ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ] Painted Boy ฉันจะร้าย..ถ้านายไม่รัก

    ลำดับตอนที่ #15 : ความเชื่อใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 687
      1
      6 ส.ค. 53

                 

     
      ที่ชั้นเลิกกับนายน่ะ...ก็เพราะชั้นเกลียดนายต่างหากล่ะ

     

                    ความเจ็บปวดรวดร้าวแล่นจากโสตประสาทหูมายังก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายที่เต้นโครมครามอย่างไม่เป็นจังหวะซึ๋งกำลังหยุดเต้นไปชั่วขณะ ราวกับมีมีดอันแหลมคมค่อยๆ ฝังเข้ามาในเนื้อก่อนจะทะลุกลางหัวใจให้หยุดการทำงาน ผมกำหมัดแน่นเมื่อรู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่ไหลย้อนกลับเข้าไปข้างใน นี่สินะที่เขาเรียกกันว่า..น้ำตาตกใน

     

                    ยามาดะ.. เสียงของผู้จัดการดังขัดขึ้นมา ผมที่กำลังทำท่าจะเปิดประตูก็ต้องชะงักไป ยูโตะเองก็หันไปมองผู้มาใหม่ที่มีท่าทีรีบร้อนผิดปกติอย่างแปลกใจ สายตากังวลใจจ้องมองมาที่ผมราวกับมีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอก

     

                    มีอะไรหรอครับ? ผมถามออกไป ผู้จัดการได้แต่ลากผมให้ออกมาห่างจากยูโตะราวๆ สองร้อยเมตร ร่างสูงโปร่งที่ยืนนิ่งเป็นเสาไฟฟ้าเห็นว่าผู้จัดการต้องการความเป็นส่วนตัวจึงเดินหลบกลับเข้าไปในห้องซ้อมเต้นดังเดิม

     

                    เรื่องของเมล์ที่อ้างชื่อยูโตะน่ะ...ทางตำรวจรู้ตัวคนส่งเมล์นั่นแล้วนะ เพียงแค่ประโยคผมก็แทบจะอ้าปากค้าง ผมอยากรู้นักว่าคนๆ นั้นเป็นใครที่หมายจะกลั่นแกล้งผมทั้งๆ ที่รู้ว่ามีแต่ตายกับตายเท่านั้น

     

                    ทำไมรู้เร็วจังครับ? แล้วหลักฐานมีหรือเปล่า? ผู้จัดการพยักหน้าหลังฟังจบ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะความลุ้นระทึก รู้ตัวคนที่ทำแล้ว..แถมยังมีหลักฐานพร้อมขนาดที่ทางตำรวจออกมายืนยันแล้ว คนๆ นั้นก็จะต้องเป็นตัวการอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในใจลึกๆ คิดว่าชิเนนเป็นคนทำ แต่ว่าเรื่องมันร้ายแรงถึงขั้นฆ่าแกงกันขนาดนี้ ชิเนน ยูริอาจจะไม่กล้าเอาอนาคตของตัวเองมาเสี่ยงก็เป็นได้

     

                    ทางตำรวจตรวจสอบเบอร์มือถือและรอยนิ้วมือบนโทรศัพท์ของคนๆ นี้อย่างลับๆ มาแล้วจนมั่นใจว่าเป็นคนๆ นี้อย่างแน่นอน แต่ว่านายแน่ใจใช่มั้ยที่อยากจะรู้ว่าคนๆ นั้นคือใครน่ะ? ผมเม้มปากเรียกความมั่นใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ สีหน้าของผู้ใหญ่ตรงหน้ามีทีท่าเคร่งขรึมมากขึ้น

     

                    คนที่ส่งเมล์นั้นไป จริงๆ แล้วก็คือ...

     


    ................................

     



                นายคบกับริวทาโร่ตอนไหนเนี่ยยามะจัง? เสียงของไดกิถามระหว่างที่เราสองคนกำลังลงมือทานราเมนเป็นอาหารเย็นหลังเลิกเรียน ไดกิที่จู่ๆ ไม่รู้ว่าโดดเรียนตอนเย็นมาหรือยังไงโทรมาชวนผมให้มาเดินเล่นแถวๆ โรงเรียนผมก่อนจะลากผมมากินราเมนของโปรดตัวเองอีก

     

                    เมื่อวาน... ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะค่อยๆ คีบเส้นราเมนเข้าปากอย่างช้าๆ สายตาของผมมองปัดไปทางซ้ายทีขวาทีแต่ไม่ยอมสบตาไดกิเลย

     

                    ไม่ไหวเลยนะเนี่ย...แต่ว่าไปแล้วเจ้าหนูริวมันก็ตามตื๊อขายขนมจีบให้นายอยู่ตั้งนานแน่ะ ชั้นไม่คิดว่านายจะตกลงคบกับริวจริงๆ นะเนี่ย แต่ก็ดีละ..นายเห็นมั้ยยามะจัง ยูโตะนี่หน้าถอดสีเลยละ อาริโอกะพูดไปขำไปพลางกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับผมสิ่งที่ไดกิพูดมาไม่ได้เข้าหูผมเลยแม้แต่น้อย

     

                    จริงสิ...เมื่อวานจู่ๆ ยูโตะก็ลากนายออกจากห้องซ้อมไปซะเฉยๆ หมอนั่นคุยอะไรกับนายหรอ? ทำไมถึงได้หน้าเครียดกันมาล่ะ? หรือทะเลาะกัน? แต่ก็ดีนะที่ชั้นกับเคย์โตะรั้งเจ้าหนูริวไว้ได้ ไม่งั้นนายไม่มีวันได้คุยกับยูโตะสองต่อสองแน่

     

                    นายน่าจะปล่อยให้ริวทาโร่มานะ.... น้ำเสียงที่แผ่วเบาของผมที่พึมพำอยู่คนเดียวหลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพล่ามออกมาอยู่นาน และแน่นอนว่าคนตรงหน้าก็ได้ยินมันเต็มสองหู

     

                    นายหมายความว่าไงยามะจัง? ผมกำตะเกียบนั่นเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน ประโยคที่ยูโตะทิ้งท้ายไว้ให้ก่อนที่ผู้จัดการจะมาขัดจังหวะ มันทำให้ผมเจ็บเจียนตายกับการที่ถูกคนที่รักบอกว่าเกลียด ผมยอมให้ริวทาโร่มาขัดจังหวะจะดีซะกว่า

     

                    ชั้นว่าเรารีบไปซ้อมเถอะนะ ตอนนี้ชั้นไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว ผมรีบวางตะเกียบแล้วคว้ากระเป๋ามา ไดกิรีบลุกลี้ลุกลนหยิบข้าวของแล้ววิ่งที่ตามผมที่ควักเงินให้เจ้าของร้านก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทีโกรธจัด

     

                    ยามะจัง? นายโกรธชั้นหรอ? ไดกิเอ่ยถามระหว่างที่เรากำลังเดินก้าวยาวๆ ไปยังที่หมายซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ผมได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเดินนำหน้าไดกิไป

     

                    อาริโอกะกับผมเดินมาถึงที่หมายอย่างรวดเร็วโดยที่ไดกิวิ่งตามผมอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเด็กจอห์นนี่คนอื่นๆ จะมองผมกับไดกิเป็นตาเดียวกัน แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ขาของผมก้าวเข้าห้องซ้อมที่ไม่มีคนอย่างรวดเร็ว คงเป็นเพราะว่าผมมาถึงก่อนเวลาซ้อมถึงสองชั่วโมงเลยทำให้ห้องทั้งห้องว่างเปล่า มีแค่ผมกับไดกิที่ยืนหอบอยู่ข้างหลัง


     

                    นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย!! ปล่อยให้ชั้นวิ่งตามอยู่ได้!!” อาริโอกะโวยทันทีที่หายเหนื่อยพลางเขวี้ยงกระเป๋าของตนลงกับพื้นอย่างแรง

     

                    โทษที...เผอิญว่าปวดหัวนิดหน่อยน่ะ ผมตอบปัดไปเพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายมาก ตัวผมเองก็โมโหไปไม่น้อยกว่าไดกิหรอก แต่ว่าผมไม่รู้จะพูดในสิ่งที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดแบบนี้ออกไปได้ยังไง

     

                    นายนี่อารมณ์แปรปรวนจริงๆ เลย สมัยตอนที่นายอยู่จั๊มพ์ก็เหมือนกัน ทุกคนในวงโคตรกลัวนายเลยเวลาที่นายสอนเต้นอยู่แล้วหงุดหงิดน่ะ นึกแล้วก็ขำอ่ะ....

     

                    นายจะขำอะไรนักหนาห๊ะไดกิ!!!!!!” ผมตวาดออกไปทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดจบ ไดกิตะลึงงันกับท่าทีของผมที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ผมที่ยืนมองอีกฝ่ายผ่านทางกระจกเงาเม้มปากแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธที่กำลังจะปะทุขึ้น

     

                    ทำไม...ทำไมนายยังร่าเริงอยู่ได้? ในใจนายคิดอะไรกันแน่? ผมหันไปจ้องไดกิด้วยสายตาขุ่นมัวที่กำลังจะคลอไปด้วยน้ำตา อาริโอกะทำหน้าเหวอพูดจาอึกอักเพราะทำตัวไม่ถูกบวกกันงุนงงกับสิ่งที่ผมพูดออกไป

     

                    อะไรของนาย ยามะจัง? อาริโอกะพยายามเดินเข้ามาหาผมที่ตอนนี้ยืนตัวสั่น น้ำตาไหลพรากแต่ก็ยังไม่วายมองเจ้าตัวด้วยสายตาไม่ไว้ใจ

     

                    ตำรวจบอกว่าคนที่ส่งเมล์โดยอ้างชื่อยูโตะให้ยูมะก็คือนาย...ไดกิ ผมตัดสินใจพูดสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผมหงุดหงิดมาตลอดทั้งวัน นายทำแบบนี้ทำไม? นายเกลียดอะไรชั้น? บอกมาเซ่!!!”

     

                    ไดกิมองผมที่ยืนร้องไห้อย่างตกใจ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามเดินเข้ามาใกล้ ผมก็เอาแต่ถอยหนี ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่ใกล้คนตรงหน้าอีกแล้ว ผมต้องการฟังแค่คำอธิบายจากเจ้าตัวถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ไม่ได้อยากให้ไดกิมาขอโทษขอโพยผมเลย ขอแค่เพียงเขาพูดความจริงออกมาเท่านั้น...

     

                    นี่นายคิดว่าชั้นเป็นคนทำงั้นหรอ? ตำรวจเขามีหลักฐานเพียงพอแล้วหรอไง? ชั้นจะไปทำบ้าๆ แบบนั้นกับนายได้ยังไงยามะจัง? อาริโอกะโวยวายหลังจากที่เห็นท่าทีของผมที่หนีห่างจากเขา แววตาของไดกิดูจะเสียใจอยู่ไม่น้อย

     

                    ตำรวจเขาเช็กเบอร์โทรศัพท์และตัวเครื่องมือถือของนายแล้ว...ไม่มีรอยนิ้วมือใครอื่นนอกจากนายเลย ชั้นอยากรู้จากปากนายว่านายทำจริงๆ ใช่มั้ยไดกิ? ผมสะอึกสะอื้นพลางกัดฟันถามกลับไป ไดกิมีท่าทีหัวเสียอยู่ไม่น้อยจนดูมีพิรุธ

     

                    ชั้นเพิ่งซื้อโทรศัพท์ใหม่มาเมื่อวันก่อน และก่อนงานแถลงข่าวจั๊มพ์ทุกคนก็มารุมเล่นมือถือของชั้น แล้วทำไมไม่มีรอยนิ้วมือของคนอื่นเลยล่ะ? ชายหนุ่มพยายามอธิบายเหตุผลเพื่อแก้มัดหลักฐานที่มัดตัวเองและมัดใจเพื่อนสนิทอย่างผมให้หลุดออก ผมเองได้แต่ส่ายหน้า

     

                    พอทีไดกิ....ตำรวจไม่เจอรอยนิ้วมืออื่นเลย ขอร้อง...พูดความจริงกับชั้นเถอะนะ ผมอ้อนวอนทั้งน้ำตา เพียงแค่ไดกิพูดความจริงออกมา ผมก็พร้อมที่จะยอมรับมัน แต่ท่าทีของไดกิที่อธิบายมาก่อนหน้านี้มันดูมีพิรุธเสียจนผมเริ่มเอนเอียงเชื่อทางตำรวจมากกว่าเชื่อใจเพื่อนรักของตัวเองแล้ว

     

                    ยามาดะ....นายเคยเชื่อใจชั้นบ้างมั้ย? หยาดน้ำตาค่อยๆ คลอเบ้าตาของไดกิ แววตาแห่งความผิดหวังและเสียใจฉาบอยู่บนดวงตาคู่นั้น มันทำให้ผมปล่อยโฮหนักกว่าเก่าเพราะสายตาของไดกินั้นมองมาที่ผมอย่างตัดพ้อ

     

                    แล้วนายล่ะ....เคยเชื่อใจและช่วยชั้นบ้างมั้ย? ผมถามเจ้าตัวกลับไป ไดกิชะงักไปครู่หนึ่ง

    วันที่ชั้นขึ้นไลฟ์กับจั๊มพ์เป็นครั้งสุดท้าย...นายจำได้มั้ย? ผมย้ำอีกครั้งเพื่อให้อีกฝ่ายระลึกได้ถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ทำให้ผมตัดสินใจออกจากจั๊มพ์อย่างเด็ดขาด

     




                   

                    ชั้นคิดว่านายทำตัวเรียกร้องความสนใจมากเกินไปนะ ยามะจัง เสียงแหลมเล็กของยูริดังขึ้นระหว่างการประชุมวงหลังจากขึ้นไลฟ์ที่รายการโชเนนคลับ ผมมองหน้ายูริอย่างประหลาดใจ


     

                    ชั้นรู้หรอกว่านายน่ะเลิกกับยูโตะแล้ว แต่ว่าอย่ามาทำซึมเศร้าตอนที่อยู่กับวงได้มั้ย? โดยเฉพาะเวลาที่ยูโตะอยู่ด้วย ตอนที่ยูโตะไม่อยู่ นายก็ร่าเริงดีนี่ แล้วพอยูโตะมาทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ? คนตัวเล็กยังพูดไม่จบ ร่ายยาวเสียจนผมพูดอะไรไม่ออก สายตาทุกคนจับจ้องมาที่ผมกับยูริ

     

                    ผมรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ผมรู้ดีว่าผมทำตัวซึมเศร้าลงไปมาก ไม่สมกับที่ต้องทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการคุมวงเรื่องการเต้น ที่ผ่านมาผมไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลยตั้งแต่เลิกกับยูโตะ ผมรู้สึกเจ็บที่ต้องเห็นหน้าหมอนั่นทุกวันจนผมเลือกที่จะอยู่เงียบๆ แต่นี่ทุกคนคิดว่าผมเรียกร้องความสนใจงั้นหรอกหรอ?


     

                    ทุกคนเอาแต่มองมาที่ผมอย่างเงียบๆ โดยปล่อยให้ผมโดนสายตาและคำพูดของชิเนนทิ่มแทงกรีดลงบนหัวใจอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครรับรู้เลยว่าความเจ็บปวดที่ผมได้รับมันสาหัสเพียงใด พอเสร็จสิ้นการประชุมวงทุกคนต่างก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเองก็เช่นกัน...ผมพยายามฝืนทำตัวร่าเริงกับทุกคนตลอดทางจนมาถึงบ้าน

     

                    ร่างอวบทิ้งตัวลงบนเตียงเต็มแรง ใบหน้าเนียนเปรอะเปื้อนน้ำตาที่อัดอั้นไว้มานาน ความเจ็บปวดจากหัวใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนไม่อยากขยับไปไหน คำพูดของยูริและการกระทำของทุกคนในจั๊มพ์วันนี้ตราตรึงอยู่ในหัวสมองและจิตใจของผมราวกับฉายภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมา


     

                    จะมีใครบ้างมั้ยที่เข้าใจความรู้สึกของผม? คนที่โดนแฟนบอกเลิกแถมยังโดนคนในวงปลดออกจากการเป็นหัวหน้าด้านการเต้นของจั๊มพ์ด้วยการพูดบีบบังคับผม สมาชิกจั๊มพ์แต่ละคนก็ยังเฉยเมยกับท่าทีวางอำนาจของชิเนนและเมินเฉยต่อความรู้สึกของผมด้วย มันเจ็บมาก มากเสียจนหัวใจดวงน้อยๆ ของผมอาจแหลกสลายเป็นฝุ่นผงได้ มากเกินกว่าที่เด็กคนนึงจะแบกรับความเจ็บปวดนี้ไหว


     

                    ช่วงนั้นผมไม่กล้าแม้แต่จะคุยกับใครเลยในจั๊มพ์แม้กระทั่งไดกิ เพราะผมรู้ดีว่าทุกคนเข้าข้างชิเนนหมด หากผมไปขอคำปรึกษาหรือพูดอะไรไปก็คงจะได้ยินไปถึงหูชิเนนแน่ๆ แต่ทว่าความเจ็บปวดที่มีในตอนนี้จะทำให้ผมอึดอัดตายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า ตอนนี้ความคิดที่ว่าอยากจะออกมาจั๊มพ์เริ่มผุดเข้ามาในหัวสมอง ถ้าผมอยู่ในจั๊มพ์แล้วไม่มีความสุข..ผมจะทนอยู่ไปทำไม? ตอนนี้ไม่มีที่พึ่งในจั๊มพ์เหลืออีกแล้ว มีเพียงไดกิที่เป็นความหวังสุดท้ายของผม จริงๆ ตอนนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะโทรไปคุยกับผู้จัดการเรื่องขอลาออกจากจั๊มพ์ แต่ผมก็รักจั๊มพ์มากเกินกว่าจะทิ้งกันไปง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสนใจอะไรผม แต่ขอเพียงแค่ไดกิเท่านั้น...หากไดกิยุดยื้อผมไว้ แม้มันจะเป็นเพียงแค่คำโกหกก็ตาม ผมก็ยินดีจะอยู่ในจั๊มพ์ต่อไป

     


                    มือนิ่มคว้ามือถือขึ้นมากดหาไดกิพลางปาดคราบน้ำตาออกแล้วปรับเสียงให้เป็นปกติ ผมไม่อยากให้หมอนั่นรู้ว่าผมร้องไห้หนักมากแค่ไหน เดี๋ยวจะคิดมากเสียเปล่าๆ

     

                    โมชิโมชิ ยามะจัง.... เสียงเอื่อยๆ เนือยๆ ของไดกิดังขึ้น ฟังจากเสียงแล้วท่าทางจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย

    เอ่อ ไดกิ....ชั้นมีเรื่องจะปรึกษาแน่ะ

     


                    อื้ม ว่ามา ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคต่อไป

    ชั้นว่าชั้นจะออกจากจั๊มพ์ล่ะ.... น้ำตาผมร่วงลงมาเป็นสายทันทีที่พูดประโยคนี้ ผมเจ็บปวดกับการพูดในสิ่งที่ผมไม่ต้องการเลยแม้แต่น้อย ในใจก็ภาวนาขอเพียงแค่ไดกิยื้อผมไว้...ผมก็พร้อมที่จะอยู่ต่อเพราะว่าอย่างน้อยก็มีไดกิคนนึงละที่ต้องการผม


     

                    หรอ? คิดดีแล้วหรอ? สิ่งที่อาริโอกะตอบกลับมาทำให้ผมผิดหวังอย่างแรง แต่ผมก็ทำใจยอมรับความเจ็บปวดและผิดหวังนี้โดยดี ผมจึงรีบจบบทสนทนาก่อนจะโทรคุยกับผู้จัดการจนผมได้ย้ายออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัวเฉกเช่นทุกวันนี้....





     

     

                    ตอนที่ชั้นโทรหานายก่อนที่ชั้นจะออกจากจั๊มพ์....จำได้มั้ย? ผมพูดย้ำอีกครั้ง

    ชั้นหวังมากว่าตอนนั้นชั้นอยากจะให้นายยื้อชั้นไว้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่คำโกหกก็ตาม...ถ้านายพูดแค่ว่านายต้องการชั้น ชั้นก็จะยังคงอยู่กับจั๊มพ์ต่อ


     

                    ยามะจัง..ฮึก....จริงๆ หรอ? ไดกิค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะเริ่มมีท่าทีสะอึกสะอื้น

    ตอนนั้นชั้นไม่เหลือใครเลย มีเพียงนายที่จะทำให้ชั้นอยู่ต่อได้.... ผมพูดพลางปาดคราบน้ำตาบนแก้มออก เราสองคนยืนร้องไห้มองหน้ากันอย่างเจ็บปวด ความเงียบภายในห้องถูกทำลายด้วยเสียงสะอื้นของผมกับไดกิ


     

                    ชั้นโทษตัวเองเสมอในเหตุการณ์วันนั้น...ตอนที่นายถูกชิเนนพูดต่อว่า ทั้งๆ ที่ชั้นเป็นเพื่อนนายแท้ๆ แต่ชั้นกลับช่วยอะไรนายไม่ได้เลย ฮึก....ชั้นพูดอะไรแทนนายไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ยามะจัง...ชั้นขอโทษ ไดกิร้องไห้พลางตรงเข้ามากอดผมแน่น ความอบอุ่นของอ้อมกอดนั่นทำให้ผมปล่อยโฮออกมา สิ่งที่ไดกิพูดออกมานับว่าเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ผมคิดเสมอว่าตัวเองเจ็บปวดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นจากเหตุการณ์นี้ ไม่คิดเลยว่าไดกิเองก็กังวลไม่น้อยเหมือนกัน

     

                    นายไม่รู้หรอกไดกิว่าชั้นเจ็บปวดมากแค่ไหน....ต่อให้วันนี้นายจะทำดีกับชั้นแค่ไหนยังไง ความเจ็บปวดมันก็ไม่เคยเลือนหายไปเลย ชั้นเชื่อใจนายว่านายจะเข้าใจชั้น แต่มันกลับตรงกันข้าม....


     

                    อย่าพูดแบบนั้นยามะจัง....ตอนนั้นชั้นผิดเองที่ไม่กล้าพอที่จะสู้กับชิเนนได้ แต่ตอนนี้นายเชื่อใจชั้นได้ เรื่องเมล์นั่นชั้นไม่รู้เรื่องเลย นายก็รู้ว่าชั้นรักนายมากแค่ไหน..นายดีกับชั้นมากแค่ไหน..ชั้นจะทำเรื่องคอขาดบาดตายแบบนั้นกับนายได้ยังไง? ไดกิรีบแย้ง น้ำตาของเจ้าตัวเปียกเสื้อผมจนแฉะชื้น ผมเองก็ได้แต่ยืนรับฟังทั้งๆ ที่น้ำตาก็ไหลไม่หยุด ความรู้สึกสับสนวิ่งวุ่นอยู่ในหัว

     

                    ชั้นจะขอเชื่อคำพูดนายเป็นครั้งสุดท้าย....ชั้นจะขอให้ผู้จัดการถอนแจ้งความซะ ผมเปรยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อย เนื่องจากร้องไห้มากไปเลยทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก ตัวผมเองก็ยังไม่หายดีเท่าไร ไดกินั่งลงข้างๆ เป็นเพื่อนผมก่อนจะกุมมือผมเอาไว้


     

                    ชั้นจะไม่ทำให้นายผิดหวังอีกนะ...ชั้นสัญญา

    ...............................

    กลับมาแล้ว
    ตอนนี้เสียน้ำตาไปหลายลิตรกว่าจะแต่งจบ
    เพราะว่าตอนนี้หยิบยกมาจากชีวิตจริงแท้ๆ เลยฮ่าๆ
    ช่วงนี้เหนื่อยมากกับวีซ่า ไม่ผ่านซะที
    ได้ตั๋วบินแล้ว ได้แวะญี่ปุ่นทั้งขาไปและกลับด้วย อุวะฮะฮ่า
    จะไปลองห้องน้ำญี่ปุ่นดูสักกะที คิคิ
    เจอกันตอนหน้าจ้ะ

    ... N eL’ L

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×