเหมือนจะถูกเอามาใช้ก็ตอนนี้นี่เอง เพราะพอผมกวาดสายตาไปรอบตัวก็เห็นแทบทุกคนรอบข้างมีแก้วพลาสติกประจำตัวกันคนละใบพร้อมกับของเหลวสีไม่น่าไว้ใจอยู่ก้นแก้ว -_-^ ให้ตายเถอะ สมเป็นวิศวะกันเสียจริงๆ เหล้ายี่สิบลังนี่พวกมึงเอามาใช้แทนน้ำอาบกันหรือไงวะ -*-  


     

    “ เสียแล้วพาลนะอีมิว ไปแดกวีต้าแล้วตายในเต็นท์เลยไป คนเค้าจะทำมาหากิน ชิ่วๆ~ -_-^  


     

    “ พ่อมึงเหอะ น้องๆอย่าไปเล่นกับมัน เหี้ยขลุ่ยแม่งโกง! กูไม่เล่นกับมึงแล้วแสรด!! -O-^


     

                    ผมที่เริ่มงอแงถูกไอ้เพื่อนสนิทไล่ออกมาจากวงไพ่ที่ถูกตั้งขึ้นผสมกับวงเหล้าที่ดีดกีตาร์เคาะขวดกันอยู่ข้างกองไฟไม่ห่างออกไปเท่าใดนัก อากาศหนาวๆของยอดดอยทำให้เหล้าดูจะมีประโยชน์ในการใช้แก้หนาวขึ้นมาในทันที แต่ผมว่าถ้าจะให้ดูต้องมีสาวคณะมนุษย์นุ่งสั้นค่อยรินให้ถึงจะถึงใจ >..< แต่เอาเถอะยอดดอยแบบนี้ก็เอาแค่ไอ้พวกทโมนวิศวะเคาะขวดดีดกีตาร์เล่นไพ่ไปก่อนก็แล้วกัน -..-^


     

                    ผมลุกออกมาจากวงไพ่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของน้องๆที่ดูจะสนุกกับการที่ผมกับไอ้ขลุ่ยด่ากันโชว์เหมือนกับทุกคนลืมเหตุการณ์ลงโทษเมื่อบ่ายกันไปแล้ว ผมจำได้ว่าตัวเองยกนิ้วกลางให้ไอ้ขลุ่ยที่ยกมือขึ้นกวักไล่พร้อมกับส่งเสียงชิ่วๆเหมือนผมเป็นหมาที่กำลังจะเข้ามายกขาฉี่ใส่ล้อเวสป้าสีชมพูลูกกวาดของมัน -_-^ พ่องมึงเหอะไอ้เชี่ยแซ๊บ ฝากไว้ก่อนเหอะมึง! อย่าให้ถึงทีกูเอาคืน กูจะเอาให้แม่งต้องถอดล้อเวสป้าขายใช้หนี้กูแน่แสรด! T^T


     

    “ อ้าวพี่มิว เลิกเล่นไพ่แล้วหรอพี่? มานั่งกินเหล้าด้วยกันก่อนครับพี่ ^^


     

                    ผมที่เดินกระทืบเท้าปึงปังออกมาจากวงไพ่เดินออกมาเจอไอ้พวกน้องๆตั้งวงเหล้าดีดกีตาร์ร้องเพลงกันอยู่พอดี ผมหันไปมองต้นเสียงเรียกของไอ้น้องดิวที่ชวนให้มานั่งดิ่มด้วยกันก่อน และขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากปฏิเสธอยู่แล้วนั่นเอง เสียงทุ้มของใครบางคนที่นั่งอยู่ด้วยก็เอ่ยประโยคที่ดูจะคาดไม่ถึงส่งมาให้เช่นกัน

     


    “ นั่งด้วยกันก่อนไหมมิวนิก? ”


     

                    เสียงทุ้มเรียบเฉยที่เย็นกว่าน้ำค้างที่ตกลงมากลางดึกนั่นเรียกให้ผมชะงักตัวเองไปครู่หนึ่งเพื่อทบทวนคำตอบ ผมจ้องไปยังใบหน้าหล่อนิ่งของไอ้คนที่ผมชอบแอบเรียกมันว่าผีดิบนั่นเพื่อใช้เป็นหลักฐานร่วมประกอบการตัดสินใจ ใบหน้าหล่อนั่นดูไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนักพร้อมทั้งยังยกเหล้าขึ้นจิบนิ่งเฉยราวกับไม่สนใจผมเท่าใด แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกฉุนขาดพร้อมกับหมั่นไส้ขี้หน้ามันขึ้นมาตงิดๆทันที ทำหน้าโคตรไม่อยากให้กูนั่งด้วยแล้วจะอ้าปากชวนเพื่อ? -..-^


     

     “ ไม่รบกวนหล่ะครับน้องดิวถ้าพี่นั่งกินด้วย กลัวว่าจะมีคนเค้ากินเหล้าไม่ลง =3=^


     

                    ผมยืนกอดอกตอบพร้อมกับปลายหางตามองใครบางคนที่ทำหน้านิ่งจ้องผมกลับมาเช่นกัน หากแต่ใบหน้าหล่อนั่นก็ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเท่าใดจนผมไม่รู้ว่ามันดีใจหรือเสียใจกันแน่ที่ผมอ้าปากปฏิเสธคำชวนของมัน ทั้งที่ผมคิดว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับมันจะดีขึ้นเสียอีก -0- ก็ไม่เห็นว่าจะต่างออกไปจากเดิมตรงไหนเลย สงสัยคงจะมีแต่ผมคนเดียวเสียแล้วหล่ะมั้งที่คิดว่าอะไรๆระหว่างเราจะเปลี่ยนไปเพราะเหตุการณ์ลงโทษเมื่อตอนบ่าย


     

                    ทั้งที่จริงๆแล้ว มันก็ยังนิ่งใส่ผมเหมือนเดิม หน้าตายบวกดูไม่ยินดียินร้ายกับผมเหมือนเดิม ถ้างั้นเรื่องเมื่อตอนกลางวันนั่น มันก็คงไม่ได้ตั้งใจจะช่วยผมสินะ? คงจะแค่อยากสอนวินัยน้องเฉยๆพอคิดได้ดังนั้น ผมก็รู้สึกว่าอารมณ์มันเริ่มปรี๊ดขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เออใช่สิกูไม่ใช่อิทนี่แสรดที่มึงต้องคอยสนใจ คอยถามหา คอยให้ช่วยตามตื๊อ ชิ -3-^


     

    “ ไม่นั่งด้วยกันจริงๆหรอครับ? เนี่ยมีแต่น้องๆอยากคุยกับพี่มิว


     

                    เสียงไอ้ปอปกปีสองพูดขึ้นหงอยๆพร้อมกับยิ้มดูเนือยๆส่งมาให้ ผมส่งยิ้มแหยๆเชิงขอโทษส่งไปให้รอบวงยกเว้นไอ้ผีดิบบางคนที่จ้องผมอยู่ไม่ละสายตาแต่มันก็ไม่พูดหรือแสดงท่าทีอะไรออกมาเหมือนทุกที ก็คงจะมีแต่ไอ้พวกน้องๆเท่านั้นแหละมั้งที่อยากคุยกับผม ไอ้ผีดิบบางตนมันก็คงจะอยากไล่ผมไปให้ไกลหูไกลตาเสียที… -3-


     

    “ ไว้ตอนกลางวัน ถ้าว่างๆก็มาคุยกับพี่ได้ครับน้องๆ พี่ไม่ไล่กัดใครเหมือนคนแถวนี้หรอก ^^


     

                    ผมหันไปพูดยิ้มๆกับรุ่นน้องที่นั่งวงกินเหล้ารายล้อมไอ้ประธานปกครองปีสามนั่นอยู่ ทันทีที่พูดจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆจากไอ้เด็กพวกนั้นแต่ก็ต้องเงียบกริบแทบจะในวินาทีต่อมาเมื่อนัยน์ตาคมของคนที่ถูกกล่าวอ้างอิงถึงนั่นหันไปจ้องกราดคาดโทษพวกที่ขำทันที นับน์ตาคมนั่นหันขวับกลับมาจับจ้องผมอีกครั้งหากแต่ผมก็เลือกที่จะแลบลิ้นพร้อมกับยักคิ้วแบบกวนประสาทส่งไปให้ก่อนจะเดิมฮัมเพลงออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีที่ตัวเองแสร้งทำขึ้นมา


     

                    ใครจะรู้หล่ะว่าความจริงแล้วผมอารมณ์เสียแค่ไหนที่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังนิ่งใส่ผมเหมือนเดิม….

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


     

                    ผมเดินห่างออกมาจากวงเหล้าที่นั่งล้อมรอบกองไฟอุ่นๆมายังบริเวณหน้าผาซึ่งห่างออกมาไม่ไกลเท่าใดนัก น้ำค้างยามดึกบนยอดดอยเริ่มโปรยปรายลงมามากกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงผิวเย็นเฉียบชื้นไอน้ำของตัวเอง ผมยกกล่องบุหรี่ลักกี้สไตรค์ของไอ้ขลุ่ยที่แอบหยิบออกมาจากวงไพ่เพราะความหมั่นไส้เจ้าของมันขึ้นมาเคาะบุหรี่ออกมามวนหนึ่ง  บุหรี่ยี่ห้อดังสุดโปรดของไอ้เพื่อนสนิทถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากก่อนที่ผมจะหยิบซิปโป้ที่ถูกขโมยออกมาพร้อมกันขึ้นจุดมันสูบ


     

                    ลมเย็นจนหนาวที่ถูกพัดเข้าปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื้นผ่อนคลายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกกลิ่นเฉพาะของบุหรี่ราคาแพงลอยอบอวลรอบกายก่อนจะจางหายไปพร้อมกับลมเย็นที่พัดกราดเข้าใส่ใบหน้าระรอกแล้วระรอกเล่า ไฟสีแดงวาบตรงส่วนปลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมอยากจับจ้องมากกว่าความมือมืดของเหวเบื้องล่างหน้าผาตรงหน้า ราวกับปล่อยตัวปล่อยอารมณ์ให้ร่องลอยไปกับการละเมียดบุหรี่ราคาแพงกับบรรยากาศธรรมชาติที่ไม่ค่อยได้สัมผัสบ่อยนัก


     

                    แทนที่ผมจะสุขใจแต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าวจนอยากจะร้องไห้ดูสักที?

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


     

    “ ออกมานั่งทำไมไกลๆคนเดียว? แล้วเมื่อกี๊ชวนนั่ง ทำไมไม่นั่งด้วยกัน? ”

     

                    ผมที่กำลังใจลอยอยู่สะดุ้งเฮือกสุดตัวเมื่อจู่ๆเสียงทุ้มเข้มเรียบเฉยนั่นกลับดังขึ้นด้านหลังซึ่งมาพร้อมกับร่างโปร่งของคนที่ไม่คาดคิดทิ้งตัวนั่งลงบนที่ว่างข้างกาย ผมจำได้ว่าตัวเองยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียงก็พบกับใบหน้าหล่อนิ่งเฉยของใครบางคนนั่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก อยากจะขอบคุณความมืดเสียจริงๆ ที่ทำให้มันไม่เห็นสภาพน่าสมเพชของผมเมื่อครู่


     

    “ จะให้ตอบคำถามไหนก่อนดี? ”


     

                    ผมยกบุหรี่ขึ้นอัดควันนักๆเข้าไปในปอดก่อนจะปล่อยออกมาทางเดิมพร้อมกับแสร้งถามเสียงกวนไปให้ผู้มาใหม่  มันนิ่งไปนิดหนึ่งพร้อมกับจ้องบุหรี่ในมือผมไม่วางตา ผมยื่นกล่องลักกี้สไตรค์กับซิปโป้ของไอ้ขลุ่ยไปให้มันซึ่งคนตรงหน้ามันก็เอื้อมมือมารับไปแต่โดยดีแต่นั่นรวมถึงบุหรี่ที่ผมคาบอยู่ในปากด้วย!


     

    “ ไม่พอใจอะไรหรือเปล่ามิวนิก? ”


     

                    มันคว้าข้อมือผมที่พยายามจะแย่งบุหรี่ในมือมันคืนไว้แน่นก่อนจะออกแรงกระชากเบาๆเมื่อเห็นผมเงียบไปเพราะคำถามที่ดูไม่น่าตอบสักนิดของมันนั่น ผมที่ไม่ทราบว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ทำได้แต่หันไปฉีกยิ้มกว้างแบบที่ตัวเองรู้สึกได้ว่าฝืนยิ้มสุดๆส่งไปให้คนตรงหน้า ก่อนที่ประโยคทีเล่นทีจริงที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดออกไปตอนไหนนั่นจะหลุดออกจากปากผมไป


     

    “ ก็บอกแล้วไงว่านิสัยแบบนี้อยู่แล้วใครจะไปดูอารมณ์ดีน่ารักแบบไอ้อิทได้หล่ะ จริงไหม? ”


     

    …………………….


     

                    ผมจำได้ว่าตัวเองฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหันไปสบประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาคมดูนิ่งเฉยนั่น หากแต่แววตาที่จับจ้องตอบกลับมานั้นกลับทำให้แทบจะสำลักคำพูดเมื่อครู่ของตัวเองเสียให้ได้ ความมืดที่เงียบสงบและเยียบเย็นเพราะอากาศรอบกายดูน่ากดดันน้อยกว่าดวงตาเข้มสีดำที่จับจ้องมาราวกับจะคาดคั้นให้ละลาย


     

    “ เลิกประชดเรื่องน้องอิทเสียทีได้ไหม? ”


     

                    หลังจากความเงียบและความมืดมิดเข้าครอบครองบรรยากาศระหว่างผมกับคนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ คนที่เลือกจะทำลายกำแพงระหว่างผมกับมันที่กำลังก่อตัวแบบบางเบาทีละนิดๆนั่นกลับเป็นคนเดียวกับที่เริ่มสร้างมันขึ้นมาเองตั้งแต่ต้น มันหลบตาผมวืบหนึ่งก่อนจะทอดสายตาออกไปนอกหน้าผามือมืดที่มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนั่น


     

    “ ที่พูดนั่นหมายความว่าไง? ”


     

    “ ก็ตามที่พูดไป


     

    “ เออนั่นแหละ!! กูถามว่ามันหมายความว่ายังไง?? ”


     

                    ผมจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองราวกับคนสติแตก ผมสะบัดมือเรียวที่จับข้อมือของผมไว้แน่นออกก่อนจะตวาดคนตรงหน้าดังลั่นราวกับสมองค่อยๆมีความสามารถในการจัดลำดับเหตุการณ์และความสำคัญลดลง ทุกอย่างเงียบกริบและนิ่งสนิทไปหมด ก่อนจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ราวกับโดนกดปุ่มรีสตาร์ทซ้ำ


     

    “ ฉันลบรูปที่เคยถ่ายแบล็กเมล์นายไปแล้วนะ เพราะฉะนั้นตอนนี้ ที่นี่ ไม่มีเรื่องน้องอิท 


     

                    เสียงทุ้มนั่นเอ่ยนิ่งขึ้นอีกครั้งพร้อมกับผมที่เบิกตากว้างราวกับไม่คาดคิดถึงประโยคแผ่วๆที่กำลังได้ยินผ่านสองหูนั่น ความสับสนเข้าก่อกวนทุกความนึกคิด ไม่ว่าจะหาเหตุผลยังไงผมก็ยังคงนึกไม่ออกว่าทำไมไอ้บ้าตรงหน้ามันต้องพูดแบบนั้นออกมา ถึงมันจะลบรูปไปแล้วจริงๆแล้วที่มันพูดแบบนี้ในตอนนี้ มันต้องการอะไร?


     

    “ จะพูดอะไรกันแน่?? คิดแผนปั่นหัวกูแผนใหม่ออกแล้วหรือไงถึงมาพูดแบบนี้!? ”


                   

                    ผมหัวเราะออกมานิดหนึ่งอย่ากับวันนี้เป็นวันที่ต้องแสแสร้งที่สุดในชีวิต จำได้ว่าตอนนั้นพอถามจบผมก็ดีดกายลุกขึ้นยืน พอปรายตามองอีกคนนิดหนึ่งก็เห็นอีกฝ่ายนิ่งสนิทอยู่เช่นนั้นหากแต่ไม่ถึงห้าวินาทีดีนัก ร่างโปร่งที่สูงกว่าผมอยู่เกือบสิบเซ็นต์นั่นก็เหยียดกายลุกตามขึ้นมาพร้อมกับมือเรียวที่กระชากเข้าที่ต้นแขนของผมจนเซ


     

    “ เอะอะแม่งก็กระชาก! กูเจ็บรู้ไหม!!


     

    “ นายก็เลิกคิดว่าฉันจะมีแผนอะไรสักที!? นึกว่าเราจะดีกันแล้วเสียอีก? ”


     

    “ เรา? เรางั้นหรอ? อย่ามาคิดไปเองนะเว้ย ปล่อยกู!!


     

                    ผมที่เริ่มรู้สึกถึงเส้นอารมณ์ที่ขาดผึงของตัวเองตรงเข้าผลักคนตรงหน้าสุดแรงพร้อมกับตะโกนใส่หน้ามันเสียงดังพอๆกับที่มันเองก็ดูจะเริ่มอารมณ์เสียใส่ผมเหมือนกัน จำได้ว่าตอนนั้นผมกับมันคงจะดูงี่เง่าที่สุดเท่าที่ถ้าหากใครสักคนเคยเห็นมา จำได้ว่าตอนนั้นต่างคนต่างตะโกนเอะอะใส่หน้ากันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปตามที่ผมต้องการ =..=


     

    “ โอเคๆ เรามาเลิกตะโกนใส่กัน ตกลงไหม? ”


     

    “ มึงนั่นแหละตะโกนใส่กูก่อน!!


     

    “ โอเคฉันผิด ฉันเป็นคนตะโกนใส่หน้านายก่อน แบบนี้พอใจหรือยัง? ”


     

    “ เออ! -O-^


     

                    มันพูดเสียงฟังดูเหนื่อยๆก่อนจะยกมือขึ้นกุมหน้าผากแล้วหันมามองผมแบบที่ผู้ใหญ่สักคนจะมองเด็กเอาแต่ใจด้วยใบหน้าเหนื่อย มึงนั่นแหละผิดไอ้เม็ดแตงโม! ไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนกูผิด =..=^ มึงมันผิดตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่มึงแล้วเพราะฉะนั่นมึงยอมรับไปซะว่าตัวเองหน่ะผิด! บู่วววววว์ -3-^


     

    “ งั้นเรามานั่งคุยกันดีๆคุยเรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่มีเรื่องน้องอิทดีไหม?  


     

                    พอเห็นผมดูจะอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยมันก็รีบพูดประโยคที่ฟังแล้วชวนทะแม่งๆนั่นพร้อมกับยิ้มน้อยๆพลางส่ายหน้านิดๆแถมทำหน้าเหมือนกำลังคิดว่าในที่สุดผมก็เลิกพยศเสียที กูพยศแล้วไงวะ? ไม่พอใจก็ไม่ต้องมาอยากคุยด้วยเส่ =O= กูง้อคุยกับเมิงหรือไงไอ้ผีดิบมาเฟีย บู่วววว์ -3-


     

    “ งั้นจะให้คุยอะไร? จำไม่ได้หรือไงว่าแทบทุกครั้งที่มึงกับกูคุยกันมันก็เพราะเรื่องอิท


     

    “ งั้นก็คุยอะไรก็ได้ไง  อย่างเช่นนายชอบกินอะไร ชอบเรียนวิชาอะไร


     

                    มันพูดยิ้มๆเหมือนรอยยิ้มเมื่อตอนบ่ายแต่นั่นกลับทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้ ตอนนี้ผมกับมันนั่งลงตรงที่เดียวกันกับเมื่อครู่อีกครั้ง ผมเย็นชื้นไอน้ำค้างก็ยังคงพัดเข้าปะทะใบหน้าของเราทั้งคู่เหมือนเดิม เพียงแต่มันแตกต่างออกไปนิดหน่อยก็ตรงที่ตอนนี้ผมดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาแบบทันตาราวกับเรื่องที่ผมกับมันตะโกนแหกปากใส่หน้ากันเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วเป็นแค่เรื่องในอดีตที่ตอนนี้โดนกดรีสตาร์ทใหม่ไปแล้ว


     

    “ ฉันกินอะไรก็ได้ที่ไม่มีผักชอบเรียนแคลคูลัสว่าแต่ไม่มีอะไรจะคุยหรือไงวะถึงถามเรื่องแบบนี้? -0-^

     


    “ ก็แค่อยากรู้หรอกน่า
    งั้นถามต่อ


     

                    ผมหันไปแหวใส่มันพอๆกับที่มันทำหน้าเฉยๆพร้อมกับอมยิ้มแล้วถามต่ออีกสารพัดคำถามที่ดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องของผมล้วนๆ ผมจำได้ว่าผมกับมันนั่งคุยกันเรื่องไร้สาระนั่นจนดึกดื่น จนดูเหมือนว่าพอหันกลับไปที่แถวๆรอบวงเหล้าอีกที สิ่งมีชีวิตทุกตัวแถวนั้นจะกลับเข้าเต็นท์นอนหรือไม่ก็นอนตายแถวรอบกองไฟกันไปหมดแล้ว =..=


     

    “ ดึกแล้วไปนอนกันไหม? ”


     

                    ไอ้คนที่นั่งถามผมมาได้พักใหญ่ถามขึ้นเสียงเบาหลังจากมองตามสายตาของผมเข้าไปแถวเต็นท์รอบกองไฟ มือเรียวนั่นยกนาฬิกาดิจิตอลของมันขึ้นกดดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่นั่งจ้องมันอยู่ก่อนแล้ว ผมพยักหน้าให้มันช้าๆก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้ามันมา ผมรับรู้ถึงใบหน้าของตัวเองที่จู่ๆก็อมยิ้มแบบไม่ทราบสาเหตุ แต่รอยยิ้มเล็กๆมุมปากของผมนั่นมันกลับต้องฉีกกว้างขึ้นอีกเมื่อจู่ๆเสียงทุ้มของคนที่เดินตามหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง


     

    “ มีอีกคำถามที่ฉันยังไม่ได้ถามนายเลย


     

    “ หือ? อะไร? ถามไปตั้งเยอะแล้วยังไม่หมดอีกหรือไง? ”


     

      ยังไม่หมดง่ายๆหรอกน่ามีคำถามนึง ที่คิดว่าคืนนี้ไม่ได้ถาม ฉันคงนอนไม่หลับ ”


     

    “งั้นก็ถามมาดิ่ ”


     

                    ผมกับมันเดินไปพลางคุยโต้ตอบกันไปพลางจนใกล้เข้ามาถึงบริเวณที่มีแสงสว่างของกองไฟสลัวๆนั่นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่ผมจะโผล่เข้าไปในบริเวณที่เป็นสถานที่ตั้งเต็นท์ของพวกเรา…. ผมกลับรู้สึกถึงมือเรียวอุ่นของคนที่เดินตามหลังมาคว้าเข้าที่ข้อมือของผมไว้แน่นแรงบีบไม่หนักไม่เบาที่ข้อมือทำเอาใจเต้นตุบๆจนอยากจะสะบัดมือออกแล้วเดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดว่าทำไม่ได้ก็ตอนที่


     

    “ คบกับขลุ่ยอยู่หรือเปล่า? ”


     

      ปะเปล่า เพื่อนกันเฉยๆ ถามทำไมวะ? >///<


     

    “ ก็บอกแล้วไงว่าถ้าคืนนี้ไม่รู้คำตอบ คงนอนไม่หลับ ”


     

                    เสียงทุ้มนั่นเอ่ยขึ้นแผ่วๆพร้อมกับมือเรียวที่กระชับเข้าที่ฝ่ามือผมแน่นอีกครั้ง ผมจำได้ว่าตอนนั้นได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองสูบฉีดเลือดชัดกว่าครั้งไหนๆในชีวิตที่เคยได้ยินมา รู้สึกดีใจเหลือเกินที่กำลังยืนหันหลังให้มันอยู่ เพราะถ้ากำลังหันไปเผชิญหน้ากัน ผมคงต้องหาเรื่องด่ามันสักเรื่องแก้เขินแน่ๆสาบานสิ  >///<


     

                    แล้วผมที่กำลังชะงักยืนหยุดอยู่กับที่ด้วยอาการที่เรียกว่าเขินก็ต้องรู้สึกถึงแผ่นอกอุ่นๆที่แนบลงมาจากด้านหลังพร้อมกับใบหน้าของคนที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใครที่พาดลงมาบนบ่าเสียงหายใจเป็นจังหวะดังขึ้นข้างหูพร้อมกับรับรู้ถึงลมอุ่นๆที่กระทบใบหูแผ่วเบา แต่ก่อนที่ผมจะได้ขยับตัวหนีหรือทำอื่นใดไปมากกว่านั้น ประโยคสั้นๆกับสรรพนามที่คนข้างหลังพึ่งเคยใช้เรียกผมเป็นครั้งแรกก็ตรึงผมให้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนฉ่าราวกับคนเป็นไข้


     

    “ งั้นก็ฝันดีนะครับมิว


     

    >////////////////////<


     

     

                    ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนหรือไม่ก็วันต่อๆไปในวันข้างหน้าวันไหนสักวันพอถึงวันนั้นเข้าจริงๆ สถานการณ์ของผมกับมัน อาจจะกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆก็ได้…. แล้วพอวันนั้นมาถึง ก็หวังว่า สิ่งที่ทำให้ผมกับมันเกี่ยวข้องกัน คงไม่ใช่เพราะใครคนไหน ที่ไม่ใช่แค่เราสองคน


     

    ^________________________________^

     

     


     

    Talk Talk Talk :  หายไปนานมาก ขอโทษนะคะ T^T กลับมาแล้วเนอะ สอบผ่านพ้นไปแล้ว รู้สึกแย่สุดๆ ยังไงก็ขอบคุณที่รอกันจ้า ^O^ อยากปั่นคู่นี้ให้จบไวๆ แย่งซีนอ่าแย่งซีน แย่งซีนคู่หลักเฉยเลยอ๊าาาาาาาา >..<


     

    Ps.  จะพยายามอัพถี่ๆให้จบไวๆนะคะ เพราะปิดเทอมมันสั้นฉิบหายเลย -_-^

     


    beyo ng


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×