ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 3 งานสำคัญ - "เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.26K
      12
      19 ต.ค. 53

    บทที่ 3 งานสำคัญ

    “เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ”

     

                “โอ๊ย!

                เสียงร้องดังขึ้นเมื่อร่างหนึ่งตกกระทบกับพื้นแข็ง...

                ชายหนุ่มผมน้ำตาลงัวเงียลุกขึ้นมานั่งตาปรือ มือเกาศีรษะที่ผมบนนั้นก็ยุ่งเป็นสิงโตอยู่แล้วให้ไม่เป็นทรงยิ่งขึ้นไปอีก

                “ฝันไปหรอกรึ” เขากล่าวกับตัวเองเมื่อระลึกได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด และก่อนหน้านี้กำลังผจญภัยหลงป่าเลยเถิดไปถึงไหน

                ที่ข้างหมอนบนเตียงซึ่งเขาเคยนอนอยู่ก่อนตกลงมามีหนังเล่มหนาเรื่อง แม่มดดำ : เจ้าแห่งมนตร์ดำผู้ชั่วร้ายที่สุด อันเป็นยานอนหลับชั้นดีเปิดค้างไว้อยู่ วิลเลียมจำได้ว่า เมื่อคืน เพียงเปิดอ่านผ่านๆ ไปไม่กี่หน้าเขาก็สลบเหมือดแล้ว

                ข้าชื่อแคสซานดรา เป็นแม่มดดำ เจ้าล่ะชื่ออะไร

                เสียงพริ้งไพเราะดังแว่วขึ้นในห้วงความคิดพร้อมภาพของเด็กหญิงชุดยาวที่แลดูเรียบร้อยและจิ้มลิ้มยิ่งนัก นางเป็นสหายในวัยเยาว์ที่ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้ว และก็เพิ่งกลับมาจดจำได้นี่เอง

                “แคสซานดรานั้นเองหรอกหรือ”

                วิลเลียมนึกทบทวนแล้วก็พบว่าใช่นางจริงๆ เค้าหน้าของแม่มดดำยังคงความงดงามเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง โทนเสียงของนางในความฝันก็ไม่ต่างออกไปจากเสียงจริงที่ได้ยินเมื่อวาน หากแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งพบจุดที่น่าสงสัย...

                ทำไมสีผมของนางจึงเปลี่ยนไป... แคสซานดราที่เขาจำได้มีผมสีทองคำขาวต่างหาก... เหตุใดจึงกลายเป็นสีแดงเพลิงเช่นนั้นได้... ผมสีเดิมก็สวยดีอยู่แล้ว นางไม่น่าจะย้อมเปลี่ยนสีเล่นๆ ...

                แล้วยังลักษณะการแต่งกายนั่นอีก... แคสซานดราในวัยเด็กนั้นแต่งกายด้วยชุดขาวหรือสีโทนอ่อน สวมชุดยาวดูเรียบร้อยเสมอ... หรือพอเวลาเปลี่ยนไป รสนิยมของผู้คนก็เปลี่ยนตามไปด้วย...

                วิลเลียมนึกทวนดูแล้วก็พบว่า ด้วยเหตุนี้ การที่เขาจะจำนางไม่ได้ในทีแรกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนางเองก็เปลี่ยนไปเสียตั้งมากมาย แต่ที่ยังครุ่นคิดไม่เข้าใจก็คือทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงนอนตกเตียงได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ชายหนุ่มไม่เคยมีประสบการณ์นอนตกเตียงเลย...

                จำได้ว่ากำลังฝันว่าลื่นตกเขา... แล้วก็สะดุ้งตื่นเพราะตกเตียงด้วยพอดี...

                “สงสัยหนังสือจะมีอาถรรพณ์” ชายหนุ่มเปรยขึ้นทีเล่นทีจริง “สมชื่อแม่มดดำจริงๆ”

                เมื่อรู้ตัวว่าคิดหาคำตอบต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อันใดเกิดขึ้น วิลเลียมจึงพับหนังสือปิด กะว่าคืนนี้ถ้าล้มตัวลงนอนแล้วยังไม่หลับในทันทีจะลองหยิบขึ้นมาอ่านอีก แล้วดูว่า จะฝันอะไรประหลาดๆ อีกไหม

                ทันทีที่ออกมาจากห้องนอนก็ได้กลิ่นหอมฉุยของอาหารเช้าลอยมากระตุ้มต่อมความหิว โสตประสาทก็รับรู้ถึงเสียงเพลงโซปราโนที่ดังมาจากห้องครัว ฟังแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าคนร้องจะเป็นชายหน้าโหดผู้มีเสียงพูดปกติต่ำเหมือนตะคอก วิลเลียมมองเงาหลังของคนที่ประกอบอาหารอยู่ในครัวอย่างอารมณ์ดี แล้วก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าวในห้องรับแขก ยังไม่อยากเข้าไปทักทายขัดจังหวะเริงรมย์ของอีกฝ่าย

                ...ยังไม่มาหรือ...

                เขาคิดว่าวันนี้ตื่นสายกว่าที่กะไว้ บางทีอาจพลาดไป แต่มองทั่วห้องแล้วก็ไม่พบถุงเงินที่ควรจะมาในวันนี้ จากที่ไฮเดนเคยบอกไว้ เขา จะฝากคนส่งเงินค่าดูแลและค่าจ้างมาให้ทุกเช้าวันจันทร์ หรือบางทีไฮเดนอาจจะเก็บไปแล้ว...

                ทว่าขณะที่กำลังสงสัยอยู่ในเอง ถุงหนังตุงถุงหนึ่งก็โผล่วาบขึ้นมาบนโต๊ะในพริบตา ไม่ใช่หล่นตุบมาจากเบื้องบนหรือถูกโยนมาจากที่ไหน มันปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ด้วยวิธีอื่นไม่ได้นอกจากจะใช้...

                “...เวทมนตร์” เขาพึมพำ พิจารณาดูถุงเงินอีกชั่วแวบจึงพบว่า ที่ปากถุงนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่งติดเอาไว้ ข้อความบนนั้นเขียนไว้ว่า

    ออกไปพบข้าที่ข้างนอกเดี๋ยวนี้

                วิลเลียมหันออกไปมองที่นอกหน้าต่าง ไม่พบเห็นผู้ใด แต่ก็เชื่อในคำเน้นย้ำว่า ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น เขาหยิบเสื้อโค้ตตัวนอกมาสวม ตะโกนบอกคนในครัวว่า

                “ไฮเดน ข้าตื่นแล้ว ออกไปเดินเล่นข้างนอกเดี๋ยวนะ” แล้วผลุนผันลุกออกไป โดยไม่ทันคิดคำนวณว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

                 เมื่อออกมานอกบ้านก็เห็นชายในชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่เพียงลำพัง ถนนด้านซ้ายขวาถัดไปล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน

                “เจ้าคือวิลเลียมหรือ” ชายชุดดำถาม

                “ใช่แล้ว” วิลเลียมตอบ “ท่านเป็นใคร”

                “ข้าเป็นคนของพระราชา ด้วยภารกิจของข้าทำให้ไม่สามารถเปิดเผยนามในยามนี้ได้ ต้องขออภัยเจ้าด้วย” เขาอธิบาย

                “อ้อ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มบอก ...เป็นสายของท่านพ่อหรือ... ถ้าเป็นสายของพระราชาก็อาจจะทำงานให้ท่านพ่ออยู่ก็ได้

                “พระราชาทรงมีรับสั่งเรียกตัวเจ้าเข้าพบ อีกครู่หนึ่งจะมีคนมารับเจ้าเข้าไปในพระราชวัง เตรียมตัวเอาไว้ด้วย ข้ามาส่งสารเพียงเท่านั้น ขอลาก่อนล่ะ”

                พูดจบก็ยังไม่เว้นช่องให้เขาแสดงอาการอะไรแม้แต่น้อย หายวับไปในอากาศทันควัน

                “ช่างเป็นสายลับที่ไม่ค่อยลึกลับเลย” วิลเลียมบ่น “อย่างนี้เขาก็รู้ว่าเป็นนักเวทหมด”

                ...แว่วเสียงคล้ายเสียงจามลอยมาตามลม ชายหนุ่มคิดว่าเขาคงหูฝาดไปเอง

                หลังสร้างอารมณ์ขันเล็กๆ น้อยๆ ให้กับตัวเอง สมองเขาก็กลับมาใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่... อีกฝ่ายบอกว่าเป็นพระราชาต้องการพบเขา ไม่ใช่เจ้าชายอาเธอร์นี่ อย่างนี้เท่ากับว่าคนที่ให้เงินสนับสนุนเขามาตลอดเป็นพระราชาไม่ใช่ท่านพ่อหรอกหรือ แต่พระราชาจะมีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนั้นกันล่ะ

                จะว่าเป็นการขอบคุณที่เขาช่วยให้ตนได้ขึ้นเป็นพระราชาก็ไม่น่าจะใช่ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างคนเป็นถึงพระราชาและน้องชายของท่านพ่อไม่น่าจะทำอะไรอย่างนั้นหรอก

                “อาหารเช้าเสร็จแล้วนะขอรับ” เสียงไฮเดนดังบอกขึ้น วิลเลียมรู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้ง

                “เอาเถอะ คิดมากความไปตอนนี้ก็ป่วยการ เดี๋ยวถึงเวลาก็คงรู้เองนั่นแหละ” เขาบอกกับตัวเองเช่นนั้น แล้วก้าวเข้าบ้านไป

     

                หลังวิลเลียมกินอาหารเช้าฝีมือไฮเดนอย่างอิ่มอร่อยและอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็มีทหารสองคนมาเคาะประตูบ้าน เชิญตัวเขาไปเข้าฟังพอดี

                “นายท่านจะไปไหนหรือขอรับ” ไฮเดนมองพวกทหารอย่างตื่นๆ ขณะกระซิบถามวิลเลียม ท่าทางจะเกรงความผิดในอดีตที่ตนเคยก่อไว้

                “แค่ไปพบญาติผู้ใหญ่นิดหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลบอก แล้วถามต่อว่า “จะว่าไป เจ้ามาอยู่ที่ลูซแวร์ก็ตั้งนานแล้ว รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวข้ามากน้อยแค่ไหนกัน”

                ชายหัวล้านส่ายหน้า

                “นอกจากที่ได้ยินมาจากที่ท่านมาร์กาเรตกับท่านโจนาธานแล้ว ข้าไม่ได้สืบเรื่องของท่านเพิ่มเติมเลยขอรับ นายท่าน”

                วิลเลียมไม่รู้ว่าจะชมเชยที่อีกฝ่ายไม่จุ้นจานเรื่องของเขาดีไหม เพราะเห็นได้ชัดว่าคงกลัวที่จะเปิดเผยตัวออกไปมากกว่า ไฮเดนดูจะให้ชีวิตอย่างเงียบๆ ในช่วงที่ผ่านมา คงตั้งใจจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีแล้ว

                “อย่างนั้นเจ้าก็ลองไปสืบมา” เขาสั่ง

                “...จะดีหรือขอรับ”

                “ย่อมดีแน่นอน ข้าอยากรู้เหมือนกันว่า คนอื่นเล่าลือถึงข้าว่าอย่างไรกันบ้าง”

                ...ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเล่าให้เจ้าฟังด้วย...

                วิลเลียมคิด แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่สะดวกใจ ถึงถามต่ออีกว่า

                “ถ้าให้ทำงานอย่างนี้ เจ้าคงไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหม”

                “เพียงนายท่านสั่งมา ข้าก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้วขอรับ” ไฮเดนเอามือทุบอกซ้ายของตัวเองเป็นการยืนยัน

                “แต่เจ้าคงรู้ใช่ไหม ว่าข่าวบางอย่างก็เชื่อถือไม่ได้ หวังว่าเจ้าของไม่หลงข่าวลือเป็นจริงเป็นจังไปล่ะ ถ้าสงสัยอะไรก็ค่อยกลับมาถามข้าละกัน”

                “ขอรับ ข้าทราบแล้ว ไม่ว่าจะได้ยินอะไรมาก็ไม่มีทางลบภาพนายท่านวิลเลียมผู้มีพระคุณออกไปจากใจข้าได้หรอกขอรับ”

                ชายหนุ่มฟังแล้วไม่แน่ใจว่าควรจะซาบซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายดีหรือไม่ แต่กระนั้นก็ยิ้มให้ แล้วบอกลา จากนั้นจึงตามนายทหารที่มารับทั้งสองไป

     

                ที่ห้องรับรองเล็กของพระราชวัง พระราชาลูเธอร์ทรงประทับอยู่คู่กับพระราชินีเฟลิเซีย พร้อมเหล่านางสนองพระโอษฐ์แวดล้อมอยู่ห่างๆ ในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปเพื่อคอยสนองพระบัญชา

                วิลเลียมเดินเข้ามาถวายบังคมแด่ทั้งสองพระองค์ตามธรรมเนียมราชประเพณี แล้วค่อยกล่าวโอภาปราศรัยทักทายเล็กน้อย

                “ฝ่าบาททั้งสองทรงสบายดี? กระหม่อมไม่ได้เจอกันนาน ดูทรงมีสง่าราศีและพระศิริโฉมงดงามขึ้นนะพะย่ะค่ะ” ที่ว่ามีสง่าราศีเขาหมายถึงพระราชา ส่วนคนที่สวยขึ้นก็ต้องเป็นพระราชินี

                ลูเธอร์มีผมสีทองเข้มซึ่งก็เข้มกว่าของเจ้าหญิงลูเครเซียผู้เป็นบุตรีอยู่บ้าง ส่วนดวงเนตรนั้นมิใช่สีน้ำเงินอย่างของอาเธอร์ หากแต่เป็นสีเขียวสดดั่งมณี ดวงเนตรคู่นี้ดูราวกับจะอ่านคนออกเพียงมองปราดคู่เดียว และก็พราวระยับเสมือนมีแผนการคิดอ่านอยู่ตลอด ทั้งสีผมและสีตาของพระองค์ได้มาจากราชินีองค์ก่อนทั้งคู่ และเนื่องด้วยทรงรับผิดชอบงานบริหารมาตั้งแต่แรกต่างจากพี่ชาย จึงดูค่อนไปทางสำอางมากกว่าแข็งแรงกำยำ แต่เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้วก็ราศีจับอยู่ไม่น้อย

                พระราชินีเฟลิเซียผู้เป็นคู่ชีวิตก็เป็นเจ้าหญิงจากแดนมิตร รูปโฉมโนมพรรณนั้นเลอเลิศใช่ธรรมดา แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังสวยไม่สร่าง ทรงมีพระเกศาสีทองอ่อนซึ่งแลดูคล้ายสีเงินในบางมุม ส่วนพระเนตรก็เป็นสีเทาจางสวยซึ้งที่ขนานนามกันว่าหายากยิ่ง

                เฟลิเซียได้ยินวิลเลียมกล่าวจบก็ยกหัตถ์ขึ้นป้องปาก สรวลไม่เต็มเสียง ตรัสชมว่า

                “ยังคงปากหวานเหมือนเดิมไม่ผิด แต่ไม่รู้ไปเรียนราชาศัพท์ผิดๆ ถูกๆ พวกนี้มาจากไหนนะ”

                “กระหม่อมขอประทานอภัย พอดีสถานะของพระองค์เปลี่ยนไป ยามกะหันทันยังใช้คำราชาศัพท์ที่เหมาะสมได้ไม่มากนัก” เขาตอบยิ้มแย้ม

                “เอาเถิด ถ้าเจ้าไม่ถนัดก็พูดธรรมดาก็ได้” พระราชาตรัสอนุญาต “ที่นี่ก็ไม่ใช่ท้องพระโรง และพวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นไกลกัน ใช่ไหม หลานข้า” พระสุรเสียงเหมือนจงใจจะเน้นคำว่า หลานเป็นพิเศษ

                วิลเลียมค้อมศีรษะต่ำ ตอบรับเบาๆ ว่า

                “พะย่ะค่ะ”

                เขาไม่เคยสนิทกับลูเธอร์มาก่อน แทบไม่เคยสนทนากันตรงๆ มีแต่พูดคุยพบปะตามวาระโอกาสบ้างเล็กน้อย และในกาลก่อนพระราชาองค์เก่าก็ยังไม่ได้สละราชบัลลังก์ไป การวางตัวต่อเจ้าชายรัชทายาทย่อมง่ายกว่าผู้ปกครองแผ่นดินเป็นธรรมดา วิลเลียมต้องยอมรับว่าเขาประหม่าเล็กน้อย รวมทั้งยังคาดเดาไม่ออกว่า อีกฝ่ายเรียกตัวเขามาเข้าพบเพื่อจุดมุ่งหมายใดกัน

                “ข้ามีเรื่องในครอบครัวจะคุยกับหลานข้าสักหน่อย พวกเจ้าออกไปก่อน” ลูเธอร์สั่งเหล่านางกำนัล

                “รับด้วยเกล้าเพคะ” ทั้งหมดขานรับ และจรลีออกไปจากรัศมีการได้ยิน

                บรรยากาศดูเคร่งเครียดขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง วิลเลียมมองลูเธอร์ด้วยสายตาตั้งคำถาม

                “ข้ารู้ว่าเจ้าคงสงสัยว่าอยู่ดีๆ ข้าเรียกเจ้ามาทำไม ถ้าจะให้บอกตรงๆ เลยก็คือ ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”

                “เรื่องอะไรหรือพะย่ะค่ะ”

                “เจ้าลองฟังปัญหาของพวกเราก่อนละกัน”

                ลูเธอร์ขึ้นต้น แล้วกำลังจะเล่าต่อ แต่เฟลิเซียก็กล่าวขึ้นก่อนว่า

                “เสด็จพี่ เรื่องนี้ถือเป็นความผิดของข้าเอง ขอข้าเล่าเองได้ไหมเพคะ”

                เมื่อพระราชาพยักหน้าอนุญาต พระราชินีก็ยิ้มให้วิลเลียมแล้วถามว่า

                “วิลเลียม เจ้าคิดว่าหน้าที่หลักของราชินีอย่างข้าคืออะไร”

                “ก็ต้องช่วยพระราชาปกครองบ้านเมือง ช่วยแบ่งเบาภาระของพระองค์ ดูแลความเป็นอยู่ของพระราชวังฝ่ายใน...” เขาพูดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มสะกิดใจอะไรบ้างอย่างจึงหยุด

                ...อย่าบอกนะว่าเป็นปัญหาเรื่องนั้น...

                เฟลิเซียผงกศีรษะหนักๆ ทีหนึ่ง ก่อนเฉลย

                “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่ที่หน้าที่หลักที่สำคัญจริงๆ ของพระราชินีคือการให้กำเนิดรัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ และตอนนี้เราก็มีเพียงลูกสาวเพียงคนเดียวคือลูเครเซีย”

                “ตอนแรกเราก็คิดว่าคงไม่เป็นไร ให้เสด็จพี่อาเธอร์รับตำแหน่งมหาอุปราชย์ เพื่อขึ้นครองราชย์ต่อจากข้าหากข้าบังเอิญประสบเหตุเป็นอะไรไปก็ได้ อย่างไรตำแหน่งผู้ปกครองดาเรเนียก็สมควรเป็นของเสด็จพี่อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว” ลูเธอร์เล่าต่อ “แต่เสด็จพี่ก็ยืนกรานปฏิเสธไม่รับอยู่อย่างนั้น ข้าไม่ทราบจะทำอย่างไรดี จึงลองไปปรึกษาโหรหลวงเผื่อจะมีแนวทางแก้บ้าง”

                พระราชาเว้นวรรคเล็กน้อยให้เขาได้ซึมซับเรื่องราวสักพัก พระราชินีเห็นว่าได้จังหวะแล้วจึงกล่าวต่อ

                “นักทำนายนั้นบอกต่อเราทั้งสอง บอกว่าเราได้ทำของสำคัญประจำราชวงศ์อย่างหนึ่งหายไป จึงทำให้ไม่มีโอรสสักที หากเราอยากได้โอรสก็ต้องนำของนั้นกลับคืนมา”

                “ของนั้นคืออะไรหรือ...พะย่ะค่ะ” วิลเลียมฟังเรื่องแล้วก็อยากรู้อยากเห็นไปด้วยจนเกือบลืมเติมหางเสียงข้างท้ายไป

                พันธะแห่งดาเรนไลน์” พระราชาบอก “เป็นล็อกเก็ตห้อยคอที่ผนึกเวทมนตร์คุ้มกันภัยเอาไว้ แต่แรกเลยเสด็จพ่อ ทรงมอบให้เสด็จพี่ไว้ แต่ต่อมาเมื่อข้าแต่งงานกับเฟลิเซีย เสด็จพี่ก็ได้ส่งต่อของสิ่งนั้นให้แก่ข้า ตรัสว่า ตนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเวทมนตร์คุ้มกันนั่นอีกต่อไปแล้ว ของสิ่งนี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์แก่ข้ามากกว่า ข้ารับมาไว้ จากนั้นก็มอบให้เฟลิเซียตอนที่นางตั้งครรภ์ลูเครเซีย”

                “ข้าจำได้ว่า ได้คล้องไว้ติดตัวลูเครเซียตอนที่นางเกิด ไว้ให้คอยคุ้มครองนาง ตามที่เสด็จพี่บอกมา” พระราชินีเอ่ยเสริม

                “ใช่ ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น” พระราชายืนยัน ไม่โทษว่าเป็นความผิดของภรรยาเพียงลำพัง

                “แต่ด้วยลูเครเซียยังเล็กอยู่ ข้าจึงเอาพันธะแห่งดาเรนไลน์ออกมารับขวัญนางเท่านั้น” เฟลิเซียว่าต่อ “จากนั้นของสิ่งนั้นก็หายไปจากความทรงจำของข้า ข้าไม่ได้นึกถึงล็อกเก็ตประจำราชวงศ์อีกเลยจนกระทั่งนักทำนายบอกจึงกลับไปค้นดู แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไร พันธะแห่งดาเรนไลน์ก็ไม่อยู่เสียแล้ว” นัยน์ตาสีเทาของพระนางทอประกายเศร้าเสียใจของคนที่คิดโทษตนเองอย่างปิดไม่มิด

                “แล้วพวกท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร” วิลเลียมถามไปตรงๆ โดยไม่คำนึงถึงราชาศัพท์อีกต่อไป แม้เรื่องจะน่าสนใจ แต่เท่าที่ฟังๆ มามันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่เลย

                “ข้าคงไม่ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหรอก หากไม่ใช่เพราะ...โหรหลวงทำนายว่า ผู้ที่จะนำพันธะแห่งดาเรนไลน์กลับมาได้มีแต่สายเลือดที่ต้องการการยอมรับจากดาเรนไลน์ผู้จะย้อนกลับมายังลูซแวร์เท่านั้น”

                “เพียงแค่เงื่อนไขประหลาดๆ นี้พวกท่านก็ตีความว่าเป็นข้าแล้วหรือ” วิลเลียมเพิ่งเคยได้ยินคำทำนายอะไรที่ซับซ้อนขนาดนี้ ทำไมไม่บอกมาตรงๆ เลยว่าเป็น วิลเลียม ลูกมาเรีย ช่างเย็บผ้า หรืออะไรทำนองนั้นเล่า

                “ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นเจ้า วิลเลียม” ลูเธอร์บอกพลางคลี่ยิ้มบาง “คนที่แสวงหาการยอมรับจากเสด็จพี่รวมถึงครอบครัวเรามากที่สุดถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร แล้วเจ้าไม่ได้ออกไปอยู่นอกลูซแวร์ในช่วงที่ผ่านมาหรอกหรือ”

                “ไม่รู้สิ บางทีอาจจะเป็นพวกขุนนางหรือนายทหารผู้ภักดีที่ทำงานเพื่อพวกท่านอย่างหนักอยู่ที่นอกเมืองหลวงแล้วกำลังรอการเลื่อนตำแหน่งจากพวกท่านอยู่ก็ได้นะ”

                “เจ้านี่ชอบพูดติดตลก และคิดอะไรนอกกรอบอยู่เรื่อยเลยนะ”

                พระราชาชมเชยพลางกลั้วหัวเราะเล็กน้อย พระราชินีเองก็ยิ้มตามอย่างมีมารยาท

                “แต่ข้ามั่นใจว่าเป็นเจ้า” ลูเธอร์ชี้นิ้วมายังชายหนุ่มตรงๆ แววตาแฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยม “แล้วเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธภารกิจนี้ด้วย”

                “ทำไมข้าจะปฏิเสธไม่ได้” วิลเลียมท้าทาย

                “เหตุผลอย่างที่หนึ่ง” พูดพร้อมชูนิ้วชี้ขึ้น “ถ้าหากว่าข้าไม่มีลูกชายมาสืบทอดตำแหน่งรัชทายาท เสด็จพี่ถึงจะปฏิเสธอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายถ้าข้าเป็นอะไรไปก็ต้องจำใจขึ้นครองราชย์อยู่ดีในฐานะสายเลือดใกล้ชิดและมีความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น คนที่จะได้เป็นรัชทายาทและมีสิทธิ์จะได้เป็นพระราชาต่อไปก็หนีไม่พ้นเจ้า

                วิลเลียมเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที ให้เป็นพระราชาแบกรับปัญหาของคนทั้งอาณาจักรนั่นหรือ สู้สั่งประหารชีวิตเขาเสียยังยินดียอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานกว่าเลย

                แต่ไม่แน่บางทีเมื่อถึงตอนนั้นท่านพ่ออาจจะต้องแต่งงานใหม่และมีลูกอีกหลายคน...

                “คนอย่างเสด็จพี่ก็คงไม่คิดอยากแต่งงานมีลูกใหม่เสียด้วยสิ” ลูเธอร์เปรยขัดขวางทางออกของเขาประหนึ่งรู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไร “ข้าในตอนนี้ยังบังคับเขาไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าพอเขาขึ้นเป็นพระราชาจริงๆ แล้วพวกขุนนางจะใช้อำนาจบีบเขาได้หรือ”

                “ไม่มีทาง...” ชายหนุ่มพลั้งปากตอบออกมา ด้วยทราบความรั้นของพ่อตนดี

                พระราชาแย้มยิ้มกว้าง ชูนิ้วกลางขึ้นอีกนิ้ว พลางกล่าว

                “ข้อสอง เจ้าติดเงินข้าอยู่... เท่าไหร่นะ” ทรงหันไปถามพระราชินีที่ประทับอยู่ด้านข้าง

                “สัปดาห์ละสิบสองเหรียญสอง ทั้งหมดยี่สิบสี่สัปดาห์ รวมสัปดาห์นี้ที่เพิ่งให้ไปด้วยก็เป็นยี่สิบห้า สิบสองคูณยี่สิบหน้าได้เท่ากับสามร้อยเหรียญทองเพคะ” พระนางแจกแจงอย่างละเอียด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทรงมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีและสติปัญญาเฉียบแหลมเพียงใด ชาวลูซแวร์มีน้อยคนนักที่จะคำนวณเลขได้รวดเร็วเช่นนี้

                “เจ้าติดเงินข้าอยู่สามร้อยเหรียญทอง” พระราชาว่าใหม่อีกครั้ง “จะให้ค่าอธิบายไหมว่าเป็นค่าอะไร”

                “ไม่ต้องหรอก” วิลเลียมปฏิเสธ ตอนนี้ก็สรุปได้แล้วว่าถุงเงินลึกลับเหล่านั้นมาจากลูเธอร์นี่เอง

                “ข้าจ่ายค่าเหนื่อยให้เจ้าไว้ล่วงหน้าน่ะ” ถึงบอกว่าไม่ต้องการคำตอบ แต่ก็ยังทรงมีน้ำพระทัยดี ตรัสอธิบายให้เสร็จสรรพ “ถ้างานสำเร็จก็ยังคงมีเงินรายสัปดาห์ให้ต่อไปอีก ถือเป็นบำเหน็จตอบแทน สหายอดีตโจรสลัดที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนใช้ของเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบาก”

                ...อย่าได้เอาไฮเดนมาใช้ขู่ข้านะ อยากจับมันไปเข้าตารางก็จับไปเลย...

                วิลเลียมร่ำร้องอยู่ในใจพลางส่งกระแสจิตผ่านนัยน์ตาแวววับออกไป

                ประหนึ่งจะรับสารล่องหนนั้นได้ ลูเธอร์เพียงกระตุกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย และไม่เอ่ยอะไรถึงไฮเดนต่อ

                “เหตุผลของท่านหมดแล้วใช่ไหม” วิลเลียมถาม

                “ถ้าหลักๆ ก็หมดแล้วล่ะ” พระราชายอมรับโดยง่ายดาย พลางเอานิ้วลง “แต่ถ้าเจ้าอยากได้รางวัลอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ก็บอกมาได้ ที่จริง...ตอนนี้ก็ถือว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากข้าเป็นรางวัลอย่างหนึ่งแล้ว”

                ...ยอมรับรึ...ต้องการใช้งานมากกว่าล่ะไม่ว่า...

                ชายหนุ่มแค่นยิ้ม

                “ว่าอย่างไรวิลเลียม เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกนะ”

                มาถึงตอนนี้แล้วถ้าจะมีทหารมาตั้งขบวนอยู่นอกประตูเพื่อเตรียมใช้กำลังบังคับเขาอีกทางหนึ่งหากเขายังไม่ยอมจนด้วยเหตุผลทั้งหลายที่ยกมา วิลเลียมก็ไม่แปลกใจเลย คนตรงหน้าช่างน่ากลัวสมกับเป็นพระราชา เหลี่ยมจัดไม่ต่างกันทั้งพี่ทั้งน้อง

                “งานสบาย เงินดีอย่างนี้ ข้าย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วขอรับ” วิลเลียมโค้งให้ พยายามคุมตัวเองอย่างเป็นที่สุดไม่ให้แสดงออกแบบประชดประชันมากเกินไป แต่กระนั้นใจหนึ่งก็อยากประชดให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาไม่กลัวเสียจริง

                “ข้ารู้ว่าไว้ใจเจ้าได้ เจ้าเป็นนักล่าเงินรางวัลที่มีเสียงชื่อออกขนาดนั้น”

                ยังรู้อีกว่าท่านี้เป็นท่าที่เขาใช้รับงานจากนายจ้างบางคน... จริงสินะ เขาควรจะลงท้ายว่า พะย่ะค่ะ มากกว่า ขอรับ

                “ถ้าอยากได้ความช่วยเหลืออันใดเพิ่มเติม ก็ติดต่อบอกเสด็จพี่หรือข้ามาได้” เฟลิเซียกล่าวบ้าง

                “ข้าขอแค่ความสะดวกในการเข้าออกพระราชวัง และความร่วมมือจากเหล่าข้าราชการหากข้าต้องการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมก็พอแล้ว ข้อมูลที่พวกท่านมี ก็คงบอกข้ามาหมดแล้วกระมัง”

                พระราชินีพยักพระพักตร์ ขณะเดียวกันพระราชาก็ทรงรับปากว่า

                “ได้สิ ข้าจะสั่งการลงไปให้”

                “ถ้าเช่นนั้นก็คงหมดเรื่องแล้ว ข้าขอตัวลาก่อนล่ะข...พะย่ะค่ะ” ครั้งนี้วิลเลียมกดลิ้นตัวเองได้ทัน ก่อนจะหลุด ขอรับอีกคำไป

                เขาถวายบังคับลา แล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากวังทันที ...ควรรีบออกไประบายอารมณ์เดือดที่อื่น ก่อนที่จะสร้างความเสียหายให้ที่อยู่ของพวกคนน่ากลัวเหล่านั้น

     

                เมื่อร่างสูงของชายหนุ่มหายลับไปที่หลังกำแพงแล้ว เฟลิเซียก็กล่าวกับพระสวามีว่า

                “คำทำนายบอกว่า พวกเราจะได้พันธะแห่งดาเรนไลน์กลับคืนมาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวิลเลียมด้วยนะเพคะ ข้ายังไม่แน่ใจว่าไปบังคับเขาเช่นนี้แล้ว เจ้าตัวจะยินยอมช่วยพวกเราจริงๆ หรือเปล่า”

                พระนางมั่นใจว่าคนในคำพยากรณ์ต้องเป็นวิลเลียมไม่มีผิดพลาด หากก็ยังไม่แน่ใจนักว่าวิธีการที่ใช้จะถูกต้องไหม

                “เจ้าอย่าห่วงไปเลย” ลูเธอร์ปลอบ ก่อนอธิบายเสริมว่า “การบังคับเช่นนี้เป็นวิธีที่มีสิทธิ์สัมฤทธิ์ผลได้รวดเร็วที่สุดแล้วในยามนี้ หากจะใช้ไม้อ่อนกับวิลเลียมต้องใช้เวลามากกว่าที่ควร ทั้งยังจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากเสด็จพี่ด้วย”

                “พวกเขายังไม่คืนดีกันอีกหรือเพคะ” พระราชินีตรัสถาม

                “ก็ยังดูคลุมเครืออยู่ แต่คงไม่แย่เท่ากาลก่อนแล้ว” พระราชาทรงตอบเรียบๆ แล้ววิเคราะห์ต่อไปว่า “เจ้านั่นก็นิสัยคล้ายท่านพี่เหลือเกิน ยากนักที่จะมีใครบังคับได้ หากบีบด้วยเหตุผลอันไม่สมควรมากเกินไปก็จะคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ คาดเดาไม่ได้ว่าจะลงมือทำอะไรต่อไปบ้าง”

                “ถ้าอย่างนั้น ที่พวกเราวางแผนมาทั้งหมด...”

                พระนางยังกล่าวไม่ทันจบ อีกคนก็พูดแทรกขึ้นว่า

                “พวกเราตระเตรียมการกันมานานแล้ว ข้าคิดว่าใช้อำนาจบังคับเท่านี้กำลังดี เหมาะสมดีแล้ว และเจ้านั่นก็รับปากว่าจะช่วยพวกเราด้วยนี่ เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินเหตุไปเลย” ทรงย้ำเตือนคำเดิม แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้คนข้างตัว

                เฟลิเซียเห็นรอยยิ้มนั้นของลูเธอร์แล้วก็คลายใจลง ขานรับเบาๆ ว่า

                “...เพคะ”

                หากแต่มนุษย์กำหนดหรือจะสู้ฟ้าลิขิตได้ ทั้งราชาและราชินีแห่งดาเรเนียไม่ทรงล่วงรู้เลยว่า เวลาแห่งการตัดสินใจของวิลเลียมยังเดินทางมาไม่ถึง

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×