ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crescendo ดนตรีรัก จังหวะร้าย (YaOi)

    ลำดับตอนที่ #29 : Rhythm 26 : Again (มาช้าโคตร และขอพูดอะไรหน่อยค่า TT^TT)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.2K
      4
      31 ส.ค. 53

    Rhythm 26 : Again
     
     
                (Special Part : ตะวัน...อีกครั้ง)
                ช่วงนี้ใกล้จะสอบแล้วผมเลยไม่ค่อยได้เดินร่อนไปร่อนมาเหมือนคนว่างงานนัก เด็กดีก็งี้แหละครับ รู้จักอ่านหนังสือหนังหาไม่ใช่เดินว่อนทั่วโรงเรียน เอ่อ...เปล่าหรอก ความจริงเพราะมีคนชวนน่ะ ไอ้ออฟเพื่อนในห้อง(ไอ้ที่มันนั่งข้างหลังผมอ่ะ จำได้หรือเปล่า)มันชวนให้ผมไปติวหนังสือกับกลุ่มมันช่วงนี้เพราะมันอ้างว่าแต่ละเรียนอ่อนกันทั้งนั้น ผมน่าจะช่วยได้
                ส่วนผมก็ด้วยความที่เป็นคนดีจัดและก็ว่างงานเลยตอบตกลงพวกมันไป เพราะยังไงช่วงนี้วงโยฯก็เข้าค่ายแถมติดซ้อมยาว กว่าจะได้เจอพี่กานต์อีกทีก็คงหลังงานคอนฯโน่น
                พี่กานต์ที่พูดถึงเขาเป็น...อืม...แฟนผมเองครับ...ไม่รู้ดิ แต่เวลาจะพูดคำนี้มันกระดากปากยังไงก็ไม่รู้ว่ะ ยังกับมันยังมีอะไรสักอย่างตงิดๆตะขิดตะขวงใจอยู่เลย
                ผมคงเป็นคนแปลกน่าดูสินะ ตกลงคบกับเขาเองแท้ๆแต่ดันมัวไม่แน่ใจตัวเองลับหลัง - -
                “เฮ้ยๆๆ ออกมาแล้วๆ”
                ผมตื่นจากห้วงภวังค์ความคิด จดจ่อสายตาไปยังเวทียกระดับที่อยู่กลางฮอล์ ฝ่ายแสงสีไม่น่าหรี่ไฟจนสลัวแบบนี้เลย แถมวงโยฯยังมาโทนดำยกเซ็ท มองยากชะมัด พี่เซมที่อยู่ตรงกลองชุดนี่ยิ่งมืดจนแทบจะมองไม่เห็น
                เอ่อ...อย่าสงสัยไปเลยครับว่าทำไมเกริ่นหัวว่าติวหนังสือแต่ดันมาโผล่ในฮอล์ดูคอนเสิร์ตของพวกโยธวาทิตไปได้ ก็แบบว่า...คนเรามันต้องมีพักสมองบ้างไง ฮ่าๆ(หัวเราะกลบเกลื่อน)
                “นักดนตรีแต่งดำแล้วเราว่าก็เท่ดีเหมือนกันแฮะ”ออฟที่นั่งข้างๆสะกิดผม ผมมาดูกับกลุ่มของออฟที่มีออฟแล้วก็เพื่อนต่างห้องอีกสามคนครับ อันที่จริงมันควรจะมีสี่ แต่ว่าคนหนึ่งในกลุ่มดันเป็นเด็กวง ตอนนี้จึงไปนั่งสลอนอยู่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว
                “แต่ไอ้ไผ่แต่งดำแล้วยิ่งดูเตี้ยว่ะ ฮ่าๆๆ”ลิ้งค์เพื่อนต่างห้อง(ที่ไผ่เคยแนะนำว่า ‘ลิง’)หัวเราะกั่กๆด้วยน้ำเสียงที่ถ้าไอ้ไผ่ได้ยินมันคงขว้างฮอร์นใส่หัวไอ้เพื่อนบ้าคนนี้แน่
                เพื่อนกลุ่มแรกของผมที่ได้ตั้งแต่ย้ายมาก็คือกลุ่มนี้ครับ เราเพิ่งสนิทกันช่วงที่ผ่านมานี้เองที่ออฟให้ผมไปช่วยติวหนังสือให้ แต่อันที่จริงผมว่าออฟมันก็ไม่ใช่คนเรียนอ่อนอะไรนะ ที่อ่อนจริงๆน่ะเป็นลิ้งค์กับไผ่แล้วก็แก้วมากกว่า ส่วนเฟียร์นี่...ผมว่ามันเก่งหลบใน ชอบทำโง่หน้าตายแต่แอบเก่งเงียบ
                กลุ่มที่นั่งอยู่ตรงนี้รวมผมแล้วก็มีห้าคน เริ่มจากไอ้ออฟตัวเริ่ม เพราะในห้องมันนั่งข้างหลังผมเราเลยได้คุยกันบ่อยๆ(แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นคนเดียวในห้องที่กล้าชวนผมคุย) ส่วนอีกสามคนเป็นเพื่อนต่างห้องทั้งหมด เริ่มจากลิ้งค์ที่ยิ้มได้ทั้งวันเหมือนคนบ้ากับเฟียร์ที่ทำหน้าแบบอื่นไม่เป็นนอกจากนิ่ง สองคนนี้รวมกับต้นไผ่ ไอ้คนที่เป่าฮอร์นอยู่นั่นอยู่ห้องเจ็ด(พวกผมอยู่ห้องสอง) แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนอยู่ห้องสี่
                “แต่เราว่าแต่งดำแล้วเท่ทุกคนเลยนะ”ยัยแก้ว ผู้หญิงคนเดียวในพวกเรากรี๊ดกร๊าดหลั่นล้า “ขนาดไผ่ยังดูเหมือนคนขึ้นเยอะ~!”
                ประโยคแรกของเธอน่าฟัง แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมประโยคหลังมันถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้
                ผมมองไปที่เวที เอิ่ม...แค่มองผ่านๆนะ ไม่ได้จ้องเครื่องไหนเป็นพิเศษ เปล่าเลยเปล่า...
                “ตะวันชอบทรัมเป็ตเหรอ?”แก้วถามผ่าขึ้นมากลางวงแต่ทำเอาผมสำลักน้ำลายตัวเอง ผมหันไปมองยัย(แก่น)แก้วแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่พอเห็นเธอทำหน้าซื่อไร้เดียงสาเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมาผมก็เลยไม่รู้จะตอบว่าไง และท่าทางแก้วจะคิดว่าไอ้การไม่ตอบของผมหมายถึงใช่ เจ้าหล่อนถึงได้ใส่ไฟต่อทันที “แหม...ไม่แปลกๆ ก็คนเป่าทรัมเป็ตน่ะเท่จะตาย เนอะ?”
                ควรจะ ‘เนอะ’ กับเธอดีมั้ยเนี่ย...ฮึ้ย ไม่กล้าตอบว่ะ เขิน!!     
                ผมมองไปทางแถวหลังสุดของทรัมเป็ตที่นั่งเรียงหน้ากระดานกันอีกครั้ง ตอนนี้พิธีกรกำลังฝอยแหลกอยู่ส่วนใหญ่ทุกคนจึงวางเครื่องไว้บนตัก...เจอแล้ว...ในความมืดสลัวของหอประชุม ผมก็เจอคนที่หาอยู่จนได้
                พี่กานต์...นั่งอยู่ริมขวาสุด ข้างๆเป็นพี่วา พี่กานต์กำลังนั่งคุยกับพี่วาอยู่ ไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร แต่พอเห็นพี่วาทำหน้าบอกบุญไม่รับ พี่กานต์ก็ขำใหญ่...
                “อันที่จริงพี่ชายแก้วก็เป่าทรัมเป็ตนะ”ผมไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่แก้วพูดนัก และเธอก็คงจะสังเกตเห็น แก้วจึงหันมาถาม “ตะวันๆ เป็นอะไรไปอ่ะ ไม่สบายเหรอ?”  
                ผมกะพริบตาซ้ำๆแล้วมองหน้าแก้ว ผมเป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย?...ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว...
                ความรู้สึกที่เหมือนกับว่า...มันมีอะไรสักอย่างแปล๊บๆอยู่ข้างใน
                “ตาวันนนนนนน”แก้วกรอกหูผมซ้ำแบบยานคาง ผมเลยยิ้มให้เธออย่างเสียไม่ได้
                “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่คิดว่าแอร์มันแรงน่ะ”
                “หนาวงั้นหรือ เอาเสื้อเราไปใส่ดิ”ไม่รู้ว่าออฟมันดักฟังผมคุยกับแก้วนานรึยัง มันถอดเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ออกแล้ววางลงบนไหล่ผม ก่อนจะยักคิ้วให้เมื่อผมหันไปมองมันงงๆ “เราพกมาเผื่อหนาวน่ะ แต่เราทนอากาศหนาวดีไปหน่อยเลยไม่รู้สึกอะไรเลย ผิดหวังอยู่เหมือนกันที่เอามาเก้อ”   
                ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้สนใจจะถามอะไรให้วุ่นวายเพราะตอนนี้ผมกำลังอยู่ในอารมณ์เซ็งบอกไม่ถูก
                ตั้งแต่วันที่ตกลง ‘ให้ยืม’ พี่กานต์กับพี่วาไป ผมกับพี่กานต์ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลยเพราะที่วงซ้อมยุ่งมาก ข้าวกลางวันก็ซัดกันแต่ข้าวกล่องหน้าห้องแล้วเดินกลับเข้าไปซ้อมต่อ(อันนี้พี่พีทแอบแวบมาเล่าให้ฟังตอนที่มาส่งข่าวจากพี่กานต์ว่าคงไปกินข้าวเที่ยงด้วยไม่ได้สักพัก) แต่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากเพราะออฟเคยชวนผมให้ไปด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมยังคงใช้ชีวิตตามปกติ แต่บางที...มันก็รู้สึกเหงาหน่อยๆ
                ผมคงเป็นคนแปลกมากสินะ...แต่เพราะอายุเราต่างกันหรือเปล่าน้อ ถึงได้คุยกันได้ไม่ทุกเรื่องเหมือนเวลาที่เพื่อนเขาคุยกัน...เหมือนพี่วากับพี่ซี...
                “เริ่มแล้วๆ”แก้วเขย่าแขนผมแรงๆเหมือนตื่นเต้น คอนดักเตอร์ยกไม้เป็นสัญญาณขึ้น เพลงแรกพี่อั๋นก็ออกโรงเองเลยหรือนี่...ผมเห็นแต่ด้านหลังของพี่อั๋น แต่แม้จะเห็นแค่นี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเอาจริงเอาจัง
                เพลงแรกเป็น Symphony No.5 ของบีโธเฟนที่เปิดตัวได้อย่างอลังการจนน่าขนลุก เสียงคลาริเน็ตกับเบสแนวหลังเด่นมาก่อนใครเพื่อน ผมฟังไปเรื่อยๆจนจบเพลงแล้วลิ้งค์ก็ยัดเยียดสูจิบัตรงานมาให้ผมดู สามเพลงแรกจะเป็นเพลงคลาสสิกล้วน เอ๊ะ...พี่พีทเคยเล่าให้ผมฟังว่าอะไรนะ เหมือนว่าจะ...มีเพลงหนึ่งที่พี่กานต์ต้องโซโล่เดี่ยวด้วยมั้ง...
                “ตะวันๆ ฟังเพลงนี้ดีๆนะ Trumpet Concerto อ่ะ”แก้วชี้ๆจิ้มๆไปที่สูจิบัตร พอดีกับที่โน้ตตัวแรกดังพอดี ผมมองไปที่เวที...ใช่เพลงนี้หรือเปล่านะ...
                เพลงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มันเรียกว่าอะไรนะ...เครสเซนโด...ล่ะมั้ง...ผมฟังไปเรื่อยๆขณะในหัวกำลังนึกไปเรื่อยถึงสิ่งที่พี่กานต์เคยพูดให้ฟัง แต่อยู่ๆสปอร์ตไลท์ก็ส่องลงไปที่กลางเวที มีคนหนึ่งในวงยืนขึ้น มันเด่นเสียจนผมเองก็ต้องหันไปมองทางนั้นด้วย แล้วก็...เฮ้ยยยย พี่กานต์!!?
                ภาพที่พี่กานต์ยืนโซโล่อยู่คนเดียวโดดเด่นกลางเวทีมันทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
     
                ‘พี่กานต์ Concerto คืออะไรเหรอ?’ ผมถามขึ้นมาในวันหนึ่งหลังจากที่พี่กานต์เล่าให้ฟังว่างานครั้งนี้พี่เขาต้องเป็นคนเล่น Trumpet Concerto
              พี่กานต์ยิ้มให้ ‘Concerto มันก็เหมือนโชว์บรรเลงของเครื่องใดเครื่องหนึ่งไงล่ะ อย่าง Trumpet Concerto ก็คือโชว์เดี่ยวทรัมเป็ต’          
     
                อ่า...ผมลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลยแฮะ แต่ว่า...เพลงนี้อ่ะ ขนาดผมที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องฟังดูยังรู้เลยว่ายาก แสดงว่าพี่กานต์ก็ต้องเก่งมากจริงๆสินะเนี่ย...
                ‘ตะวันอย่าน้อยใจไอ้กานต์มันนะที่มันไม่มาหา มันต้องเป็นคนเล่นโชว์เพลงคลาสสิค เพลงนั้นมันยากมาก กานต์มันอยากให้ตะวันรอดูตอนที่มันเล่นได้สมบูรณ์แบบแล้ว’   
                ผมนึกถึงสิ่งที่พี่พีทพูดกับผม(และพี่พีทก็แกล้งพูดต่อท้ายว่า ‘อันที่จริงแม่งก็แค่อยากโชว์เมพให้ตะวันรู้ว่ามันเท่+เทพเท่านั้นแหละ’) แล้วก็...เห็นด้วยทันทีกับที่พี่พีทบอกว่ามันยาก พี่กานต์เคยเล่าให้ฟังว่าเล่นเสียงสูงไม่ใช่ง่ายๆ สูงมากไปไม่ระวังก็เพี้ยน แต่ว่า...พี่กานต์ในวันนี้ก็สมบูรณ์แบบจริงๆนั่นแหละ
                ผมเห็นแบบนี้ผมก็ชักรู้สึกแล้วสิ ว่าในเมื่ออีกฝ่ายอยากทำเพื่อผมขนาดนี้ ผมจะมัวมานอยมางี่เง่าอยู่ทำไม
                ขอโทษนะครับพี่กานต์ที่เผลอคิดไม่ดี...แต่วันนี้พี่เท่มากจริงๆนะ
     
     
     
                ผมแวบออกมาจากกลุ่มพวกไอ้ออฟ ตอนนี้งานเลิกแล้ว เราเรียนกันแค่ช่วงเช้าและตอนบ่ายก็เปิดโอกาสให้นักเรียนดูคอนเสิร์ตกันแบบเต็มที่ หลายคนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ในขณะที่ผมเดินไปตามห้องด้านหลังเวที คิดว่าพวกวงโยฯน่าจะสิงกันอยู่สักห้องในนี้
                “อ้าว ตะวัน มาหาไอ้กานต์มันเหรอ ทางนี้ๆ”โชคดีเป็นบ้าที่ผมเจอพี่พีท พี่พีทเดินมากับพี่เป้คู่หู(คู่กัด)ของเขา ในมือทั้งสองมีโค้กคนละกระป๋อง คาดว่าคงจะเพิ่งไปกดมาจากตู้ตรงทางเดินเข้าหอประชุมด้านนอก
                พี่พีทพาผมไปที่ห้องเก็บตัวที่ใหญ่ที่สุด ในนั้นวุ่นวายมากพอสมควรเพราะทั้งวงกำลังช่วยกันขนข้าวของลงมาเก็บหลังเวทีเพื่อเตรียมใช้สำหรับงานพรุ่งนี้อีกวัน ผมเห็นไอ้ไผ่โบกมือให้เลยโบกตอบ...เคยบอกไปหรือยังครับว่าไผ่มันเป็นน้องของพี่กล้าแซ็กฯแฟนพี่อั๋น...แต่อย่าพูดดังไปนะ ไอ้คำว่าพี่กล้าแฟนพี่อั๋นเนี่ย เดี๋ยวพี่อั๋นได้ยินศพจะไม่สวย(ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ดูเหมือนพี่อั๋นจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาย้ำสถานะของเขากับพี่กล้าเท่าไหร่)
                ผมมองไปรอบๆหาคนที่จะมาพบ พี่กานต์กำลังแบกเบสดรัม(Bass Drum)ลงมาจากเวทีกับพี่กล้าอยู่ ดูเหมือนฝ่ายนั้นก็เห็นผมแล้ว(เพราะพี่พีทโบกมือจนแทบจะเป็นกังหันอยู่ด้านหลัง) พี่กานต์ยิ้มให้นิดๆแล้วเดินมาหาหลังวางเบสดรัมคืนที่เสร็จ
                “วันนี้สนุกไหม”พี่กานต์ยังคงยิ้ม ผมเพิ่งจะสังเกตแฮะว่าพี่เขามีลักยิ้มเล็กๆตรงมุมปากขวา ให้ตายเหอะ...ทำไมวันนี้รู้สึกว่าพี่กานต์เท่บ่อยจัง 
                “ก็ดีครับ”ผมตอบตามจริง มันดูห้วนๆสั้นๆไปรึเปล่านะ ก็ผมไม่รู้จะพูดยังไงนี่หว่า...ผมยื่นขวดน้ำเปล่าให้พี่กานต์ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วขึ้นนิดๆแต่ก็กล่าวขอบคุณแล้วรับไปดื่ม หลังจากที่คบกันมาได้ระยะหนึ่งมันทำให้ผมรู้อะไรๆเพิ่มมาหลายอย่าง เช่นว่า พี่กานต์จะเป็นพวกไม่กินน้ำอัดลม ชอบกินแต่น้ำเปล่าแล้วก็น้ำผลไม้บ้างนานๆครั้ง
                เอ๊ะ...ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่ารอบข้างมันเงียบผิดปกติ แต่พอลองหันมองดูรอบกาย สายตาวิบๆวับๆอยากรู้อยากเห็นของเด็กในวงตั้งแต่ม.1 ยัน ม.6 ก็ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก หน้าร้อนวาบโดยไม่ตั้งใจ
                “แฟนพี่กานต์น่ารักอ่ะ ท่าทางเหมือนลูกครึ่งเลย”เด็กม.1 คนหนึ่งสะกิดเพื่อนมันยิกๆ ไอ้เด็กเปรต ได้ยินนะเฟ้ย ผู้ชายที่ไหนมันจะปลื้มกับคำว่าน่ารักวะ
                “พวกเอ็งไม่รู้อะไร เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นเฟ้ย”คราวนี้เสียงไอ้ไผ่ครับ ไอ้ไผ่ ไอ้ขายเพื่อน ไอ้...
                “ให้ตายสิ ไอ้กานต์แม่งได้แฟนน่ารักชิบ”เสียงนี้ไม่คุ้น แต่มองหน้าแล้วรู้ว่าอยู่ม.6
                ผมล่ะอยากจะดำดินหายไปจากตรงนี้ชะมัด...สรุปคือ...เขารู้กันทั่ววงแล้วใช่มั้ยเนี่ย!!!
                “เล่นรับส่งกันตลอดพักเที่ยง ว่างเป็นไม่ได้ตัวต้องติดกันตลอดศก แถมพอคิวเต็มจริงๆก็ยังอุตส่าห์ถีบส่งกูไปรับอีก ยังงี้ไม่รู้ก็ควายเรียกป๊าแล้วเว้ย!”พี่พีทหัวเราะก๊าก ไม่ต้องคิดนานก็รู้เลยว่าใครปล่อยข่าว...
                ป้าบ! แต่คนลงมือไม่ใช่พี่กานต์ครับ เป็นพี่เป้ที่ตบอั้กเข้าให้กลางหลัง พี่เป้กระซิบอะไรไม่รู้ข้างๆหูพี่พีท แต่เฮ้ย...ผมล่ะงงที่เห็นพี่พีทที่ปากรั่ว ปากเปราะเป็นที่สุดคนนั้นทำหน้าแดงแล้วก็หุบปากเงียบเดินบ่นอะไรไม่รู้งุบงิบๆหนีหายไปเลย
                “ตัวเล็ก มานี่ๆ”พี่กานต์อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังหันไปสนใจพี่พีทกับพี่เป้ลากผมออกมานอกห้อง ในมือมีข้าวของเสร็จสรรพแบบเตรียมชิ่งเต็มที่ ผมโดนลากไม่กี่พรืดก็ออกมานอกเขตหอประชุม และท่าทางจะเอ๋ออยู่นานเกิน กว่าจะเค้นเสียงถามไปได้ก็ตอนเดินลงบันไดลงมาจากทางขึ้นฮอล์แล้ว
                “เดี๋ยวสิ ไม่เก็บเครื่องก่อนเหรอ?”เป็นธรรมเนียมที่ผมรู้จากพี่กานต์ครับว่าเครื่องดนตรีใครคนนั้นก็ต้องดูแลเอง หลังเล่นต้องเก็บเข้าที่ ห้ามวางเรี่ยราด ไม่งั้นพี่อั๋นอาละวาดตบเกรียนแตก...
                แต่คนตัวสูงที่เอาแต่ลากผมก็ยังยิ้มๆทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ฝากวาไปแล้ว เดี๋ยววาเก็บให้”
                ใช้รุ่นน้องนี่หว่า...
                “พูดถึงพี่วาอีกละ”อ้าวเฮ้ย ผมเผลอพูดอะไรออกไปวะ พี่กานต์ที่จ้ำอ้าวเหมือนกลัวคนที่วงจะวิ่งตามมาลากกลับไปชะงักฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะหันมามองหน้าผมนิ่ง
                “ตัวเล็ก”พี่กานต์เรียกซะเสียงนิ่ง ตายล่ะหวา ผมไม่น่าหลุดปากอะไรแบบนั้นออกไปเลย มันดู...งี่เง่า...เอาแต่ใจ...ดูเหมือนคนขี้หึง...
                เออ ยอมรับเว้ย ผมหึง ผมหึงมากด้วย แต่ก็พยายามอยู่นะที่จะไม่รู้สึกแบบนั้น ฮึ่ย!
                “เย็นนี้ไปเดินเล่นกัน”แล้วพี่กานต์ก็ลากผมเดินต่อ อ้าวเฮ้ย ตกลงเฮียแกเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาเนี่ย เดี๋ยวก็ซีเรียสเดี๋ยวก็หลุดมาเป็นเหมือนเดิม โว้ย งง แต่ก็ช่างเถอะ....
     
     
     
                ผมกับพี่กานต์มาเดินเล่นแถวย่านเยาวราชกัน อย่า...อย่าเพิ่งถามว่าทำไมต้องเป็นย่านเยาวราช ก็พี่กานต์อ่ะเดะบอกว่าจะมาเอาของที่แม่พี่เขาสั่งไว้พอดี พวกยาดองไม่ก็เหล้าขาวอะไรเทือกๆนั้น ไหนๆก็ไหนๆพี่เขาเลยพาผมมาด้วยด้วยเหตุผลที่ว่าของกินเยอะดี
                “ม.ต้นสอบเมื่อไหร่อ่ะ”พี่กานต์ถามระหว่างรอบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง ร้านนี้อีกฝ่ายโฆษณานักหนาว่าขึ้นชื่อ...ไม่รู้พูดไปแล้วได้ค่าโปรโมทเท่าไหร่
                ผมจิบน้ำรากบัวอึกใหญ่ ที่นี่ขายน้ำรากบัวถูกกว่าตามห้างแยะเลยครับ ผมชอบ “อีกสองอาทิตย์ สับวันกับม.ปลาย”
                “เซ็ง”พี่กานต์ทำหน้าเซ็งจริงๆ “กะจะพาไปเที่ยวหลังสอบเสร็จซะหน่อย รีบๆขึ้นม.ปลายหน่อยสิตัวเล็ก”
                พูดเหมือนสั่งได้ว่ะ “ถ้าผมขึ้นม.ปลายพี่ก็จบพอดีไม่ใช่เรอะ”
                “เออแฮะ จริงด้วย”
                บทสนทนาของเราก็เรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา แต่ให้ตายเถอะ ผมชอบที่เราเป็นอยู่แบบนี้นะ
                “แถม...ไม่รู้ด้วยว่าพอผมขึ้นม.ปลาย...เราจะยังคบกันอยู่อีกหรือเปล่า”
                ตายห่า ผมหลุดอะไรออกไปอีกล่ะเนี่ย
                พี่กานต์หยุดกินเก๊กฮวยทันใด ดวงตาคมเข้มแต่ดูใจดีไม่ดุเหมือนพี่ซีจ้องผมนิ่งๆ นิ่งอย่างผิดปกติซะด้วย ผมรีบสูบรากบัวพร้อมกับเสมองไปทางอื่น เสร็จกัน...ทำไมวันนี้ชอบพูดเชี่ยอะไรออกไปนักนะ
                ผมไม่มั่นใจในรักครั้งนี้เลยหรือ...ไม่เลยแม้แต่นิดเดียวงั้นหรือ?
                ผมรู้ดีว่าพี่กานต์พยายามมากแค่ไหน พี่กานต์รักษาคำพูดที่บอกว่าจะลืมเรื่องเก่าๆแล้วหันมามองแค่ผมคนเดียว พี่กานต์รับผิดชอบสิ่งที่เขาพูดเอาไว้อย่างดี...ดีเสียจน...บางครั้งผมก็เผลอใจ
                เผลอใจ...รักไปโดยไม่รู้ตัว
                ความเอาใจใส่ของอีกฝ่ายมันมากมายเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าสิ่งที่พี่กานต์ทำมันเป็นเพราะอะไร ใช่เพราะว่าทำเพื่อต้องการรับผิดชอบคำพูดของตัวเองแค่นั้นหรือเปล่า
                ผมอยากที่จะเชื่อใจ แต่ในบางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ช่างยากเย็นเหลือเกิน
                “บะหมี่เกี๊ยวหมูแดงสองที่ชามนึงไม่ใส่ต้นหอมได้แล้วคร้าบบ”ผมเงยมองชามก๋วยเตี๋ยวที่ถูกยกมาเสิร์ฟสลับกับคนที่นั่งตรงข้ามไปมา พี่กานต์...จำได้?...ผมเป็นคนไม่กินต้นหอม ไม่ว่าจะอยู่ในอาหารประเภทใดก็จะไม่ยอมแตะโดยเด็ดขาดเพราะตอนเด็กๆเคยถูกครูที่โรงเรียนอนุบาลบังคับให้กินจนอ้วกออกมา(คิดแล้วก็ยังสยองไม่หาย)
                พวกเรายังคงเงียบกัน พี่กานต์เองก็ไม่แตะก๋วยเตี๋ยว เอาแต่มองหน้าผมเหมือนจะทำให้อิ่มได้(ประชด) ผมพยายามแก้เก้อโดยการคว้าน้ำตาล พริกป่น น้ำส้ม น้ำปลา น้ำห่าน้ำเหวอะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆมือมาปรุงๆราดๆลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว...แต่ไม่ได้ราดมั่วนะเว้ยครับ ไม่ได้ไร้สติขนาดนั้น ยังกลัวท้องเสียอยู่
                “ตัวเล็ก”พี่กานต์เรียกขึ้นมาในที่สุด ผมกลั้นหายใจนับหนึ่งสองสามแวบหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
                “...ครับ?”
     
                “เป็นแฟนกับพี่นะครับ”
                 
                เอ่อ...อาแปะฮะ ขายก๋วยเตี๋ยวของแปะต่อไปสิ จะมองทำซากไรวะครับ ไม่เคยได้ยินผู้ชายถูกผู้ชายขอเป็นแฟนเรอะ
                ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูก อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ได้ อยากจะเอ๋อก็เอ๋อไม่ออกยังกะกล้ามเนื้อหน้ามันกลายเป็นอัมพาตไปแล้ว และในทางกลับกันซีเมนต์บนหน้าดันร่วงกราวหายไปกับชามหมี่เกี๊ยว ผมว่าตัวเองคงต้องกำลังหน้าแดงหมดสภาพแหงเลยว่ะ พี่กานต์กระตุกยิ้มขำๆเหมือนจะฮากับท่าทีของผม แล้วก็เริ่มพูดต่อ
                “ตอนนั้นขอทางโทรศัพท์เลยไม่เห็นหน้า ไม่ยักรู้นะว่าตัวเล็กจะเขินแล้วเป็นอัมพาตแบบนี้”
                อย่าย้ำสิเฟ้ย!!
                “อันที่จริงตอนนี้ก็เป็นแฟนกันน่ะนะ แต่ยังไงพี่ก็อยากจะพูดอีกซักครั้ง”พี่กานต์ว่าเสียงนุ่ม “ถ้าตัวเล็กยังไม่มั่นใจจะให้พี่พูดซ้ำอีกสักกี่รอบก็ได้นะว่าเป็นแฟ...”
                “หยุดเลยครับ!”ผมรีบยื่นมือข้ามโต๊ะไปปิดปากอีกฝ่าย อย่าพูดออกมาเชียวนะ ที่นี่ไม่ใช่ภัตตาคารหรูๆที่มีล็อคส่วนตัวแต่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวข้างถนนนะคร้าบบบบ คนนั่งกันอยู่เต็มร้านหัดเกรงสายตาประชาชี(และเกรงใจใบหน้าอันบอบบางของผม)หน่อยเหอะ!!!
                พี่กานต์เลิกคิ้วสูงเหมือนจะถามว่าจะปิดปากพี่ทำเพื่อ...? เออ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ผมรีบดึงมือออกเมื่อได้ยินเสียงคนในร้านเริ่มซุบซิบกัน นี่สรุปเพราะยื่นมือไปปิดปากมันเลยยิ่งดูส่อสินะ - -
                “ม...มาพูดอะไรเอากลางร้านก๋วยเตี๋ยว...บ้า!”ผมก้มหน้าก้มตายัดหมี่เกี๊ยวเข้าปาก เซ็ง มัวแต่สติแตกเส้นอืดไปนิดเลย...
                “งั้นกินเสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวพูดนอกร้าน”พี่กานต์ยิ้มแป้น ส่วนผมก็อยากจะเถียงกลับจริงๆว่านั่นไม่ใช่ประเด็น(เว้ย)ครับบบบ!!!
                “ยังไงพี่ก็อยากขอต่อหน้าจริงๆนะ คิดมานานแล้วล่ะ แต่เห็นเราไม่มั่นใจเลยคิดว่าต้องพูดตอนนี้”อีกฝ่ายเท้าคางมองหน้าผม ผมพยายามที่จะไม่สนสายตาที่จ้องเอาๆอยู่ แต่เฮ้ย...คนมันหนังหน้าไม่หนา อายเป็น โคตรพ่อโคตรแม่อายเลยด้วย เลิกจ้องเหอะขอร้องงง
                “...ไม่กินบะหมี่เรอะ”ก้มหน้าก้มตายัดเกี๊ยวใส่ปากตามด้วยหมูแดง อร่อยไม่อร่อยไม่รู้แล้ว ยัดแหลก(เขิน!)
                “กิน แต่เดี๋ยวก่อน”ว่าแล้วเฮียแกก็เท้าคางมองหน้าผมแล้วพูดต่อ “เรื่องที่พูดถึงวาอ่ะมันก็เป็นธรรมดา ของแบบนี้มันต้องมีบ้างเพราะยังไงวาก็เป็นรุ่นน้องพี่ ตัวเล็กเองก็ใช่ แต่มันคนละกรณีกันนะครับ”
                ผมรู้แล้วล่ะน่า...อุตส่าห์พยายามทำเป็นลืมไปแล้วด้วย...จะยกขึ้นมาพูดทำเพื่อ...
                “ถ้าหึงพี่ก็เข้าวงด้วยสิ เข้าทรัมเป็ตเหมือนพี่ แล้วเดี๋ยวสอนให้ตัวต่อตัวเลย”
    ผมเงยหน้ามองคนที่ดูหน้าแล้วไม่น่าเป็นคนโคตรหลงตัวเองได้ “ใครหึง?”ถามกลับด้วยเสียงที่พยายามข่มให้ห้วน ให้ตายสิ...หน้าแทบจะร้อนเป็นไฟอยู่แล้ว ไอ้สีหน้าตอนที่พี่แกพูดว่า ‘เดี๋ยวสอนให้ตัวต่อตัว’ น่ะโคตรจะไม่น่าไว้วางใจ!!
    “ถ้าไม่หึงแล้วทำไมตัวเล็กถึงพาลวาตลอดเลยล่ะครับ”หมัดฮุกซ้ายจากกานต์กฤษฎ์ฝ่ายน้ำเงินเอาชนะตะวันฝ่ายแดงแบบน็อคเคโอ...ให้ตายห่าสิ!!!
    กรุณา...อย่าพูดอะไรที่คนเขาเถียงไม่ได้สิครับ...
    พี่กานต์คงมั่วเอาว่าเงียบแปลว่ายอมรับ รายนั้นเลยยิ่งยิ้มร่า “บางทีพี่ก็งานยุ่งเลยไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนด้วย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพี่ไม่แคร์หรือไม่สนตัวเล็กนะ”
    ไม่เห็นต้องมาบอก...รู้อยู่แล้วล่ะ...ก็เล่นส่งพี่พีทมาเป็นม้าเร็วส่งข่าวประจำนี่...
    “พี่ไม่ได้ทำดีกับทุกคนหรือเป็นคนดีขนาดที่ว่าจำเป็นต้องรักษาสัจจะหรอกนะ พี่เองก็ไม่ใช่คนที่จะอดทนอยู่กับคนที่ไม่ได้ชอบได้นานนัก แล้วที่พี่อยู่กับเรานี่ยังไม่เป็นคำตอบอีกหรือครับ?” 
                ไม่รู้...ไม่ได้ยิน...พี่พูดอะไรอ่ะ...
                “พี่บอกว่าจะลืมวาให้ได้...แล้วตอนนี้พี่ก็ทำได้แล้วนะ”
                พอเจอประโยคนี้ผมเลยลืมตัวเงยหน้าขึ้นขวับ
                นี่...อาจจะเป็นสิ่งที่ผมรอที่จะได้ยินอยู่ก็ได้...มั้ง
                พี่กานต์ยิ้มขำแบบรู้แกว ผมเลยรีบก้มหน้าจ้องบะหมี่ตามเดิม แต่ก็ได้แค่จ้องเพราะกินจนหมดแล้วเลยไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งอะไร...เวรจริงชีวิต...อนาถตัวเองสุดๆ
                “รู้หรือเปล่าครับว่าเพราะใคร...”พี่กานต์ทอดเสียงนุ่ม ผมกำมือแน่นจนเจ็บไปหมดแล้วนะคร้าบ เลิกไล่ต้อนกันซะทีเหอะ...
                ผมถอนหายใจ “...ตะวันยอมแพ้แล้วพี่ โอเค ตะวันเข้าใจแล้ว”
                “ตัวเล็กอย่าตอบไม่ตรงคำถามสิ”
                หือ? ผมฟังพี่กานต์แย้งแล้วก็ได้แต่เลิกคิ้ว พลางนึกย้อนไปว่าพี่กานต์ถามผมว่าอะไรกันแน่...
                ให้ตายสิ...ทันทีที่นึกออก หน้าผมก็ร้อนวาบแข่งกับหม้อซุปร้านอาแปะ
                จะ...จะให้ผมตอบ...ตรงนี้...เนี่ยนะ?
                ถึงจะเป็นแฟนกันอยู่แล้วก็เหอะ แต่มาพูดตกลงอีกทีมันก็เขินนะเฟ้ยยยย!!
                “แต่ถ้าตัวเล็กลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ พี่ไม่เร่งรัดอยู่แล้ว”เฮ้ยๆๆ ปากบอกไม่แล้วไหงหน้าถึงสลดจังวะ อื้อหือ หาดูยาก รุ่นพี่ที่ออกจะเฮฮา ไม่เคยมีสีหน้าแบบอื่นนอกจากยิ้มกำลังทำหน้าเศร้า...ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเศร้าจริงไหม
                “เก็บเงินเลยครับ”พี่กานต์โบกมือเรียกอาแปะเจ้าของร้าน ลืมไอ้บะหมี่เกี๊ยวโคตรอืดตรงหน้าไปโดยสิ้นเชิง เอ่อ...รู้นะว่าบ้านรวย แต่ถ้าจะสั่งทิ้งสั่งขว้างแบบนี้วันหลังอย่าสั่งเลยเหอะ
                “บะหมี่เกี๊ยวสองชามเป็นหกสิบครับ”พี่กานต์ยื่นเงินให้อาแปะแล้วลุกพรวดขึ้นทันที เล่นเอาผมได้แต่เอ๋อค้างอยู่ตรงเก้าอี้
                แย่ล่ะ...ผมทำพี่เขาโกรธงั้นหรือเนี่ย ไอ้ตะวันบ้า แค่ตอบออกไปก็จบแล้ว สั้นๆไม่กี่คำเองนะเว้ย ทำไมถึงไม่ยอมพูดออกไปล่ะ
                จะทำร้ายพี่กานต์...ทำร้ายคนดีๆขนาดนี้ได้ลงคออย่างงั้นเหรอ?
                อะไรบางอย่างสั่งให้ผมลุกขึ้น แล้วตะโกนตามหลังพี่กานต์ไป
               
                “ผมตกลงครับพี่! เป็นแฟนกันนะ!!”
     
                เงียบสนิท...ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่า...ทำพลาดไปแบบจังเบอร์...
                “ฮิ้วววววว กล้ามากเด็กสมัยนี้!”
                “แจ่มเลยน้องชาย ใจกล้าดีมาก!”
                “รักกันนานๆนะไอ้หนู!”
                อยากจะแหกปากร้องแร็พมันกลางร้านเพราะผมคงไม่มีอะไรให้อายไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะ ลืมไปได้ไงวะว่าไม่ได้อยู่กันสองคน!
                ต้องโทษพี่กานต์...ที่ทำเอาผมกังวลจนลืมอาย ลืมผู้คนรอบข้าง ลืมแม้แต่เรื่องที่ว่า...ที่นี่มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ใช่เคหสถานส่วนบุคคล!!
                พี่กานต์หยุดเดินแล้วหันมายิ้มให้ผม พวกเรายืนจ้องหน้ากันในระยะห่างห้าหกเมตร รายล้อมด้วยเสียงปรบมือเกรียวกราวของคนในร้าน
                “อ่ะ แปะชอบพวกเอ็งจริง แถมน้ำแดงให้ไปกินฟรีคนละขวดเลย”อาแปะเจ้าของร้านยัดแฟนต้าน้ำแดงใส่มือให้ แต่แทนที่จะรู้สึกขอบคุณผมกลับอยากหันไปถามมากกว่าว่าทำไมต้องน้ำแดง ไม่เอาไว้เซ่นกุมารให้คนเข้าร้านเยอะๆเรอะ “สีแดงของความรัก เอาไปดื่มจะได้รักกันนานๆ”
                โห...เหตุผลน่ากราบไหว้บูชา...
    ผมพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าอีหลักอีเหลื่อแล้วผงกหัวขอบคุณเหมือนหุ่นกระบอกไร้สติ
                ให้ตายสิ...
    สาบาน...ผมจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเป็นอันขาด!
    ปล. และถ้าจะให้ดี...ผมคงไม่เสี่ยงพูดเรื่องสำคัญๆกับพี่กานต์ในร้านอะไรก็ตามอีกแน่




    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ฮาๆ(หัวเราะไม่ออก....) ถ้าจะสังเกต อีสโนว์จะหายหัวมากมายค่ะ!
    งือ หนูผิดไปแล้ว TT^TT แต่หนูเอนท์ปีนี้อ่ะ เห็นใจกันด้วยเด้อ ที่อยากจะพูดก็เรื่องนี้แหละค่ะ กำหนดสอบมาแล้ว กว่าโนว์จะสอบเสร็จประกาศผลก็ปลายปีเลย(ผลออกธันวา) จะหัวจะก้อยก็ขึ้นอยู่กับการสอบครั้งนี้แหละ
    เอ่อ จะว่าอะไรกันมั้ยคะ ถ้าโนว์จะไม่มีเวลาตอบเม้นท์เหมือนเคย? โนว์ชอบคุยกับทุกคนนะ แต่ตอนนี้แค่เวลามาลงยังไม่มีเลย TT^TT หลายคนบอกว่าชอบที่โนว์ตอบเม้นท์ โนว์เองก็ชอบนั่งตอบ นั่งคุยกับรีดเดอร์ แต่เวลามันไม่มีอ่ะค่ะ ขอยืดไปจนกว่าจะสอบเสร็จได้มั้ย? จะยังพยายามลงนะคะ ส่วนคำถามยังถามได้ปกติ โนว์จะตอบถ้าเจาะจงมาให้ตอบจริงๆ นอกนั้นก็ถ้าเห็นเป็นข้อสงสัยที่ควรเคลียร์โนว์ก็จะพยายามค่ะ 
    มันฟังดูเห็นแก่ตัวไปนิด แต่โนว์ขอนะคะ อยากเข้าคณะนี้มากจริงๆ ยังไงก็จะพยายามให้สอบติดให้ได้ ^^


    ว่าแล้วก็มาเม้าท์นิยายนิดๆ เอ่อ หายไปนานมาก หลายคนคงลืมเรื่องแล้ว 55555 ตอนนี้ก็เลยเอาน้องตะวันมาแปะก่อน แต่คาดว่าคงเป็นตอนสุดท้ายของตะวันแล้วมั้ง ใกล้จบภาคแรกแล้วนี่นะ ฮาๆ โนว์ยังไม่ลืมนะว่าเรื่องนี้มีภาคต่อ! กร๊ากกกกกกกก
    สุดท้ายก่อนไป เอารูปเฟรนช์ฮอร์นที่เพื่อนของหนูตะวันเล่นมาให้ดูค่ะ หลายคนคงเคยเห็นแต่อาจไม่รู้ชื่อ สำหรับโนว์ โนว์ว่ามันเป็นเครื่องที่สวยที่สุดในวงเลยล่ะ



    สวยเนอะๆ เหมือนเขาสัตว์เลยล่ะ เสียงจะนุ่มๆสูงๆ ไม่สูงแผดแบบทรัมเป็ตนะคะ แต่จะสูงนิ่มๆเหมือนมาชเมลโล่(ยังไงวะ??) เอาเป็นว่าเสียงมันจะไม่ระคายหูอ่ะค่ะ 55555 เป็นเครื่องที่เล่นยากพอตัว แต่เสียงเพราะนะ
    เอาลิ้งค์ Symphony No.5 ของ Beethoven มาให้ฟังค่ะ อลังการ
    http://www.youtube.com/watch?v=W2qW6fOtAMY

    ส่วนอันนี้ลิ้งค์ Trumpet Concerto ที่พี่กานต์เป็นคนเล่นค่ะ เพราะดีๆ


    http://www.youtube.com/watch?v=ASB6hFUat4g&feature=related

    ดูตรงที่มีผู้หญิงเป่าอ่ะค่ะ เพลงนั้นแหละ ^^

    เอาเพลงมาฝากหมดแล้วค่ะ ขอตัวเผ่นก่อนค่า ใครมีคำถามอะไรก็ทิ้งไว้ได้นะ แล้วโนว์จะหาเวลามาตอบ
    ขอบคุณที่รอและให้กำลังใจมาเสมอค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×