คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : - เหตุการณ์ในงานเลี้ยง - "ท่านเชิญทุกคนมางาน แต่ไม่คิดจะชวนข้าบ้างเลยหรือ"
- เหตุการณ์ในงานเลี้ยง -
“ท่านเชิญทุกคนมางาน แต่ไม่คิดจะชวนข้าบ้างเลยหรือ”
เบื้องหน้าเป็นภาพเลือนราง...เจือจางด้วยสายหมอก
ชายหนุ่มทดลองยื่นมือตัวเองออกไป ยังไม่ทันสุดแขน มือนั้นก็จมหายไปในม่านหมอกขาวเสียแล้ว
หันไปมองที่ด้านข้างจึงค่อยเห็นหญิงสาวนางหนึ่งในชุดสีสันสดใสยืนอยู่ หมอกบริเวณรอบตัวนางดูเบาบางกว่าจุดอื่น ชายหนุ่มจดจำนางได้ในทันที ตอนนั้นเองที่เขาได้สติว่ากำลังทำอะไรอยู่...
“ที่นี่ที่ไหน...” วิลเลียมถาม
“ป่าอาถรรพณ์ ตำแหน่งที่ตั้งของกระท่อม เมื่อสิบหกปีก่อน” แคสซานดราตอบ นางเพ่งตามองไปยังอากาศธาตุข้างหน้า เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
วิลเลียมพยายามมองโดยรอบให้ออกว่าเป็นป่า แต่หมอกนั้นหนาแน่นไป ยากจะจำแนกออกได้
“แล้วทำไมพวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ก็เพราะว่าเราตั้งหม้อไว้ที่กระท่อมน่ะสิ เลยต้องมาเริ่มต้นที่นี่ แล้วที่ที่นี่มีหมอกหนาอย่างนี้ก็เพราะว่าคนที่พวกเราไปดึงเอาความทรงจำมาไม่ได้ผ่านมาแถวนี้กันนัก เลยไม่ค่อยมีภาพแสดงให้เห็น แต่เดี๋ยวแก้ไขจุดนี้เสร็จพวกเราก็จะเปลี่ยนไปอยู่ที่กลางพระราชวังแล้ว”
แม่มดดำอธิบายจบก็ขยับมือตัดผ่านอากาศ วาดเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ ขึ้นมา ในสายตาคนที่ไม่รู้เรื่องเวทมนตร์อย่างวิลเลียมแล้ว แคสซานดราคล้ายกำลังบังคับควบคุมอะไรบางอย่างที่ล่องหนอยู่
พริบตานั้นกลุ่มหมอกรอบตัวพวกเขาก็เคลื่อนลับตาไปโดยไว ฉากหลังของท้องพระโรงของพระราชวังย้ายเข้ามาแทน
ชายหนุ่มรู้สึกมึนงงเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนเขาเป็นฝ่ายย้ายที่ แต่ที่จริงแล้ว วิลเลียมแค่ยืนอยู่เฉยๆ ที่เป็นสถานที่ต่างหากที่เปลี่ยนไป
ณ ท้องพระโรงนั้นไม่มีหมอก ทว่าก็ไร้ผู้คนเช่นกัน
“แล้วอย่างไรต่อ” เขาเอ่ยขึ้น
แคสซานดราไม่ตอบ นางกวาดมือไปรอบตัวอีกสองสามครา แล้วกล่าว
“คราวนี้ก็ใช้ได้แล้ว”
สิ้นคำ นางก็สะบัดมือ ฉับพลันก็ปรากฏผู้คนมากมายออกมาจากความว่างเปล่า พร้อมข้าวของเครื่องใช้และสิ่งประดับตกแต่งสถานที่ตระการตา เสียงดนตรีลอยแว่วมา พร้อมเสียงพูดคุยที่ค่อยๆ ดังขึ้น ทุกคนขยับไปตามจังหวะของตน
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
วิลเลียมมองเหล่าคนที่เดินทะลุผ่านเขาไปราวกับเป็นวิญญาณด้วยความแปลกใจ แต่ไม่นานนักก็ตั้งตัวได้
ในที่แห่งนี้ข้าคงเป็นผู้คนมาดูเฉยๆ สินะ...
ชายหนุ่มเดินแยกออกจากหญิงสาวที่มาด้วยกัน สำรวจมองหาเป้าหมายของการเดินทางมาที่นี่ เขาเคลื่อนผ่านท่านป้ามาร์กาเร็ตในวัยสาวที่กำลังหัวเราะร่วนกับท่านลุงโจนาธาน เห็นลุงจอห์น คนเฝ้าห้องเก็บเอกสารที่ตอนนั้นผมยังเป็นสีน้ำตาลอยู่กำลังมองดูชุดเครื่องเงิน วิลเลียมต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจภาพบุคคลที่เขารู้จักเหล่านั้น และหันไปจดจ่อกับงานของเขาแทน
เขาเดินลึกเข้าไปจนพบกันสิ่งที่ต้องการ
ที่สุดโถงทางเดินนั้นมีอดีตพระราชานั่งครองบัลลังก์อยู่ ถัดลงมาบนเก้าอี้ชั้นที่อยู่ต่ำกว่าเป็นเจ้าชายอาเธอร์กับพระชายานั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง วิลเลียมไม่กล้ามองทั้งสองคนนานนัก เนื่องจากพอมองแล้วเขาจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา... ภรรยาของท่านพ่อตายไปเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ทว่าเพียงชั่วแวบที่เขาเหลือบเห็นนั้น วิลเลียมก็ทราบได้ว่านางเป็นคนสวยมาก สวยกว่าภาพเหมือนที่เขาเคยเห็นเสียอีก และท่านพ่อก็ดูจะเอาใจใส่และรักใคร่ผู้เป็นภรรยามากทีเดียว แค่ดูจากสายตาก็ใช้มองนางก็รู้แล้ว
ชายหนุ่มผู้แปลกแยกมองเลยไปยังกลุ่มคนที่อยู่ฝั่งซ้ายของพระราชาแทน...
เจ้าชายลูเธอร์ในขณะนั้นดูสง่างาม แข็งแรง เยาว์วัย และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต พระองค์คงมีชันษามากกว่าวิลเลียมในตอนนี้ไม่มากนัก
พระชายาเฟลิเซียก็อุ้มทารกน้อยอยู่ในอ้อมแขน นางยิ้มให้ทุกคนที่มากล่าวอวยพรแก่ธิดาองค์น้อย
พ่อแม่ลูกทั้งสามคน รวมถึงพระราชาองค์ก่อน... ท่านพ่อ และพระชายาของเขา ประกอบกันเป็นภาพราชวงศ์แห่งดาเรนไลน์ที่สมบูรณ์แบบ
ดูถึงพร้อมในทุกด้านจนน่าอิจฉา...
ชั่วขณะที่วิลเลียมคิดเช่นนั้นนั่นเอง ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงรังสีเย็นเยือกสายหนึ่ง เขารีบหันกลับไปมองยังทิศที่ตั้งของประตูทางเข้า เพราะรู้สึกได้ว่า กระแสไอเย็นนี้แผ่ออกมาจากทางนั้น
ทุกชีวิตในงานก็คงสัมผัสได้ถึงความเย็นนั้นเช่นกัน ผู้มาร่วมงานทุกคนต่างหันไปมอง สรรพเสียงทั้งหลายเงียบลง แม้จะนักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงก็หยุดมือ บังเกิดเป็นความสงัดที่รอต้อนรับการมาเยือนของความมืดที่คืบคลานเข้ามา...
ควันดำหยิกงอตวัดตัวเข้ามาตามพื้นราวกับมีชีวิตและไม่ใช่ควัน ดูแวบหนึ่งก็คล้ายเป็นเถาไม้เลื้อยที่งอกเงยได้รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทว่าเถาไม้นั้นกลับลอยผ่านผู้คนและสิ่งของทั้งหลายได้ ไอลึกลับนั้นมาพร้อมกับเจ้าของอาภรณ์ดำแห่งรัตติกาล หญิงสาวร่างบางก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง
ทุกคนที่เห็นนางล้วนตื่นตะลึง ค้างนิ่ง ประหนึ่งถูกช่วงชิงลมหายใจไป
นางงามยิ่งนัก... งดงามจนน่าหวาดหวั่น...
หญิงสาวผู้มาเยือนมีผิวซีดขาวหมดจด และผมยาวตรงสีดำประดุจแพรไหมล้ำค่า ดวงตาของนางก็เป็นสีฟ้าเข้มล้ำลึกและทอประกายงดงามดั่งดวงดาวประดับท้องนภายามราตรี นอกจากดวงตาและริมฝีปากที่แต้มชาดสีแดงเข้มแล้ว ทุกสิ่งที่อยู่บนตัวนางล้วนประกอบขึ้นจากสีขาวกับดำ ดูลงตัวและสอดรับกับร่างนั้นยิ่งนัก
ไม่มีใครรู้จักนาง ไม่มีใครเชิญนางมา และก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางเมื่อนางคิดมาเยือน
“ราชาแห่งดาเรเนีย...”
หญิงสาวเอ่ยคำเป็นครั้งแรก นัยน์ตาสีฟ้าเข้มมองตรงผ่านห้องไปยังคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์อีกฟากหนึ่ง เสียงของนางไพเราะและเปี่ยมพลังประหลาด เมื่อนางเอ่ยขึ้นแล้วก็เสมือนทุกชีวิตที่กีดขวางคลื่นเสียงนั้นอยู่จะพากันหลบถอยออกไปยืนด้านข้าง เปิดทางกว้างให้นางในคราวเดียว
“...ท่านจัดงานเลี้ยงเสียยิ่งใหญ่ เชิญทุกคนมางาน แต่ไม่คิดจะชวนข้าบ้างเลยหรือ” หญิงสาวกล่าวต่อ
“เจ้า...เป็นใคร” พระราชาตรัสถาม ทรงไม่ทราบในฐานะของอีกฝ่ายเช่นกัน
“อะไรกัน เพียงข้าวางมือจากวงการไม่นานนัก ทุกคนก็ลืมข้าไปหมดแล้วหรือนี่” นางเยาะเสียงเสนาะ ใบหน้ายิ้มระรื่น หากแต่เป็นยิ้มที่ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกเย็นไปทั้งเนื้อตัว
“จริงสินะ ข้าตั้งใจทำให้ทุกคนลืมข้าไปเองนี่นา เช่นนั้นก็คงไม่แปลกที่ท่านจะลืม” หญิงสาวยังคงพูดเรื่อย ตอบคำถามที่นางตั้งไว้เอง
นางเสมือนก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แต่สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้าแท่นบัลลังก์ โดยไม่มีใครกล้าเข้ามาขวาง หรือแม้แต่จะเอ่ยเสียงใดๆ
“เจ้าต้องการอะไร”
ด้วยความเป็นกษัตริย์และเจ้าภาพของงานเลี้ยง พระราชาจึงต้องเอ่ยถามต่อ ทรงปรายพระเนตรมองหาทหารองครักษ์ทั้งหลายที่น่าจะคอยอารักขาอยู่รอบบริเวณนั้น ทว่ากลับพบว่าไม่มีผู้ใดขยับอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมเลยสักคน แม้แต่เจ้าชายทั้งสองก็ยังนิ่งอึ้งประหนึ่งต้องมนตร์สะกดอยู่
“ข้าแค่อยากมาอวยพรว่าที่เจ้าหญิงแห่งลูซแวร์บ้างเท่านั้นเอง ในเมื่อท่านเรียกนักเวท นักบวช นักบุญ รวมถึงทูตต่างแดนทั้งหลายมาให้พรนางแล้ว ตัวข้าผู้นี้ก็อยากมอบพรที่ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดให้นางบ้าง”
พระราชาเอื้อมพระหัตถ์ไป หมายจะดึงดาบทรงที่ปั้นเหน่งขึ้นมาป้องกันตัว หากแต่ทันทีที่ผิวสัมผัสกับด้ามดาบ กลับรู้สึกถึงไอเย็นเฉียบยากต้านทาน จนต้องสะบัดมือออก มองเห็นอาวุธประจำตัวถูกครอบคลุมด้วยควันดำที่มีแหล่งกำเนิดจากอาภรณ์ยาวของหญิงสาว
พระชายาเฟลิเซียที่อุ้มทารกน้อยอยู่แข็งทื่อไปแล้ว แม้แต่นัยน์ตาก็ไม่กะพริบ ส่วนเจ้าชายลูเธอร์ถึงจะขยับดวงเนตรได้อยู่ ทว่าร่างกายไม่อาจเคลื่อนที่ตามสมองสั่ง ได้แต่ทนมองสตรีชุดดำนั้นก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหูของลูกน้อยของตน
นางกล่าวคำใดกับลูเครเซียบ้างไม่มีใครทราบ ทุกคนเพียงเห็นริมฝีปากสีแดงชาดนั้นเหยียดยิ้มตลอดเวลาที่เอ่ยคำอวยพร ครั้นแล้วเมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบตากับทุกผู้คนในท้องพระโรงอีกครั้ง หญิงสาวก็ประกาศ
“ข้าได้ให้พรอันยิ่งใหญ่แก่พระนัดดาไปแล้ว ทว่าด้วยโทษฐานที่พวกท่านไม่เชิญข้าแต่แรก พรนี้จึงต้องแลกมาด้วยของตอบแทนสิ่งหนึ่ง”
หญิงสาวหยิบสร้อยเส้นหนึ่งขึ้นจากห่อผ้าของทารกน้อย ที่ปลายสร้อยสีทองนั้นเป็นวัตถุทรงกลมรีแบนซึ่งกำลังส่องแสงสว่างสีขาวเรืองรอง เจิดจ้าท่ามกลางกลุ่มควันสีดำ ราวกับดาวดวงน้อยกำลังต่อสู้กับอำนาจไพศาลแห่งรัตติกาลอยู่
“พันธะแห่งดาเรนไลน์...” พระราชาร้องขึ้นเมื่อเห็นสิ่งนั้น แต่ถึงแม้จะสามารถกล่าวคำได้มากกว่าคนอื่น พระองค์ก็มิอาจขยับพระวรกายได้เช่นกัน
“เมื่อมีพรก็ต้องมีคำสาปถึงจะยุติธรรม...” หญิงสาวว่าต่อโดยไม่สนใจเสียงที่แทรกขึ้น “ข้าขอสาปแช่งราชวงศ์ดาเรนไลน์ให้ไร้ทายาทอื่นสืบสกุล จนกว่าจะมีผู้มาทวงล็อกเก็ตนี้คืนจากข้าได้”
จบคำนั้นนางก็กำตัวล็อกเก็ตนั้นไว้ในอุ้งมือ แสงสว่างที่เคยสาดประกายดับวูบลงในทันที
“และด้วยโซของข้า... ข้าจะทำให้พวกท่านจะลืมเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้... จะจดจำได้เพียงแต่งานเลี้ยงแสนสุขที่ดำเนินมา งานเลี้ยงจะเลิกราไปโดยดีอย่างที่เจ้าภาพหวังจะให้เป็น... พวกท่านจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ จนกว่าจะมีผู้ใดมีอำนาจทัดเทียมพอที่จะรื้อฟื้นมันขึ้นมา...”
ความมืดจากอาภรณ์ของนางแผ่ขยายเป็นรัศมีไปทั่วอาณาบริเวณ วิสัยทัศน์ในขณะนั้นกลายเป็นบอดสนิท ทว่าพริบตาถัดมากลุ่มหมอกสีดำที่ปกคลุมพื้นที่อยู่ก็เลือนหายไป เช่นเดียวกับร่องรอยของหญิงสาวเจ้าของมนตร์ดำนั้น
งานเลี้ยงที่เคยนิ่งสนิทกลับมาดำเนินต่อเสมือนไม่เคยมีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยือน ทุกคนเริงรื่นกันตามเดิม นักดนตรีบรรเลงเพลงต่อ ดูราวกับมีใครบางคนมาไขลานกล่องดนตรีและตุ๊กตากลที่หยุดลงแล้วให้กลับมาเดินอีกครั้ง
ความคิดเห็น