คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #82 : Da Capo Epilogue : Yesterday, Today, Tomorrow
Da Capo Epilogue : Yesterday, Today, Tomorrow
อะแฮ่ม! เขินนิดๆแฮะ ไม่ได้มาทำหน้าที่เสียนาน มีใครคิดถึงนายทิวาคนนี้หรือเปล่าครับ(ยิ้มกว้าง)
นับจากตอนนั้นเวลาก็ผ่านมานานมากพอสมควรแล้ว จากเด็กม.4 กลายมาเป็นเด็กม.6 เตรียมเอ็นท์ฯ วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก มากเสียจนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่ทันไรเราก็จะก้าวพ้นรั้วโรงเรียนแล้ว
เกือบสองปีเต็มแล้วที่ชีวิตของผมไม่มีเงาของใครบางคนอยู่ข้างๆ...
อันที่จริงมันก็ไม่ได้ห่างเหินถึงขนาดไม่ติดต่อกันเลยนะ บางทีเวลาออนเฟสก็เจอ แต่เวลามันมักจะไม่ค่อยตรงกันเพราะเวลาที่อังกฤษกับไทยมันคนละเขต อ๊ะ...ผมยังไม่เคยบอกล่ะมั้งว่าซีมันไปเรียนต่อที่อังกฤษ มันบอกว่ามันชอบสำเนียงคนอังกฤษ ดูคลาสสิกกว่าสำเนียงอเมริกาดี
มาย้อนคิดดู ซีมันก็ยังคงเป็นคุณชายเรื่องมากเหมือนเดิม ผมกับมันไม่ค่อยได้คุยกัน แต่มันก็ยังส่งอีเมล์มาหาทุกสัปดาห์ บางทีก็โทรมาคุยช่วงก่อนไปเรียนตอนเช้า(เวลาที่ไทยตอนนั้นจะประมาณบ่ายโมงสองโมง) แต่คุยได้ไม่นานก็ต้องวาง ไม่ใช่ว่าไม่มีตังค์โทรหาหรอกนะ คุณชายแบบมันถึงจะคุยข้ามประเทศสักชั่วโมงขนหน้าแข้งก็ไม่ร่วงหรอก แต่ผมไม่ยอม วิธีติดต่อมีตั้งมากไม่เห็นต้องเอาเวลา+เงินมาถลุงกับเรื่องแบบนี้ ผมเลยสนับสนุนสไกป์หรืออื่นๆมากกว่าวิธีนี้ (แต่ซีมันชอบโทรศัพท์ที่สุด มันบอกว่าทำให้รู้สึกเหมือนเราใกล้กัน)
ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ซีตั้งใจจะไม่กลับบ้านเลยจนกว่าจะเรียนจบ ช่วงนี้ผมเองก็ยุ่งๆเพราะการสอบเอ็นท์ฯ ผมได้ทุนเรียนดุริยางคศาสตร์ที่ Academy Performance ในฮ่องกง จากคำแนะนำของพี่กานต์ที่ตอนนี้โกอินเตอร์ไปอยู่ปารีสแล้วทำให้เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมาผมตัดสินใจไปออดิชั่นเข้าวงออเคสตร้าของประเทศ มันไม่ได้กระทบกับโยธวาทิตที่โรงเรียนนักเพราะซ้อมแค่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์แล้วเขาก็จะเรียกตัวไปถ้ามีงานคอนเสิร์ตงานนู่นงานนี่ที่เป็นงานทางการ เป็นการเพิ่มประสบการณ์ไปในตัวถ้าอยากสอบอะไรที่เป็นสากลจริงๆ
อันที่จริงพี่กานต์ก็แนะนำให้ผมลองสมัครสอบทุนไปเรียนที่ปารีสที่พี่เขาเรียนอยู่ แต่พอดีว่ามีโครงการของม.ในฮ่องกงเข้ามาในวงก่อนและที่ Academy Performance ก็ค่อนข้างมีชื่อผมเลยไปขอให้พวกพี่ๆในออเคสตร้าแล้วก็พวกอาจารย์ช่วยติว จนฟลุคสอบติดทุนไปโน่นได้
บางคนอาจจะคิดว่าจงใจรึเปล่าที่เลือกฮ่องกง...อันที่จริงเรื่องไอ้ซีก็มีส่วนนะ ไม่อยากอวด แต่เพราะคอร์สปูพื้นแล้วก็เรียนภาษาเพิ่มช่วงปีม.6 นี่ทำให้ผมได้ภาษาจีนมาเยอะแล้ว อังกฤษก็ฟิตขึ้นเยอะถ้าเทียบกับสมัยก่อน จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าจะทำก็ทำได้เหมือนกันนี่นา...
ผมอยากให้ซีเห็นตอนที่กลับมา...ว่าผมสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ไม่อยากให้มันต้องมีห่วงอะไรอีก ผมในวันนี้ไม่ใช่เด็กๆที่คอยแต่จะอ้างคำว่ารักในการรั้งใครสักคนเอาไว้แล้ว ผมเชื่อว่าถ้าตัวเราเพียบพร้อมเหมาะสม แม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่สังคมไม่ยอมรับแต่ถ้าญาติพี่น้องของมันเห็นว่าผมไม่ใช่คนเหยาะแหยะไม่เอางานเอาการ พวกเขาก็คงจะยอมประนีประนอมให้
เพราะเติบโตขึ้น จึงได้เรียนรู้ว่ารักไม่ใช่แค่เพียงการอยู่เคียงข้าง
แต่มันเป็นการที่เราจะสามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้อย่างเต็มกำลังเพื่อใครสักคนต่างหาก
“เฮียยยยยยยย เฮียคร้าบบบบบบ”ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก แล้วก็เห็นไอ้วีเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหา ในมือมีเอกสารปึกหนาอยู่ “มาสเซอร์เค้าให้วีเอาร่างโครงการรับน้องม.4มาให้พวกม.6ดูอ่ะ เฮียดูให้วีหน่อยดิ นะๆๆ”
ดูมันสบตาปิ๊งๆแล้วอยากเอาเท้ายันโครมเข้าให้ชอบกล ผมส่ายหน้า มองไอ้น้องชายที่ใส่เครื่องแบบเดียวกันด้วยความหมั่นไส้ ครับ...วีมันย้ายมาเรียนโรงเรียนผมตอนขึ้นม.ปลาย แต่เรียนสายวิทย์คณิต
“ปกติผมคงให้เฮียซีดู แต่ตอนนี้เฮียซีไม่อยู่ให้เฮียดูไปก่อนก็ได้”โห มันพูดเหมือนจำใจเอามาให้ผมดูยังไงไม่รู้ว่ะ ไอ้น้องเวร
“เดี๋ยวไม่ตรวจให้แล้วจะรู้สึก”
“เฮ้ยยยย อย่า เฮียครับ เฮียสุดสวย เอ๊ย! เฮียสุดหล่อ เฮียคนดีที่หนึ่ง เฮียช่วยวีด้วยนะคร้าบบบบบ”ไอ้น้องจอมประจบยิ้มหวานเต็มที่ แต่กูได้ยินนะเว้ยเฮ้ย ใครบอกกูสวย เดี๊ยะได้ตายกันไปข้าง
“ประสาทว่ะ”ผมอมยิ้ม ไม่รู้ไอ้เนมมันเลี้ยงน้องผมยังไง แม่งบ้าขึ้นทุกวัน...
ผมตรวจโครงการให้ไอ้วีไปพลางคิดโน่นคิดนี่ไปด้วย
วันนี้ก็ยังเป็นเหมือนเมื่อวาน...และวันพรุ่งนี้ก็คงจะเป็นเหมือนวันนี้
ไม่ว่าวันไหนๆก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม...
ถามว่าลึกๆแล้วคิดถึงมันบ้างมั้ย...ก็แน่ล่ะ...มันไม่ได้กลับมาเหยียบไทยอีกเลยตั้งแต่ไปอยู่โน่น เห็นว่าจะกลับมาทีเดียว แต่ว่า...มันนานนะ...วันๆหนึ่งแต่ก่อนเคยผ่านไปเร็วแสนเร็ว แต่พอไม่มีมันอยู่ข้างๆ ทุกๆวันกลับดูเชื่องช้าลงเหลือเกิน
การรอคอย สำหรับผมมันทรมานมาก
“เฮียจะไปฮ่องกงคนเดียวเหรอ”อยู่ๆไอ้วีก็ถามขึ้นมา ผมเลยมองหน้ามันยิ้มๆ
“แล้วแกจะไปกับเฮียด้วยรึไงล่ะ?”
“ไม่ๆ ไม่ใช่งั้นดิ”ไอ้น้องชายโบกไม้โบกมือไปมา “หมายถึงว่า...เฮียจะไม่...ไม่รอเฮียซีก่อนเหรอ”
ฟังวีมันพูดแล้วก็ต้องอึ้งไปนิดนึง
ซี...
ผมยังจำคำพูดของมันได้นะ มันบอกว่ามันจะพาผมไปฮ่องกงด้วยกัน ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าไม่รอ แต่...แต่ว่า...
ไม่ว่ายังไงผมก็อยากทำให้มันเห็นว่าผมสามารถอยู่ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าให้มันพาไป แต่ผมจะไปด้วยกำลังของตัวเอง
“...ไม่ดีกว่า”ผมส่งยิ้มให้ไอ้น้องช่างซัก “เฮียไปเรียนนะ ไม่ได้ไปเที่ยว ถึงจะได้หอบใครไปๆมาๆได้ อย่ายุ่งเรื่องเฮียนักเลย คิดเรื่องของตัวเองเหอะ แกน่ะจะเข้าอะไร?”
“หมอ...”
ผมหันขวับไปมองหน้ามันทันที “พูดจริงเหรอวะ”
ไอ้วีพยักหน้าเน้นๆ “จริงดิ...วีอยากเรียนหมอ ยังไงก็อยากเป็นหมอให้ได้”
ไม่คิดจะถามหรอกนะว่ามันอยากเป็นหมอไปทำไม แต่พอเห็นน้องชายมีจุดหมายในชีวิตแบบนี้แล้วผมก็เบาใจ พวกเพื่อนๆหลายคนก็มีเส้นทางไปเป็นของตัวเองแล้ว ไอ้นัทมันจะสอบเป็นวิศวะอย่างที่มันฝันเอาไว้แต่แรก เพชรเลือกเรียนบัญชี(หน้าอย่างมันเหมาะจะนั่งออฟฟิศจริงๆนั่นแหละ) ไอ้แฝดบอลบาสก็ต้องแยกจากกันเป็นครั้งแรก ไอ้บาสคนน้องเลือกเรียนสัตวแพทย์ ส่วนไอ้บอลคนพี่ดันอยากเรียนสถาปัตย์ จูนเรียนเศรษฐศาสตร์ กรีนไปต่อบัญชีที่เดียวกับเพชร นิวกับไฟว์เรียนบริหารตามที่พ่อแม่มันอยากให้เรียน ที่ยังเหลืออยู่เลยเป็นไอ้เนมที่มันยังไม่ยอมบอกเส้นทางชีวิตของมันให้ใครรู้สักที กับ...ซีที่ยังไม่กลับมา
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าช้า...ถ้ามันมาไม่ทันแล้วผมไปก่อนล่ะ?
“ปิดเทอมนี้เฮียก็ต้องไปอยู่โน่นแล้วนี่”ไอ้วียังชวนคุยต่อ ผมพยักหน้า ยังไม่เริ่มเรียนจริงๆหรอกแต่ผมต้องไปซัมเมอร์ปรับพื้นฐานที่โน่นก่อน “เห็นเขาบอกว่าร้านค้าในเขตเซ็นทรัลของเยอะมากกกก วีอยากไปเดินดูสักครั้งจังว่ะเฮีย”
ผมหัวเราะ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ไปเที่ยว...”
ไอ้ซี...ไอ้ซี...มันจะกลับมาทันให้ผมได้เจอมันก่อนหรือเปล่านะ?
สุดท้ายมันก็ไม่กลับมา...
ผมถอนหายใจขณะรอเช็กอินขึ้นเครื่อง วันนี้พวกเพื่อนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันแห่มาสนามบินกันหมดเพราะต้องมาส่งเพื่อนสองคน คนหนึ่งก็ผม ส่วนอีกคน...ก็ไอ้เนมที่เอาแต่อุบเงียบไม่ยอมบอกใครว่ามันจะไปอเมริกา
รอบบินที่ไปเป็นคนละรอบแต่วันเดียวกัน ผมไปก่อนแล้วเนมมันค่อยไป วีโกรธมันน่าดูแต่สุดท้ายก็ยอมมาส่ง มันบอกแค่ว่ามันจะไปผ่าตัดรักษาหัวเข่าที่โน่นอย่างที่พ่อแม่มันขอไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็จะเรียนอยู่ที่โน่นเลย คงอีกนานกว่าจะบินกลับไทย
ผมบอกลาเพื่อนๆทุกคนโดยเฉพาะเนม เพราะพอผมกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่ไทย คนเดียวที่จะไม่เจอก็คงเป็นมัน
ผมรู้ว่าตัวเองเคยมีเรื่องกับมัน ตั้งแง่กับมันนักหนา แต่พอจะจากกันผมถึงได้เริ่มตระหนักว่าอันที่จริงแล้วเราสนิทกันแค่ไหน ไอ้เนมที่ปกติพูดน้อยอยู่แล้วแทบจะไม่พูดอะไรเลยในวันนี้ และอีกสิ่งที่เห็นได้ชัดคือมันแทบไม่ยอมแยกห่างจากวี แม้วีจะทำหน้าเหมือนอยากออกไปห่างๆมันในบางครั้งเพราะไม่อยากทนเศร้ากับการส่งมันก็ตาม
เอาเข้าจริง ผมไม่อยากให้น้องชายต้องมาตกอยู่ในสถานะเดียวกับผมเมื่อสองปีก่อนเลย แต่วีก็ดูจะพร้อมยอมรับมัน และที่สำคัญคือ...ผมเห็นแล้วว่าวีเข้มแข็งกว่าผมมาก...มากจริงๆ
“เตรียมของไปครบแล้วนะลูก ไม่ลืมอะไรแน่นะ”แม่ผมที่มาส่งกำชับหนักแน่น ตาแดงๆเหมือนคนใกล้ร้องไห้ ผมไม่เคยห่างบ้านไกลขนาดนี้เลย ถึงมันจะไม่ใช่คนละซีกโลกแบบอเมริกาแต่มันก็เป็นต่างบ้านต่างเมืองที่ไม่คุ้น เป็นธรรมดาที่แม่จะห่วงผมมาก
“ไม่ลืมหรอกครับ”ผมยิ้มตอบแม่ ผู้หญิงที่รักผมที่สุดในโลกคนนี้ ป๊าผมยังตลกได้ทุกเวลาขนาดตอนที่แม่เศร้าๆ แต่ผมก็เข้าใจ ป๊าผมคงไม่อยากให้กอดกันกลมน้ำตาไหลพรากๆเหมือนชาตินี้จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เพราะถ้าจะจากกัน ป๊าบอกว่าป๊าอยากส่งลูกด้วยรอยยิ้มมากกว่า
“อย่าลืมนะวา เดี๋ยวกลับมาเมื่อไหร่แกต้องมาเล่าให้เจ้ฟังให้หมดด้วยนะยะ!”เจ้ศาชี้หน้าคาดโทษ เจ้แกคงแค้นน่ะครับที่ผมอุบเรื่องวีกับเนมเอาไว้ ไม่ยอมเล่าให้เจ้แกฟังสักที “คอยดูนะ เจ้จะเอาเรื่องของแกกับซีไปเขียนลงเว็บให้ได้”
ผมส่ายหน้า ถึงในใจจะแปล๊บๆกับชื่อมันก็เหอะ “เจ้ก็เขียนลงไปแล้วไม่ใช่รึไงครับ?”
“ไม่เอาแบบนั้นดิ อยากได้เอ็นซี เอ็นซีน่ะเข้าใจไหม ไหน มีอะไรมาเล่าให้เจ้ฟังยัง”ดีนะที่เรากระซิบคุยกัน ไม่งั้นป๊ากับแม่ได้ยินคงลมจับตาย ผมหน้าแดง ไม่รอช้าที่จะดันยัยเจ้หน้าด้านให้เอาหน้าออกไปห่างๆ
“ไม่มีเว้ยครับ...วาไม่เคยทำอะไรแบบนั้น”ตอแหลน่ะนะ แต่ถามจริงเหอะ เป็นคุณคุณจะกล้าตอบตรงๆมั้ยล่ะ?
“ไปโน่นก็อย่าลืมนิวนะวา รักนะครับจุ๊บๆ”นี่ก็ไอ้ประสาทอีกหนึ่ง ผมยิ้มแห้งๆตอบ แล้วไอ้คนพูดก็โดนเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆเขกกะโหลกเข้าให้ทันที
“หยุดเลย หยุด รู้ตัวปะว่าเป็นแฟนใคร อยากให้ไฟว์ย้ำสถานะให้เขารู้กันหมดนี่อีกใช่มะ”
ผมหัวเราะเหอะๆ ไอ้นิวแม่งบ้า...ไม่รู้มันไปจับพลัดจับผลูเป็นแฟนกับไอ้ไฟว์เข้าไปได้ยังไง แต่ก็ดีกับชีวิตผมเหมือนกันนะ ไฟว์มันคุมไอ้นิวอยู่ ไม่มีการปล่อยให้มาทำรุ่มร่ามกับผมแม้แต่นิดเดียว
ถึงมันจะยังชอบหยอดคำหวานเล่นๆอยู่เป็นกิจวัตรก็เหอะ...
ผมมองไปรอบๆ อดคิดในใจไม่ได้ว่าอยากเจอซี อย่างน้อยๆเจอมันก่อนไปก็ยังดี ผมกำลังจะไปแล้วนะ...ใจคอมันจะไม่กลับมาหากันจริงๆใช่มั้ย?
“ได้เวลาแล้ว”ป๊าผมเรียก ทำให้ผมตื่นจากห้วงภวังค์ เงยหน้ามองบอร์ดเที่ยวบินขาออกที่กะพริบอยู่ด้านบน ไฟลท์ที่ผมจะไปเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้ว ผมเลยต้องบอกลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย แม่กับไอ้วีร้องไห้ เจ้ศาถึงจะยังทำเชิดๆแต่ก็ตาแดงแจ๋ พวกเพื่อนๆก็อวยพรบ้างด่าบ้างไม่ให้บรรยากาศมันดูซึ้งชวนร้องไห้จนเกินไป และก่อนจะไปป๊าก็ตบบ่าผมสองสามที ก่อนจะว่า
“ไปอยู่โน่นแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าทำให้เขาเดือดร้อนนะ”
ผมกำลังจะพยักหน้าอยู่แล้ว แต่ก็ดันจับสังเกตบางอย่างในคำพูดของป๊าได้ “เขา?”
ป๊าชะงักไปแวบหนึ่ง “หมายถึง...อย่าทำให้ใครๆเดือดร้อน”
“อ้อ...ครับ”สงสัยผมจะคิดมากไปเอง ว่าแล้วก็ต้องรีบไปขึ้นเครื่องก่อนจะโดนทิ้งไว้นี่ ผมลากกระเป๋าไปทางช่องผู้โดยสารขาเข้า หันมาโบกมือให้ทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ในใจตั้งมั่นว่าจะจดจำภาพที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ให้แม่นยำที่สุด ตราตรึงที่สุด
ลาก่อน บ้านเกิด ครอบครัว เพื่อนๆของผม
ลาก่อนนะซี อันที่จริงอยากบอกด้วยปากของตัวเอง แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้ แล้วถ้ามึงกลับมาหลังจากนี้ก็อย่าเสียใจนะที่ไม่เจอกู แต่ไม่แน่นะ บางทีสักวันเราอาจจะได้เจอกันในฮ่องกงก็ได้
เหตุผลที่มันไปเรียนต่อที่โน่น กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่มันพูดก็ตอนที่มาเป็นเอาซะเองเนี่ยแหละ
ที่ไปไม่ใช่ไม่รัก แต่เพราะรักน่ะสิถึงได้ไป
ผมมองออกไปทางหน้าต่าง ชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนเลย แปลกดีที่ไม่เห็นตึกรามบ้านช่องแต่ดันเห็นแต่ฟ้ามืดๆกับแสงไฟวิบวับของเมืองฟ้าอมรด้านล่าง กรุงเทพแม้จะดึกดื่นแค่ไหนก็ยังเป็นเมืองไม่เคยหลับ มองจากด้านบนแล้วดูแวววาวเหมือนแสงดาวบนท้องฟ้า...อา โรแมนติกไปโน่น
ไฟลท์ผมออกตอนเที่ยงคืน นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมเริ่มง่วง เลยขยับเอนเบาะลงกะจะงีบ ดีที่ข้างๆไม่มีใครนั่ง ไม่ต้องระแวงว่าตัวเองจะนอนท่าทุเรศอะไร...
ผมหลับไปอยู่นาน นานเสียจนไม่รู้ว่านอนได้กี่ชั่วโมงแล้ว แต่ที่แน่ๆคือฝันดีสุดๆ ผมฝันว่าซีมาอยู่ข้างๆ มันหันมายิ้มให้แล้วพูดอะไรก็ไม่รู้ ผมง่วงเกินกว่าที่จะฟังรู้เรื่อง นี่เป็นฝันที่ดีที่สุดในรอบปีเลยล่ะมั้ง นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงมันเลย อ๊ะ ไอ้ซียื่นมือมาจับแก้มผมด้วย มือมันยังอุ่นจนร้อนเหมือนเดิมเลย...
คิดไปเรื่อย อมยิ้มนิดๆพลางมองหน้ามันอยู่นานก็ชักคิดได้...เฮ้ย...ฝันมันชักจะเหมือนจริงเกินไปหรือเปล่าวะ...?
จนกระทั่งมือซนๆนั่นเลื่อนไปมาตามเสื้อแล้วค่อยๆปลดกระดุมออกแบบเนียนๆไม่ให้เบาะข้างๆเห็นนั่นแหละ ผมถึงได้สะดุ้งตื่นเต็มตา
“ไอ้ซี!!!”
อ้าปากค้างสิครับ เป็นมันจริงๆ ไอ้ซี ศิระ ตัวเป็นๆเลยด้วย แต่นอกจากมันจะยังไม่อธิบายอะไรแล้วมันยังมีหน้ามาหัวเราะใส่เหมือนขำสุดๆ ไอ้ซีดูสูงใหญ่ขึ้นเยอะแต่ผิวมันก็ยังขาวจัดเหมือนเดิม ผมของมันค่อนข้างยาวและโคตรดูดีจนผมที่เพิ่งตื่นนอนถึงกับอาย ไม่รู้ว่าเผลอทำท่าทุเรศๆอะไรให้มันเห็นบ้าง
“ม...ม...มา...ได้ไง”ถึงกับติดอ่างโดยไม่รู้ตัว ทั้งอายทั้งตกใจทั้งโกรธมัน สารพัดความรู้สึก
“จองตั๋ว แล้วก็ขึ้นเครื่องมา”คำตอบตรงตามประเด็น แต่กวนตีนจนผมอยากเอาอะไรขว้างใส่กบาลมันเหลือทน
“ไม่ใช่! รู้ได้ไงว่ากูขึ้นเครื่องวันนี้...”ถามมันเสียงสั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ให้ตายเหอะ มันหล่อสุดๆ...หล่อขึ้นมากๆ เห็นแล้วพาลจะลมใส่เอา ต่อให้จะเห็นรูปปัจจุบันของมันในเฟสบุ๊คแล้วก็เถอะ (ผมส่องเฟสมันวันละรอบ บางทีเช้าเย็น ยอมรับครับ 55+) ยังไงมันก็ไม่เหมือนเจอตัวจริงอยู่ดี
“ก็สืบเอา มีสายเยอะจะตาย”
ฟังคำตอบมันแล้วทำเอาผมเริ่มระแวงคนรอบข้าง ฮึ่ย ผมว่างานนี้พวกเพื่อนมันต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยแน่เลยว่ะ เอ๊ะ แต่จะพูดไปแล้ว...
“ไปอยู่โน่นแล้วก็ทำตัวดีๆ อย่าทำให้เขาเดือดร้อนนะ”
อย่าบอกนะว่าป๊าผมก็ร่วมมือด้วยน่ะเฮ้ยยยยยยยยยยยยย!!
ไอ้ซีหัวเราะขลุกขลักในลำคอ “หนีมาไม่ยอมรอกันบ้างเลย แต่ก็ดีใจนะที่วายังจำได้ว่าเราเคยคุยอะไรเอาไว้...ขอป๊ามาแล้ว ป๊ายกให้แล้ว คราวนี้จะไม่ผิดสัญญาใครอีกแล้ว”
“ห...หา?”
“งงอีก งงอีก”มือใหญ่ยื่นมาโยกหัวผมเล่นไปมา “ตามสัญญาไง...ที่พวกญาติบอกว่าถ้าไปเรียนอยู่โน่นแล้วจบกลับมาถ้ายังไม่เปลี่ยนใจก็จะยอมให้คบกัน แถมพวกที่บ้านก็เห็นแล้วด้วยว่าวาน่ะเก่ง เดี๋ยวนี้พูดจีนได้แล้วนี่หว่า อังกฤษก็ได้ แล้วทำไมเขาจะไม่ยอมรับเป็นลูกสะใภ้ล่ะ”
“ส...สะใภ้ห่าไรวะ!!”เจอคำนี้เข้าไปถึงกับหน้าไหม้ โห พูดมาได้นะมึง มาสะภ้งสะใภ้อะไรกับผู้ชายทั้งแท่ง!!
แต่ไอ้ซีก็ยังทำหน้าบ้องแบ๊วจนน่าบ้องหัวเข้าให้ “เอ้า หรือว่าไม่ใช่...ก็วาเป็น...”
“หยุดโว้ยยยย หยุดเลยหยุด ไม่เอาๆๆ”ผมรีบเบรกมันก่อนที่มันจะหลุดคำน่าอายออกมามากไปกว่านี้ “แล้ว แล้วทำไมไม่ยอมติดต่อมาเลยล่ะว่าจะกลับมาตอนไหน แล้วเรื่องเอกสารอะไรอีกล่ะ จะทำไง”
“นี่แค่มาส่งกับสัมภาษณ์ที่โน่น เดี๋ยวต้องบินกลับไปจัดการอะไรให้เรียบร้อยอีก นี่ก็ว่าจะพามึงไปอยู่กับเจ้ ไปช่วยเลี้ยงหลาน จะได้สั่งสมประสบการณ์ไปในตัว”
ผมเริ่มรู้สึกอยากจะหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
ไอ้ห่า ไอ้บ้าซี ไอ้...
ประสบการณ์อาร้ายยยยยย กูไม่มีทางได้มีลูกหรอกคร้าบบบบ ตราบใดที่กูยังติดแหง็กอยู่กับมึงแบบนี้อ่ะ!!
“ที่มหา’ลัยก็มีหอ ไม่ต้องไปกวนเจ้บีเขาหรอก”เจ้บีแต่งงานไปอยู่ฮ่องกงได้ร่วมสามปีแล้วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าจะมีลูกสาวอยู่คน นานๆทีถึงจะบินกลับมาไทยมาเยี่ยมป๊ากับม้าซีมัน แต่ผมได้เจอเจ้บีครั้งสุดท้ายตั้งแต่ตอนม.4 ก่อนที่ความจะแตกแล้วซีมันก็โดนถีบส่งไปอยู่อังกฤษโน่น
“บอกว่าให้ไปอยู่โน่นก็ไปสิ รับปากป๊ามึงไว้แล้ว กูเสียคำพูดหมด”ไอ้ซีขมวดคิ้วใส่ คิดถึงจัง...ไม่ได้เห็นตาดุๆแบบนี้มาตั้งนาน “เจ้กูก็ไม่ว่าอะไรสักหน่อย คุยไว้หมดแล้ว รอมึงไปอย่างเดียว”
อ้าวแม่ง มัดมือชกกูอีก เออ แต่ก็ช่างเหอะ ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียค่าหอ...ว่าแต่มันบอกว่าไงนะ รับปากป๊าเอาไว้แล้ว? มิน่าล่ะป๊าถึงบอกว่า ‘อย่าทำให้เขาเดือดร้อน’ เหอะ...นี่แปลว่ารวมหัวกันต้มผมอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ยยย!!?
“แล้วทำไมไม่มาหาดีๆ มาทำหลบๆซ่อนๆ หัวใจจะวาย”ผมบอกมันตามที่คิด ก็ลองนึกดูดิ ผมอุตส่าห์แอบหวังอยู่ในใจว่ามันจะกลับมาแล้วตามมาส่ง หรือแม้กระทั่งมาด้วยกัน มองหาอยู่ตั้งนานทั้งที่รู้ว่ายากจะหวัง
ไอ้ซียิ้มมุมปากนิดๆเหมือนรู้ทัน “เห็นแล้วล่ะ เอาแต่ชะเง้อจนคอจะยาวกว่ากะเหรี่ยงแล้ว”
ผมหันขวับ ตกใจเหมือนกันที่มันเห็นแต่ฟอร์มจัดไว้ก่อนดีกว่า “...เดี๊ยะซัดปากแตก”
เรานั่งกันต่อเงียบๆ เป็นเรื่องที่แปลกดี ทั้งๆที่เมื่อกี้เราคุยกันตลอดแต่พอมาตอนนี้กลับนั่งเงียบเหมือนไม่มีเรื่องจะพูดกัน ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่สาง ข้างนอกมืดสนิทเหมือนเคย รู้สึกว่าผมจะนอนไปแค่สองสามชั่วโมง
มือที่วางอยู่ข้างตัว คลำไปคลำมาก็ดันเจอกับมือของอีกคน
แล้วมันก็ดันแกะไม่ออกซะงั้น
ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ จริงๆ ตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลย
แค่...คิด...ถึง
“นานแล้วนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากเจอมากๆ ไม่รู้หรือไง”พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ในหัวมีอะไรใส่ไปอย่าได้ยั้ง แต่ไอ้คนข้างๆก็ทำเพียงตอบรับสั้นๆ
“อืม”
อืม...อืมอะไรวะ...รับรู้หรือว่ามันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน โอยยยย คิดไม่ออกโว้ย
“ก็อยากเจอเหมือนกัน แต่อยากเซอร์ไพรส์เลยไม่ยอมออกมาหา กะจะให้ตกใจรวดเดียว เดี๋ยวลงจากเครื่องพาไปส่ง ไปติดต่อสัมภาษณ์กับมหา’ลัยเสร็จก็ต้องบินกลับเลย”
เรื่องที่มันพูดดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ผมพูดเลยสักนิด แต่ผมว่าผมเข้าใจแฮะ...นิ้วเรียวยาวเกาะเกี่ยวมือผมแน่นไม่ยอมปล่อยเหมือนเจ้าของจะบอกว่าอยากอยู่แบบนี้ด้วยกันนานๆ
ผมยิ้มนิดๆ
ก็เอาสิ...จะให้อยู่ด้วยกันนานๆก็ได้
เพราะยังไงซะ ชั่วชีวิตนี้ก็คงจะอยู่แต่กับมัน ไม่ไปไหนอีกแล้วล่ะ
จะให้ไปไหนล่ะ ก็ในเมื่อ...หัวใจของผมอยู่กับผู้ชายคนนี้...เป็นของไอ้ซีคนเดียวมาตั้งนานแล้ว
รอมาตั้งนาน รอวันนี้มานานมากๆ รอจนรู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้รอ
ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นระทึก และพอเหลือบมองคนข้างๆ สายตาคมๆที่แฝงไว้ด้วยแววหวานเจือจางก็ทำเอาหายใจกระตุก ซีขยับยิ้มมุมปาก ผมจึงยิ้มตอบกลับไปแล้วกระชับมือให้แน่นเข้า
รู้สึกได้ถึงชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะ...จังหวะเดียวกับหัวใจของผม
“จับตัวได้แล้ว...คราวนี้จะไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว”
ผมยิ้มตอบ แล้วใครว่าจะไปล่ะ อุตส่าห์หาเจอแล้วแท้ๆ คนที่หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ถ้าไม่ใช่มัน ชาตินี้ผมก็คงจะไม่ได้เจอใครอีกแล้วล่ะ
ไม่ใช่เรื่องของพรหมลิขิต ไม่ใช่เรื่องของพรจากสวรรค์ชั้นไหน
...แต่เป็นเรื่องของหัวใจของเราทั้งคู่ที่พยายามกันจนมีวันนี้
แล้วคุณล่ะครับ? ได้ลองพยายามเพื่ออะไร หรือเพื่อใครสักคนแล้วหรือยัง
เชื่อเถอะนะ ว่าถ้าลองได้พยายาม ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
นี่ไงหลักฐาน...ผู้ชายที่อยู่ข้างๆผมตอนนี้
ผู้ชายที่จะเป็นของผม และเป็นเจ้าของหัวใจผม
ตลอดไป...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นี่เป็นติ่งตอนจบค่ะ 5555+ เอามาแปะให้มันสมบูรณ์ขึ้น ^^
ขอบคุณมากๆเลยนะคะทั้งการตอบคำถามและการ(ทน)ติดตามกันมา คงจะนานจริงๆ เพราะโนว์ก็แก่ขึ้นเยอะเลยล่ะ (ฮา) โนว์ยังไม่เคยใช้บอร์ดไทยบอยเลิฟเลยค่ะ แต่ถ้าอย่างนั้นมีเรื่องใดก็ตามในอนาคต อาจจะอัพคู่กันไป หรือยังไง ไว้รอดูในอนาคตดีกว่าเนอะะะะ
ที่ยังค้างอยู่คือหนูพีท โนว์ยังไม่ลืมค่ะ 55+ แต่อยากแต่งกล้า-อั๋น ก่อนนะ คือไทม์ไลน์มันมาก่อน โนว์อยากค่อยๆไล่ไปเหมือนกัน (ความจริงคือ หนูพีทแก แต่งยากกกกก แป่ววว)
ไม่รู้จะพูดอะไรได้อีกนอกจากขอบคุณนะคะ ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนค่ะ ^^
ปล. นี่คือจบภาคสองนะจ๊ะ ภาคแรกคือ Rhythm ค่ะ ส่วนอันนี้ภาคสอง Da Capo โนว์จะเอาตอนพิsเศษมาเสริมค่ะ อาจจะเรียกว่าภาคเสริม (หรืออาจจะสาม??) เพียงแต่จะไม่เน้นวาค่ะ อยากเอาเป็นเพื่อนๆรอบตัววามากกว่า
ปลล. ยังไม่มีแผนจะรวมเล่มจ้า
ไว้เจอกันใหม่เมื่อสโนว์เข็นตัวเองออกมาสำเร็จนะคะ :P
ความคิดเห็น