ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฤาสวรรค์สาป

    ลำดับตอนที่ #2 : ใจที่แหลกสลาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 164
      0
      9 มี.ค. 66


    ใจที่แหลกสลาย

     

    เสียงไซเรนและกลุ่มผู้คนที่ยืนออกันอยู่ข้างทางส่งผลให้การจราจรบนเส้นทางเดินรถนั้นเป็นไปอย่างยากยิ่ง  สถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้ส่งผลให้จางเหวินบอดี้การ์ดคนสนิทของนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดปรายสายตามองเจ้านายที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างไม่สบายใจ

    “ฉันรอได้”

    เสียงของชายหนุ่มซึ่งมีผมดำขลับยาวถึงกลางแผ่นหลัง แต่งกายด้วยชุดสูทสี Dark Grey Blue คัตติ้งเนี้ยบเอ่ยแทรกความเงียบงันขึ้นมาทั้งๆที่สายตายังคงเพ่งมองเอกสารที่อ่านอยู่ในมือ

    จางเหวินสะดุ้งเฮือกเหลือบตามองใบหน้าหล่อเหลาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาเปลือยกรอบและทรงผมซอยสั้นล้อมดวงหน้าอย่างฉงนก่อนจะรายงานเหตุการณ์อย่างที่เคยทำมาเป็นประจำหากเกิดเรื่องติดขัดใดๆ

    “มีอุบัติเหตุข้างหน้าครับท่าน ผมเกรงว่าจะเสียเวลาอีกนานเพราะยังไม่มีรถพยาบาลหรือตำรวจเข้ามาช่วยเหลือ”

    เขารีบรายงานอย่างรวดเร็วชัดถ้อยชัดคำ และนั่นมันก็ช่วยส่งผลให้ชายหนุ่มรูปงามปานเทพจำแลงผินหน้าไปยังจุดเกิดเหตุข้างทางดั่งสวรรค์ช่วยบันดาลจิตใจที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องของผู้ใดให้หันไปมอง

                    ภาพของเด็กหญิงอายุราวๆ 10 ปี ซึ่งกำลังได้รับความช่วยเหลือจากพลเมืองดีที่ช่วยกันพลิกรถยนต์ให้กลับมาทรงตัวได้ด้วยสี่ล้อเช่นเดิมส่งผลให้หัวใจอันเหน็บหนาวไร้ซึ่งความรู้สึกมาเนิ่นนานเจ็บแปลบ ความทรงจำครั้งเก่าย้อนกลับคืนยามได้เห็นใบหน้าของเด็กน้อยคนนั้นเต็มๆตา

    ดวงตากลมโตที่เคยเปล่งประกายสดใสดั่งรุ่งอรุณว่างเปล่า คล้ายคนไร้ซึ่งชีวิตและจิตวิญญาณ แตกต่างไปจากเด็กน้อยผู้ที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเขาจนน่าตกใจ

    “จอดรถ!

    เสียงที่เอ่ยออกไปนั้นดังกึกก้องจนผู้ติดตามงุนงงแต่ก็ยอมปฏิบัติตามแต่โดยดี รถยนต์คันหรูสีดำเลียบเข้าข้างทาง เพื่อให้ทันใจผู้เป็นนาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ดั่งใจคนร่างสูงเท่าไรนัก เพราะเพียงแค่รถยนต์เริ่มชะลอความเร็วแต่ยังไม่ทันจอดสนิท ถังหย่งคังก็ตัดสินใจเปิดประตูรถรีบวิ่งพรวดพราดตรงไปยังร่างของเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจสิ่งใดอีกเลย

                    รมย์ชลียืนนิ่งดั่งรูปปั้นหินเมื่อเห็นหน่วยกู้ภัยที่เพิ่งมาถึงพากันนำร่างของบิดามารดาและพี่ชายเธอออกจากซากรถยนต์ ทั้งสามคนถูกตรวจจับสัญญาณชีพจร แต่ก็ดูเหมือนเสียเวลาเปล่า เมื่อเลือดสีแดงฉานยังคงหลั่งรินออกมาจากร่างกายและบาดแผลฉกรรจ์อย่างไม่หยุด จนผู้คนพากันสิ้นสุดการช่วยเหลือ และปล่อยร่างอันไร้ซึ่งลมหายใจและวิญญาณให้นอนเหยียดยาวเช่นนั้นต่อไป โดยมีร่างเล็กของสุนัขตัวอ้วนกลมวางอยู่ไม่ห่างกัน

                    ไม่! ในหัวเธอตะโกนก้อง แต่ริมฝีปากสั่นระริกกลับไม่ยอมขยับ

    “หนูๆ เป็นไงบ้าง?”

    หนึ่งในพลเมืองดีที่เป็นผู้หญิงเอ่ยถามเธออย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นเด็กน้อยทรุดตัวลงนั่งบนพื้นดินพลางยกสองมือที่เปื้อนเลือดขึ้นพินิจ ร่างของรมย์ชลีสั่นเทายามที่บรรดาหน่วยกู้ภัยนำผ้าสีขาวผืนยาวคลุมร่างของผู้คนที่เธอรักทั้งสามคน

    ดวงตาของเธอคล้ายคนมืดมนอับจนหนทาง น้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสายโดยไม่รู้ตัว ไม่รับรู้ ไม่รับฟัง ว่ามีผู้ใดสอบถามหรือแตะต้องตัวเธอ คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาภายในหัว

    ทำไม? ทำไม? และทำไม? จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นกับคนในครอบครัวของเธอด้วย เธอไม่เคยต้องการการลาจากที่เป็นไปในรูปแบบนี้ มันโหดร้ายต่อหัวใจดวงน้อยดวงนี้เหลือเกิน

    มันมาก จนเกินกว่าที่เธอจะทานทน

    รมย์ชลีสะอื้นฮัก ไหล่บางสั่นไหว น้ำตาไหลพรากลงมาตามสภาพจิตใจ พรุ่งนี้เธอจะทนมีชีวิตอีกต่อไปได้อย่างไร เมื่อไร้พวกเขาทั้งสามคน เธออยากสิ้นใจตายตามพวกเขาไปเหลือเกิน เด็กน้อยเฝ้าภาวนาขอให้สวรรค์โปรดเมตตามารับชีวิตน้อยๆอันไร้ค่าของเธอไปเสียที

                    ถังหย่งคังแทรกตัวผ่านกลุ่มชนมุ่งตรงเข้าหาเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของฝูงชน ก่อนทรุดตัวลงตรงหน้าพลางเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเล็กๆนั่นอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน จนผู้ถูกสัมผัสรู้สึกได้ถึงกระแสความรู้สึกอบอุ่นมั่นคงที่ถูกถ่ายถอดออกมาจากหัวใจ ส่งผลให้รมย์ชลีหมดสติเข้าสู่นิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว

    ร่างเล็กบางของเด็กหญิงถูกชายหนุ่มช้อนขึ้นไว้ในวงแขนก่อนพาเธอเดินทางไปยังโรงพยาบาลทั้งๆที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมอกของตน ท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่มองมาอย่างงุนงงกับท่าทางทะนุถนอม ห่วงใย และเอาใจใส่ของผู้เป็นนาย

     

                    “ไปสืบเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้นมา”

    คำสั่งที่หลุดออกจากปากถังหย่งคังหลังผ่านเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ชายหนุ่มลงไปช่วยเหลือเด็กผู้หญิงคนนั้นส่งโรงพยาบาลผ่านไปได้สองวันนั้น มันทำให้จางเหวินงุนงงเป็นไก่ตาแตก ทุกครั้งที่พญามังกรแห่งถังมอบหมายงานให้เขาล้วนมีแต่

    “ฆ่ามันซะ” ไม่ก็  “เก็บพวกมันให้สิ้นซาก”  หรือ “ตอบแทนพวกมันให้สาสม” และ “ไปสืบเรื่องราวและจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามมา”

     ทว่าวันนี้เขากลับได้รับคำสั่งให้ไปสืบเรื่องราวของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ถ้ามีคนมาบอกเขาว่าโลกกำลังจะแตกตอนนี้นั้น เขาก็พร้อมที่จะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบุรุษผู้สุดแสนจะเย็นชาที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานเบื้องหน้าของเขา แม้จะไม่เคยแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ทางสีหน้า แต่ผู้ติดตามอย่างจางเหวินก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลง

    คำตอบที่เอ่ยออกไปพลางก้มศีรษะลงโค้งคำนับจึงมีแค่เพียง

    “ครับ ข้อมูลของเด็กคนนั้นจะปรากฎอยู่บนแผ่นกระดาษต่อหน้าท่านภายใน 24 ชั่วโมง”

    ชายหนุ่มรับคำก่อนหันหลังก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องเพื่อเริ่มปฏิบัติการตามงานที่ได้รับมอบหมายมา แม้เหตุการณ์ที่จางเหวินต้องประสบนั้น จะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มรับรู้ได้ตามสัญชาตญาณนั่นคือ นับจากนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลง

    “น้องลี...ตื่นเถอะลูก”

    เสียงนุ่มหวานของมารดากระซิบอยู่ข้างหูพร้อมด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งของหัวใจยามมือของมารดาลูบไล้ไปตามศีรษะและเส้นผมของรมย์ชลีอย่างแผ่วเบา

    “ยายตัวเปี๊ยกจอมขี้เซา ตื่นได้แล้ว ไม่งั้นพี่จะปล่อยให้ไอ้เต้าหู้มันเลียปากเราแล้วนะ”

    คราวนี้เป็นเสียงเอ่ยเย้าของสมิทธิพัฒน์ที่ดังขึ้นไม่ไกล ส่งผลให้รมย์ชลียอมลืมตาตื่นขึ้นอย่างยากเย็น บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยม่านหมอกหนาทึบแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด จนเธออดแปลกใจไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ใดกัน

    ความฝันหรือว่าความเป็นจริง?

    “คุณแม่ พี่พัฒน์ คุณพ่อ น้องลีฝันร้ายมากๆเลยค่ะ”

    เด็กหญิงบอกมารดาหน้าตาตื่นพลางโถมตัวเข้าหาโอบกอดร่างท่านไว้แน่น เพื่อยืนยันว่าตนเองนั้นไม่ได้ฝันไป ณ เวลานี้ เธอยังคงอยู่ในโลกของความเป็นจริงที่ทุกๆสิ่งยังคงเหมือนเดิม

                    คุณนวลนรีและร้อยเอกบรรทมยิ้มเศร้า ฝืนทนสบตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของบุตรสาวอย่างยากเย็น ก่อนจะเฉลยถึงบางสิ่งที่เด็กหญิงหวาดกลัว

    “พ่อ...มาลา”

    เสียงของบิดาแหบโหยยามเอ่ยคำพูดที่กรีดลึกเข้าไปถึงทรวงของคนฟัง หยาดน้ำตาของเด็กหญิงและบิดาคลอเบ้าเมื่อลางสังหรณ์ต่างๆกำลังเล่นงานให้เธอค่อยๆยอมรับความเป็นจริง เมื่อทุกๆสิ่งจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

                    รมย์ชลีสะอื้นฮักยามร่างของบิดาและพี่ชายเคลื่อนกายเข้ามาสวมกอด สี่คนพ่อแม่ลูกร่ำไห้จนตัวโยนเมื่อเวลาแห่งการลาจากใกล้เข้ามาทุกที...ทุกที

    หนูขอโทษ....หนูขอโทษ...”

    รมย์ชลีพร่ำร้องเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปมา พลางแนบดวงหน้าลงกับอกอุ่นของมารดา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของเธอ หากวันนั้นเธอไม่ออดอ้อนเอาแต่ใจ ในวันนี้เธอก็จะไม่สูญเสียพวกท่านไปเช่นนี้เลย

    “อย่าโทษตัวเอง”

    คุณนวลนรีเอ่ยปลอบบุตรสาวเสียงสั่น พลางออกแรงกอดรัดร่างน้อยแน่นขึ้นกว่าเดิม เพราะรู้ตัวดีว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะจากไปทั้งๆที่ยังห่วงใยบุตรสาวคนเล็กเหลือเกิน

    “ใช่ มันเป็นชะตากรรมของพวกเรา หนูอย่าเอาแต่โทษตัวเองเลย”

    ร.อ.บรรทมเอ่ยเสริมในขณะที่สมิทธิพัฒน์พยักหน้าสนับสนุนด้วยรอยยิ้มอย่างให้กำลังใจ

    “แต่คุณพ่อเพิ่งจะได้เลื่อนยศ ส่วนพี่พัฒน์ก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารปีสุดท้ายแล้วด้วยมันไม่ยุติธรรม!

    สมิทธิพัฒน์ยิ้มอ่อน เอื้อมมืออกมาลูบศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดูอย่างที่เคยทำเสมอ

    “งั้นก็ต้องมีชีวิตต่อไป ทดแทนในส่วนของพี่ด้วยเข้าใจหรือเปล่า?”

    “พาหนูไปด้วยไม่ได้เหรอคะ?”

    สมิทธิพัฒน์ยิ้มเศร้าในขณะที่คุณนวลนรน้ำตาไหล

    “พวกเราต้องไปแล้ว”

    ร.อ.บรรทมเอ่ยเตือนตนเองและทุกคนในครอบครัว เมื่อม่านหมอกสีขาวขุ่นมัวเริ่มเคลื่อนเข้ามา

    “ไปไหน? ไม่นะคะ ขอน้องลีไปด้วย คุณพ่อ คุณแม่ พี่พัฒน์อย่าทิ้งน้องลีไป!

    เด็กหญิงกรีดร้องเมื่อร่างของทุกคนในครอบครัวค่อยๆเลือนหายจนห่างไกลออกไปลิบตา

    “ไม่!ไม่นะ! รอน้องลีด้วย อย่าไป! ม่ายย!

    รมย์ชลีกรีดร้องจนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความเป็นจริง ทุกๆสิ่งรอบกายช่างแปลกตา พลางหรี่สายตาเพื่อปรับเขาหาแสงไฟที่สะท้อนอยู่ภายในห้องสีขาวนวลที่ตนเองนอน คำถามแรกที่ดังขึ้นในหัว ที่นี่คือที่ไหนกัน?

     “น้องลี ฟื้นแล้วหรือลูก” สุวิชชาเอ่ยถามหลานสาวเพียงคนเดียวด้วยความเป็นห่วง ขณะที่อานนท์บุตรชายวัยรุ่นของนางกำลังขยับตัวอยู่บนโซฟารับแขกภายในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลอย่างเหนื่อยหน่าย

    “ฟื้นแล้วซิแม่ ถ้าไม่ฟื้นมันจะลืมตาแป๋วอย่างนั้นเรอะ”

    “ไอ้นนท์!” นางเอ็ดบุตรชายตาเขียว ก่อนพยักพเยิดหน้าไล่เด็กหนุ่มให้ออกไปจากห้อง “เอ็งออกไปหาพ่อข้างนอกโน่นไป๊”

    “จะคุยอะไรก็เร็วๆเข้านะแม่ฉันล่ะอยากออกไปซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่จะแย่แล้ว”

    “เออๆ ออกไปก่อนไป”

    นางเอ่ยไล่หลังบุตรชายวัย 17 ปีที่เดินลากขาออกจากห้องพักฟื้นจนประตูถูกปิดลง รมย์ชลียกมือขึ้นกุมขมับ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันจนยุ่งเมื่อรู้สึกปวดศีรษะจนเกินบรรยาย แต่ก็ไม่วายเอ่ยถามถึงบุคคลอันเป็นที่รักด้วยน้ำเสียงร้อนรน

    “พ่อกับแม่ละคะป้าสุ พี่พัฒน์ด้วย พาน้องลีไปหาได้ไหมคะ”

    “ศพพ่อแม่ของหนูและตาพัฒน์ป้าเผาไปแล้วนะลูก คนตายโหงเก็บไว้นานไม่ดีถ้าเกิน 3 วันคนเขาถือ”

                    ใครถือเธอก็ไม่ทราบ แต่ป้าสุวิชชาแกพูดออกมาเช่นนั้น เด็กหญิงจึงทำได้เพียงแค่กลืนก้อนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น เมื่อหยาดน้ำตาต่างพากันไหลลงมาไม่ขาดสาย

    ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงความสูญเสียที่เกิด ภาพของทุกคนในครอบครัวที่มาเอ่ยลายังคงจำได้ติดตา แต่ที่หนักหนากว่าคือเธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ร่ำลากับร่างที่ไร้วิญญาณของพวกเขาเลย

    “อย่าร้องไห้เลยนะลูก เดี๋ยวป้าจะเป็นธุระดูแลสมบัติของน้องลีไว้เอง อย่าเป็นกังวลเลยนะลูกนะ”

    สุวิชชาเอ่ยปลอบหลานสาว แต่ทำไมนะรมย์ชลีถึงได้รู้สึกว่าคำพูดของป้านั้นมันไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด!

                    สมควรแล้วละ ในเมื่อตอนนี้ร่างกายของเธอเปื้อนเลือด และจิตใจของป้ามืดบอด ช่วงชีวิตต่อไปจากนี้ของเธอ มันจะยังคงเหลือความหวังและแสงสว่างไว้บ้างไหมนะ หัวใจของเธอมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆต้องตายโดยไม่มีวันได้กล่าวคำล่ำราแม้แต่ต่อหน้าร่างที่ไร้วิญญาณของพวกเขาก็ตาม เวรกรรมได้ย้อนกลับมาหาเธอแล้ว

    เพราะหลังจากนี้รมย์ชลีรู้ตัวว่าเธอจะต้องชดใช้กรรมด้วยการอยู่ร่วมกับป้าสุวิชชาหลังออกจากโรงพยาบาลอย่างแน่นอน

    ชีวิตไม่เคยมีคำว่ายุติธรรม!

    ผ่านไป 24 ชั่วโมงตามที่รับปากกับเจ้านาย ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นามว่าจางเหวินก็สามารถหาข้อมูลของเด็กผู้หญิงคนนั้นให้เขาได้อย่างรวดเร็วทันใจและละเอียดตรงตามกับที่เขาต้องการ รมย์ชลีเป็นเด็กอารมณ์ดีเฉลียวฉลาดและเป็นที่รักของพ่อแม่และพี่ชาย  ฐานะปานกลางและกำลังจะอับจนหนทางเพราะผู้เป็นป้าเริ่มกระทำการยึดทรัพย์สินของเธอ

    มือหนากำกระดาษแผ่นบางสีขาวแน่นราวกับว่าเจ้ากระดาษนั้นคือลำคอเหี่ยวย่นของผู้หญิงน่ารังเกียจนามว่าสุวิชชา

    ไม่! เขาจะปล่อยให้ชีวิตของเด็กคนนั้นมืดมนไม่ได้เป็นอันขาด แม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านมาถึงสี่ปี แต่เขาก็ไม่มีวันลืมเลือนใบหน้ากลมแป้นของเด็กน้อยที่มีผิวขาวอมชมพู ผมสีดำขลับของเด็กหญิงถูกจับถักเปียทั้งสองข้างและมือป้อมแสนนิ่มที่สัมผัสกับใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน

    “คุณอาไม่ต้องกลัวนะคะ เดี๋ยวน้องลีจะวิ่งไปตามคุณพ่อคุณแม่มาช่วยคุณอาเอง”

    รมย์ชลีวัยหกปีเอ่ยกับเขาเช่นนั้น เมื่อคราวที่ได้พบกันครั้งแรก มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำในเมื่อตอนนั้นเขาอายุ 21 ปีและกำลังไต่เต้าจากฐานอำนาจเก่าที่เคยมีจนยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่วายถูกตามล่าจากกลุ่มอำนาจอื่นและผู้คนในกลุ่มของเขาเองที่หวังจะโค่นล้มทายาทของตระกูลถัง ขึ้นผงาดฟ้าเป็นพญามังกรที่ยิ่งใหญ่กว่ามาเฟียใดๆทั้งปวงในแถบเอเชีย 

    ถังหย่งคังพลาดจนถูกยิง!

    นั่นคือคำพูดที่เขาใช้เตือนสติตนเองไม่ให้ใจอ่อน หวั่นไหวหรือแพ้พ่ายให้กับความอ่อนหวานใดๆ เพราะมันล้วนนำอันตรายถึงชีวิตมาสู่เขา ตลอดเวลาที่ความรู้สึกแบบนั้นก้าวผ่านเข้ามา

    แต่กระนั้นแม่ตุ๊กตาตัวน้อยก็ไม่หวาดหวั่นหรือเกรงกลัวในตัวเขาเลย เมื่อเธอได้พบร่างของชายแปลกหน้าที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉานหลบอยู่ในบริเวณรั้วข้างบ้านของเธอ

                    “อดทนไว้นะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวถึงโรงพยาบาลแล้วลุงจะพาไปแจ้งความ”  

    บิดาของรมย์ชลีเอ่ยกับถังหย่งคังไปตลอดทางที่บุรุษพยาบาลเข็นรถนำร่างเขาเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน ความรู้สึกที่หายไปนานนับ 10 ปีมันกลับมาอีกครั้ง เพียงแค่ได้เจอคนในครอบครัวบริรักษ์นุกุล นั่นคือความอบอุ่นที่เลือนหายไปจากใจเขามาเนิ่นนาน และตอนนี้มันก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทดแทนบุญคุณ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×