ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรหน้ากากสิงห์ ตอน ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!

    ลำดับตอนที่ #5 : รักครั้งแรก เหงา+คิดถึง (อดีต) อาหมิ่นลี่ * เปิดตัวนางเอก - รีไรท์ครั้งที่ 4

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 861
      0
      24 ก.ย. 63


    พระเอกบรรยายถึงความรักที่มีต่อคุณมิ้นท์ในอดีต อย่างซาบซึ้ง




    ชานเมืองจันทบุรี ผมมีบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังเล็กๆ ไม่ใหญ่โตนัก แต่ดูอบอุ่น บ้านหลังนี้เดิมปลูกไว้เป็นที่พักอาศัยของผมกับแฟนเก่า หลังจากเรียนจบ ทำงานเก็บเงินได้สักระยะ เราทั้ง 2 ได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน เพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอกันและกัน แต่สุดท้ายก็ไปกันไม่ได้ ต่างคนต่างมุมมอง เธอบอกเลิกกับผม เพื่อไปหาคนใหม่ ที่พร้อมกว่า มีเวลาให้เธอมากกว่า และผมเองก็ยินยอมเลิกแต่โดยดี ผมตัดสินใจคืนเงินอีกครึ่งหนึ่งให้เธอ เพื่อเป็นการขอซื้อขาดบ้านหลังนี้ มาเป็นของตัวเอง เป็นอันสิ้นสุด ไม่มีภาระหรือพันธะใดใดต่อกันอีก เธอไปตามทางของเธอ ส่วนผมก็ใช้ชีวิตสงบๆ อยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป... ทำงานศิลปะที่ผมรักไป .....

    ตามทฎษฎีความรัก เขาว่า คน 2 คน ถ้าคบกัน แต่ต่างคนต่างอยู่ บ้านใครบ้านมัน มันทำให้ไม่หยั่งลึกในกันและกันดีพอหรอก ฉะนั้น ถ้่าอยากรู้ว่า คู่รักจะคบกันไปได้นานแค่ไหน ต้องลงทุนมาอยู่ด้วยกันสักปีสองปี ให้มองเห็นนิสัยใจคอทุึกด้าน อย่างเปิดเผย  ยอมรับข้อดีข้อเสียในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น และ สุดท้าย คือ พยายามปรับตัวเข้าหากัน เพื่อประคองชีวิตคู่ ไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง....

    บ้านไม้ ที่ให้บรรยากาศแบบไทย เงียบสงบ อยู่ติดกับธรรมชาติ คือ ความตั้งใจของผม อยู่ในบริเวณสวนชัยพฤกษ์ เป็นสวนที่รัฐบาลได้ปลูกพืชพรรณต่างๆ นานาไว้เรียงรายเต็มสองข้่างทาง  มีพรรณไม้ประดับ ต้นไม้ใหญ่น้อยเขียวขจี ร่มรื่นตา
    หลังบ้านจะเป็นท่าน้ำอันกว้างใหญ่ สุดลูกหูลูกตา อากาศสดชื่น เงียบสงบพอควร ไม่มีมลพิษใดใด

    ว่างๆ ผมชอบนั่งอยู่ริมน้ำ บางครั้งก็นั่งนอนอ่านหนังสือ วาดภาพ จนเพลินหลับไป ชอบมองดูเรือหาปลาที่เทียบท่าเข้ามาจอดแล้ว  มองทิวทัศน์สวย เพลินตา บรรยากาศที่ปลอดโปร่ง มีลมพัดเอื่อยๆ โชยมาตลอดมา ทั้งกลางวันและกลางคืน เย็นสบายเป็นที่สุด

    ก็อย่างที่บอก ผมได้แยกคำว่าเพื่อนกับแฟน เอาไว้คนละุมุม คนที่รู้สึกรักแบบเพื่อน จะเป็นความรู้สึกเอ็นดู ห่วงหาอาทร สบายใจ แต่สำหรับเพื่อนใจ หรือ คนรัก เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จะมีความวาบหวาม ลึกซึ้ง เสน่หา ความอบอุ่น ความต้องการในกันและกัน เข้ามาปะปนด้วย...

    คุณมิ้นท์ คือ ผู้หญิงที่ผมรู้สึกแบบนั้นได้คนเดียว แต่กับแฟนเก่า มันอาจเป็นแค่รักชั่วครู่ชั่วยาม ฉาบฉวย ผมเคยคิดนะครับ ว่าผมรักเธอ และ เธอก็รักผม แต่ถึงเวลาอยู่ด้วยกันจริงๆ มันไม่ใช่ ความเย็นชา ห่างเหิน ที่เธอแสดงต่อผม จนผมคิดว่า ควรจะจบเส้นทางรักของเราไว้เท่านี้ดีกว่า เมื่อทัศนคติไปกันไม่ได้ จะฝืนอยู่กันไป ก็มีแต่จะเสียใจและทรมานเปล่าๆ....

    สำหรับคุณมิ้นท์น่ะเหรอ สาวน้อยผู้มีรอยยิ้มพิเศษ ที่ทำให้ผมยิ้มไ้ด้ทุกครั้งที่นึกถึงเธอ

    เห็นเธอครั้งแรก ผมรู้สึกนึกชอบเธอขึ้นมาทันที รอยยิ้มเจิดจ้า ประกายตาสดใสของเธอ ยังอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ




    ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2540



    ณ โรงเรียนสหะ ประจำจังหวัดแห่งนั้น เราอยู่กันคนละห้อง ผมเด็กสายศิลป์-พานิชย์ ส่วนคุณมิ้นท์ เธอเป็นเด็กห้องคิงส์ สายวิทย์คณิต ครับ เธอเรียนเก่งมาก โดยเฉพาะวิชาที่ยากที่สุดสำหรับเด็กมัธยม คือ ฟิสิกส์-เคมี จะว่าไปให้เป็นดาวแห่ง ม. ปลาย ก็ได้อีก ทั้งยังเป็นเด็กกิจกรรมที่สร้างชื่อเสีียงให้ทางโรงเรียนอีกด้วย รำก็เก่ง ร้องเพลงก็เพราะ เป็นทั้งดรัมเมเยอร์ และสาวน้อยผู้ถือคฑาของโรงเรียน

    ช่วงก่อนเรียนจบได้ 1 ปี เธอถูกเพื่อนๆ เลือกให้เป็นประธานสภานักเรียนอีกด้วยละครับ คุณสมบัติเพียบแบบนี้ ถ้าเอามาเทียบกับคนอย่างผมมันก็ "ดอกฟ้ากับหมาวัด" ดีดีนี่เอง

    ก็คงพอนึกแล้วใช่ไหมว่าเธอน่ารัก น่าคบหา แค่ไหน เป็นที่หมายปองของนักเรียนรุ่นพี่ผู้ชาย และ บรรดาหนุ่มๆ นอกรั้วต่างโรงเรียนเลยล่ะครับ


    ความเป็นเด็กดี ตั้งใจ ขยันทำกิจกรรม ทำให้คุณมิ้นท์ เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ ในโรงเรียน นอกจาก รูปร่างหน้าตาที่งดงามหมดจรด ขาวสะอาด ดูน่ารัก น่าเอ็นดู ผิวขาวอมชมพูจนเห็นเลือดฝาด จิตใจของเธอก็แสนดี สะอาด อ่อนโยน มีน้ำใจกับเพื่อนๆ เหลือเกิน เด็กรุ่นน้องๆ จะชอบเรียกเธอว่า "พี่นางฟ้า" เสมอ

    คุณมิ้นท์ เธอคือสาวที่ผมแอบชอบมาตั้งแต่สมัยมัธยม...
    ยังนึกไปถึง วันแรกที่เ่ห็นหน้า คุณมิ้นท์ ครั้งแรกได้ไม่ลืม
    ความรู้สึกที่เรียกว่า "ตกหลุมรักครั้งแรก" มันก็เกิดขึ้นในทันที

     ทุกเช้าเวลาเข้าแถวที่หน้าเสาธง หลังจากฟังโอวาทจากครูใหญ่แล้ว จะได้เห็นหน้าเธอ ยินเสียงหวานๆ ใสๆ ของประธานมินท์มาพูดปิดท้าย ทำให้ผมยิ้ม ปลาบปลื้ม หน้าบานอยู่ได้คนเดียว
    ผู้หญิงสวยก็แบบเนี้ย แม้น้ำเสียงก็ยังไพเราะ กังวานรื่นหูน่าฟัง ชาติก่อนเธอคงทำบุญมาดี มีคุณพ่อร่ำรวย เป็นเจ้านายใหญ่โต สวย-เรียนเก่ง

    ผมแอบเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ ไม่ให้ใครล่วงรู้ แต่ก็ไม่รอดพ้น สายตาของเพื่อนๆ ด้วยกัน

    "มองไปเหอะ...มองไป..เขาไม่สนมึงหรอก ลูกสาวผู้พิพากษาเชียวนะ" 

    ไอ้ตี๋เชงมันพยายามบอกให้ผมตัดใจ จะว่าไปหมอนี่ แม้จะเกเีร เพี้ยน บ้าๆ บอๆ ไปบ้าง แต่มันก็ที่ปรึกษาเรื่องหัวใจได้ดีอยู่

    "หาโอกาสอยู่ใกล้สิวะ ตื้อหน่อย เดี๋ยวก็ดี"

    วิธีจีบสาวสำหรับผมมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น
    เขียนการ์ดสวย มีขนม ของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอในวันสำคัญ แอบเอาดอกไม้สวยๆ หอมๆ ไว้ใต้โต๊ะเรียน เพื่อให้เธอรู้สึกตื่นเต้นในบางคราว


    ความรักของเรา ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยซึมซับ รับรู้ผ่านสายตาและความจริงใจกันล้วนๆ นั่นเอง รักแท้ต้อง อย่าคิดแต่เอาชนะ เพื่อให้มาซึ่งการครอบครอง ความรักไม่ใช่เกมส์การแข่งขัน แต่มันเป็นดั่งบททดสอบทางจิตใจ ว่าเราจะอดทนและทุ่มเทเพื่อคนที่เรารักได้มากแค่ไหน บางครั้งอาจต้องยอมเสียสละและเจ็บปวดบ้าง ก็เพื่อความสุขของคนที่เรารัก .....

    แต่สำหรับผมแล้ว รักใครมันก็แค่นั้นจริงๆ ผมขี้อาย ชอบเก็บงำ ไม่กล้า ไ่ม่เก่ง ไม่ใช่นักกีฬาโรงเรียนที่หล่อเท่ห์ มีรุ่นน้องมาคลั่งไคล้ แต่ให้สารภาพความในใจผ่านการวาดภาพหรือเขียนกวีกลอนหวานๆ ให้เธอล่ะ ก็พอมีหวังอยู่บ้าง


    กวางกับผม ระหว่างเรา ไม่มีอะไรปิดบัง ผมบอกตรงๆ ว่าผมหลงรักคุณมินท์ เต็มใจ

    "ดรีมลองบอกกับเธอ ผ่านสิ่งที่คุณถนัดสิคะ เช่น อาจจะเขียนอะไรที่ซาบซึ้งใส่กระดาษให้เธอในวันเกิด ให้เธอรู้ว่าคุณชอบเธอ "

    "แต่งกลอนให้เหรอ เขาจะชอบหรือเปล่า?..."


    "ลองดูค่ะ ของแบบนี้มันกินไม่ได้คะ แต่ได้ความสุขทางใจ"

    กวางหมายถึง ให้ผมพยายามเอาชนะใจคุณมิ้นท์ด้้วยวิถีทางของตัวเอง ไม่ใช้ด้วยการทุ่มเทเงินทอง ของกิน ราคาแพง คุณมินท์มีคนมาจีบตั้งหลายคน ทั้งใน-นอกโรงเรียน หลานชายของครูใหญ่ ที่เป็นนักกีฬาระดับเขต ทั้งหล่อ รวย ก็สนใจเธออยู่ไม่น้อยเช่นกัน

    " แต่ขั้นแรก ผมต้องแน่ใจซะก่อน ว่าคุณมิ้นท์มีเยื่อใยให้ผมหรือเปล่า ถ้าไม่มี ก็จบ" และอีกนัยยะ ผมไม่อาจหาญแข่งจีบสาว โดยมีเพื่อนรักอย่างพี่อาร์ทมาเป็นคู่แข่ง ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็จะเป็นฝ่ายถอยหลังไปเสียเอง แต่คราวนี้ เหมือนมีพลังดึงดูดพิเศษให้ผมอยากเข้าใกล้เธอ ใกล้เข้าไปอีก อยากรับรู้สิ่งที่เธอทำบ้าง เป็นความสุข เป็นน้ำหล่อเลี้ยงที่สดชื่นทางหัวใจและสายตาในยามนั้น รอยยิ้มดั่งดอกไม้แรกแย้มของเธอ ทำให้ผมมีพลัง มีกำลังใจ สดชื่น

    หลังเลิกเรียน ซ้อมดนตรีเสร็จ ผมจะไปแอบมองคุณมินท์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ถ้ารู้มาว่า เธออยู่ในห้องฟ้อนรำ ก็ไปเกาะขอบหน้าต่างมอง หรือถ้าได้เจอกันโดยบังเอิญก็แล้วแต่ ถือเป็นโชคดีของผมในวันนั้น

    "จะไปไหน ใครมารับ..."  ทุกครั้งที่เจอเธอ ความตื่นเต้นประหม่า ผมพูดได้แค่นี้

    คุณมิ้นท์ก็วางตัวดีกับเพื่อนทุกคน เธอไม่สนิทสนมกับใคร พิเศษไปกว่าคำว่า "เพื่อน"

    "มินท์จะรีบกลับบ้านคะ ปาป๊ามารับแล้ว.." 
    "เหรอ...งั้นก็โชคดีนะ เราเป็นห่วง" 
    ให้ตา่ยสิ เจอหน้าคุณมินท์ ที่แอบชอบทั้งที ผมพูดได้แค่นั้นเองเหรอ

    แต่ครั้นผมจะหันหลังเดินจากไป เธอกลับถามขึ้นอีกครั้ง
    "ดรีม ซ้อมดนตรี เป็นไงบ้างล่ะคะ...."
    "อืม...ดี...สนุก ..."  ตอบสั้น เพราะมัวแต่แอบลอบมองตาสาวน้อยลึกซึ้ง อยากซึมซับใบหน้าหวานของเธอไว้นานๆ

    "เอ่อนี่....เมื่อเที่ยงตอนอ่านกวีสุนทรภู่บนเวที คุณมิ้นท์ น่ารัก เก่งมากเลยนะ" ผมชมจากใจจริง 

    คุณมิ้นท์หลบสายตาผมอายๆ คงเขินที่โดนชมแค่นั้น ไม่คิดอะไร
    เธออาจเดียงสากับเรื่องรัก จนไม่รู้ว่านี่คือความประหลาดของเพื่อนอย่างผมที่แสดงออก เพราะใจมันเริ่มคิดไม่ซื่อกับเธอ

    ....ความรักมีปีก หลีกบินข้ามฟ้า ปรารถนาเพียงเธอ ปรารถนารักเธอผู้เดียว....

    ผมพยายามปิดบังความรู้สึกทางใจ ผมคิดเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อน ถ้าเธอรู้คงไม่เป็นผลดี ลึกๆ แล้วความเป็นเด็กวัด ทำให้นึกกระดากอยู่บ้าง แต่สายตาของคนที่มีรัก มันซ่อนความนัยไม่ได้เลยให้ตายสิ จะหลีกหนีความจริงไปได้นานแค่ไหนกันเรา......

    "จำไว้นะ ความรักมันซ่อนเร้นไม่ได้ เหมือนเพศของเรา" 
    ประโยคคมบาดใจของนักเขียนท่านหนึ่งที่ผมเคยอ่านในนวนิยาย มันก้องอยู๋ในหัว ผมประทับใจและชอบนึกถึงคำนี้ทุกครั้งๆ เวลาเจอเธอ

    เธอยิ้มสวย เธอน่ารัก เธอมีเสน่ห์ ใครมันจะห้ามใจไหว เก็บไว้นานวันคงอัดอั้นตันอก ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ..แล้วเราจะทำอย่างไรดี...




    เพลงประกอบนิยายตอนนี้






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×