ตอนที่ 29 : บทที่ 29 เสียงประหลาดท่ามกลางความมืด (100%)
ตอนที่ 29
ที่จริงแล้วเป็นเพราะวีรภัฏเป็นคนบอกบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งซุ่มประจำอยู่ตามจุดต่างๆ เองว่า ถ้าเกิดเขาปล่อยเด็กนักศึกษาจนครบทุกคนแล้ว เขาจะเป็นคนเดินปิดท้ายขบวนเอง ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนรับทราบตรงกันว่าเด็กกลุ่มสุดท้ายจะมีแถบสติ๊กเกอร์สีเหลืองสะท้อนแสงติดไว้ที่แขนเสื้อด้านข้างทั้งนักศึกษาหญิงและชาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สังเกตได้ชัด ดังนั้นตอนนี้ เหล่าเจ้าหน้าที่ซึ่งเฝ้าประจำจุดที่คู่สุดท้ายเดินผ่านไปแล้ว ก็จะเดินตามไปสมทบกับเจ้าหน้าที่กลุ่มต่อไปกันหมดแล้ว
หลังจากเดินมานานจนไร้วี่แววของนักศึกษาคนอื่นๆ กานต์รวีจึงเอ่ยถามขึ้นมาเสียงดัง
เราจะต้องเดินอีกนานไหมเนี่ย นายทดสอบความกล้าหรือทดสอบกำลังขากันแน่
หญิงสาวเริ่มเมื่อยเต็มทนแล้ว แต่ชายหนุ่มกลับตอบเสียงเรียบ
นี่เพิ่งครึ่งทางเอง เดินรอบภูเขาเล็กๆ ลูกนี้ก็แค่ประมาณ 3 กิโลได้
ว่าไงนะ! ตั้งสามกิโลเชียวเหรอ นี่มันวิชาเดินทางไกลของลูกเสือ เนตรนารีหรือไง นายใช้อะไรคิดเนี่ย แค่กิโลเดียวก็เหนื่อยจะแย่แล้ว
คำตอบของอาจารย์หนุ่ม ทำให้คนในอ้อมแขนถึงกับโพล่งออกมาอย่างตกใจเมื่อได้ยินว่ากิจกรรมในครั้งนี้มีระยะทางถึงสามกิโลเมตร หากเป็นทางพื้นราบระยะทางแค่นี้ก็คงกำลังสบายๆ แต่นี่เป็นทางขึ้นเขาที่ลาดชัน แถมแสงไฟก็มืดมิดจนมองแทบไม่เห็นทาง แบบนี้ไม่ต้องเดินกันจนถึงเช้าเลยหรือ กานต์รวีบ่นอุบเป็นชุดใหญ่จนชายหนุ่มข้างกายได้แต่ยิ้มขำ
ระหว่างทางมีน้ำตั้งไว้ให้ดื่ม ไม่ต้องกลัวหรอกครับ
ชายหนุ่มพูดแล้วก็ส่องไฟฉายก็ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งตรงข้างทางนั้น บนกิ่งของต้นไม้มีถุงพลาสติกบรรจุขวดน้ำแขวนเอาไว้ ที่ข้างถุงมีกระดาษแปะว่าน้ำดื่มทานได้ ทำเอาคนบ่นถึงกับปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที
นายนี่มัน...แล้วมันทดสอบความกล้าตรงไหนกัน ดูสิไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากความมืด
หญิงสาวส่องไฟไปจนทั่ว ถึงเธอจะแอบดีใจอยู่หน่อยๆ ว่ามีโอกาสได้เดินชมป่าตอนกลางคืนกับชายหนุ่มที่คุ้นเคยกันดี มากกว่าจะเป็นพวกเด็กหนุ่มนักศึกษาคนอื่นๆ ที่เธอไม่รู้จักหรือสนิทสนมด้วย เพราะเธอมาที่นี่ด้วยหน้าที่เพียงแค่ตีสนิทเพื่อล้วงเอาข้อมูลความลับมาจากชลธิชาเท่านั้นไม่ได้มาเพื่อหาเพื่อนใหม่
ต่อ
หวือ
เสียงดังมาจากทางด้านหลังของทั้งคู่ วีรภัฏหันไฟฉายไปที่ด้านหลังโดยมีหญิงสาวที่กระโดดเข้ามาเกาะหลังชายหนุ่มโดยเอาตัวเขาเป็นโล่กำบังกาย
นะ นั่นอะไรน่ะ
กานต์รวีเอ่ยขึ้นพร้อมกับค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังของชายหนุ่มพลางมองตามเสียงนั้น วีรภัฏส่องไฟฉายแกว่งไปมาอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เขาจึงชวนให้หญิงสาวเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
ไม่มีอะไรหรอกมั้ง เรารีบเดินกันเถอะ เดี๋ยวถ้าดึกกว่านี้จะลำบากนะครับ
นายไม่ได้ยินเหรอเสียงนั้นน่ะ
หวือ... หวือ...
นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้า พลันเสียงปริศนาก็ดังขึ้นอีกครั้ง กานต์รวีซึ่งเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว เมื่อมีสายลมแรงๆ พัดมาปะทะร่างของเธอ ด้วยความตกใจทำให้หญิงสาววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต นายตำรวจหนุ่มซึ่งเห็นเด็กสาววิ่งออกนอกเส้นทางไปแล้ว ก็รีบวิ่งตามเธอไปอย่างรวดเร็วทันที
เดี๋ยวกานต์ เธอจะไปไหนน่ะ นั่นไม่ใช่ทางที่เราจะต้องไปนะ เดี๋ยวก็หลงหรอก
วีรภัฎตะโกนเรียกอีกฝ่ายอย่างร้อนใจ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาเลย
แย่ล่ะสิ จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่านะ
ชายหนุ่มนึกในใจ เขาได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามแสงจากไฟฉายของกานต์รวี เขาต้องหยุดเธอให้ได้ไม่อย่างนั้นหญิงสาวอาจจะทำให้แผนที่เขาวางเอาไว้เสียหายหมด พลันแสงจากไฟฉายในกระบอกของหญิงสาวก็หายไปในความมืด ผู้กองหนุ่มได้แต่ค่อยๆ คลำทางไปเรื่อยๆ ตามรอยที่กานต์รวีทิ้งเอาไว้
ต่อ
ในที่สุดวีรภัฏก็พาตัวเองมาหยุดยืนที่ขอบหน้าผาเล็กๆ แห่งหนึ่งสูงประมาณสองเมตร เขาเกือบจะหล่นลงไปอยู่แล้ว โชคดีที่หยุดปลายเท้าเอาไว้ได้ทัน เขาส่องไฟลงไปรอบๆ จนพบกับร่างของกานต์รวีที่นั่งกอดอกตัวสั่นงันงกอยู่ตรงชะง่อนผา ชายหนุ่มค่อยๆ ไถลตัวลงมาหาหญิงสาวทันที
กานต์เป็นอะไรหรือเปล่า
วีรภัฏใช้ไฟฉายของเขาส่องไปที่ใบหน้าของหญิงสาว หยดน้ำใสๆ ที่ไหลอาบสองแก้มสะท้อนกับแสงไฟเป็นประกายวิบวับ
กานต์เจ็บขาค่ะ
เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พลางรีบชี้ไปที่ขาข้างซ้ายของตัวเอง ชายหนุ่มส่องไฟฉายไปตามมือของหญิงสาว พลางบอกให้เธอถือกระบอกไฟฉายเอาไว้แทนเขา พร้อมกับค่อยๆ ถลกขากางเกงยีนส์ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดของหญิงสาวขึ้นมา
ขอผมดูแผลหน่อยนะ
แสงไฟที่ส่องกระทบไปบนขาของคนเจ็บ ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นว่าตรงหน้าแข้งของกานต์รวีนั้นมีร่องรอยแผลถลอกปอกเปิกและมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด
สงสัยหน้าแข้งคงจะกระแทกกับขอบหน้าผาตอนที่ตกลงมาน่ะ แล้วมีบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า
กานต์รวีส่ายหน้าแทนคำตอบ หยาดน้ำใสๆ ยังคงไหลรินลงมามิได้หยุดหย่อน วีรภัฏหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตน แล้วกดซับไปบนบาดแผลนั้นเพื่อห้ามเลือด หญิงสาวหลับตาปี๋พยายามกัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้แต่ก็ยังมีเสียงเล็ดรอดออกมาจากลำคออยู่ดี เธอกล่าวขอบคุณชายหนุ่มทั้งน้ำตา
ขอบคุณนะคะ
ต่อ
ระหว่างที่พยายามใช้ผ้าเช็ดหน้ากดห้ามเลือดเอาไว้ ชายหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าควรจะติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่น่าจะยังวนเวียนอยู่ในละแวกนี้ให้มาช่วยเขา แต่พอหยิบโทรศัพท์มือถือแบบฝาพับของตัวเองออกมาดู วีรภัฏก็ต้องสบถออกมาเบาๆ อย่างนึกโกรธตัวเองที่ดันสะเพร่าลืมชาร์จแบตเตอร์รี่เสียได้
มือถือของฉันแบตหมด แล้วของเธอล่ะ
นายตำรวจหนุ่มก้มมองโทรศัพท์ที่ไร้ซึ่งพลังงานบนมือ อย่างท้อใจเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆได้ พลางหันไปถามหญิงสาวอย่างมีความหวัง แต่แล้วความหวังสุดท้ายก็กลับพังทลายลงเมื่อกานต์รวีลูบคลำไปที่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างของตน ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนลงมาทานอาหารเย็น เธอชาร์จโทรศัพท์ไว้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กานต์รวีหน้าเสียก่อนจะตอบปฏิเสธเสียงอ่อยว่าเธอไม่ได้นำโทรศัพท์มือถือพกติดตัวมาด้วย
เอ่อ คือว่า ลืมเอามาค่ะ
วีรภัฏได้แต่เอามือกุมหน้าผากตัวเองพร้อมกับครุ่นคิดหาวิธีที่จะทำให้พวกเขากลับไปยังเส้นทางเดิมได้ เพราะตอนนี้บรรยากาศรอบๆ ตัวของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง สายลมพัดเร็วและแรงมากขึ้น ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจมีพายุฝนพัดเข้ามาก็เป็นได้
แล้วไฟฉายของเธอล่ะ
หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ วีรภัฏหันซ้ายแลขวาส่องไฟฉายมองไปทั่ว เขาเดินไปรอบๆ บริเวณก็พบกับไฟฉายของกานต์รวีที่หลอดไฟได้ขาดไปเสียแล้วเหลือแต่พลังงานภายใน เขารีบเอาถ่านที่เหลือเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณชะง่อนผา ดูเหมือนที่ตรงนี้จะอยู่นอกเส้นทางออกมาไกลโขทีเดียว ไม่นานนักก็มีแสงไฟแลบแปลบปลาบอยู่บนท้องฟ้า ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องครืนจากที่ไกลๆ สายลมที่พัดมานั้นค่อยๆ กรรโชกแรงมากขึ้น
ดูเหมือนฝนจะตกนะ ผมว่าเรารีบหาที่หลบฝนก่อนดีกว่า
ตำรวจหนุ่มหันมาพูดกับหญิงสาว กานต์รวีมองไปรอบๆ ตัว เธอไม่คิดว่าในบริเวณใกล้ๆ นี้จะพอมีที่ให้หลบฝนได้เลย ขืนจะวิ่งไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ เผลอๆ อาจจะถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาเอาได้
แถวนี้จะมีที่ให้หลบฝนได้จริงๆ เหรอ
ต้องมีสิ กานต์รอที่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมจะลองไปเดินๆ หาดูก่อน
วีรภัฏตอบกลับด้วยท่าทางเชื่อมั่น ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะไม่มั่นใจเอาเสียเลย แต่เขาจะทำเป็นท้อถอยต่อหน้าคนเจ็บไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะทำให้หญิงสาวเสียกำลังใจ ชายหนุ่มพยายามเดินเลาะไปตามขอบหน้าผา เขาพยายามมองหาจุดที่จะสามารถพักหลบฝนได้
ติดตามตอนต่อไปได้เร็วๆ นี้ค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นางเอกเว่อร์มาก ได้ยินเสียงเลยวิ่งมั่ว เสียงก็ไม่ใช่น่ากลัวอะไรเล้ยย เสียงปืน เสียงคนฆ่ากัน เสียงสัตว์ป่าไรงี้ยังพอว่าเออมีน้ำหนักพอจะให้วิ่ง
ถ้าเป็นเสียงที่ไม่รู้ว่าอะไร มันน่ากลับแล้วก้าวขาไม่ออกไม่ใช่เรอะ = =" อีกอย่างก็ไม่ได้อยู่คนเดียวด้วย เกาะคนข้างๆดีกว่าตั้งเยอะ
หนูว่านะคะ นางเอกก็อายุปูนนี้ กล้ารับงานสืบๆเสี่ยงๆแบบนี้ ไม่น่าจะขวัญอ่อนขี้กลัวหรือบาดเจ็บจนน้ำตาไหลพรากกลั้นไม่อยู่เลยอะ มันไม่ช่ายยยยย
เพราะงั้น มันต้องเป็นแผน!! หุหุ
จะล่อลวงพระเอกเข้ากระท่อมร้างท่ามกลางฝนตกชิมิล่า >///<
เดี๋ยวหลง
ว้าว.... น้องกานต์โดนอุ้มแน่เลย 555++
สู้ๆ
รีบๆๆมาอัพนะ
รออ่านอยู่นะคะ
หน้าแข้ง ค่ะ ไม่ใช่ หน้าแข็ง ^0^
ผ้าเช็ดหน้าอันนั้นที่เก็บมาตั้งแต่เด็กใช่รึป่าวหว่า กรี๊ดดดดดด
กานต์เอ๋ยย ทำเรื่องอีกแล้วว
มาต่อเร็วๆนะคะไรท์เตอร์ สู้ๆค่า