คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : Da Capo 38 : I see only you (END)
Da Capo 38 : I see only you
ผมลืมตาขึ้นช้าๆ คว้ามือเปะปะไปเจอนาฬิกาบนหัวเตียงเลยคว้าขึ้นมาดู ตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว ผมหลับไปร่วมสามสี่ชั่วโมงได้ และพอวางนาฬิกาคืนที่เดิมแขนก็ไปแตะถูกแขนของอีกคนที่พาดอยู่บนลำตัว ในความมืดแม้จะมองเห็นไม่ชัดนักแต่ผมก็รู้สึกว่าตัวเองคงกำลังหน้าแดงไปหมดแน่...แขนไอ้ซี...ไอ้ซีที่...เอ่อ...ง่า...
ทำเรื่องแบบนั้นกับมันไปซะแล้ว...ทำไปแล้ว...ทำไปแล้วจริงๆ
ก็เจ็บอยู่แหละ เจ็บจนไม่กล้าขยับตัวมากนัก ยังไม่ได้ลุกไปอาบน้ำเลยด้วยซ้ำ ปวดระบมไปทั่วสะโพกเลย ถึงจะรู้ก็เถอะว่าครั้งแรกมันเจ็บ แต่ไม่นึกว่ามันจะ...เอ่อ...เจ็บแปลกๆแบบนี้
คิดโน่นคิดนี่ไปพลางหน้าแดงอยู่คนเดียวไปพลาง กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีผมก็เพิ่งเห็นว่า...ไอ้คนที่ทำท่าเหมือนหลับเมื่อกี้มันกำลังนอนจ้องผมอยู่
สายตาคมๆของมันทำเอาหน้าผมร้อนวาบไปหมด จ้องอย่างเดียวไม่ว่าหรอก แต่จ้องแล้วทำเป็นยุกยิกนี่มันอะไรวะ จั๊กจี้นะโว้ย แถมยัง...ร้อนหนักกว่าเก่า...เวรเหอะ ขอพักก่อนสิเว้ย อย่ามาอะไรกับกูตอนนี้นักจะได้มั้ย
“ซี...ไม่เอาแล้ว”ผมบอกมัน พยายามควบคุมเสียงที่สั่นเอาไว้ให้ฟังดูแข็งที่สุด แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆกวนอารมณ์ดังตอบมาโดยที่เจ้าของไม่ได้พูดอะไร
ไอ้บ้า ไอ้...ทำมาเป็นหัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์นะ โอ๊ยยยยยยยยยยย เขินโว้ยยยยยยยยยย ทำเรื่องแบบนั้นกับมันไปได้ยังไงวะเนี่ย อายชิบหายยยยยยยยยยยย
ชั่วชีวิตของนายทิวาไม่เคยมีวันไหนจะรู้สึกเสียเชิงมากเท่านี้มาก่อน เอ๊ะ...แต่นี่ก็เท่ากับว่าตอนนี้ผมเป็น...เป็น...เอ่อ...เป็น...ของซี...แล้วเรอะ...
เว้ยยยยยยยย ผมเป็นผู้ชายนะโว้ย!!!
คิดเองประสาทเองเป็นบ้าเองอยู่คนเดียว สุดท้ายผมก็ผลักแขนหนักๆที่ไม่ยอมเอาออกไปสักทีให้ไปห่างๆพลางขยับตัวลุกขึ้น
“ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวมานอนต่อ”พลิกตัวได้ก็แปล๊บ แต่ก็ช่างมันเหอะ เดี๋ยวก็หาย พอหลุดจากผ้าห่มได้ก็เดินเปะปะไปทางห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัวอยู่ไกลเกินหยิบไม่ถึง แต่ก็คงไม่ต้องอายไม่ต้องอะไรแล้วแหละ...ก็เห็นกันไปหมดแล้วนี่หว่า
อาบน้ำเสร็จออกมา(นุ่งผ้าเช็ดตัวแล้วนะเฟ้ย!) เห็นไอ้ซีนอนมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบๆแต่แววตาแป๋วแหววสั่นระริกเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะ เท่านั้นแหละหมดอารมณ์ซึ้งและกลายเป็นอยากด่ามันแทนในบัดดล อะไรวะ...จ้องหน้ากันแบบนี้...มีอะไรน่าขำนักรึไง ฮึ่ยยยย
“หัวเราะนะ หัวเราะ เออ เชิญเหอะ ไปอาบน้ำได้แล้วไป นอนแช่อยู่ได้”แกล้งไล่มันแก้เขิน ก็พูดไปงั้นแหละครับ ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาด่ามันน่ะ เขินเกินเหตุ
ไอ้ซีหัวเราะแต่มันก็ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำ ดีนะที่ผมยัดเสื้อผ้าใส่มือแล้วบอกให้มันใส่ก่อนออกมาแล้ว ไม่งั้น...เหอๆ ไม่อยากจะคิดสภาพ
ถึงจะบอกว่านี่เพิ่งจะตีสองก็เหอะ แต่พอเอาเข้าจริงผมกับมันก็ไม่ได้นอนต่ออยู่ดี...อย่าเพิ่งอกุศลดิครับ เราแค่นอนคุยกันเฉยๆเอง
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่เหรอ”ถามไปก็กลัวคำตอบเอง แม้จะเริ่มทำใจได้แล้วและเราก็คงจบพร้อมกันเพราะซีไม่ต้องไปเรียนซ้ำชั้น แต่ผมก็รู้สึกหวิวๆแปลกๆอยู่ดีที่มันจะไปแล้ว
“กว่าจะกลับมา...มึงก็คงเรียนจบแล้วล่ะ”ไอ้ซีพึมพำเหมือนไม่แน่ใจ เพราะระบบเทอมมันไม่เหมือนกันเสียทีเดียวนัก
มันไม่ได้บอกผมว่าทำไมมันถึงต้องไป ผมเองก็ไม่คิดจะถาม แม้จะพอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องที่บ้านมันอีก และก็อย่างที่เคยบอกนั่นแหละ...ผมรู้สึกว่าผมเข้าใจ ถึงไม่ต้องพูดอธิบายออกมา แต่ก็รู้สึกว่าเข้าใจดี
เหลือเวลาอีกไม่มาก อีกไม่นานแล้วที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้
ผมนอนมองเพดานเงียบๆ ก่อนจะพลิกตัวไปหาซีและเป็นฝ่ายกอดมันเอาไว้เองอย่างที่น้อยนักจะทำ รู้สึกเหมือนไอ้ซีกำลังก้มมองผมอยู่แต่มันก็ไม่ได้ถามอะไร ทำเพียงขยับเลื่อนมือลงมากอดผมตอบแล้วแบ่งที่ให้ผมซุกอยู่กับตัวมัน
เวลาของเราใกล้หมดลงแล้ว ดังนั้นมันคงไม่ผิดนักใช่ไหม...ถ้าผมจะอยากใช้เวลาทั้งหมดที่เหลือนี้ให้มีค่ามากที่สุด
พอเสร็จจากกิจกรรมวุ่นวายทั้งหลายมาได้พวกเราเด็ก ม.4 ก็ว่างงานกันอย่างแรง ละครเวทีที่มิสวิชาภาษาไทยจัดทำขึ้นเป็นที่พอใจของนักเรียนมากมาย ทั้งสามวันมีคนซื้อบัตรเข้าดูจนหมดไม่มีเหลือ(แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบัตรมันขายดีจริงหรือว่าพวกฝ่ายขายบัตรมันไปบังคับขูดรีดมาจนหมด) รวมเงินที่ได้จากงานนี้ทั้งทิปพิเศษทั้งกล่องบริจาคและค่าขายตั๋วก็ได้มากอยู่ และมิสกับพวกครูที่โรงเรียนคนอื่นๆก็จะนำไปมอบให้กับมูลนิธิเด็กยากไร้เอง
แต่จบงานนี้ก็ใช่ว่าเราจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขนะครับ นั่นเลย...ปลายกันยาฯ...จะมีอะไรอีกล่ะถ้าไม่ใช่มหกรรมสอบปลายภาค!!
“วาคร้าบบบบบบบ”ไอ้นิวแหกปากแต่หัววัน ช่วงสอบที่วงจะหยุดซ้อมให้อ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ช่วงนี้ผมเลยไม่ต้องขึ้นไปเหยียบบนห้องวงโยฯแต่อย่างใดและมีเวลามานั่งกับพวกเพื่อนที่โต๊ะม้าหินได้อย่างที่น้อยนักจะเป็น
“หือ อะไร เรียกซะดัง”ผมหันกลับไปถาม ง่วงนอนว่ะ เช้าๆแบบนี้นี่ไม่อยากจะทำอะไรเลย
“ติวคณิตพื้นให้หน่อยดิ นะ ไอ้เนมก็โง่ไอ้ไฟว์ก็เซ่อ นิวไม่รู้จะพึ่งใคร”จบคำนั้นไอ้ห่านิวก็ถูกทั้งคนโง่คนเซ่อพร้อมใจกันอัดมะเหงกลงกลางกบาลทันทีจนมันได้แต่แหกปากร้องลั่น ผมหัวเราะหึๆ...สมน้ำหน้า อยากปากไม่ดีเอง
อันที่จริงแถวนี้พวกห้องวิทย์เก่งๆก็มีเยอะนะ ไอ้แฝดบอลบาสถึงมันจะห่วยแตกฟิสิกส์เคมีแต่มันก็เก่งคณิตพอตัวอยู่เหมือนกัน เพชรเห็นแบบนี้แต่ความจริงเป็นเจ้าพ่อวิชาคำนวณเลย ส่วนไอ้นัทไอ้ซีถึงจะไม่ได้ดีเด่โดดเด่นอะไรแต่พวกมันก็เรียนได้ ยิ่งจูนกับกรีนนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไอ้สองตัวนั่นมันเรียนศิลป์คำนวณ เก่งแต่คณิตวิชาเดียวนั่นแหละ(อย่างอื่นโดยเฉพาะวิทย์กับอังกฤษนี่ตกเรียบ พวกมันเลยไม่คิดจะสอบเลื่อนสายให้เหนื่อยเปล่าแต่อย่างใด)
“น้อยๆหน่อย อยากจะอ่อยมันก็ต้องอ่อยให้มีชั้นเชิงสิเว้ย”ไอ้ไฟว์หัวเราะลั่นเยาะเย้ย นิวมันเลยหันขวับไปด่าเข้าให้
“ไอ้ห่า!! ใครอ่อยกันวะ!!”
จากที่มันจะให้ผมสอนคณิตพวกมันก็หันไปกัดกันเอง แล้วลงท้ายไฟว์มันก็สอนไอ้นิวให้เสียเอง ความจริงไฟว์มันก็ไม่ได้เรียนอ่อนมากมายนักหรอก แม้มันจะตกคณิตเวลาเทสย่อยในบางทีก็เหอะ (มันบอกว่ามันเป็นอัจฉริยะข้ามคืน ต้องอ่านก่อนสอบหนึ่งวันถึงจะบรรลุ ท่าจะจริงเพราะเทสย่อยมันตกแต่สอบใหญ่ๆมันไม่เคยตกเลย) เกรดมันเข้าวิทย์ได้สบายๆ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้เลือกเรียนศิลป์ภาษา
พอปัดภาระออกไปให้พ้นตัวได้...อ่า ความจริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เอาเป็นว่าหลังจากที่ชีวิตไอ้นิวมีคนเอาไปรับผิดชอบแล้วผมก็กลับมานั่งอ่านหนังสือของตัวเองต่อ วิชาอะไรน่ะเหรอ...หึ...ก็ไอ้ตัวที่ผมอ่อนสุด...ภาษาจีนไง
เลือกเป็นเอกแท้ๆแต่ดันลุ่มๆดอนๆจะตกมิตกแหล่...ชีวิต...
อันที่จริงแบบเรียนมันก็ไม่ได้ยากอะไรมากหรอกเพราะมันเน้นคำพูดในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่ยากน่ะตัวเขียนต่างหาก เขียน Pinyin(ตัวทับศัพท์ภาษาอังกฤษ)น่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอเป็นอักษรจีนนี่อย่างมึน เดี๋ยวขีดบนขีดล่าง ขีดซ้ายขีดขวา วุ่นวายไปหมด
“เฮ้ย เขียนผิด”ไอ้ซีที่นั่งข้างๆกระทุ้งสีข้างเบาๆ มันละสายตาจากเคมีมามองสมุดผม แล้วก็ยื่นมือมาจับมือผมให้ลากตาม “ดูนี่...ซ้ายก่อนแล้วค่อยขวาดิวะ...แล้วนี่ก็บนลงล่าง”
“โห แม่งขีดเยอะชิบ ขอบใจนะ...เออ แล้วตัวนี้ล่ะ ยุ่บยั่บชิบหาย”
“ลากเส้นขวางก่อนแล้วค่อยขีดซ้ายขีดขวา...ลองต่อดูเองดิ๊...เออ ได้เหมือนกันนี่หว่า”
ระหว่างไอ้ซีมันสอนขีดมือมันก็จับมือผมให้ลากตามไปด้วย เพิ่งมีตัวหลังช่วงหลังๆนี่แหละที่มันปล่อยให้เขียนเองแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือ มันไม่ได้ออกแรงอะไร แค่จับมือผมเอาไว้หลวมๆ แต่พอรู้สึกตัวอีกที ทั้งกลุ่มก็แข่งกันไอ จาม กระแอม เป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด
“โอ๊ยยยยย เช้านี้มันร้อนว่ะ”เป็นไอ้นัทที่ปากเสียก่อนใครเพื่อน “ร้อน...เร่า”
“พูดอะไรน่ะนัท”เพชรฟาดฝาละมีมันป้าบ ทำท่าเขินแทนทั้งที่ไม่ใช่เรื่อง “อย่าไปทักดิ คนเขาสวีทกันอยู่ไม่เห็นรึไง”
“แค่กๆ แอ่กๆ น้ำตาลติดคอออออออ”นี่ก็เป็นอีกหลายๆเสียงที่ดังประสานกัน ซีปล่อยมือผมออกแล้วก็จริงแต่มันก็หัวเราะไม่ยอมหยุด มีแต่ผมนี่แหละที่นั่งเงียบหน้าแดง ก่อนจะโวยวายออกมาอย่างทนไม่ได้
“หยุดโว้ยยยยยย กูเขิน เอ๊ย! อย่ามาแซวอะไรงี่เง่าสิเว้ยเฮ้ยยยยยยยยย”
“ไม่ทันแล้วล่ะมึง”ไอ้เนมหัวเราะหึๆอย่างที่น้อยนักจะทำ ยิ่งมันเป็นไอ้ใบ้ประจำกลุ่มด้วย “ก่อนจะปฏิเสธอะไร...ช่วยนัดเม็ดสีบนหน้ามึงให้มันไปทางเดียวกันหน่อยนะ”
ผมเผลอยกมือขึ้นจับแก้มตัวเอง ตายห่า ผมหน้าแดงอยู่เหรอวะ มิน่าแม่งร้อนๆพิลึก เอ๊ยยยยยยยยย ห่าเนมแม่งพูดไรอีกวะเนี่ย โอ๊ยแม่ง เดี๋ยวกูก็เชียร์ให้วีเกลียดมึงซะเลย!
“เนม กูไซโคไอ้วีได้ดีกว่าที่มึงคิดนะเพื่อน“ผมมองหน้ามัน กัดฟันกรอดๆแต่ปากอมยิ้ม “อย่านึกนะว่าเรื่องของพวกมึงกูไม่รู้อ่ะ...”
ไอ้เนมเลิกคิ้วเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “เรอะ? แต่กูว่าอย่าเลย มึงเอาเวลาไปสวีทกับแฟนมึงตอนกลางคืนเหอะ เดี๋ยวกูจะช่วยสงเคราะห์เปิดทาง เอาวีมาค้างด้วยเหมือนวันก่อนให้”
“เฮ้ยยยยยยยย รู้ได้ไงวะ!!!”ผมอ้าปากค้าง เผลอแหกปากดังลั่น และกว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรทั้งกลุ่มก็หันมาจ้องผมกันหมดแล้ว นิวกับเพชร แฝดบอลบาสแล้วก็ไอ้จูนไอ้กรีนกะพริบตาปริบๆมองหน้าผมกับซีสลับกันไปมา ในขณะที่ไฟว์ นัท และไอ้ห่าเนมต้นเรื่องหัวเราะหึๆ และถ้าผมเดาไม่ผิด ผมว่าผมได้ยินเสียงไอ้ซีหัวเราะด้วย!
“มึงหลอกให้กูสารภาพนี่หว่า!!”ผมแทบพ่นไฟใส่ไอ้เนมตัวดี แม่ง ไอ้ตัวกวนประสาท ไอ้ห่านี่ชอบทำหน้านิ่งแต่แอบร้าย เท่านั้นแหละไอ้ไฟว์ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยก็หัวเราะก๊ากออกมา
“มึงพูดเองนะนั่น แล้วยังจะไปโทษไอ้เนมมันอีก”มันกุมท้องเหมือนขำเกินจนปวดจี๊ด “งี้สรุปว่ามึงกะซีก็...กันแล้วจริงง่ะ?”
“ไม่รู้โว้ยยยยยยยยยย!!!!”
ผมแหกปากปิดฉากก่อนที่เพลงเรียกเข้าแถวจะดังขึ้น เท่านั้นแหละครับ โกยอุปกรณ์ยัดใส่กระเป๋าแล้ววิ่งหนีเป็นคนแรกทันที ใครจะอยู่ให้พวกมันซักต่อวะ โอ๊ยแม่ง เกลียดไอ้พวกนี้จริง ไอ้พวกนกรู้ รู้ดีไปหมด ฮึ่ย!!!
ถามว่าหลังจากคืนนั้นแล้วระหว่างเราเปลี่ยนไปบ้างมั้ย...ถ้าเทียบกับที่ผ่านๆมาล่ะก็ต้องบอกว่า ‘ไม่’ แต่ถ้าเทียบกับช่วงพักหลังๆที่ซีมันไม่ยอมคุยกับผมเลย...มันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นนะ เพราะอย่างน้อยๆซีมันก็ไม่ทำตัวเย็นชาใส่แล้ว มีอะไรมันก็บอกตรงๆ แต่เราจะได้อยู่ด้วยกันก็แค่ที่โรงเรียนหรือไม่นานๆครั้งมันก็จะไปบ้านผม แน่นอน ผมรู้ดีว่าผมคงยังไปเหยียบบ้านมันไม่ได้ แต่ก็ไม่สำคัญอะไรหรอก ได้แค่นี้ผมก็ไม่เรียกร้องอะไรแล้วล่ะ
สิ่งที่สำคัญไม่ใช่สถานที่หรือกิจกรรมที่เราอยู่ด้วยกัน ทำด้วยกัน แต่เป็นเรื่องที่ว่าคนที่เราอยู่ด้วยนั้นคือใครต่างหาก
แน่นอน ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าหากได้ทำกับซี อยู่กับซี ผมก็พอใจที่สุดแล้ว
“เฮ้ย สอบเสร็จไปเที่ยวกัน ไปแบบไปค้างอ่ะ จะได้เลี้ยงส่งไอ้ซีไปในตัวด้วย”นัทเสนอขึ้นในวันหนึ่ง กลางวันนี้ซีไม่อยู่พอดีเพราะมันต้องไปดูงานที่ชมรม จึงเป็นโอกาสดีถ้าจะคุยอะไรกันแบบนี้ “ครั้งนี้ส่งจริงๆนะ ไม่ได้เลี้ยงส่งต้มใครบางคนจนร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบคราวก่อน”
ไอ้แสรดนัทหันมาขยิบตาใส่ผม ผมเลยต้องรีบหันหน้าหนี พยายามลืมไปว่าครั้งที่แล้วที่พวกมันบอกว่าจะไปเลี้ยงให้ซีตอนก่อนขึ้นม.ปลายมันเกิดอะไรขึ้นๆ เหอๆ ใครที่ไหนร้องไห้ ไม่มี้...
“เออ ก็ดีนะ”หลายๆคนเห็นด้วย “แล้วจะไปที่ไหนวะ”
ผมนั่งจิ้มลูกชิ้นเข้าปาก ออกความเห็นบ้างนิดๆหน่อยๆ ขอป๊าขอแม่ผมไม่ยากหรอก ไปก็ดีเหมือนกัน จะได้เลี้ยงส่งซีอย่างที่นัทมันว่า
ฟังพวกเพื่อนมันเถียงกันอยู่นานว่าจะเอาที่ไหน ต่างคนก็ต่างขุดหารีสอร์ทหรือบ้านพักที่พอจะรู้จักมาเสนอ จนกระทั่งไอ้ไฟว์ยัดซาลาเปาใส่ปากหมด มันถึงได้พูดขึ้นมา
“ไปรีสอร์ทของบ้านกูปะ...”
ทั้งโต๊ะพร้อมใจกันหันขวับไปมองหน้ามัน แล้วไอ้แฝดบอลบาสก็ด่าเข้าให้
“มีรีสอร์ทแล้วทำไมไม่บอกแต่แรกวะ!!!”นี่ล่ะคอนเซปป์กลุ่มผม ฟรี สบาย สนุกจังตังค์อยู่ครบ แม่งไอ้ไฟว์ทำเงียบ “เออ แล้วรีสอร์ทมึงอยู่ที่ไหนอ่ะ ไกลมั้ย”
ไอ้ไฟว์บอกชื่อรีสอร์ทบ้านมัน ทีนี้ทั้งกลุ่มเลยเป็นอันตาโตทันที
“ไอ้ห่า!! มึงเป็นลูกเจ้าของรีสอร์ทโคตรหรูนั่นอ่ะนะ ควายเหอะ แล้วก็ไม่บอก!!”
ห่าไฟว์ตัวดีเกาหัวแกรกๆเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองผิด “...ก็พวกมึงไม่ถาม”
ลงท้ายพวกผมก็เลือกรีสอร์ทบ้านไอ้ไฟว์ ซึ่งมันบอกว่าเดี๋ยวมันต้องโทรถามแม่กับพี่ชายมันก่อนว่ามีห้องว่างหรือเปล่า แต่ผมว่ามีนะ ก็ช่วงนี้มันไม่ใช่ High Season ยังไงก็คงไม่เต็มหรอก(เว้นแต่ว่ามันจะทำฟอร์มว่าเต็มเพราะไม่อยากให้เราไป แต่ผมรู้ว่าไอ้ไฟว์ไม่ใช่คนอย่างงั้น)
วันรุ่งขึ้นไฟว์มันก็มาบอกพวกเราว่าคุยให้แล้ว วันเสาร์แรกหลังสอบเสร็จให้มาเจอกันที่โรงเรียนแล้วเดี๋ยวไปรถตู้คันเดียวกัน พี่ชายมันจะมารับเอง ตอนไปบอกไอ้ซีเรื่องนี้มันก็ทำหน้าสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร ตอบตกลงแบบง่ายๆ และที่เหลือก็คือนั่งรอให้ถึงวันไปและสอบให้มันเสร็จๆ
พวกผมมารอไฟว์ที่โรงเรียน ทริปนี้เป็นทริปสามวันสองคืน อาหารฟรีที่พักฟรีตอนเย็นมีบาร์บีคิว รีสอร์ทของบ้านไอ้ไฟว์อยู่แถบพัทยาติดริมทะเล บรรยากาศ(ตามที่มันโฆษณา)เห็นว่าดีมาก เป็นรีสอร์ทแบบโมเดิร์นที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และไอ้เจ้าของก็รับประกันด้วยว่าทั้งสนุกทั้งคุ้มแน่
“พี่ไอ้ไฟว์เขาจะขับรถให้รึเปล่าวะ”ผมถามนิวกับเนม เห็นมันรู้จักไฟว์มาก่อนก็น่าจะรู้จักพี่ชายมันด้วย
ไอ้นิวยิ้มแหยๆ “น่าจะ...แต่มึงต้องทำตัวดีๆนะเว้ย พี่ของไฟว์น่ะ...สุดๆ”
ผมขมวดคิ้ว “สุดๆยังไง?”
ไอ้แฝดน.มองหน้ากัน แล้วไอ้นิวก็เป็นคนตอบคำถามให้
“ขี้บ่นสุดๆเลยน่ะ ถ้าทำไม่ถูกใจ มึงได้โดนถีบลงจากรถแน่...”
ไม่นานรถตู้ก็มาถึง พวกเรายกมือไหว้พี่ชายไอ้ไฟว์ทันทีที่เขาลงจากรถ พี่ชายไฟว์ชื่อพี่เฟิร์สครับ จากปากคำไฟว์เห็นว่าพี่เขาเรียนบริหารปีสาม
“ทำตัวตามสบายเหอะ เดี๋ยวพี่ขับรถให้นะ...ไฟว์ แกดูเพื่อนเอาไว้ดีๆล่ะ ห้ามเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกนอกรถ ขยะต้องทิ้งลงถุง ห้ามทำขนมเลอะเบาะ ห้าม...”
โห...พี่เฟิร์สแกโคตรของโคตรเลยว่ะ ไอ้เนมกลอกตาไปมา ในขณะที่ไอ้นิวยิ้มแหยพลางสะกิดผม
“กูบอกแล้ว...เป็นไงล่ะ”
“นิว!!”เสียงพี่เฟิร์สโหดมาแต่ไกลเหมือนได้ยินคนนินทา ไอ้นิวถึงกับสะดุ้งโหยง แต่พอหันไปมองพี่เขากลับขมวดคิ้วนิดๆ “อะไร ทำตกใจ มาช่วยพี่เคลียร์ของดิ๊ เอาของไว้หลังรถ ไม่พอค่อยมายัดด้านหน้า ไม่ต้องให้ใครมานั่งข้างๆนะ รำคาญ ไม่ชอบ”
ครับ ตรงไปตรงมามาก บ่งบอกเจตนาชัดเจนว่าไม่ชอบ ก็ดีนะ คิดยังไงก็พูดยังงั้น แต่...ค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกันว่ะ ว่างั้นไหม...
“ไปๆ ไปช่วยพี่กูขนของหน่อย เดี๋ยวเฮียแกอารมณ์เสียแล้วซิ่งขึ้นมาพวกมึงจะหนาว”ไอ้ไฟว์ที่เพิ่งเดินมาทางนี้ลากแขนไอ้นิวไปทางรถ ซึ่งชื่อพี่เฟิร์สก็คงขลังมากพอไอ้นิวมันเลยไม่โวยไม่อะไรเลยทั้งสิ้น ยอมเดินตามต้อยๆแบบจำยอมผิดวิสัย
โชคดีที่ว่าสมาชิกมากันพร้อมแล้วเพราะไอ้ไฟว์กำชับล่วงหน้าว่าห้ามมาสายเด็ดขาดถ้าไม่อยากให้ชีวีหาไม่ พี่มันเป็นคนเกลียดการรอคอย อารมณ์เสียง่าย ขี้หงุดหงิด ขี้บ่น สารพัดที่มันจะขุดมาสาธยายนิสัยพี่มัน ซึ่งฟังแล้วก็...เล่นเอาหงอไม่น้อย พี่เฟิร์สจบคนละที่กับพวกเราแต่โรงเรียนนั้นก็โดดเด่นเรื่องความโหดไม่ใช่เล่น มันเลยบอกว่าอย่าไปยั่วพี่มันเด็ดขาดนะ โดนตบกะโหลกแตกขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน...
ทริปนี้ตอนแรกๆต่างคนก็ต่างนั่งเกร็งไม่กล้าเสียงดัง กลัวพี่เฟิร์สแกอาละวาด ไอ้ซีนั่งข้างๆผมแต่มันก็นั่งเงียบ มองออกไปนอกหน้าต่างเรื่อยๆ มีหันมาคุยบ้างแต่ก็ไม่ดังนัก จนกระทั่งพี่เฟิร์สตะโกนถามมาว่าจะเอาเพลงอะไร เดี๋ยวเปิดให้ ไอ้แฝดบอลบาสมันเลยรีบส่งแผ่นมันให้พี่เฟิร์สทันที เดี๋ยวรอคำตอบนานแล้วจะพาลอาละวาดเข้าให้
ท่าทางแผ่นที่เปิดจะถูกใจ พี่แกเลยเล่นบิดวอลลุ่มซะเต็มที่จนไอ้จูนกับกรีนที่นั่งข้างลำโพงด้านหลังแทบจะตัวกระเด็นตามจังหวะ พอเปิดเพลงรถเลยเริ่มมีสีสันขึ้นมาหน่อย เริ่มกล้าคุยกล้าเล่นกัน แล้วก็ได้รู้ว่าอันที่จริงพี่เฟิร์สแกก็ไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรนักหรอก ออกเฮๆลุยๆซ่าๆด้วยซ้ำ แค่บุคลิกกับคำพูดของแกมันดูน่ากลัวไปหน่อยก็เท่านั้นเอง
อันนี้แอบบอกกับตัวเองในใจนะครับ ไม่กล้าพูดดัง เดี๋ยวไอ้ซีมันบีบคอผม...แต่ตอนที่ผมเห็นพี่เฟิร์สยิ้มแล้วเล่นกับไอ้นิวแบบคนคุ้นเคย ผมอดคิดไม่ได้ว่าพี่เขาเวลายิ้มนี่น่ารักสุดๆไปเลย!
ทำความเข้าใจกันหน่อยนะ พี่เฟิร์สไม่ได้น่ารักแบบไอ้หนูตะวันหรือเพชรที่ตัวเล็กบอบบาง พี่เขาสูงพอๆกับซีหรือนิวนั่นแหละ แต่พอเขายิ้มแล้วหน้าที่ปกติดูเคร่งๆ(แก่กว่าวัย)มันจะดูเด็กลงเป็นกอง แล้วผมก็ชอบลักยิ้มของพี่เขามากกกกก (เรื่องนี้บอกซีไม่ได้ มันไม่มีลักยิ้ม มันคงงอนแน่)
ใช้เวลาไม่นานเราก็เข้าสู่เขตพัทยา รีสอร์ทบ้านไอ้ไฟว์อยู่แถวๆพัทยาใต้ใกล้ออกเขตแล้ว อยู่ริมหาดพอดิบพอดี พอรถมาจอดพวกเราก็ช่วยกันขนของลง และพี่เฟิร์สก็ขอตัวไปรวมกลุ่มกับพวกเพื่อนเขาในตัวรีสอร์ท ปล่อยให้พวกเราจัดการทุกอย่างกันเอง
ไอ้ไฟว์นำทีมทุกคนเข้าไปเช็คอินแล้วขนของขึ้นห้อง ห้องหนึ่งอยู่กันสี่คน(มันบอกว่าเป็นห้องคู่แล้วเปลืองห้อง อัดๆกันเข้าไปเหอะ) ผมเลยเลือกที่จะอยู่กับพวกไอ้นิวแทน ถามว่าทำไมไม่อยากอยู่กับซีน่ะเหรอ...เอ่อ...ก็เฉพาะตอนนอนแหละที่อยากสงวนเอาไว้...รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย
“ที่นี่เห็นดาวชัดนะเว้ย”ไฟว์ตบไหล่ผม “บรรยากาศโคตรโรแมนติก พวกมึงเชิญสวีทกันให้เต็มที่เลยนะ เดี๋ยวกูเคลียร์ทางให้”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันแต่ไอ้ไฟว์ก็เสือกทำเป็นหัวเราะร่วนสะใจแล้ววิ่งหนี เออ ดี เอากับมันดิ เดี๋ยวก็แช่งให้อกหักแฟนทิ้งซะนี่ (ต่อให้มันยังไม่มีแบบโจ่งแจ้งก็เหอะ คอยดูนะ ทีใครทีมันนะเว้ยไฟว์)
หลังจากเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้วพวกเราก็ลงไปเล่นน้ำกันที่ชายหาด ไอ้แฝดบอลบาสทำตัวปัญญาอ่อนเอาห่วงยางเป็ดสีเหลืองอ๋อยมาด้วยคนละอัน รู้เลยว่าพวกมันไม่เต็มกันทั้งคู่ ไอ้จูนก็ดำผุดดำว่ายเป็นเงือกทะเลจนไอ้กรีนหมั่นไส้ ว่ายไปดึงขามันให้หล่นลงทะเลพรวด พวกมันเลยเปลี่ยนจากเล่นน้ำมาเป็นดึงขาเล่นกันเองแทน ไอ้นัททำเท่นั่งจิบชามะนาวอยู่ริมหาด ต่างจากเพชรที่ไปว่ายน้ำกับไอ้แฝดติงต๊องเรียบร้อยแล้ว คนที่ไม่ลงทะเลก็มีซี เนม แล้วก็ไอ้ไฟว์ไอ้นิวที่กำลังผลัดกันทาครีมกันแดดอยู่ เนมน่ะผมเข้าใจ ขามันเป็นแบบนั้นจะให้ลงเล่นน้ำก็คงไม่สะดวกมันเลยนอนเล่นกดโทรศัพท์คุยกับใครสักคน...ที่ผมคิดว่าเดาได้อยู่ตรงเก้าอี้ริมหาด แต่ไอ้ซีนี่ดิ ไม่รู้ทำไมไม่ลง
“เฮ้ย ลงไปเล่นกัน”ผมชวนซีเพราะเห็นว่ามันเอาแต่นั่งดูคนอื่นๆพลางเขี่ยทรายเล่น มันเงยหน้ามองผม แม่งใส่แว่นเรย์แบนด้วย ไม่รู้ว่าแดดมันร้อนห่าอะไรนักเหมือนกัน
ไม่มีคำตอบรับหรือคำปฏิเสธ มือมันค่อยๆวาดเป็นตัวอักษรบนผืนทราย
ไว้กลางคืน
ผมอ้าปากค้าง เอาเท้าขยี้ทรายจนมันกระเด็นใส่ไอ้ซีเต็มๆ มันหัวเราะร่วนเหมือนคนบ้า จะเดือดร้อนอะไรล่ะในเมื่อมันใส่แว่นกันแดดอยู่ กระเด็นให้ตายก็ไม่มีทางเข้าตา
“อย่ามาบ้า...ทะเลน่ะจะไปเล่นหรือเปล่า”ผมทำเป็นโมโหแก้เขิน ให้ตายสิ พูดมาได้...ไม่ได้นอนห้องเดียวกันซะหน่อย...
ไอ้ซีกระตุกยิ้มแล้วเอามือเขี่ยทรายต่อ
Not now...
โห...ทำดัดจริตเขียนปะกิดนะมึง ผมเลยเลิกชวนมัน วิ่งไปเล่นน้ำกับพวกเพชรแทน เล่นไปพักใหญ่ไม่ได้สนใจอะไรไอ้คนท่ามากบนหาดอีก จนกระทั่งขึ้นมากินน้ำถึงได้เดินเข้าไปหามันอีกรอบ แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นมันทำหน้านิ่งเหมือนไม่สบอารมณ์
“อะไร?”ถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะลงเล่นก็ยังเห็นมันอารมณ์ดีๆอยู่ แต่ไหงขึ้นมาอีกทีมันทำหน้าบูดแบบนี้วะ หรือจะงอนที่ไม่ชวน...
“เลิกเล่นได้แล้ว”มันออกคำสั่งเสียงห้วน แต่ผมสิเหวอ
“อะไรของมึงเนี่ย?”ตอนนี้รู้สึกงงกับพฤติกรรมขึ้นๆลงๆของมันสุดๆ แต่ไอ้ซีกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง มันลากแขนผมลงน้ำทั้งที่ก่อนหน้านี้ชวนยังไงมันก็ไม่ยอมมาเล่นจนผมอดคิดไม่ได้ว่าความจริงแล้วมันว่ายน้ำไม่เป็นหรือเปล่า...แต่แล้วผมก็ได้พิสูจน์กับตัวว่าทฤษฎีนั้นมันผิด มันลากผมว่ายไปตรงที่ที่ไม่ค่อยมีคน แล้วมันก็ดึงผมลงใต้น้ำแบบกะทันหันจนแทบสำลัก
ไอ้ห่า!!! เล่นเชี่ยไรเนี่ยยยยยยยยย!!!?
ตะโกนด่าในใจได้ไม่เท่าไหร่ริมฝีปากมันก็ประกบลงมา ผมตาค้าง เห็นปลาสีส้มตัวเล็กๆว่ายผ่านไป อาการสำลักลดน้อยลงเพราะได้ออกซิเจนเข้ามาแทนที่ แต่กว่าจะรู้สึกตัวว่าทำอะไรกันอยู่ก็ตอนที่ดูดปากกับมันไปหลายนาทีแล้วนั่นแหละ
ผมโผล่พรวดขึ้นมาเหนือน้ำ หอบหายใจเหมือนเพิ่งไปวิ่งมาราธอนสักสิบกิโลฯ
“แฮ่ก...ทำ...ทำห่าอะไร...วะเนี่ย...”ด่ามันทั้งสีหน้าแดงๆ แต่มันก็ดันเสือกยิ้มแล้วตวัดแขนรั้งตัวผมเข้าไป อีกมือเลื่อนลงไปใต้ขอบกางเกงก่อนจะ...จับตรง...ง่า... “เฮ้ย...ไอ้ห่า...นี่มันในทะเลนะโว้ย...อะ...ไม่เอานะ...อือ...”
ตายชัก!! ส่งเสียงเชี่ยอะไรออกไปวะเนี่ยกู!! ผมหันไปมองหน้าไอ้คนด้านหลังแบบโกรธๆ แล้วก็เห็นมันกระตุกยิ้มแบบสะใจสุดๆที่แกล้งผมได้ แต่มือแม่งก็ยังไม่หยุดขยับจนรู้สึกได้ว่าอะไรๆมันกำลังตื่น ให้ตายสิ...กูไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะโว้ย...ทำกันซะขนาดนี้มันก็ต้อง...งื้อ...
“ซ...ซี...ไม่เอา...ในทะเลมัน...อื้อ...”จากที่มันจับข้างนอกอย่างเดียวมันเริ่มล้วงเข้าไปด้านในขาผมอ่อนจนแทบจะอืดตายคาทะเลอยู่แล้ว ดีนะที่ไอ้ซีมันจับเอวไว้ ไม่งั้นคงจมแม่งตรงนี้แน่
ฝ่ามือมันเค้นอย่างหนักแบบจงใจแกล้งเต็มที่ ผมจะปัดมือมันออกหลายทีแล้วแต่พอทำท่าจะปัดทีไรแม่งก็แกล้งจนมือไม้อ่อนทุกที แค้นก็แค้นโกรธก็โกรธแต่มือก็หมดแรงสุดๆ ตอนแรกที่เล่นไอ้ซีก็ขำอยู่หรอกนะ แต่พอนานๆเข้ามันก็เริ่มเงียบ แล้วก็หยุดไป
ผมหันกลับไปมองมัน เคยเป็นปะ โดนๆแล้วก็หยุดน่ะ โคตรอารมณ์ค้าง แต่พอมองตามันก็เพิ่งจะรู้ว่าไอ้ที่ทำๆไปน่ะ...ไอ้ซีก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรด้วยสักหน่อย
ไอ้วายร้ายหัวเราะเสียงแผ่ว แต่แล้วมันก็ละมือออก ก้มหน้าเข้ามาใกล้ ผมใจสั่นหวิว ลุ้นว่ามันจะทำอะไรต่อ แถมยังร่ำๆจะลืมวิธีลอยตัว ดวงตาของซีจับจ้องนิ่งอยู่ที่ผม ระยะห่างระหว่างเราแทบไม่ถึงคืบ ผมใจเต้นตึกตัก ก่อนที่มันจะ...
กดหัวผมลงทะเล!!!
ผมเดินหนีไอ้คนตัวสูงกว่าด้านหลังแบบโคตรอารมณ์เสีย โดยที่คนเดินตามแม้จะมีสีหน้าสำนึกผิดหน่อยๆแต่ปากมันดันเสือกอมยิ้มแบบสมใจ โว้ยยยยยยย อารมณ์เสีย โกรธ โมโห...ถามว่าโมโหใคร...โมโหตัวผมเองนี่แหละที่ใจง่าย ยอมให้มันทำอะไรๆตามใจชอบ
หลังมาตรงหาดที่ปักหลักกันไว้แต่แรกด้วยสภาพอ่อนเปลี้ยจนไอ้ซีมันต้องอุ้มเอาไว้ พวกเพื่อนๆก็เข้ามารุมถามกันยกใหญ่ว่าเป็นอะไร ดีนะที่มันยังเห็นแก่หน้าผม ช่วยกรุณาตอบไปว่าเป็นตะคริว ไม่ใช่กินน้ำทะเลเข้าไปบานตะไทจนหน้ามืด...แต่ผมก็ยังโมโหอยู่ดีนั่นแหละ หนอย ทำเป็นยิ้มนะมึง กลัวใครๆเขาไม่รู้เลยใช่ไหมว่ามึงมันเจ้าเล่ห์!!?
ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง ไอ้ซีมันเพิ่งจะมากระซิบบอกผมทีหลังว่าที่มันบอกให้รีบขึ้น ไม่ต้องเล่นแล้วเป็นเพราะกางเกงว่ายน้ำผมมันบาง โดนน้ำแล้วมันเห็นไปถึงไหนๆ เอาง่ายๆว่ามันเห็นแล้วระคายลูกตาจนฟิวส์ขาดนั่นเอง...ไอ้ตัวไร้สติยับยั้งชั่งใจเอ๊ย
“อย่าทำหน้างอดิ เดี๋ยวมันจะยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่”เสียงหัวเราะหึๆของไอ้คนที่ไม่เคยจะโทษว่าตัวเองผิดยิ่งทำเอาผมเซ็งหนัก หงุดหงิด หงุดหงิดโว้ยยยยยยย!!
ไอ้ซียังคงหัวเราะต่อ มันยื่นกระป๋องโค้กและบาร์บีคิวให้ผม ตอนนี้เริ่มเย็นแล้วครับ พวกเราเลยเปลี่ยนบรรยากาศจากเล่นน้ำเล่นนู่นเล่นนี่เป็นหาอะไรใส่กระเพาะแทน ที่เตาตอนนี้มีพวกที่ไม่ค่อยได้ออกแรงช่วงกลางวันปิ้งให้อยู่ ไม่น่าเชื่อว่าไอ้เนมเห็นแบบนั้นแต่มันเป็นคนทำอาหารเก่งผิดคาด ผิดจากแฝดมันที่ทำอะไรไม่เป็นเลยแม้แต่อย่างเดียว
เนมมันเคยบอกว่าไอ้นิวอ่ะ ต้มไข่ไข่ก็แข็งจนแทบจะปาหัวหมาตาย ทอดไข่ไข่ก็เละจนไม่รู้ว่าเป็นไข่ทอดหรือไข่กวน(แน่นอนว่าหลังพูดจบนิวมันก็แหกปากด่าอย่างรวดเร็ว)
“มึงไม่กินเหรอ”ผมหันไปถามซีเพราะเห็นมันยืนมองผมนิ่งๆโดยที่ไม่ได้แตะต้องอะไรเลย ผมเลยยื่นโค้กไปให้มัน “ไปเอาบาร์บีคิวมากินสักไม้ดิ รองท้องไว้ก่อน”
อดจะเตือนมันอย่างนี้ไม่ได้ทุกที ซีมันไม่ค่อยใส่ใจตัวเองหรอกครับ ขนาดข้าวบางทียังกินบ้างไม่กินบ้าง ขี้เบื่อยิ่งกว่าอะไร เรื่องมากก็เป็นที่หนึ่ง เรื่องกินนี่มันเป็นคุณชายเต็มร้อยเลย ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าไม่ใช่ของภัตตาคารจะไม่กินนะ แต่ถ้ามันไม่ถูกใจมันก็สามารถโยนทิ้งได้ทันทีโดยไม่ลังเล
“กินไปเหอะ ไม่หิว”นั่นไง เหตุผลควายๆแบบนี้ทั้งปี ไม่ใช่ไม่หิวอย่างเดียว เพราะพ่อคุณไม่อยากจะกระเดือกด้วยต่างหาก เสริมให้เลย...
“กินเข้าไป จะกินดีๆปะ”ผมยื่นไม้บาร์บีคิวไปจ่อตรงหน้ามัน ให้ตายสิ ตั้งแต่เที่ยงมันยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ หยิบมาทั้งทีแทนที่จะหยิบเยอะๆหน่อย...คนกำลังหิว(อ้าว?)
ไอ้ซีมองนิ่งๆ แต่ก็ยอมอ้าปากงับแต่โดยดี มันกัดไปแค่คำเดียวแล้วก็ผลักคืน ผมมองแบบจิกๆหน่อยแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร เอากลับมากินต่อจนหมดแล้วฝากโค้กมันไว้ ก่อนจะเดินไปหาพวกเพื่อนที่เตาย่างตรงลานรีสอร์ท
“ขอจานดิ”บอกไอ้เนมที่ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวประจำงานจนมันเงยหน้ามองแล้วทำหน้ายังกับจะบอกว่า ‘สั่งกูเหรอ’ ผมเลยยักคิ้วกวนประสาทตอบมันไปทีหนึ่งแล้วรับจานบาร์บีคิวหมูไก่เนื้อที่มีอยู่ประมาณสี่ห้าไม้มา “เออ ไม่ได้กินคนเดียว เอาไปเผื่อคนอื่นด้วย...แจ่ม”
พอได้ยินว่าไม่ได้กินคนเดียวไอ้เนมเลยขนมาวางลงบนจานผมอีก ตอนนี้เลยกลายเป็นทั้งจานเต็มไปด้วยบาร์บีคิวเจ็ดแปดไม้ได้
“เฮ้ย มากินกัน”นอกจากซีแล้วแถวนี้ก็ยังมีไอ้แฝดบอลบาสแล้วก็เพชรกับจูนด้วย พวกมันรีบวิ่งหางกระดิกเข้ามาเหมือนได้กลิ่นอาหาร แล้วก็ลงมือตะครุบไปคนละไม้จนผมได้แต่หัวเราะร่าที่เห็นบาร์บีคิวหายวับไปในพริบตา...กูว่าแล้ว ดีนะขอไอ้เนมมาเยอะ
“เอ้า”ผมยื่นให้ซีไม้นึง จิกๆบังคับให้มันรับไปกินให้ได้ มันทำท่าอิดออดนิดหน่อยแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี แต่กินไปกินมาผมก็ต้องขำเพราะมันถึงกับเดินไปขอไอ้เนมเพิ่มเอง...อร่อยก็บอกกันแต่แรกดิวะ เก๊กอยู่ได้
“กินเองบ้างเหอะเนม มา เดี๋ยวกูช่วย”ผมเดินเข้าไปหาเนม ตอนนี้ไอ้ซีไปนั่งกระดกสปายกับพวกไอ้นัทแล้ว(ไอ้ไฟว์จิ๊กมาจากบาร์ในรีสอร์ท ใช้เส้นพี่เฟิร์สขอๆเขามาอีกที)
“เออ”ไอ้เนมตอบสั้นๆคำเดียว ผมเปลี่ยนที่ยืนกับมัน พลิกบาร์บีคิวเป็นระยะๆในขณะที่ไอ้เนมยืนกินเอาๆเหมือนตายอดตายอยากมาจากไหนสักแห่ง แต่ไม่นานเสียงเมสเสสเข้าที่ไม่ใช่ของผมก็ดังขึ้น ไอ้เนมชะงักการกิน มันหยิบมือถือขึ้นมาดู ทันใดนั้นรอยยิ้มจางๆก็ค่อยๆผุดขึ้นทั้งที่มันไม่ใช่คนชอบยิ้มเลย
ผมหรี่ตา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันได้เมสเสสจากใคร พูดตรงๆนะ ผมล่ะงงกับไอ้คู่นี้จริง ไม่รู้ว่าตกลงพวกมันจะเอายังไงกันแน่...
“จากไอ้วีเรอะ”ผมถามเหมือนไม่คาดหวังคำตอบนัก
“อือ”แต่ไอ้เนมก็ยังคงเป็นไอ้เนม ไอ้นี่แม่งขวานผ่าซากไม่เคยอ้อมค้อมอะไรอยู่แล้ว
“ถามจริง...มึงคบกับน้องกูเหรอ?”ผมหันหน้าไปสบตาเนมตรงๆ อยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ถามเนมสักที ถามไอ้วีน่ะเลิกคิดได้เลย...กว่ามันจะตอบเป็นภาษาคนแม่งก็บิดไปแปดตลบให้ผมยืนรอจนหลับแล้ว
ห่าเนมยิ้มกวนตีนตอบ “แล้วคิดว่าไงล่ะ?”
“เดี๊ยะชกหน้าแหก”ขู่ไปแบบไม่จริงจังนัก(แน่ล่ะ ผมเตี้ยกว่ามัน)ไอ้เนมนี่ทำตัวน่าหมั่นไส้ นี่มันไม่คิดจะเข้าทางพี่หน่อยเลยเรอะ...เอ๊ย เปล่านะ ผมเปล่าพูดอะไร... “หมายถึงว่า...เอาตรงๆเลยนะ...รักไอ้วีใช่มั้ย?”
เนมมองหน้าผมเหมือนมันอยากกวนตีนอะไรสักอย่างมากกว่าตอบดีๆ แต่สุดท้ายมันก็หลบตาไปแล้วตอบสั้นๆแต่มุมปากอมยิ้ม
“...อือ”
“ก็เท่านั้น”ผมเลิกสนใจมัน หันไปปิ้งบาร์บีคิวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “รักมันก็อย่าทำให้มันร้องไห้ เข้าใจปะ ไอ้วีมันไม่ได้เป็นมาโซชอบความเจ็บปวด กูไม่คิดจะห้ามจะขวางหรอก แต่ถ้ามึงทำให้มันเสียใจอยู่เรื่อยๆ กูนี่แหละจะกันพวกมึงออกจากกันเอง”
เหมือนไอ้เนมจะบ่นนิดๆเป็นเชิงว่า...มึงไม่มีทางขัดขวางกูได้หรอก...แต่มันก็ไม่ได้พูดแบบจริงจังนัก แค่บ่นๆนิดๆ แต่สิ่งที่มันตอบผมอย่างหนักแน่นกลับเป็น...
“มึงพูดแล้วนะว่ามึงยกวีให้กู...กูไม่มีทางคืนให้แน่...ไม่มีวัน”
ผมหัวเราะเหอะๆด้วยความหมั่นไส้มันเหลือทน “...ให้มันจริงอย่างปากว่าเถอะว่ะ”
“อย่าว่าแต่เรื่องของกูเลย...เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะ”ไอ้เนมพูดงึมงำนิดๆเพราะปากมันมีแต่บาร์บีคิวอยู่เต็ม ผมขมวดคิ้ว ฟังมันพูดแล้วรู้สึกอยากกดหัวมันลงทะเลชอบกล
“ปากดีนะมึง...”
“ก็รึไม่จริง?”ไอ้ห่าจอมกวนตีนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ซีมันจะไปแล้วนี่ น่าจะทำอะไรให้มันประทับใจสักหน่อย อย่างน้อยๆก็ไม่ให้มันไปติดผู้หญิง...หรือผู้ชายที่เมืองนอกแล้วลืมมึง”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ”ผมกัดฟันกรอดๆ อยากชกมันแทนกดลงทะเลแล้ว แม่งเอ๊ย ทำกูเสียเซลฟ์หมด อุตส่าห์จะไม่คิดไอ้เรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้วเชียวนะ...
ไม่ได้มั่นใจว่ามันจะไม่มีทางไปมีคนอื่นหรอก แต่ผมเชื่อใจมันนี่หว่า ผิดมั้ยล่ะที่ผมเชื่อมันอ่ะ “กูไว้ใจซี”
เนมยักไหล่ “ใครว่าอะไรล่ะ ก็ดีที่มึงเชื่อใจมัน มีอะไรก็คุยกันดีๆ...อย่าให้เป็นแบบกูนะ”
ผมกำลังจะอ้าปากถามว่าที่มันพูดหมายความว่าไง แต่ก็ต้องหยุดเพราะเสียงทักจากกลุ่มเพื่อนๆที่อยู่อีกฝั่ง
“เฮ้ยๆ!!”เสียงไอ้นิวลั่นมาก่อนใครเพื่อน มันโบกมือเรียกผมกับเนมให้เข้าไปรวมกลุ่มกันที่ลานเล็กๆไม่ไกลจากตรงนี้นัก หลายคนจุดดอกไม้ไฟเล่นอยู่ พวกเราเดินเข้าไปตามที่มันเรียก แล้วไอ้นัทก็กระแอมเบาๆ
“อะแฮ่ม! ทุกท่านคงทราบดีว่าทริปนี้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์คือเพื่อสนองตัณหาหลังสอบ”เป็นอันฮาครืนกันทั้งกลุ่ม ก็ดูมันใช้คำดิ...สนองตัณหา... “แต่อีกสิบเปอร์เซ็นต์...ที่เหลืออันน้อยนิด...ก็เพื่อที่เราจะได้มีความทรงจำร่วมกันก่อนที่ไอ้ตี๋เพื่อนเราจะโกอินเตอร์ครับผม!”
เสียงเป่าปากโห่แซวดังมาจากทุกทิศ และไอ้ซีก็หัวเราะเบาๆ “ดีว่ะ กูมีค่าตั้งสิบเปอร์เซ็นต์”
“อย่าขัดดิครับไอ้คุณเจ้าของงาน”นัทหันไปโวย แล้วมันก็หยิบกล่องเล็กๆให้ “อ่ะ ของขวัญส่ง โชคดีนะเว้ยเพื่อน...ใครจะให้อีกก็มาเข้าแถวต่อจากกูเลย”
ผมยืนมองพวกเพื่อนๆเรียงกันเข้าไปอวยพรให้มันโชคดี เอาของขวัญไปให้ พูดคุยกึ่งแซวกันเป็นที่สนุกสนาน ไม่มีใครไม่เตรียมของมานอกจากผม ไม่ใช่ว่าผมงกไม่ยอมให้มันนะครับ แต่ซีมันรู้อยู่แล้วว่าที่ทุกคนมาวันนี้ก็เพื่อมันด้วย มันแอบกระซิบบอกผมไว้แล้วว่าของขวัญส่งไม่ต้อง เดี๋ยวมันจะบอกเองว่ามันอยากได้อะไร(แน่นอน ผมบอกมันแล้วว่าไม่เอาอะไรใต้เข็มขัดเด็ดขาด)
“อ้าวเฮ้ย แล้วคุณแฟนที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะไม่มีอะไรให้เลยเหรอครับ แฟนทั้งคนจะไปแล้วนะ”ไอ้เหี้ยนัทปากเสียแซวมาแต่ไกล ทุกคนโห่ใส่รอบทิศจนผมต้องหันไปด่า
“ไปบอกซีมันเองสิโว้ยยยยย”
ไอ้ซีหัวเราะร่วน รู้สึกวันนี้มันจะยิ้มง่ายเป็นพิเศษ มันเดินมาใกล้ผม ทั้งกลุ่มเงียบเหมือนรอดูว่ามันจะทำอะไร แล้วซีมันก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“...อะไร?”ผมถามมัน ความหวาดระแวงพุ่งทะลุจุดเดือด
ไอ้ห่าหน้าด้านชี้ไปที่แก้มตัวเอง
ผมอ้าปากค้าง “ไม่มีทางเฟ้ย!”
ฮึ่ย ถ้าอยู่กันสองคนน่ะได้ แต่นี่เล่นอยู่กันทั้งกลุ่มเลยนะ ใครมันจะกล้าทำอะไรแบบนั้นกันล่ะ โจ่งแจ้งเกิน ไม่ไหวๆ
“ไหนว่าจะให้ทุกอย่าง?”คุณชายซีเริ่มทำหน้านิ่งทวงสัญญา โห...ผมขมวดคิ้วใส่มัน เวลามันทำหน้าแบบนี้แล้วตามันดุชะมัด อะไรวะ เอาแต่ใจชิบหาย
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องแบบนี้นี่”
“ก็กูจะเอาเรื่องแบบนี้นี่”
เออ ดี ฟังมันนะครับฟังมัน ฟังแล้วเจริญดีแท้...
“เร็วๆ”มันชี้แก้มตัวเองซ้ำ เอียงหน้าให้ต่ำลงมานิดๆ(เออ กูมันเตี้ย!) โดยที่รอบข้างก็เป็นเสียงของไอ้พวกเพื่อนเชี่ยที่พร้อมใจกันประสาน
“จูบเลย จูบเลย จูบเลย จูบเลย”
สาดดดดดด นี่มันงานเลี้ยงส่งบ่ใช่งานแต่งงานโว้ยยยยยยยย!!
ผมถอนหายใจเฮือก เอาวะ ไหนๆก็จะไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว ผมกลั้นใจยื่นหน้าเข้าไป แต่ในจังหวะที่กำลังจะประทับริมฝีปากลงไป ไอ้ซีก็ดันหันหน้ากลับมา
จุ๊บ!!
.............................
อึ้ง กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่ทั้งกลุ่มพากันอึ้งไปด้วยนั่นแหละ
ผมเบิกตากว้าง สิ่งแรกที่ผ่านเข้าสู่สายตาหลังจากโดนหลอกให้ประทับปากมันแทนแก้มคือรอยยิ้มและสายตาวาวๆจากไอ้ซี ในขณะที่ทั้งกลุ่ม...อึ้ง
ผมหน้าร้อนวาบ พลางสบถลั่น
“ไอ้ควายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”
ไอ้ซีหัวเราะร่า แล้วมันก็จูงมือผมเดินออกมาทางชายหาดทันที ไม่สนใจพวกเพื่อนๆที่ยังคงยืนอึ้งกันเป็นหุ่นขี้ผึ้งในพิพิธภัณฑ์ ผมโวยวายลั่นทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ แต่พอเดินออกมาไกลมากพอ ซีมันก็นั่งลงบนโขดหินแถวนั้น มันตวัดมือรั้งผมให้ขึ้นไปนั่งบนตักมันแล้วก็เข้ามากอดจากทางด้านหลัง ก่อนจะเอาคางมาเกยไหล่เอาไว้
“ขอบคุณนะ”มันกระซิบเสียงเบา สองมือรัดอยู่รอบเอวแต่ไม่ได้ระรานอะไรมากไปกว่านี้ “...ที่มาด้วย...และ...ที่ยอมทำตามที่กูขอ”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะอดคิดไม่ได้ว่าอีกนานแค่ไหนกันนะ...กว่าที่ผมจะได้รู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นนี้อีก
“ซี”ผมหันไปหาเจ้าของชื่อ แล้วแก้มก็ไปโดนปากมันเข้าพอดีจนต้องเอียงหน้าหลบนิดหน่อย “...กูต้องคิดถึงมึงมากแน่ๆเลยว่ะ”
คนฟังเหมือนจะอึ้งไปนิด แต่สุดท้ายมันก็หัวเราะตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“เหมือนกันนั่นแหละ...”
“ซี”ผมเรียกมันรอบสอง แล้วก็ได้ยินเสียงตอบรับในลำคอ
“หือ...”
“อย่าไปมีกิ๊กนะ”
คราวนี้เสียงหัวเราะเบาๆของมันกลายเป็นดังลั่นทันที “...คิดได้ไงวะ อย่าบอกนะว่าที่คุยเครียดกับไอ้เนมก็เพราะเรื่องนี้?”
“ส่วนหนึ่ง...เอ๊ย!!”ตะครุบปากแทบไม่ทันที่เผลอเผยไต๋ให้มันรู้ “เอ่อ...คุยเรื่องวีเฟ้ย ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”
“มึงโกหกไม่เคยเนียนหรอก”
ผมหรี่ตาวูบ เริ่มรู้สึกเซ็ง “...งั้นวันหลังก็อย่ามาถาม”
“ไม่หรอก”อยู่ๆซีมันก็พูดขึ้นมา “มึงก็ด้วยล่ะ”
ผมหันกลับไปมอง “เรื่องมีกิ๊กหรือเรื่องถาม?”
“ทั้งสองอย่าง”ไอ้ซีหัวเราะหึๆ ผมพูดจริงนะ รู้สึกว่าวันนี้มันอารมณ์ดีผิดปกติจริงๆ “แฟร์ๆนะ กูไม่มีใคร มึงก็ต้องไม่มีใคร ตกลงไหม?”
ผมอมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป...ยังหมั่นไส้มันอยู่...ชิ
“ตกลงรึเปล่า...”
“เฮ้ยๆๆ หยุดๆ ฮ่าๆๆ”
เหวอสิครับ ไอ้ซีมันเริ่มเอาหน้ามาซุกที่คอแล้วแกล้งเป่าลมใส่ ทำแบบนี้แล้วโคตรจั๊กจี้เลย ยิ่งเวลามันโกนหนวดมาใหม่ๆแล้วเอาคางมาถูนี่ยิ่งจั๊กจี้หนัก
“ว่าไง...รอคำตอบอยู่นะ”
“ฮ่าๆ...ฮ่า...ตก...ตกลง...ฮ่าๆๆ...โอ๊ยยย ปล่อยกูทีเถ๊ออออ”
ไอ้คุณชายซีกระตุกยิ้มแล้วมันก็เอาหน้าออกไป หลังจากนั้นมันก็นั่งกอดผมนิ่งๆตามเดิม
เราไม่ได้พูดอะไรกัน เสียงลมทะเลดังแว่วอยู่ในหู ผสมกับกลิ่นอายเค็มๆที่พัดขึ้นมาจากท้องน้ำ ท่ามกลางความเงียบมีเพียงแสงวิบวับจากรีสอร์ทสะท้อนแข่งกับแสงดาวบนฟากฟ้ามืดสนิท จริงอย่างที่ไฟว์มันบอก รีสอร์ทที่นี่เห็นดาวชัดมากแบบที่หาดูได้ยากในกรุงเทพ
มือของซีเอื้อมมือเกาะเกี่ยวมือของผมเอาไว้ ลมหนาวของยามดึกเริ่มพัดมา แต่ในอากาศช่วงปลายฝนต้นหนาวเช่นนี้ผมกลับไม่รู้สึกหนาวเย็นเลยแม้แต่นิด
ผมเอนกายพิงแผ่นอกกว้างของคนด้านหลังพลางหงายศีรษะให้ซบกับไหล่แข็งแรง
ความอบอุ่นนี้ที่ตามหาจนเจอ ผ่านอะไรมาตั้งมากมายกว่าจะได้เป็นของกันและกัน
ซีเป็นเหมือนของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าประทานให้กับชีวิตผม เป็นของขวัญที่พิเศษสุด ล้ำค่าสุดอย่างที่ผมไม่คิดว่าชั่วชีวิตนี้จะหาได้อีกแล้ว
ตั้งแต่ที่ไม่เคยรู้จักถึงคำว่ารัก จวบจนกระทั่งได้รักใครคนหนึ่งอย่างที่ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะรักใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัวได้มากมายถึงเพียงนี้
มันเป็นรักที่วิเศษที่สุด...และมีความหมายที่สุดในชีวิตของผม
“ซี”
ผมกระซิบเรียก ขณะเงยหน้ามองเจ้าของอ้อมกอด
“หือ...”
“ดูนี่”
ผมขยับตัวออกเล็กน้อยเพื่อให้ถนัด แล้วเอื้อมมือลงไปเกลี่ยผืนทรายข้างตัว ในความมืดแบบนี้มันอาจจะมองไม่ชัดนักแต่ก็คงไม่ถึงกับมองไม่เห็นอะไรเลย
‘You know?
I see only you’
ผมไม่ได้หันกลับไปมองหน้าของคนด้านหลัง แต่ก็รู้ว่ามันคงกำลังยิ้มอยู่ มือแกร่งปล่อยจากเอวผมข้างหนึ่ง แล้วมันก็วาดนิ้วเขียนข้างๆกัน
‘I know...
And I see only you, too’
เรามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ ผลสรุปที่เขียนๆมานี่มันว่าไงน่ะเหรอ...ก็ไม่ไงหรอก...สรุปง่ายๆก็...แค่เรามีกันและกัน เรารักกันไปแบบนี้ก็พอแล้ว
ได้แค่นี้ผมก็ไม่ขออะไรอีกแล้วล่ะ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
/me หัวเราะอย่างชั่วร้ายและเดินนวยนาดจากไป
สโนว์แวบไปสอบมาแปปนึงค่ะ นี่ก็เริ่มโอเคแล้ว เลยหายไปชั่วขณะ 555+ ไม่ได้ลืมนะๆ รู้ๆกันว่ารีดเดอร์อาจใจแป้วเนื่องจากสโนว์ขึ้นชื่อเรื่องหายหัวค่ะ ฮาาาาาา
มันก็ น่าจะถือว่าสบายๆ ไม่มีอะไรมากแล้วล่ะ พูดจริงๆนะ จบนะ จะจบแล้วนะ จริงๆนะ 55
นานมากเลยนะคะกว่าโนว์จะเข็นได้จนจบ มาคิดๆดูก็.....โหหหหห น่าจะ6-7 ปี สำหรับคนที่(ทน)อ่านกันมาจนทุกวันนี้ โนว์อยากมอบโล่ให้ แต่ความจริงแล้วไม่รู้จะเอาอะไรให้เหมือนกันนะ (หลบทะรีนรีดเดอร์)
โนว์มีคำถามเล็กน้อยค่ะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าการลงนิยายในเด็กดีจะยังฮิตเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า ถ้ารีดเดอร์ท่านใดอ่านแล้วเห็นช่วยตอบให้ทีนะคะว่าตอนนี้คนใช้งานเด็กดีมีเยอะมากเหมือนแต่ก่อนไหม (แสดงอายุอย่างเห็นได้ชัด 55+) เพราะปกติสโนว์ยุ่งมากค่ะ ถ้าเข้ามาก็แค่ได้ลงนิยายตัวเองแต่ไม่เคยไดมีเวลาเปิดของคนอื่นอ่านเลย (แอบรู้สึกผิดเล็กๆ) หรือไม่ถ้าในนี้คนมีน้อย สโนว์ควรไปลงที่ไหนดี??
สุดท้ายแล้วจริงๆนะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ รักรีดเดอร์เสมอ :)
ปล. เหลือบทส่งท้ายอีกนิดหน่อยนะ ><
ความคิดเห็น