ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #32 : - การสอบ - "เจ้ามันขี้โกง"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      2
      14 ก.พ. 54

    - การสอบ -

    “เจ้ามันขี้โกง”

     

                การสอบครั้งสำคัญของเหล่านักเรียนแห่งโรงเรียนทหารหลวงดำเนินมาถึง

                นี่ย่อมมิใช่การสอบวัดระดับหรือประเมินผลความก้าวหน้าทั่วๆ ไป เพราะการสอบครั้งนี้จะเป็นการชี้ชะตาว่าอนาคตของแต่ละคนจะได้ไปทำงานประเภทไหน

                ช่วงเช้านั้นเป็นการทดสอบทักษะอาวุธทั้งห้า อันได้แก่ ดาบ ทวน หอก โล่ และธนู ตามหลักมาตรฐานของเหล่าทหาร พอมาถึงช่วงบ่ายจึงจะเป็นการประลองเพื่อพิจารณาความสามารถทั้งหมดในภาพรวม

                เสียงอาวุธหนักทั้งหลายตัดผ่านอากาศ...ดังขึ้น...และสิ้นสุดลงไประยะหนึ่งแล้ว

                ตอนนี้ผู้เข้าทดสอบต่างออกมายืนที่สนามกว้างด้านนอก เพื่อทดสอบความแม่นยำในการยิงธนู หลังจากนั้นก็จะมีพิธีปิดการสอบในครึ่งแรกตามธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งถือเป็นการทดสอบไปในคราด้วย

                ...ง้างธนูสุดศอก ส่งลูกดอกขึ้นฟ้า โลดลิ่วไปสุดสายตา ประหนึ่งหมายจะทะยานเมฆ ปลิดดวงตะวัน...

                นี่เป็นท่วงท่าของวีรบุรุษผู้พิชิตชัยเหนือสัตว์อสูรแห่งท้องนภาในอดีต

                ขนนกประดับก้านไม้ยาวล่องลอยเต็มฟ้า... ก่อนตกลงตามแรงดึงดูดของพื้นพสุธา...

                ศรที่ไปได้ไกลที่สุดก็หนีไม่พ้นศรของเด็กชายผมเงินตามที่ทุกคนคาดคิดไว้ มันแล่นไกลออกนอกสนามไปสุดขอบกำแพง และบางทีหากที่นี่เป็นทุ่งโล่ง หาใช่อยู่กลางนคร ศรนั้นอาจไปได้ไกลกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ

                เสียงขานบอกระยะทางที่ได้ของศรดอกที่หายากที่สุดนี้เป็นสัญญาณบอกการสิ้นสุดการทดสอบยิงธนูระยะไกลอันเป็นการทดสอบสุดท้ายในภาคเช้า

                แม้จะไม่มีการประกาศคะแนนรวมออกมาให้ได้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ฝีมือของไลนัสก็ยังข่มขวัญทุกคนให้ไม่อยากเผชิญหน้ากับเขาในตอนบ่ายนี้ได้ชะงัดนัก

     

                “วิลเลียม เจ้าเหม่อมองอะไรอยู่ รีบไปกินข้าวกันเถอะ” แดเนียลเอ่ยปากชวนเพื่อน

                เด็กชายผมน้ำตาลกำลังหรี่ตามองเด็กชายผมเงินที่คล้องธนูเก็บไว้กับตัว แล้วแยกเดินไปกับเด็กอีกกลุ่มหนึ่ง วิลเลียมกำลังใคร่ครวญว่าจะทำอย่างไรถึงจะเอาชนะไลนัสในการประลองได้ จนเสียงเรียกของเพื่อนผ่านเลยไป

                “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

                คราวนี้คำถามของแดเนียลประสบผล วิลเลียมได้ยินแล้ว แต่ก็ตอบออกมาไม่ตรงความจริงนักว่า

                “ข้ากำลังคิดว่า ไลนัสตอนยิงธนูนี่เท่จริงๆ ข้าอยากยิงธนูให้ได้อย่างนั้นบ้าง” กล่าวจบก็หันกลับมาคลี่ยิ้มบอก “ไปกินข้าวอย่างที่เจ้าว่าเถอะ”

                แดเนียลคิดว่าแปลกดีเหมือนกันที่วิลเลียมจะเอ่ยชมไลนัสเช่นนี้ แต่พอย้อนนึกภาพไลนัสกับธนูแล้วก็คงไม่มีใครเทียบเขาได้จริงดังว่า คิดแล้วก็อดนึกดีใจที่เพื่อนเหมือนจะลดอคติที่มีต่อคู่แข่งลงไปได้ ทว่าก็ยังเป็นห่วงอยู่

                “ถึงความสามารถทางด้านธนูของไลนัสจะมาเป็นที่หนึ่งก็จริง แต่ว่า การทดสอบช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าก็ทำได้ดีทีเดียวไม่ใช่หรือ โดนเฉพาะอาวุธดาบน่ะ ข้าคิดว่า เจ้าสูสีกับไลนัสเลยนะ ถ้าแค่แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ในช่วงบ่ายก็คงสบายอยู่แล้ว”

                วิลเลียมฟังคำให้กำลังใจนั้นแล้วรู้สึกบอกไม่ถูก เพราะถึงคำชมจะมาจากใจจริงแต่คนที่ชมก็ใช้ทั้งดาบและธนูได้ดีพอๆ กับเขา อีกทั้งถ้าเป็นอาวุธประเภทหอกหรือทวนแล้ว แดเนียลก็รั้งอยู่อันดับต้นๆ ไม่จำเป็นต้องไปเทียบกับไลนัส แต่วัดกับเพื่อนคนนี้ เขาก็ไม่มีอะไรเก่งกว่าแล้ว ต่อให้เขาพยายามเต็มที่จริงๆ ด้านอาวุธหนักคงไม่อาจสู้แดเนียลได้

                กระนั้นเขาก็ยังคงยิ้มรับ

                “นั่นสิ ถ้าแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ก็พอแล้วนี่นา”

                หากในใจก็ยังรู้ดีว่า คู่ต่อสู้ที่เขาต้องเจอ คงไม่ยินยอมปล่อยให้เขาชนะไปโดยง่ายเป็นแน่

                ปัญหาอีกอย่างที่วิลเลียมกำลังกังวลและไม่ได้เปิดเผยออกไปก็คือ เขายังคุมพลังของตัวเองได้ไม่ดีเท่าที่ควร หากปลดคำสาปออกแล้ว ก็ไม่แน่ว่าความสามารถจะกระโดดขึ้นมากจนเกินไปหรือไม่

                ...แต่ข้าก็เก่งขึ้นแล้วนี่...

                เด็กชายมองฝ่ามือตัวเองที่หยาบกร้านขึ้นกว่าเก่าหลายเท่านัก แล้วจึงกำมือนั้นแน่น ก่อนตัดสินใจว่าจะลองพยายามสู้ในสภาพนี้ดู

     

                การทดสอบในช่วงบ่ายดำเนินมาถึงอย่างรวดเร็ว

                แม้จะเป็นการสุ่มเลือกคู่ประลอง แต่คนที่วิลเลียมต้องเผชิญก็หนีไม่พ้นไลนัสอย่างที่คาด

                ตั้งแต่ประกาศลั่นคำไปว่า จะมาประจันหน้ากับอีกฝ่ายในชั้นเรียนหรือในสนามประลองแทนการส่งคนมากลั่นแกล้งลับหลัง ไลนัสก็รักษาคำพูดตามนั้นเป็นอย่างดีจนทุกคนสังเกตเห็นได้ ยามที่อาจารย์เรียกให้ออกไปช่วยสาธิตอะไรหน้าชั้นก็มักจะให้วิลเลียมเป็นคู่มือคอยรับกระบวนท่าอันรุนแรงของตน ยามสอบก็เช่นกัน

                วิลเลียมไม่แน่ใจว่าเด็กชายผมเงินอาศัยเล่ห์เพทุบายใดกำหนดให้เป็นเช่นนี้ได้ ทว่าเขาก็เป็นคนเลือกที่จะท้าทายเอง ดังนั้นก็จำต้องยอมรับ

                ผลแพ้ชนะของการประลองที่จริงก็ใช่จะมีความหมายถึงขั้นตัดสินชะตาชีวิตได้ เนื่องจากบรรดาอาจารย์เพียงแค่อยากดูความสามารถจริงๆ ของลูกศิษย์ว่ามีอยู่มากเพียงใดโดยอาศัยการประลองเป็นเครื่องมือ ถ้ามีความสามารถจริงและทำคะแนนมาดี แต่พลาดพลั้งพ่ายแพ้ในการประลองไปก็ยังมีสิทธิ์ได้ศึกษาต่อในข่ายงานที่ต้องการอยู่ ทว่าผลลัพธ์ก็หาใช่สิ่งที่จะละทิ้งเพิกเฉยไปได้เสียทีเดียว

                ระบบข้าราชการทหารของดาเรเนียเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน มีการแบ่งแยกหน้าที่การทำงานออกเป็นฝ่ายต่างๆ มากมาย ทั้งองครักษ์ มหาดเล็กหลวง กรมการปราบปราม ทหารป้องกันดินแดน หน่วยล่าสัตว์อสูร ฯลฯ ถึงแม้ว่าตำแหน่งหรือสังกัดต่างๆ เหล่านี้จะสามารถโยกย้ายเปลี่ยนแปลงได้ในภาคหลัง ทว่าการได้ไปฝึกในที่ที่ต้องการตั้งแต่ต้นก็ช่วยยืนยันความมั่นคงและก้าวหน้าได้ดี

                วิลเลียมนั้นอยากเป็นทหารองครักษ์ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวบอกว่า งานสบาย เงินดีขยายความขึ้นมาอีกนิดก็คือ วันๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เดินตามพวกเจ้านายในวัง ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตออกไปปราบสัตว์อสูรที่ไหน อีกทั้งเขายังมีตำแหน่ง ท่านชายคอยคุ้มหัวอยู่อีก เกิดมีภัยร้ายแรงอะไรขึ้นมาจริง คนอื่นคงต้องคอยปกป้องเขามากกว่าจะมาให้เขาไปช่วยปกป้อง

                ทว่างานนี้ก็ถือเป็นการที่มีเกียรติ ต้องฝึกหนัก มีกฎระเบียบเคร่งครัด เป็นที่หมายปองของหลายๆ คน และหลายๆ คนที่ว่านั่นก็ยังเป็นพวกที่คร่ำครึ มีความคิดไม่ค่อยเหมือนกับเขาอยู่ด้วย เพื่อจะให้ได้ตำแหน่งอันเป็นที่ยอมรับมา เขาจึงต้องทุ่มเทฝ่าฟันไป

                ส่วนไลนัส...คู่ต่อสู้ของเขานั้น เขาไม่เคยได้ยินว่าอีกฝ่ายอยากเป็นอะไร และไม่คิดจะขวนขวายอยากรู้ เพราะไม่ว่าจะเลือกเป็นอะไร เส้นทางของไลนัสก็เหมือนจะมีคนปูพรมแดงโรยกลีบกุหลาบรอรับอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าปากเสีย ชอบทำกร่างไปหน่อย ทหารหน่วยไหนก็คงอยากรับเด็กชายผมเงินเข้าเป็นสมาชิก

                วิลเลียมได้ประลองกับไลนัสเป็นคู่สุดท้าย และก็เป็นคู่ที่เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนจะสนใจอยากจับตาดูถึงขั้นมีเปิดพนันแทงผลกันอย่างลับๆ ด้วย

                เด็กชายทำเป็นไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เขาไปจดจ่อกับการประลองคู่อื่นๆ ก่อนถึงคราวของตนแทน เผื่อบางทีอาจจะลักจำกลยุทธพลิกแพลงใดๆ มาใช้ได้บ้าง

                น่าประหลาดที่เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือกลัวอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น ต่อจะให้ได้ยินอัตราต่อรองที่ต่างกันหลายเท่าของวงพนันแว่วมา หรือมองไปเห็นไลนัสเองก็นิ่งมาก และไม่มีแผนการพิชิตอีกฝ่ายอยู่ในหัวเลยก็ตาม วิลเลียมก็ยังคงคิดแต่เพียงว่า แค่ออกไปพยายามให้เต็มที่ก็พอแล้ว

                ถึงแพ้ไป...โลกก็ใช่จะสิ้นสุดลง ถึงพ่ายก็ยังมีทางเลือกอื่นให้เดินต่อ... ทว่าถ้าแพ้...เขาก็จะทำให้คนอื่นที่ภูมิใจในตัวเขาต้องผิดหวัง...

                วิลเลียมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ดังนั้นต่อให้ส่วนลึกๆ ในจิตสำนึกจะรู้ว่าแพ้ไปก็ไม่เป็นไร เขาก็ยังคงปลุกปลอบใจตัวเองว่า ห้ามแพ้เด็ดขาด

                และแล้วเวลาแห่งการประลองคู่สุดท้ายก็ล่วงลุมาถึง...

     

                กติกาการประลองคงยังเป็น ประลองครั้งเดียว อาวุธเพียงสัมผัส เช่นเดิม

                ไลนัสเลือกใช้ดาบยาวเป็นอาวุธ ความยาวของดาบนั้นดูจะเกินตัวเด็กชายที่ยังโตไม่เต็มที่ไปบ้าง แต่เมื่ออาวุธอยู่ในมือของเขาแล้วก็แลมั่งคงเหมาะสมดี ส่วนวิลเลียมก็ใช้ดาบขนาดกลางยาวพอดีตัวที่ใช้ฝึกประจำ ศาสตราของทั้งสองฝ่ายดูสูสี ไม่มีใครคิดจะทุ่มทุนหาซื้ออาวุธวิเศษมาสร้างความได้เปรียบให้แก่ตนซึ่งก็เป็นที่ผิดคาดของหลายๆ คน เพราะผู้ปกครองของสองคนนี้น่าจะมีกำลังทรัพย์พอจะสนับสนุนลูกได้สบายๆ อยู่แล้ว

                “อาวุธเจ้าดูธรรมดาดีนี่ ข้านึกว่าเจ้าจะไปหาดาบในตำนานมาใช้สู้กับข้าเสียอีก” ไลนัสกล่าวเย้ยหยันก่อนเริ่มประลอง ยามนี้เขาและวิลเลียมยืนประจันหน้ากันที่คนละฟากสนาม

                “พอดีข้ารู้ว่าเจ้าจะใช้อาวุธธรรมดาก็เลยเอาอาวุธธรรมดามาใช้บ้าง” วิลเลียมย้อนกลับ สีหน้าไม่นำพาการกระทบกระแทรกของอีกฝ่ายแต่อย่างใด “แล้วเจ้าก็รู้ด้วยว่า เจ้าจะบอกว่า คนอย่างข้า ลำพังแค่อาวุธธรรมดาก็เอาชนะได้ไม่ยากแล้ว”

                วาจานั้นทำเอาไลนัสอึ้งไปชั่วขณะ...

                ไอ้หมอนี่ก็แค่ต้องการจะข่มขวัญ ทำเป็นเดาความคิดเขาได้ แต่จริงๆ แล้วไม่รู้อะไรหรอกน่า...

                เด็กชายผมเงินเหยียดยิ้ม

                “รู้ตัวก็ดีแล้ว...”

                กรรมการสนามไม่ปล่อยให้เด็กทั้งสองทำสงครามคารมกันอีกต่อไป รีบออกปากห้ามเตือน ก่อนให้สัญญาณเริ่มการประลองทันที

                เด็กชายทั้งสองวิ่งเข้ามาปะทะดาบกันที่ตรงกลางสนาม คมอาวุธกระทบกัน บังเกิดเสียงดังต่อเนื่อง

                ไลนัสโถมใช้แรงและน้ำหนักของดาบที่เหนือกว่าเข้าสู้ กดดันจนวิลเลียมต้องเป็นฝ่ายตั้งรับปิดป้องเสียมาก กระนั้นเจ้าของดาบขนาดกลางก็ยังไม่เปิดช่องโหว่ให้โจมตีโดยง่าย

                เสียงโลหะกระทบกันดังถี่ๆ ปลายอาวุธฉวัดเฉวียนไปมา เงาจากใบดาบสะท้อนแสงวูบวาบ

                ทั้งคู่ต่างงัดเอาทักษะที่ล่ำเรียนมาออกมาแสดงอย่างไม่ลดละ เพื่อนๆ ชมดูก็พากันตื่นตาตื่นใจไปด้วย

                วิลเลียมรอคอยจังหวะที่ไลนัสเริ่มล้าแล้วเปลี่ยนมาใช้ความเร็วเข้าจู่โจมแทน คราวนี้เขาจึงได้เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง

                ทว่าที่จริงแล้วกำลังของไลนัสหาใช่จะตกลงอย่างที่คิดแสดงออกให้เห็น เขาจงใจแสร้งว่าเป็นเช่นนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายหลงกลต่างหาก แม้จะวัดกันที่ความเร็ว ดาบยาวของไลนัสก็ยังคงสูสีกับอาวุธที่เบากว่าของวิลเลียม เพียงพริบตาก็โต้กลับ ชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งความเร็วและพละกำลัง

                ไลนัสก้าวเท้ารุกคืบเข้ามา ฟาดศาสตราในมือลงปะทะกับดาบของคู่ต่อสู้เต็มแรง

                วิลเลียมไม่ทันตั้งตัวกับการโต้ตอบอย่างเฉียบพลันของไลนัส รู้สึกว่าการโจมตีครั้งนี้หนักข้อกันกว่าจะรับไหว ไม่อาจประครองอาวุธคู่กายให้รั้งอยู่ในมือได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากฝืนเอาไว้แล้วไม่แขนก็มือของเขาคงต้องมีอันเป็นไปที่เลวร้ายยิ่งกว่า

                อาวุธหมุนเคว้งหลุดออกจากมือไปกระแทกลงดิน...

                เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนจะชี้ชัดว่าเด็กชายผมเงินเป็นฝ่ายชนะ เพื่อนฝูงเริ่มพากันโห่ร้องยินดีสุดเสียง ทว่าเมื่อไลนัสจะเอาปลายดาบไปจ่อที่อกของฝ่ายตรงข้าม กลับพบว่าเป้าหมายได้หนีไปตั้งหลักในระยะที่ไกลจากคมอาวุธของเขาเสียแล้ว

                แค่ชั่วจังหวะที่เขาหันไปดูว่าดาบที่หลุดออกจากมือไปจะทำร้ายใครหรือไม่ วิลเลียมสามารถฉกฉวยใช้เอาตัวรอดไปได้ และยังไม่สนใจว่าดาบจะกระเด็นไปโดนผู้ใด ราวกับคำนวณได้เรียบร้อยแล้วว่ามันจะไปลงที่ตำแหน่งไหน...

                นัยน์ตาสีน้ำเงินมองตรงมายังไลนัสอย่างแน่วแน่

                “ข้ายังไม่แพ้ อย่าเพิ่งได้ใจไป” วิลเลียมประกาศ พร้อมชักมีดสั้นที่พกไว้กับตัวออกมาถือ

                กติกาไม่ได้ห้ามใช้อาวุธหลายชนิดหรือเปลี่ยนอาวุธในการประลอง ทว่าพฤติกรรมกล้าบ้าบิ่นที่จะเอามีดเล่มเล็กมาท้าสู้กับคนถือดาบยาวก็เรียกเสียงฮือฮาจากคนรอบข้างไม่น้อย

                มีดมีช่วงระยะจู่โจมที่แคบกว่าดาบ ถ้าจะใช้สู้ก็ต้องอาศัยความว่องไวที่เหนือกว่าศัตรูหลายเท่า

                วิลเลียมรู้ดีกว่าโอกาสชนะด้วยอาวุธนี้แทบไม่มีเลย ...แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อยากแพ้

                เด็กชายไม่รีรอปฏิกิริยาตอบรับจากคู่ต่อสู้ โถมใช้ความเร็วที่มีอยู่วิ่งเข้าใส่ไลนัส

                ไลนัสวาดวงรัศมีสีเงินด้วยอาวุธออกป้องกัน

                วิลเลียมกระโดดหลบ หากใช่จะหลบเพียงอย่างเดียว เขาอาศัยใบดาบนั้นเป็นที่พักเท้ากลางอากาศ แล้วใช้เป็นฐานส่งตัวตีลังกาอ้อมไปที่ด้านหลังของฝ่ายตรงข้าม

                ...ภาพนั้นแลดูน่าเหลือเชื่อในสายตาของทุกคนที่มองดูอยู่ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้ ไม่มีใครคิดว่ามนุษย์ทั่วไปจะเคลื่อนไหวด้วยสมดุลดีเช่นนั้นได้...

                ไลนัสเสียจังหวะไปเพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาบนดาบ แทบจะเซลงตามปลายอาวุธจรดลงพื้นไปด้วย แต่พอรู้ตัวเขาก็รีบดึงมันกลับ ตั้งดาบป้องกันตัวจากคมมีดที่กำลังจะแทงเข้ามา

                มีเสียงประหลาดดังขึ้นเมื่อโลหะในมือทั้งสองฝ่ายกระทบกัน

                ไลนัสรู้สึกว่ามีความร้อนลวกมือจนต้องคลายมือออกจากด้ามอาวุธ ดาบตกลงพื้นอย่างเหนือความคาดหมาย มีดเล็กๆ นั่นไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้

                วิลเลียมเองก็แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ฉวยโอกาสเข้าประชิดโจมตีไลนัสในตอนนั้น

                ครั้นพอได้สติอีกที ไลนัสก็รีบกวาดเท้าสร้างฝุ่นที่พื้นใส่วิลเลียม พร้อมกันนั้นก็ตวัดดาบขึ้นมาถือไว้อีกที ก่อนออกอาวุธตัดเข้าใส่อีกฝ่าย ประหนึ่งว่าเรื่องเสียหน้าเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

                กว่าวิลเลียมจะรู้ตัวก็ต้องใช้มีดในมือต้านรับคมอาวุธของคู่ต่อสู้อย่างยากลำบากแล้ว

                ทว่าตอนที่คมโลหะทั้งสองกระทบกันอีกครั้งนั้น แทนที่มีดสั้นของเขาจะถูกฟาดจนกระเด็นหลุดออกจากมือด้วยต้านทานแรงโจมตีไม่ไหว กลับเป็นไลนัสเสียอีกที่มือและแขนชาด้าน หยุดชะงักการเคลื่อนไหวไป

                คราวนี้แม้จะยังคงแปลกใจ วิลเลียมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอยไปอีก มีดสั้นย้ายมาจ่อที่คอหอยของคนที่ยังยืนค้างท่าเดิมอย่างรวดเร็ว

                คนที่ชมดูอยู่ ณ ที่แห่งต่างพากันอ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น วิลเลียมต้องส่งสายตาไปไตร่ถามกรรมการเพื่อเร่งให้เขาประกาศว่าตนเป็นฝ่ายชนะ ทว่าก่อนที่คำตัดสินจะถ่ายทอดออกมานั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นแทรกก่อน..

                “เจ้ามันขี้โกง!” ไลนัสกล่าวหาทันทีที่ขยับตัวได้ ไม่เกรงกลัวอาวุธที่จ่ออยู่ใกล้เพียงปลายเล็บแต่อย่างใด “มีดสั้นนี่มีพลังประหลาด ข้าไม่ยอมรับผลการประลอง!

                คนอื่นได้ยินไลนัสพูดเช่นนั้นก็หันมารับฟัง การต่อสู้ที่ผ่านมาดูมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงๆ

                “พลังประหลาดที่เจ้าว่าเป็นอย่างไรหรือ” อัลเฟรด อาจารย์สอนวิชาดาบ ผู้เป็นกรรมการตัดสินที่มีอำนาจมากที่สุดลุกขึ้นจากที่นั่งชมข้างสนาม แล้วถามผู้เป็นศิษย์

                “ตอนแรกเหมือนเป็นความร้อน” ไลนัสบอก “ต่อมาก็เหมือนมีสายฟ้าแล่นสู่ร่าง”

                “อืม...” อัลเฟรดส่งเสียงในลำคอขณะพิจารณา “ไม่ใช่ฤทธิ์ของอาวุธธาตุทั่วไป เพราะอาวุธสังกัดธาตุมีได้เพียงธาตุใดธาตุหนึ่ง และก็ยากที่จะส่งพลังธาตุที่มีต่อไปเพียงแค่อาวุธกระทบกัน อาวุธธาตุใช้สร้างความเสียหายเมื่อโจมตีถูกตัวเสียมากกว่า... แต่ข้าเคยได้ยินถึงมีดสั้นวิเศษที่มีความสามารถเหนือล้ำกว่าอาวุธธาตุธรรมดาอยู่ เพียงแต่ว่ามันหายสาบสูญไปพร้อมกับการตายของเจ้าของเดิมยังมันแล้ว...” ว่าแล้วก็หันมาทางวิลเลียม เอ่ยถาม “ข้าขอยืมมีดของเจ้าไปตรวจสอบหน่อยได้ไหม วิลเลียม”

                เรื่องชักเริ่มไม่เข้าเค้าสำหรับวิลเลียมแล้ว พวกอาจารย์ส่วนใหญ่มักเข้าข้างไลนัสอยู่เสมอ แม้แต่อาจารย์อัลเฟรดที่ดูจะยุติธรรมและวิลเลียมก็ให้ความนับถืออยู่มากก็ตาม ถ้ายังไม่มีคำตัดสินว่าเขาเป็นฝ่ายชนะ ทุกอย่างก็ยังไม่น่าไว้ใจ

                “นี่ยังอยู่ในระหว่างการประลอง ตัดสินก่อน แล้วค่อยคุยกัน” วิลเลียมว่า ในสภาพการณ์เช่นนี้เขาน่าจะเป็นผู้ชนะแล้ว

                “การประลองสิ้นสุดแล้ว พวกเจ้าลดอาวุธลงได้”

                เมื่ออาจารย์วิชาดาบบอกดังนั้น เด็กชายทั้งสองจึงยอมทำตาม แม้สายตาจะยังจ้องมองกิริยาอีกฝ่ายอย่าไม่อาจไว้ใจได้สนิท

                “...ทว่าผลการประลองเป็นอย่างไร ข้าต้องพิจารณาดูอีกที” อัลเฟรดกล่าวต่อ พลางก้าวเท้าเข้ามาในสนาม สายตาเพิ่งมองไปที่มีดในมือของวิลเลียม

                แย่ละ...  หลงกลไปแล้ว...

                วิลเลียมเพิ่งรู้ตัวว่าติดกับเข้าให้เมื่ออัลเฟรดกล่าวประโยคนั้น อาจารย์บอกแค่ว่าการประลองสิ้นสุด แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเขาชนะ เขาเองก็นึกเข้าข้างตนเองไปว่าคงหมายความเช่นนั้นแล้ว คิดแล้วก็กำมีดในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว...

                “มีดที่เจ้าใช้นั่นมีความวิเศษดังที่ไลนัสว่าหรือเปล่า วิลเลียม” อัลเฟรดถาม

                มีดสั้นนี้ก็เป็นของที่แคสซานดราให้มาเมื่อวันก่อนนี้เอง ต่อให้มีความวิเศษจริงดังกว่า แต่กติกาก็ไม่ได้ระบุห้ามไม่ให้ใช้อาวุธวิเศษเสียหน่อย

                “กติกาไม่ได้บอกว่าห้ามใช้อาวุธวิเศษ...” เจ้าของมีดอ้าง จงใจเลี่ยงจะตอบคำถามโดยตรง

                “แต่เจ้าบอกตอนแรกว่าเจ้าจะใช้เพียงอาวุธธรรมดา” ไลนัสเถียง

                “นั่นข้าหมายถึงดาบ” วิลเลียมชี้ไปที่ดาบของเขาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น “ไม่เกี่ยวกับมีดนี่ อีกอย่าง กติกาก็ไม่ได้บอกว่าห้ามใช้กลยุทธลวงคู่ต่อสู้ด้วย”

                “เฮอะ! เจ้าเรียนที่นี่เสียเปล่า แต่กลับไม่มีศักดิ์ศรีของนักรบเอาเสียเลย” ไลนัสแค่นเสียงด่าใส่

                “ข้าแค่อยากขอยืมมีดของเจ้าไปตรวจสอบเล็กน้อยเท่านั้นเอง” อัลเฟรดชิงบอก ขัดขวางการโต้กลับของวิลเลียมได้ทันท่วงที

                “...แล้วท่านจะเอาไปตรวจสอบเพื่ออะไร” เด็กชายถามเสียงแข็ง ในยามนี้เขาไม่ไว้ใจคนเป็นอาจารย์แม้แต่น้อย การแสดงออกทั้งหลายจึงไม่หลงเหลือความเคารพแต่อย่างใด

                “พอดีมีดวิเศษที่ข้าพูดถึงเคยเป็นของสหายเก่าของข้า แต่เขาเสียชีวิตไปแล้ว” อาจารย์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังอ่อนโยน “เผื่อถ้าเป็นเล่มเดียวกัน ข้าจะลองไปสืบหาที่มาของมันดู เพราะเขาตายไปอย่างมีเงื่อนงำ”

                วิลเลียมฟังแล้วก็นึกเห็นใจอาจารย์ขึ้นมาบ้าง แต่พอคิดอีกที มีดนี้เขาได้มาจากแคสซานดรา และรับปากไว้แล้วว่าจะปิดเรื่องของนางเป็นความลับ ถ้าจะสืบหาที่มาของมันจริงๆ อย่างไรเขาก็บอกออกไปไม่ได้

                “มีดของคนตายไปแล้วจะสำคัญอย่างไรเล่า” เด็กชายย้อน ก่อนเดาส่งเดชไป “อาจจะมีคนขโมยมีดแล้วนำออกขายหลังจากที่เขาตายไปแล้วก็ได้นี่ แต่ตอนนี้มีดนี่เป็นของข้า แล้วข้าจะอนุญาตให้ท่านนำไปพิสูจน์อะไรทั้งสิ้น”

                กล่าวจบเขาก็เก็บมีดนั้นคืนสู่ฝักที่แขวนไว้ที่เข็มขัด

                “เจ้าชักจะลามปรามมากไปแล้ว วิลเลียม” พอได้ยินเด็กรุ่นหลังกล่าวถึงสหายผู้จากไปแล้วของตนอย่างไม่ให้ความเคารพเช่นนั้น อัลเฟรดก็อดมีโทสะขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกว่าได้มีดนั้นมาจากไหน ข้าจะถือว่าการประลองระหว่างเจ้ากับไลนัสที่ผ่านมานั้นเป็นโมฆะ เจ้าต้องประลองใหม่อีกครั้ง โดยห้ามใช้มีดนั่นด้วย”

                “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนี้” วิลเลียมประท้วงเสียงดัง “การประลองที่ผ่านมาก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าข้าชนะ ตามกฏของ ประลองครั้งเดียว อาวุธเพียงสัมผัส ชนะแล้วก็คือชนะสิ”

                “เพราะข้าเป็นอาจารย์” คนมีอำนาจตัดสินตอบ “แล้วเจ้าก็ทำตัวมีพิรุธ ไม่ซื่อตรง”

                “เพราะเจ้ามันขี้โกง” ไลนัสผสมโรงด้วยอีกคน

                วิลเลียมฟังแล้วอยากกรีดร้องโวยวาย อยากตะโกนออกไปว่า จะปล่อยเขาโชคดีอย่างคนอื่นบ้างไม่ได้หรืออย่างไร การประลองหลายคู่ที่ผ่านมาก็มีคู่ที่ผลออกมาผิดความคาดหมายด้วยสาเหตุต่างๆ เช่นกัน แต่อาจารย์ก็ปล่อยผ่านไปหมด แล้วทำไมตอนนี้ถึงต้องมาเล่นงานเขาด้วย

                แต่เด็กชายก็ทำได้แค่เพียงกัดฟัน ฉับพลันนั้นหัวสมองก็คิดตริตรอง ดูเหมือนอาจารย์จะปักใจเชื่อไปแล้วว่า มีดสั้นที่แคสซานดราให้เขามาจะเป็นมีดเล่มเดียวกับมีดของสหายของท่าน และก็อยากรู้ความจริงเรื่องนี้มากจนลงทุนขู่เขาเสียขนาดนี้ แต่ถ้าเขาทำให้เงื่อนไขแรกล้มไปก็คงไม่มีปัญหา

                “โธ่เว้ย! ข้ายอมบอกแล้วก็ได้” วิลเลียมทำสีหน้าหงุดหงิด จำใจยอม ก่อนเงยหน้าขึ้นมากล่าวให้ได้ยินทั่วกันว่า “ข้าคิดว่า นั่นคงเป็นเพราะโซของข้าเอง ช่วงที่ผ่านมาข้าฝึกใช้โซกับมีดเล่มนี้”

                ถ้าใช้โซ...ก็ถือว่าไม่ผิดกติกา...

                “โซของเจ้าหรือ” อัลเฟรดนิ่วหน้าสงสัย ตอนแรกเข้าใจไปว่า ลูกศิษย์จะยอมบอกที่มาของมีดแล้วเสียอีก

                “ใช่ ข้าเพิ่งค้นพบโซของตัวเองที่สามารถทำให้ใส่พลังธาตุต่างๆ เข้าไปในอาวุธได้เมื่อไม่นานนี้ แต่ยังใช้ออกได้ไม่คล่องนักหรอก ตอนแรกก็ไม่ได้ยินจะนำมาใช้ในการประลอง เพราะคิดว่าไม่ยุติธรรม แต่ยามคับขันก็เผลอใช้ออกไป ขอโทษด้วยนะไลนัส”

                เมื่อเห็นวิลเลียมยอมก้มหัวขอขมาตน ไลนัสก็ถึงกับสะอึกไป

                เพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่าเอาไว้แล้ว สิ่งที่มีค่ารองลงไปเขาสามารถสละได้หมด วิลเลียมเป็นคนเช่นนี้เอง และสำหรับเขาในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาความลับที่สัญญากับเพื่อนไว้ให้ได้

                พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กล่าวต่อกับอาจารย์ว่า

                “ท่านพ่อบอกให้ข้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับไว้ก่อน” วิลเลียมถึงกับยอมยกเจ้าชายอาเธอร์มาอ้าง “แต่ตอนนี้คงปิดไม่ได้แล้ว มีดนี่ก็เป็นท่านพ่อให้มาฝึกใช้กับโซ ข้าจึงไม่อยากให้ท่านอาจารย์เอาไว้ เกิดท่านพ่อถามถึงขึ้นมาข้าจะทำอย่างไรล่ะ ก่อนหน้านี้ข้าหุนหัน พูดล่วงเกินสหายของอาจารย์ไปหน่อย เพราะคิดว่าอย่างไรอาวุธที่ท่านพ่อให้มาย่อมไม่มีทางเป็นเล่มเดียวกับของสหายท่านอาจาย์ได้ อีกอย่างมีดนี้ก็เป็นแค่มีดธรรมดา ขออภัยด้วยนะขอรับ”

                คราวนี้วิลเลียมเปลี่ยนมาค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมให้แก่อาจารย์บ้าง

                อาจารย์ฟังคำนั้นแล้วก็สงบสติอารมณ์ลง

                หวังว่าถ้าเอาท่านพ่อมาอ้างแล้ว...จะไม่มีใครสืบสาวข้อเท็จจริงอีกละกัน...

                วิลเลียมกำลังหวังอาศัยบารมีของเจ้าชายอาเธอร์ และบุคลิกที่เปล่งรัศมีอำนาจชวนให้ทุกคนยอมสยบมาช่วยทำให้คำโป้ปดของตัวเองสมบูรณ์ แต่กระนั้นก็ยังอดเสริมเพื่อความมั่นใจไปไม่ได้ว่า

                “ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ขอให้ท่านอาจารย์อย่าได้เอาเรื่องนี้ไปบอกให้ท่านพ่อทราบ” เด็กชายกล่าวเสียงอ่อน “เพราะหากทรงล่วงรู้เข้า ข้าคงต้องโดนลงโทษสาหัสแน่ๆ ส่วนถ้าจะประลองใหม่อีกครั้ง...แม้ข้าคงไม่อาจเอาชนะไลนัสได้เพราะความบังเอิญเช่นนี้อีกแล้ว แต่เพื่อความยุติธรรม ข้าก็น้อมรับคำสั่งของท่านอาจารย์”

                เขายอมลงให้ขนาดนี้ เนื่องจากคาดหมายว่าอีกฝ่ายก็คงยอมอ่อนให้กับเขาบ้าง...

                หากแต่ผู้ยอมทุ่มเทเสี่ยงเอาทุกอย่างมาแลกเพื่อรักษาสัญญาไว้หารู้ไม่ว่า คำโกหกของเขาฟังดูเป็นเหตุเป็นผลเหมาะเจาะกันมากเกินไป ถึงแม้เด็กคนอื่นจะพากันหลงเชื่อกันหมดแล้ว แต่สำหรับผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าอย่างอัลเฟรดกลับรู้สึกว่าเรื่องนั้นฟังดูไม่ชอบมาพากล เขาได้ข่าวมาว่า พ่อลูกคู่นี้มีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหง และก็เชื่อถือข่าวนั้นมากกว่าจะคิดว่า มันเป็นเพียงฉากหน้าที่เจ้าชายอาเธอร์และวิลเลียมสร้างขึ้นมา อย่างที่เด็กชายอยากให้เขาตีความว่าเป็นเช่นนั้น

                เหนืออื่นใด อาวุธที่คล้ายกับ มีดสรรพธาตุสถิต ของสหายผู้ล่วงลับก็มีความสำคัญสำหรับเขาเกินกว่าจะมองข้ามได้ เพราะแม้แต่ปลอกมีดก็ยังเหมือน...ถึงจะแลสามัญธรรมดา แต่มีดสั้นที่เพื่อนตนชอบเอามาอวดว่าเป็นผลงานชิ้นเอกนั้น มีหรือเขาจะลืมลง

                “ถึงเจ้าจะว่าอย่างนั้นก็ตาม” อัลเฟรดพูด “ข้าคงต้องสอบถามเจ้าชายเพื่อยืนยันอีกทีหนึ่ง และถ้ามีดของเจ้าเป็นเพียงมีดธรรมดาหนึ่งก็ให้ข้านำไปตรวจสอบสักวันสองวันจะเป็นอย่างไร ข้าว่าเจ้าชายอาเธอร์คงทรงยอมรับฟังเหตุผลอยู่หรอก”

                ...แพ้แล้ว...

                เป็นครั้งแรกที่วิลเลียมตระหนักว่าตนเองกำลังจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ถ้าอาจารย์ไปถามท่านพ่อจริงก็จะว่าทุกสิ่งที่เขากล่าวอ้างมาก่อนหน้านี้นั้นเป็นความเท็จทั้งเพ มีดที่แคสซานดราให้มาก็จะถูกยึดไป ไลนัสจะเป็นฝ่ายชนะการประลอง และเขาก็จะไม่เหลือความน่าเชื่อถืออยู่ในตัว

                คำโกหกทั้งหลายย้อนกลับมาเล่นงาน ภาพที่สร้างขึ้นมาหลอกลวงผู้อื่นกำลังจะสลาย...

                เมื่อผลของการเดิมพันที่ทุมเทไปเสียหมดตัวออกมาเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะเอาสิ่งใดไปสู้ได้อีก...

                วิลเลียมจินตนาการอนาคตอันสิ้นหวังออกในชั่วเสี้ยวความคิดนั้น

                ...เขาจะกลายเป็นคนขี้แพ้ปลิ้นปล้อนคนหนึ่งเท่านั้นเอง

                “ข้าไม่อยากเป็นคนแบบนั้น!” วิลเลียมกู่ร้องลั่น

                สิ้นคำนั้น เด็กชายก็แล้วรีบวิ่งหลบหนีออกไปจากบริเวณนั้นอย่างว่องไวพร้อมทั้งปลดคำสาปที่ถ่วงเขาไว้ออกไปจากตัวด้วย

                ที่นี่เป็นที่โรงเรียนซึ่งเขาเคยเร่งออกเดินทางตอนขากลับอยู่หลายครั้งแล้ว เรื่องเท่านี้แทบจะทำไปโดยสัญชาตญาณ

                ไม่มีผู้ใดได้ทันตั้งตัว ไม่มีใครติดตามเขาทัน

                เงาร่างของเด็กชายหายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด ถ้าเขาใช้ความเร็วนี้แต่แรก...บางทีอาจชนะการประลองอย่างขาวสะอาดไปแล้ว

                แต่วิลเลียมในยามนี้ไม่สนใจจะคิดเรื่องอื่นใดนอกจาก...

                หนี...!

                เขาจำเป็นต้องหนี เพราะไม่อาจทนมองแววตาที่ผู้อื่นจะใช้มองตนอีกต่อไป เพียงแค่เหตุการณ์สมมติที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงในมโนภาพ เขาก็มิอาจรับไหว แล้วจะนับประสาอะไรกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง

                ต้องไปให้ไกล... ไปในที่ที่ไร้ผู้คน...

                เด็กชายผู้ตื่นตระหนกคิดแต่จะหลบหนีไปหาที่ปลอดภัยเพียงอย่างเดียวในตอนนั้น

    ---

    S.O.

    February 14, 2011

    คราวนี้มาอัพบทคู่แค้น (?) รับวันวาเลนไทน์ หวังว่าอ่านบทนี้แล้วคงช่วยให้ทุกท่านเข้าใจวิลเลียมได้มากขึ้น... ส่วนไลนัสนั้นมีคนเกลียดเยอะแล้ว ในช่วงเทศกาลแห่งความรักเช่นนี้ก็อภัยให้เขาหน่อยละกัน

    ก็ต้องขออภัยที่ยังทิ้งตอนเก่าให้ค้างคาไว้อย่างนั้น คนเขียนยังลังเลใจอยู่ไม่รู้จะเขียนเพิ่มเติมให้ยาวขึ้นดีหรือไม่ (เพราะที่เขียนไว้แล้วค่อนข้างสั้นและรวบรัด) เลยเอาตอนนี้มาลงให้อ่านแก้ขัดก่อน

    สำหรับเรื่องอัพช้านั้น...เหมือนจะกลายเป็นปรกติแล้วที่เคจอัพประมาณสองสัปดาห์ครั้ง ช่วงเปิดเทอมเร่งสปีดได้เท่านี้จริงๆ อย่างไรก็ต้องขออภัยอีกครั้งล่ะค่ะ

    สุดท้ายก็ขอทิ้งท้ายให้เข้ากับบรรยากาศสักหน่อย (แม้ชีวิตนิยายและชีวิตของเคจจะไม่เข้ากับบรรยากาศเช่นนี้เลยก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีขนมหวานมาให้กินบ้างล่ะนะ) ขออวยให้ท่านที่มีคู่แล้วทั้งหลายมีรักชื่นตลอดไป ส่วนท่านที่ยังไม่ใครก็ขอให้มีความรักและคนน่ารักๆ อยู่รายล้อมรอบตัวค่ะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×