ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นักเรียนหมอขอเมาท์

    ลำดับตอนที่ #3 : เมาท์ : แน่ใจหรือ...ว่าอยากเป็นหมอ (ภาคจบ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.73K
      20
      26 มิ.ย. 53

                    แล้วพี่มาเริ่มไม่ชอบเรียนหมอเมื่อไหร่ กว่าพี่จะรู้ตัว ก็ไม่นานมานี้เองน้อง ก็ตอนเรียนวิชา Anatomy หรือ มหกายวิภาคศาสตร์เนี่ยแหละ น้องเอ้ย วิชานี้ พี่เรียนไม่ได้ดีเลย แล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย แล้วเวลาเรียนผ่า Gross Anatomy ก็เบื่อมาก ไม่ชอบเลย ห้อง Gross มันเป็นห้องดูดพลังอันมหาศาลในตัวน้อง น้องกลับมาบ้านก็จะเหนื่อยมากๆ แล้วก็ตัวจะเหม็นกลิ่น formalin คือพี่ไม่ชอบชีวะเป็นทุนอยู่แล้ว ไม่ชอบวิชาท่องแบบไม่เข้าใจ พอมาเจอวิชาหมอตอนปี 2 ก็ โอย อยากเอาเท้าก่ายหน้าผากเลยน้อง แต่ตอนเรียนกับอาจารย์ใหญ่น่ะ พี่ผูกพันกับอาจารย์ใหญ่ของพี่มากเลยนะ ท่านเป็นเหมือนคุณยายของพี่อีกคน ท่านไม่เคยว่าพี่เลย ลูกหลานของท่านก็ใจดี เห็นนักศึกษาแพทย์อย่างพวกพี่และเพื่อนๆ เหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง (ขอบคุณและขออภัยท่านอาจารย์ใหญ่เจริญ ศิริกายะ ด้วยนะครับที่ท่านได้เมตตาเสียสละร่างให้ผมได้เรียน ท่านเป็นเบื้องหลังความสำเร็จในการเรียนหมอ แต่ผมกลับไม่ชอบเรียน Gross Anatomy เลย)
     
                    ตอนเรียนหมอ พี่ก็ทำกิจกรรมบ้าง แล้วก็ต้องคอยบริหารงาน จัดระบบเรื่องการทำงาน กิจกรรมต่างๆ กับทีมงานเพื่อนๆ ก็เลยรู้สึกชอบการบริหารองค์กร เพื่อพัฒนาองค์กร อะไรประมาณเนี้ย ก็เลยคิดว่า พอจบหมอ คงเรียนบริหารต่อ ก็คงมาบริหารโรงพยาบาลแหละ ก็เรียนหมอมานินา การบริหาร การทำงานที่ต้องคุยกับเพื่อนๆ คุยกับคน มันเป็นความสุขของพี่มาก ที่ได้ทำงานแบบนี้ (แต่พี่ก็มีข้อเสียคือ ใจร้อนขี้โมโหไปหน่อย ซึ่งการทำงานกับคนหมู่มาก มันต้องใจเย็น พี่ก็พยายามปรับปรุงตัวให้ใจเย็นอยู่เหมือนกัน) ถามว่าทำไมไม่ซิ่ว พี่ว่า ถ้าพี่ลาออก ค่าเทอมที่รัฐบาลจ่าย มันมาจากภาษีของประชาชน แต่ละเทอมพี่จ่ายแค่ 10% (ประมาณ 10,000 บาท) ของค่าเทอมจริง แสดงว่าค่าเทอมจริงคงเป็นแสน แล้วมันก็ทำให้เสียหมอไป 1 คน ต่อปี หมอ 1 คน ช่วยคนเจ็บคนไข้ได้เป็นพันเป็นหมื่นคน พี่ก็เลยต้องเรียนต่อไป ต้องก้าวต่อไป พี่อยากจะหนุนใจน้องที่ท้อแท้กับการเรียนว่า ขอให้น้องสู้ต่อไป อดทน เข้มแข็ง สิ่งที่เราเรียน สิ่งที่เราทำ มันคือหน้าที่ของเรา ทำเพื่อพ่อแม่ เพื่อคนในสังคม และเพื่อตนเองจะได้มีอนาคตที่ดี แม้เราจะไม่รักในสิ่งที่เรียน แต่พี่อยากให้น้องเปลี่ยนความคิด ว่า ให้เรา รักในสิ่งที่เราทำ แทนการทำในสิ่งที่เรารัก
      
                    ทุกอย่าง มันไม่มีคำว่า สายเกินไป ในชีวิตของเราครับ น้องๆ ที่ยังค้นพบตัวเองไม่ได้ ว่าชอบเรียนอะไร อยากเป็นอะไร พี่อยากให้น้อง วางหนังสือลงสักพัก แล้วเปิดใจของตนเอง หาประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ลองคุยกับคนหลายๆ อาชีพให้มาก ปรึกษาจิตแพทย์ก็ได้ พี่เองพอรู้ตัวว่าไม่ชอบเรียนหมอ พี่ก็ไปปรึกษาจิตแพทย์เหมือนกัน จิตแพทย์ท่านก็หาวิธี ตรวจสอบพี่ว่า ควรซิ่วดีมั้ย แต่คำตอบที่ท่านให้คือ กำลังใจ ที่บอกว่า พี่มาถูกทาง ขอให้ตั้งใจ และเรียนต่อไป นอกจากการหาประสบการณ์โดยการคุยกับคนหลายๆ อาชีพแล้ว ยังสามารถไปค่ายต่างๆ เช่น ค่ายสอวน ค่ายอาสา หรือค่ายหมอ ค่ายวิศวะ หรือลองสอนพิเศษน้องๆ ประถมหรือ ม.ต้น ดู ลองหาอะไรทำ แล้วน้องจะรู้ว่า น้องชอบอะไร อยากเป็นอะไร เราหากน้องเดินมาผิดทาง แล้วน้องไม่สามารถปรับตัวได้ น้องจะทรมาน และไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตการเรียน และไม่มีความสุขในการประกอบอาชีพในอนาคต
     
                    สุดท้าย พี่อยากจะบอกว่า มีเพื่อนพี่คนหนึ่ง ชื่อ หนึ่ง เป็นเพื่อนที่เรียนหมอวชิระรุ่นเดียวกันนี่แหละ พี่เขาบอกว่า LIFE กับ LIKE มันไม่เหมือนกัน พี่ว่าประโยคนี้เป็นจริงสำหรับตัวพี่ พี่ไม่ชอบหมอ ชอบบริหาร แต่อนาคต พี่ก็ต้องเป็นหมอ และปัจจุบันก็ต้องก้าวต่อไปสำหรับการเรียนหมอ พี่หวังว่าน้องๆคงได้ค้นพบตนเอง เพื่อที่จะได้มีความสุขกับการเรียนในมหาวิทยาลัยและการประกอบอาชีพในอนาคตต่อไป


                                                                                นศพ.ประธานปลาหมึกประจำคณะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×