คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำที่สองสาวเพื่อนสนิทนั่งถกปัญหา เรื่องการถูกจับคู่ระหว่างปาลิตา
ในความเป็นเพื่อนสนิท ที่สบันงาออกตัวว่าจะช่วยเหลือ...ก็เลยกลายเป็นว่า เธอจำเป็นต้องยอมตกลง ไม่ว่าจะเต็มใจไปหรือไม่ก็ตาม
“ชั้นแค่ไปเป็นเพื่อนนะยะ...ส่วนเรื่องการตัดสินใจ แกต้องเป็นคนพูดคุยกับคุณป้าเองนะ ชั้นไม่เกี่ยว...ชั้นมันคนนอก...ขี้เกียจโดนหางเลขไปด้วย” สบันงารีบออกตัวทันที
“เออน่า...เรื่องนั้นชั้นจะลองหาทางหนีทีไล่เอาเอง...ยังไงชั้นก็ไม่ยอมหรอก”
“แต่เที่ยวนี้ชั้นว่าแม่แกเค้าเอาจริง”
ปาลิตาหน้ามุ่ยทันที ที่เพื่อนสาวทำเสียงเครียด “แกอย่ามาขู่แทนแม่ชั้นหน่อยเลย”
สบันงาลุกขึ้นไปหยิบรีโมตทีวี ก่อนจะเปิดไปดูรายการต่างๆของแต่ละช่อง
“แล้วคืนนี้...แกจะนอนนี่รึเปล่า”
สบันงาจ้องหน้าเพื่อนที่ยังคงหดหู่ มีแววกังวลในดวงตาสีอ่อนคู่นั้น
“ไม่ล่ะ...เดี๋ยวชั้นกลับดีกว่า...พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า” พูดจบเธอก็เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง
“แกมายังไง...ขับรถมาเองรึเปล่า”
ปาลิตาส่ายหน้า “ใครจะมีอารมณ์ขับรถยะ...ชั่วโมงนั้นชั้นคิดแค่เพียงอยากออกจากบ้านเท่านั้นล่ะ...ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเรียกแท็กซี่กลับ”
“ชั้นไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ มาเองได้ก็กลับเองได้”
ปาลิตาลุกขึ้นไปนั่งขอบเตียง...ปากก็สนทนา มือก็หยิบหนังสือเล่มหนาปกสีน้ำตาล
ที่วางอยู่บนหัวเตียง กำลังจะเปิดดูข้างใน...แต่ก็ไม่ทันได้เปิด เมื่อเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวชั้นไปดูให้” ปาลิตารีบลุกขึ้นไปเปิดประตู
ปาลิตาวางหนังสือเล่มนั้นลงบนที่เดิม โดยไม่ได้นึกสนใจมันแม้แต่น้อย...และมันก็เป็นความรู้สึกของสบันงาเองเหมือนกัน ที่ขณะนี้เธอไม่อยากจะให้ปาลิตามาเห็นเนื้อหาข้างในหนังสือเล่มนี้เสียแล้ว ไม่เหมือนเมื่อหลายชั่วโมงก่อน...ที่เธอนึกอยากจะเอาหนังสือเล่มนี้มาเป็น
สบันงารีบลุกไปหยิบหนังสือเล่มนั้นทันที และฉวยมันลงซ่อนไว้ข้างชั้นวางหนังสืออ่านเล่นที่กองพะเนินเทินทึก ก่อนจะลงมานั่งเล่นที่โซฟาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
...........................................
เมื่อปาลิตาเปิดประตู เธอก็โผเข้ากอดเต็มแรง กับบุคคลที่ยืนเรียกอยู่นอกประตูผู้นั้น...น้ำตาที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ ก็กลับเหมือนจะรื้นชื้นขอบตาเสียอย่างนั้น
ปาลิตากอดชายคนนั้นไว้เสียแน่น ก่อนที่จะพูดกับเขา
“พี่ปองรู้ได้ยังไงว่าปุ๊กกี้อยู่ที่นี่”
เธอคลายกอดจากพี่ชาย ก่อนจะดึงมือเขาให้เข้ามาในห้อง
ปกป้องเดินตามน้องสาวเข้ามา โปรยยิ้มทักทายสบันงา ก่อนจะหลุบตามองไปที่อื่น เมื่อเห็นแววตาของสบันงาที่จ้องกลับ คล้ายกับตะลึงในตัวเขาที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน
สบันงาลุกพรวดจากโซฟา ขึ้นไปยืนเกาะแขนชายหนุ่มที่ตอนนี้ยืนตัวแข็ง เพราะความรู้สึกบางอย่างที่แทรกเข้ามา ในช่วงวันเวลาที่เขาไม่เจอหญิงสาวเสียนาน
ปกป้องยืนนิ่ง ได้แต่ยิ้มรับจนทำตัวไม่ถูก เมื่อการทักทายของสบันงามีแต่คำถาม
“ดีใจจังเลยค่ะ...พี่ปอง...เราไม่ได้เจอกันเสียนาน...จนมิ้นท์แทบจะจำพี่ปองไม่ได้” สบันงายิ้มสวยจนเหมือนจะหยุดเวลาขณะนั้นนิ่งกับที่
“พี่ดูเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปลี่ยนไปมากเลยล่ะค่ะพี่ปอง”
จะไม่ให้สบันงารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวปกป้องได้อย่างไร ในเมื่อสองปีก่อน
ทุกอย่างที่เป็นเรื่องภายนอกเปลี่ยนแปลงไปเกือบหมดสิ้น...หากแต่ในดวงตายาวรีที่หรี่มองเธอ กลับเต็มไปด้วยคนเดิมที่เคยแอบชอบสบันงา
ดวงตาของวันวานที่วันนี้ยังคงเดิม
“มิ้นท์มองพี่แบบนี้ พี่ก็เขินแย่สิเรา”
สบันงาชวนถามความเป็นไปเป็นมาของปกป้องเสียนาน จนคนทั้งคู่ก็ลืมไปว่ายังคง
หัวข้อสนทนาที่ควรจะเป็นเรื่องเศร้าใจของปาลิตา ก็เลยถูกกลบไปด้วยข้อสนทนา
นั่งฟังจนดึก จนตัวเองก็ลืมเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
“อะแฮ่มๆ” ปาลิตากระแอมเบาๆ เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่ใกล้เวลาเที่ยงคืน
“คุยกันเพลินจนลืมเพื่อนลืมน้องเลยนะ” ปาลิตาทำตาปะหลับปะเหลือกใส่คนทั้งคู่
“งั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะ” ปกป้องลุกขึ้นตามน้องสาวที่ตอนนี้ไปยืนรออยู่ที่ประตูเรียบร้อย
ปาลิตาดูออกว่าแววตาของพี่ชายอาลัยอาวรณ์เพื่อนของเธอ จนแทบไม่อยากกลับ
แต่แววตาของเพื่อนเธอนี่สิ ดูยังไงก็ไม่เห็นประกายแห่งความรู้สึกพิเศษใดกับพี่ชายเธอเลย แต่ถ้าปกป้องจะชอบกับสบันงา เธอก็นึกเชียร์เพื่อนรักเต็มที่
หรือว่าเธอจะแอบเป็นแม่สื่อแม่ชักให้พี่ชายกับเพื่อนรักดีหนอ?
เธอคิดอยู่ในใจแค่นั้น ก่อนจะดึงแขนพี่ชายกลับบ้าน หลังจากล่ำลากันเสร็จสรรพ
.......................................
เมื่อปาลิตามีพี่ชายมารับตัวกลับบ้านไปแล้ว เรื่องที่คุยกันค้างไว้ถึงวันเสาร์ เธอก็ตอบตกลงไปเรียบร้อย...สารทุกข์สุขดิบก็ไถ่ถามกันเสียจนเรียกว่า ช่วงสองปีที่ผ่านไป เรื่องราวต่างๆถูก
แต่ในวันนี้สิ่งที่ปกป้องเล่าสู่กันฟัง ก็เป็นเพียงแค่บทเริ่มต้นที่ไม่ได้อยู่ในความรู้สึกของเธอเลย...ต่างกับอีกฝ่าย ที่ตอนนี้ระหว่างทางที่ขับรถกลับบ้าน เรื่องราวของสบันงาที่เล่าให้ฟัง
สบันงาไม่รู้สึกตัวเลย ว่าตอนนี้ปกป้องกำลังรู้สึกอย่างไรกับเธอ
เธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในชุดนอนด้วยเสื้อกล้ามรัดรูปกับกางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว
ที่นอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะผู้ชายที่พึ่งขอตัวกลับไปเมื่อสักครู่ หากแต่เป็นเพราะ
ในขณะที่สบันงากำลังหลับตาด้วยความอ่อนเพลีย...แต่ชายหนุ่มที่พึ่งแยกตัวจากเธอเมื่อช่วงเที่ยงคืน กลับกระปี้กระเป่าร่าเริงผิดเวลา...
หัวใจของปกป้องเริงร่าลิงโลดไม่เป็นจังหวะ เมื่อวันนี้เขาตัดสินใจจะไปรับน้องสาวที่คอนโดของสบันงา เมื่อเขาได้ข้อมูลว่าที่อยู่ของเธออยู่แถวไหนจากปากของปัณนรี
เขารับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างมารดากับน้องสาว...แต่เขาก็ได้แต่น้อมรับฟังผู้เป็นมารดาอย่างนิ่งเงียบ...เพราะถ้าเขาออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการดูตัวของปาลิตา เขา
ไม่ใช่ว่าคุณปัณนรีจะไม่เคยไต่ถามเรื่องของการแต่งงานกับเขา เพียงแต่ข้ออ้างของเขาคือขอเวลาสร้างเนื้อสร้างตัวสักสองสามปี รอเวลาของอายุให้ย่างเข้าสามสิบห้าอย่างที่มารดาแนะนำก่อน...วันนั้นเขาคิดว่าคงจะพร้อมแน่นอน
แต่ในความเป็นจริง เป็นเพราะตัวเขายังไม่เคยถูกใจใครต่างหาก...สาวๆที่เคยควงและยังควงอยู่ในขณะนี้ ก็มีแต่หญิงสาวที่รักสนุกไม่คิดผูกพัน บ้างก็แค่ควงเขาไว้ออกงานสังคมเพราะเห็นว่าเขาพอจะมีเชื้อชาติตระกูลอยู่ในเกณฑ์เข้าขั้นว่าดี บ้างก็แค่เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่รูปร่างดีหน้าตาดี...ผู้หญิงแต่ละคนไม่เคยออกปากอยากจะคบเขาจนถึงขั้นสร้างครอบครัว
เขาเลยกลายเป็นผู้ชายที่รักอิสระ ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ
แต่ในวันนี้ เมื่อคุณปัณนรีออกปากว่าปาลิตาน่าจะไปอยู่ที่คอนโดของสบันงา เขาจึง
ปกป้องหยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งขึ้นมาดู หน้าปกสีชมพูหวานแหววลายตุ๊กตาหมี
เขาอมยิ้มเมื่อเปิดอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้าน แล้วบังเอิญค้นเจออยู่ในลังไม้ที่เก็บสิ่งของในอดีตต่างๆไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นของเล่นที่เขาชอบเล่นในวัยเด็ก ตุ๊กตุ่นยาง
สมุดบันทึกเล่มนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาหยิบมาอ่านครั้งใด ก็จะรู้สึกสุขใจทุกครั้ง
ถึงแม้ว่าสมุดบันทึกเล่มนี้จะไม่ใช่ของเขา...แต่ข้อความที่เขียนลงไปหลายหน้ากระดาษ ก็มีการเขียนพาดพิงถึงเขาอยู่ค่อนข้างเยอะ...
‘เวลาเที่ยงยี่สิบ...
วันนี้อากาศร้อนมากๆเลย...ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉันอยากจะบ้าตาย...แต่แล้วก็เหมือนกับมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ ตกลงมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่มีวี่แววเลยซักนิด แต่ที่ฉันยังนึกขำไม่หายก็เพราะวันนี้มีลูกหมาตกน้ำมาที่บ้านฉันคนนึง...นั่นแน่ยายปุ๊ก แกกำลังสงสัยใช่มะว่าฉันหมายถึงใคร...ฉันขอนินทาเขาหน่อยละกัน ก็พี่ปองของแกอ่ะดิ จู่ๆก็โผล่มาหาฉันทั้งๆที่ตัวเปียกแฉะไปหมด...จะไม่ให้ขำยังไงไหว...แต่แกรู้มั้ยว่าทำไมเขาถึงมาหาฉันทั้งที่ตัวเปียกไปหมด...ฉันจะบอกให้เอาบุญล่ะเพื่อน...แต่มีข้อแม้นะ ว่าแกห้ามไปฟ้องพี่ปองเด็ดขาด ว่าฉันแอบมาเขียนบอกแกในบันทึก ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่...อิอิ...ที่ต้องขำเพราะว่าบ้านแกก็อยู่ห่างจากฉันแค่สองรั้วติดกัน ทำไมไม่รอให้ฝนหยุดก่อนค่อยมาหาก็ได้...ธุระอะไรก็ไม่มี แค่อยากจะมาชวนฉันไปดูหนังเป็นเพื่อนแก...ทำไมเขาไม่ให้แกมาชวนชั้นนะ...ฉันล่ะงง...ขำมั้ยเพื่อน5555’
บันทึกหน้านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมุดเล่มเล็ก มันเป็นสมุดบันทึกของสบันงาที่แลกกันเขียนกับปาลิตา เมื่อครั้งที่ทั้งคู่ยังเรียนชั้นมัธยมต้น และตัวเขาก็กำลังจะจบมัธยมปลาย
ถ้าสบันงารู้ว่าเขาแอบเก็บและแอบอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้มานานหลายปีแล้ว เธอจะรู้สึกยังไงบ้างนะ?
แต่แน่ล่ะ...ที่ครั้งกระโน้นเมื่อตอนเขียนบันทึก สบันงาคงจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย เพราะการที่เขาตั้งใจมาชวนเธอไปดูหนัง ก็แค่ใช้ชื่อน้องสาวเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง โดยที่ปาลิตาเองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน และที่เขาต้องเปียกฝนอย่างที่เห็น ก็เพราะจู่ๆก็มีฝนตกเทลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะขณะที่เขาก้าวขาออกจากบ้าน ในตอนนั้นแดดกำลังเปรี้ยงอย่างที่เรียกว่าขั้วโลกร้อนเลยก็เป็นได้
ปกป้องอมยิ้มน้อยๆอย่างสุขใจ เมื่อยังคงอ่านบันทึกอีกหลายหน้า ก่อนที่จะสอดมัน
อย่างน้อยเขาก็รู้ล่ะว่าในตอนนี้...สบันงายังไม่มีใคร...เธอยังเป็นโสด
หรือว่าเธอก็กำลังคอยเขาอยู่นะ...เขาเข้าข้างตัวเอง
ก่อนจะผล็อยหลับไป ด้วยอาการยิ้มค้างอย่างคนกำลังมีความรัก...เขาคิดอยู่ในใจว่า
เขาจะจีบสบันงานี่ล่ะ...เขามั่นใจว่าที่ผ่านมาเขายังไม่อยากรักใครเป็นจริงเป็นจัง ก็น่าจะเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างที่ฝังจำในวัยเยาว์
เขามั่นใจว่าคนนี้ล่ะที่เขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมด้วยกัน
..................................
เช้าวันใหม่ที่เข้าสู่การทำงานกับเจ้านายคนใหม่เป็นวันที่สอง สบันงาอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้องพักตั้งแต่เช้าตรู่ และมั่นอกมั่นใจในตัวเองว่า วันนี้จะไม่มีการหลับคาโต๊ะทำงานโดยเด็ดขาด...ไม่เช่นนั้นนายเสือยิ้มยากอาจจะตำหนิเธอได้
และคนแรกที่ตามหลังเธอเข้ามาในออฟฟิศ ก็ไม่ใช่ใคร...พรฤดีนั่นเอง
แต่ท่าทางรีบร้อน หน้าตาตื่นนั่นปะไร ที่ทำให้สบันงาต้องเอ่ยถาม
“เป็นอะไรคะพี่ฤดี...มีอะไรคะ...วิ่งหน้าตาตื่นมาเชียว”
พรฤดียืนหายใจหอบ ก่อนจะสาธยายความ “น้องมิ้นท์เห็นหรือยังคะ”
“เห็นอะไรคะพี่ฤดี...นั่งก่อนค่อยพูดก็ได้”
สบันงาขยับเก้าอี้ด้านข้างให้พรฤดี...และหน้าตาของเธอก็แสดงความใคร่รู้จริงจัง
“ตอนที่พี่เดินผ่านด้านล่างตึกน่ะค่ะ มีรูปน้องมิ้นท์ติดอยู่ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ชั้นล่าง...น้องมิ้นท์ไม่ทันเห็นเหรอคะ”
“รูปของมิ้นท์” เธอชี้นิ้วไปที่ตัวเอง “เป็นรูปเกี่ยวกับอะไรคะ”
“เป็นรูปน้องมิ้นท์กับเจ้านายน้องมิ้นท์สิคะ...พี่ว่าน้องมิ้นท์ลงไปดูเองดีกว่า”
ไม่ทันสิ้นคำ สบันงาก็ลุกพรวดคว้าข้อมือรุ่นพี่สาวทันที
เมื่อเธอลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นกลุ่มคนกำลังยืนจับกลุ่มนินทา อยู่ด้านหน้าบอร์ดประชาสัมพันธ์ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นเธอต่างก็หันกลับมามองเธอเป็นตาเดียว
สบันงาแหวกกลุ่มคนเข้าไป ยืนจ้องหน้าบอร์ดมองไปยังรูปถ่ายที่ติดอยู่บนนั้น
“นี่มันอะไรกันเนี่ย...ใครเป็นคนทำ”
จะไม่ให้เธอเสียงแหวใส่คนรอบข้างได้อย่างไร เมื่อหนึ่งในภาพถ่ายของเธอนั้นเป็นภาพอันน่าเกลียด เป็นภาพที่เธอกับเข้มขาลกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ถึงแม้คนทั้งสองจะสวมเสื้อผ้ามิดชิด แต่สำหรับเธอ...มันไม่ใช่เรื่องจริง...
สบันงาเข้าไปกระชากรูปถ่ายทั้งหมดแล้วขยำจนไม่เหลือชิ้นดี ก่อนจะหมุนตัวกลับรีบขึ้นไปยังออฟฟิศของตนเอง
เธอบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงถูกใส่ร้ายป้ายสี...และใครกันที่เป็นคนทำ...ที่แน่ๆคนทำต้องไม่หวังดีกับเธอ
บุคคลนิรนามคนนั้นจงเกลียดจงชังเธอด้วยเหตุใด
อารมณ์ของเธอเดือดปุดๆ จนแทบอยากจะไปฉีกอกใครสักคนให้มารับผิดชอบ
“มันเป็นรูปตัดต่อแน่ๆค่ะ พี่ฤดี” เธอระบายกับเพื่อนรุ่นพี่
“แล้วมิ้นท์จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะคะ” เธอกุมขมับสองข้าง เอามือเท้าคางอย่างจนปัญญา “มิ้นท์ต้องรู้ให้ได้ว่าใครทำ”
“ใจเย็นๆค่ะน้องมิ้นท์ พี่ฤดีจะให้สายข่าวของพี่ช่วยอีกแรง”
สงสัยชีวิตของเธอคงต้องผูกขาดอยู่กับเข้มขาลแน่แท้ เพราะวันนี้ก็มีเรื่องปวดหัวมาอีกจนได้...ใครกันนะที่ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้...ใครคนนั้นต้องเป็นคนที่ชอบเข้มขาล
เธอตั้งข้อสมมติ แบบนักวิเคราะห์...หรือว่าจะเป็นกิรดา?
“สวัสดีค่ะพี่มิ้นท์” เสียงทักทายสดใสเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล
กิรดาเดินสวนกับพรฤดี ก่อนที่จะเข้ามายืนอยู่ข้างๆเธอ แล้วก็ถอยเก้าอี้ตัวที่พรฤดีพึ่งลุกไปลงนั่งแทน “แก้มนอนไม่หลับทั้งคืนเลยค่ะ”
สบันงาพยายามข่มเสียงให้เป็นปกติ ไม่วีน ไม่โวยวาย เมื่อเธอยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นคนทำ...แล้วเธอก็ยิ้มหวานทักทายสาวนักประชาสัมพันธ์รุ่นน้อง
“เป็นอะไรคะ ถึงนอนไม่หลับ”
สบันงาปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แม้มันจะยากเย็นเพื่อจะดับอารมณ์ฉุนกึกเมื่อสักครู่
ยิ่งเมื่อสงสัยว่าจะเป็นฝีมือสาวตรงหน้าหรือเปล่า ก็ยิ่งทำให้การฝืนเป็นไปอย่างยากเย็น.. แต่ก็ต้องทำ...
“พี่มิ้นท์ละก็...แก้มแค่จะมาตามข่าวเรื่องที่เราคุยกันไว้ มีความคืบหน้าหรือยังคะ”
สบันงาป้องปาก เมื่อถูกทวงถามถึงของในกล่องที่เป็นแผนการของตัวเอง
“น้องแก้มใจเย็นๆสิคะ ถ้ามีความคืบหน้าพี่จะบอกอีกที”
อะไรกันนะ ผู้หญิงคนนี้...แค่ผ่านไปคืนเดียว ก็มาเร่งยิกๆให้เธอจีบผู้ชายให้
สบันงานึกรำคาญอยู่ในใจ ไม่รู้ตัวว่าที่รู้สึกอย่างนั้นเป็นเพราะ ในใจคิดเรื่องรูปถ่ายเมื่อสักครู่ซึ่งคาดว่าจะเป็นฝีมือของกิรดาหรือเปล่า...หรืออาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อยากจะช่วยจีบเจ้านายหนุ่มให้กิรดาเสียแล้ว
แต่เมื่อสบันงาสบตาเพียงแวบเดียวกับกิรดา คนชอบวางแผนการอย่างเธอก็นึกอะไรดีดีขึ้นมาทันที
“แต่ถ้าพี่ช่วยน้องแก้มแล้วไม่สำเร็จ ห้ามมาต่อว่ากันนะคะ” สบันงาลอยหน้าลอยตา
เธอจงใจพูดออกตัวไว้ก่อน เพื่อจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะเป็นเช่นไร
แต่แววตาของหญิงสาวแก้มป่อง ก็ช่างดูใสซื่อและอ้อนวอนเหมือนกับน้ำเสียงที่ฉอเลาะอยู่ในขณะนี้ “แหม...พี่มิ้นท์อย่าตัดรอนอย่างนั้นสิคะ ยังไม่ทันจะช่วยแก้มเลย ยังไงแก้มก็มั่นใจว่าพี่มิ้นท์จะช่วยแก้มได้สำเร็จ...เพราะไม่งั้นแก้มก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร”
แค่จีบผู้ชายเนี่ยเหรอ ถึงกับต้องลงทุนอ้อนวอนเธอขนาดนี้ นึกแล้วสบันงาก็แอบหมั่นไส้กิรดาขึ้นมาตะหงิดๆ
“อีกอย่าง...แก้มไม่ต้องการให้คุณประสิทธิ์เข้ามาวอแวกับแก้มอีก”
พูดถึงคุณ
“ค่ะ...พี่จะลองดู” ว่าแล้วเธอก็รับปากกิรดาอีกครั้ง
แล้วเธอก็ต้องถามตัวเองว่าแผนการช่วยจีบเข้มขาลให้กิรดา กับแผนการที่จะสืบหาต้นตอของมือดีที่เอารูปเธอไปตัดต่อแล้วนำไปประจาน เธอควรจะเริ่มแผนไหนก่อนกัน
วิธีที่จะลากเอาคนที่ทำเรื่องสกปรกแบบนี้ออกมา ก็คือเธอจะลงมือจีบนายเข้มขาลเสียเอง เพื่อจะลองจับพฤติกรรมดูสาวๆรอบข้างว่าใครเป็นคนที่น่าจะไม่พอใจเธอ
แต่สบันงาเองแทบจะไม่รู้ตัวเลย ว่าในแผนการนั้นมันซ่อนความรู้สึกของตัวเองผสมผเสลงไปด้วย
สบันงาส่ายหน้าและเผลอเบะปากอย่างที่ชอบทำ เมื่อคล้อยหลังกิรดาเพียงเดี๋ยวเดียว
และเมื่อนึกถึงหนังสือกลเม็ดเล่มนั้น เธอก็เตรียมตัวจับแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดี ก่อนที่จะตั้งท่าเข้าไปในห้องของเจ้านายหนุ่ม เพื่อไปเรียนรู้ตามคำแนะนำในหนังสือว่าตอนนี้เข้มขาลอยู่ในสถานะใด...ซึ่งในใจเธอก็แอบหวังเล็กๆว่าเขาคงจะเป็นโสด กับผู้หญิงที่ชื่อไคริกานั่นก็คงเป็นแค่คู่ควง
“โอม เพี้ยง...” สบันงายกมือท่วมหัวคล้ายท่องคาถา
วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่า เข้มขาลเจ้านายเธอเป็นคนยังไง จะเพื่อกิรดาหรือตัวเธอเอง...เธอชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วสิ...
ว่าแล้วเธอก็ฟอร์มหยิบเอกสารบางเล่มเข้าไปเพื่อเป็นข้ออ้าง
ทำไมมันถึงตื่นเต้นขนาดนี้นะ หัวใจที่อยู่ข้างในมันเหมือนจะเต้นโครมครามออกมานอกทรวงอกซะอย่างนั้น
แล้วสบันงาก็ข่มตา สะกดใจตัวเอง แล้วถอนหายใจยาวๆเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะเคาะประตูหน้าห้องเจ้านาย
“เข้าไปได้มั้ยคะ”
...................................
ความคิดเห็น