ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Crescendo ดนตรีรัก จังหวะร้าย (YaOi)

    ลำดับตอนที่ #22 : Rhythm 20 : Someday...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      6
      23 มี.ค. 53

     Rhythm 20 : Someday...

     

     

                (Special Part : ตะวันโหมดมึนๆฮะ - -^ )  

                เมื่อวานนี้...เป็นวันที่เรียกได้ว่าชีวิตผมตีลังกากลับหัว

                ผมโทรไปหารุ่นพี่ซึ่งก็คือพี่กานต์ กะจะขอโทษเรื่องที่พูดไม่ดีกับพี่เขาเอาไว้ แต่ไม่รู้ไปคุยกันอีท่าไหนลงท้ายผมเลยตกกระไดพลอยโจนเออออตกลงยอมคบกับพี่เขาซะงั้น(ผมเปล่าใจง่ายนะ...)

                ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ยถึงได้ยอมตกลง...ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าพี่กานต์ชอบใคร...แต่ผมก็ยัง...

                วะ ช่างเถอะ คิดไปก็เปลืองสมอง เลิกๆๆ - -

                ตะวันๆ ขอตรวจคำตอบหน่อยดิไอ้ออฟที่นั่งข้างหลังเรียก ตอนนี้ผมกำลังเรียนคณิตอยู่ครับ ผมส่งสมุดให้ออฟพร้อมทั้งหันไปตรวจกับของมันด้วยเลย

                เฮ้อ...

                เป็นไร ถอนหายใจแบบนี้ออฟถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตาจากสมุด ผมเหลือบมองมันแวบหนึ่งแต่ก็ไม่นึกสนใจอะไรนักเลยตอบส่งๆไป

                แค่กำลังไม่เข้าใจจิตใจคนเรา

                ไอ้ออฟหัวเราะ พูดซะเหมือนตัวเองมาจากต่างดาว

                ผมคิ้วกระตุกกึก...ไอ้นี่นิ...กวน เงียบปากแล้วตรวจๆไปให้เสร็จเหอะ

                โห...ดุ

                ผมไม่ได้มีใครที่สนิทเป็นพิเศษครับเนื่องจากเป็นเด็กใหม่ที่ย้ายมาตอนม.2 โรงเรียนนี้เพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเลื่อนขึ้นแบบยกชั้นตอนปีผม ต่างคนจึงต่างมีเพื่อนเก่ามีกลุ่มของตัวเองอยู่แล้ว เหลือแต่ผมที่ไม่มีหลักแหล่งแน่นอน เพราะงั้นเลยเป็นเหยื่อที่ดีของกลุ่มไอ้ปลาบู่ชาร์ก

                พูดถึงพวกไอ้ชาร์ก...ผมก็อดคิดย้อนไปถึงวันแรกที่เราได้เจอกันไม่ได้...

                แต่เฮ้ย...ผมตกใจตัวเอง...นี่ผมเผลอนึกถึงพี่กานต์เหรอเนี่ย!?

                ...แย่แฮะผมกุมขมับตัวเองนิ่ง เริ่มนึกกลัวตัวเองขึ้นมาตงิดๆเสียแล้ว เราเป็นบ้าอะไรวะเนี่ย...

                สาบานเถอะว่าผมไม่ได้คิดถึงรุ่นพี่คนนั้น...

                ช่วงปลายๆเทอมแบบนี้กิจกรรมยิ่งเยอะนะออฟชวนผมคุย ผมเองก็ไม่รู้นึกไงปากถึงพูดออกไปโดยอัตโนมัติ

                อืม วงโยฯเองก็ใกล้จะมีงานคอนเสิร์ตแล้วด้วย

                ออฟมองหน้าผม ตะวันรู้ละเอียดจัง นี่ขนาดไม่ได้อยู่วงโยฯนะเนี่ย

                ผมมองหน้าไอ้ออฟซ้ำเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป

                ให้ตายสิ ผมไม่ได้คิดถึงพี่กานต์อยู่จริงๆนะ - -^

     

     

     

                หลังเลิกเรียน

                ผมกำลังลังเลว่าจะเอายังไงดี เมื่อวานไม่น่าตกปากบอกไปเลยว่าจะแวะไปดูตอนซ้อม ก็แหม...เขาให้คนนอกขึ้นไปดูได้ซะเมื่อไหร่ล่ะ อย่างมากก็คงได้แค่ดูจากด้านนอกนั่นแหละ

                แต่ก็...เอาเถอะ...ลึกๆแล้วผมก็คง...อยากไปดูล่ะมั้ง?

                ไอ้สมอง+ความคิดทรยศเอ๊ย!

                ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกวงโยฯจะพักซ้อมเมื่อไหร่ ผมเดินผ่านที่ร้านน้ำแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้

    บางที...พอพักแล้วได้ดื่มน้ำเย็นๆหลังซ้อมมันก็คงจะรู้สึกดีขึ้นล่ะมั้ง...ว่าเข้าไปนั่น...เอ๊ะ...ว่าแต่ผมจะซื้อน้ำติดมือมาทำบ้าอะไรเนี่ย โอย...เริ่มบ้าหนักข้อขึ้นทุกที

    เพราะใครก็ไม่รู้...ผมถึงได้เป็นบ้าอยู่อย่างนี้!

     

    พี่กานต์เองก็...มีเรื่องที่ไม่กล้าพูดงั้นหรือครับ?

    ผมชะงักอยู่กับที่ ขาที่ก้าวขึ้นบันไดหยุดไปแบบกะทันหัน...เสียงพี่วานี่นา...คุยกับพี่กานต์อยู่งั้นหรือ?

    ผมกัดฟันก้าวขึ้นต่อจนกระทั่งโผล่มาหน้าห้อง(ชั้นหกนี่พอขึ้นมาก็จะเจอประตูห้องวงเลย)แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้ในหัวของผมโล่งว่างเปล่าไปหมด     

                พี่กานต์...กับพี่วา...

                พี่วานั่งอยู่บนพื้นครับ โดยที่ข้างหน้าเป็นพี่กานต์ที่ดึงพี่วาเข้ามากอด ทั้งสองคุยอะไรกันอีกก็ไม่รู้ ผมไม่สนใจและไม่อยากจะฟัง พี่กานต์ที่หันหน้ามาฝั่งนี้เหมือนจะเห็นผมแล้ว สายตาของเขาดูตกใจแกมประหลาดใจ ผมเองก็มองตอบนิ่งๆ สายตาของเราประสานกันอยู่นาน ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเดินลงบันไดจากไป

                ให้ตายสิ ซีนแบบนี้มันเหมือนในละครน้ำเน่าเลยว่ะ...เหมือนโคตรๆ...พับผ่าเถอะ...

                ขอโทษนะครับที่ผมโผล่มาขัดจังหวะ...ขอโทษนะครับที่เดินหนีมาเหมือนคนงี่เง่าแบบนี้

                ผมพร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก

                ขอโทษนะครับ...

     

                ขอโทษ...ที่ผมไม่อาจทำใจให้เชื่อในตัวพี่ได้  

     

     

     

                ผมกระดกน้ำเปล่าที่เผลอซื้อมา(และคงจะเป็นหมันไปแล้ว)เข้าปากอั้กๆเหมือนอยากประชดชีวิตกึ่งระบายอารมณ์ นี่ผมเป็นอะไรไปนะ? รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย นี่ผมคาดหวังอะไรจากการคบกันของเรางั้นหรือ? ทั้งที่รู้อยู่ว่าพี่กานต์ชอบใคร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบ้าไปตอบตกลง ทำไมกัน? ทั้งที่ผมก็ไม่ได้ชอบพี่กานต์สักหน่อย

                ไม่ได้ชอบ...จริงๆนะ

                ก็แค่รุ่นพี่ที่ชอบบังเอิญโผล่มาเวลาผมมีเรื่อง...ก็แค่รุ่นพี่จอมกวนที่เอาแต่เรียกตัวเล็กๆ ย้ำอยู่ได้ว่าผมเตี้ย...ก็แค่...คนที่ชอบพูดอะไรแบบตรงไปตรงมาเสียจนชวนให้ใจอ่อน...

                ก็แค่นั้น...เพียงแค่นั้นจริงๆ

                พี่ตะวันขา...หน้าเศร้าจัง เป็นอะไรหรือคะ?ยัยตัวเล็กน้องสาวผมกระตุกมือยิกๆเรียก ผมจึงรู้สึกตัวแล้วก้มหน้าลงไปยิ้มให้น้ำฝน ผมกับน้องออกมารอรถเมล์กันที่หน้าประตูโรงเรียน เตรียมจะกลับบ้านกันแล้วครับ

                ไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อากาศร้อนน่ะ

                ใช่...จะเป็นอะไรไปได้ยังไงล่ะ

                ในเมื่อ...พี่กานต์เขาไม่ได้ทำอะไรผิด...พี่กานต์ก็แค่...ชอบพี่วาเท่านั้น...

     

                ตัวเล็ก!!”

               

                ผมเบิกตากว้าง ไม่กล้าหันหลังกลับไป...วิธีเรียกแบบนี้...มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ...

                ผมรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่ข้อมือ พละกำลังของฝ่ายนั้นมากเสียจนทำเอาผมถึงกับหมุนตัวกลับหลังหันไปโดยไม่ตั้งใจ...ทำไมล่ะ?...ผมถามตัวเองในใจ พี่กานต์ตามผมมาทำไม?

                ตามใบหน้าของพี่กานต์มีแต่เหงื่อกับเหงื่อ แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเหมือนเพิ่งวิ่งเต็มเหยียดจากตึกกิจกรรมรวดเดียวมาถึงหน้าประตูโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากได้รูปนั่นก็ยังแย้มยิ้ม

                ดีจริง...ที่มาทัน...นึกว่ากลับไปแล้วพี่กานต์เอ่ย แม้จะเหนื่อยหอบแต่ก็ดูออกว่าพอใจ

                ผมดึงแขนออกจากการเกาะกุมเบาๆ ไม่ได้จะเล่นตัวนะครับ แต่น้องสาวผมมองอยู่นะ ...มีอะไรหรือครับ

                พี่กานต์ตีหน้าเครียดขึ้น ตัวเล็ก...ไม่ได้เข้าใจพี่ผิดใช่ไหม?

                ผมหลับตาลง ไม่กล้าสบนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น ไม่มีสิทธิ์ให้ทำแบบนั้นหรอก...

                ตัวเล็ก!”ผมลืมตาพรึ่บ ไม่เคยเลยที่พี่กานต์จะขึ้นเสียงใส่ ผมมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนไม่อยากจะเชื่อ และก็เห็น...ว่าแววตาของพี่กานต์ดูเป็นกังวลมากแค่ไหน อา...ขอโทษทีที่เสียงดังพี่กานต์ปรับท่าทีให้เป็นปกติ ก่อนจะยื่นมือมาลูบผมยัยตัวเล็กที่บัดนี้ตกใจเสียงพี่กานต์จนหลบไปซุกอยู่ด้านหลังผมแล้ว น้องน้ำฝน ขอพี่ยืมตัวพี่ชายหนูสักแป๊บนะ ได้ไหม?

                ห้ามแกล้งพี่ตะวันนะ น้ำฝนไม่ยอม น้ำฝนไม่ยอม!”น้องสาวผมส่ายหน้าอย่างแรง ถ้าเป็นปกติเห็นแล้วก็คงขำ แต่น่าเสียดายที่เผอิญวันนี้มันยังไม่มีอารมณ์

                พี่กานต์ยิ้มนิดๆให้ยัยหนู ไม่แกล้งหรอกค่ะ แค่จะคุยด้วยแล้วเสียงทุ้มนั้นก็ลดระดับลง ขณะเจ้าตัวก้มลงกระซิบกับน้องผม ...แต่ถ้าพี่ตะวันของหนูดื้อก็อีกเรื่องนะคะ

                ผมตวัดสายตามองคนตัวสูงแบบเอาเรื่อง นั่นเหรอกระซิบ...กระซิบบ้านพี่นี่แทบจะได้ยินกันทั่วถนนเลยนะครับ! 

                โดยไม่รอช้า พี่กานต์ก็คว้ามือผมเดินหลบไปใต้ต้นไม้ใกล้ๆกับป้ายรถเมล์ กะให้น้ำฝนยังอยู่ในสายตาแต่ก็ไกลเกินกว่าที่จะได้ยินว่าเราคุยอะไรกัน

                ...แล้วตกลงพี่มีอะไรล่ะ?พอพี่กานต์หยุดเดินผมก็เริ่มเปิดบทสนทนาก่อนด้วยอารมณ์เซ็งๆ ฝ่ายตรงข้ามมองตอบนิ่งๆ แล้วเอ่ยถามซ้ำประโยคเก่า

                ตัวเล็กไม่ได้เข้าใจพี่ผิดใช่ไหม?

                ผมกลอกตามองฟ้า ตอบด้วยประโยคเดิมเช่นเดียวกัน ก็บอกแล้ว...ผมไม่มีสิทธิ์ให้ทำอย่างนั้นหรอก...

                พี่ไม่ได้มีอะไรกับวาพี่กานต์ตัดบทเสียงเครียด วาเขามีเรื่องกับเพื่อนเลยมาปรึกษาพี่ พี่ก็แค่ปลอบ...เหมือนพี่ปลอบน้องเท่านั้น

                ผมขมวดคิ้ว รู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูก

                ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่กานต์พูดนะ...เข้าใจดีเลยต่างหาก...การปลอบใครสักคนไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ถึงกระนั้นในใจลึกๆมันก็ขัดแย้งกันเองและไม่ยอมรับ

     

              ก็แล้วทำไมจะต้องกอดกันด้วยเล่า!!!

     

                “...ใครเขาว่าอะไรล่ะผมถอนหายใจเหนื่อยหน่าย เริ่มไม่เข้าใจตัวเองหนักขึ้นทุกที ผมเป็นบ้าอะไรเนี่ย ไม่เคยเลย...ที่จะโมโหฉุนเฉียวจนสูญเสียการควบคุมตัวเองขนาดนี้...

                ตัวเล็กโกรธพี่ใช่ไหม?พี่กานต์ยื่นมือมาจับไหล่ผม บังคับไม่ให้ผมหลบสายตาไปไหนได้ แค่พูดตัวเล็กอาจจะไม่เชื่อ...แต่พี่กำลังตัดใจอยู่จริงๆนะครับ...พี่ไม่ได้คิดอะไรกับวา...วาเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งที่พี่รักมากเท่านั้น

                ยิ่งฟังพี่กานต์พูดผมก็ยิ่งสับสนงุ่นง่าน ได้ยินแต่คำว่า ที่พี่รักมากส่วนคำก่อนๆหน้านี้ไม่รู้กระเด็นหายไปไหน

                โธ่เว้ย...หงุดหงิดจริง...

                หงุดหงิดตัวเอง...ที่โมโหเป็นบ้าเป็นหลังได้ขนาดนี้!

                พี่จะรักจะชอบพี่วาแบบไหนก็เรื่องของพี่สิ! จะมาบอกผมทำไมล่ะ!”ผมเผลอตัวขึ้นเสียง ก่อนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าหลุดปากอะไรออกไป

                ผมแตะริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะหลุดคำพูดพรรค์นั้นต่อหน้าพี่กานต์

                แย่ล่ะ...ผมสบถในใจ

    ทำไมถึงพูดเหมือนกับว่า...ผมหึงพี่กานต์เขาเลยวะ...

    พี่ต้องบอกสิพี่กานต์เน้นย้ำเสียงหนักแน่น สองมือถ่ายน้ำหนักลงมาจนผมรู้สึกได้ว่าอุ้งมือของพี่กานต์ใหญ่แค่ไหน

     

    พี่อาจจะชอบวาก็จริง...แต่ตอนนี้แฟนของพี่คือตัวเล็กนะครับ

     

                ให้ตายสิ...

                ไม่อยากจะยอมรับเอาเสียเลย

                ไม่อยากยอมรับ...ว่าลึกๆในใจก็แค่รอที่จะได้ฟังประโยคแบบนี้

     

                ...รู้แล้ว...ล่ะน่า...ผมตอบอุบอิบ ตารุ่นพี่คนนี้นี่ช่าง...พูดอะไรได้ตรงไปตรงมาเสียจนน่ากลัวจริงๆ ...ไม่ต้องย้ำ...หรอก

                ก็เพราะเอาแต่พูดตรงๆแบบนี้น่ะสิ...ถึงได้โกรธไม่ลงสักที

                ผมล่ะเซ็งนัก เซ็งตัวเองที่ใจอ่อนง่ายขนาดนี้

                เล่นมาบอกกันโต้งๆ ย้ำสถานะกันแบบนี้แล้วผมจะโกรธลงได้ยังไงล่ะครับ!

    บ้าจริง!!!

                ตกลงไม่โกรธพี่แล้วนะครับ?ผมส่ายหน้า เหนื่อยหน่ายเกินกว่าที่จะโมโหต่อแล้ว

                ให้ตายรอบสอง พี่กานต์แกยิ้มหน้าบานเลย ไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนา เอ...เอางี้ เพื่อความชัวร์ ไว้จบงานคอนฯเลิกเข้าค่ายเมื่อไหร่พี่จะพาไปเที่ยวนะ

                ไม่รู้เหมือนกันว่าผมรอคำพูดแบบนี้อยู่ด้วยหรือเปล่า แต่วินาทีที่พยักหน้าตอบรับไป ความโกรธที่เคยมีอยู่ก็ปลิวหายไปเหมือนมันเป็นแค่ผงธุลีที่ไม่สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด

                บางที...ผมอาจจะลองอยู่แบบนี้ต่ออีกสักพัก

     

                เผื่อว่าบางที...ผม...จะได้เชื่อใจพี่กานต์ขึ้นมาได้อีกสักนิด

               

     

     

                วันต่อมา

                เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้นเป็นเวลาเดียวกับที่นักเรียนทั้งชั้นลุกพรวดเหมือนรอเวลานี้มานาน ผมเองก็ลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าเงียบๆ(โต๊ะโรงเรียนผมไม่มีลิ้นชัก เป็นโต๊ะพับเหมือนห้องติวเตอร์) ผมไม่ได้รอคอยเวลาพักเที่ยงแบบใจจดใจจ่อนัก เพราะปกติสิ่งที่ผมทำตอนพักก็คือไปห้องสมุด นั่งอ่านหนังสือเล่นๆฆ่าเวลาจนหมดพัก

                เอ่อ...อายที่จะพูดตรงๆเหมือนกัน แต่ผมไม่มีเพื่อนที่เป็นกลุ่มถาวรน่ะครับ ทั้งนี้นอกจากเพราะเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาก็เป็นเพราะพวกไอ้ชาร์กด้วย คนอื่นคงกลัวจะถูกกลุ่มไอ้ปลาบู่นั่นเล่นงานเอาเหมือนผมเลยไม่มีใครกล้ามายุ่งกับผมเลยสักคน(แอบเศร้านิดๆ)

                คนที่คุยกับผมเหมือนปกติ...ทั้งห้องก็คงจะมีแต่ไอ้ออฟล่ะมั้ง...

                ผมไปที่โรงอาหาร มองหาที่ว่างๆนั่งหลังซื้อข้าวเสร็จแล้ว แต่พอเดินผ่านโต๊ะตัวหนึ่ง ผมก็ต้องหยุดยืนมองมันอย่างใช้ความคิด

                โต๊ะตัวนี้...ที่ผมเคยเข้าไปแอบพวกไอ้ชาร์ก...และได้พบกับ ใครก็ไม่รู้นั่น...

                เอาล่ะ...ผมยิ้มนิดๆกับตัวเอง...โชคดีที่โต๊ะว่าง...วันนี้นั่งนี่ละกัน...

     

                เฮ้ย กานต์ ตกลงมึงยังไม่เลิกอินเลิฟกับไอ้วาอีกเหรอวะเสียงคุยกันโหวกเหวกของรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งลอยมาเข้าหู แต่นั่นก็ไม่น่าสะดุดใจเท่าสองชื่อที่โผล่เข้าไปอยู่ในบทสนทนา

                เออ กูก็เห็นนะเฟ้ย ถึงพวกมึงจะหลบกันก็เถอะ โด่ มีกอดๆ อิจฉาคนมีแฟนอ่ะ

                งั้นมึงก็ไปปรับปรุงตัวสิพีท จะได้หาผัวได้สักที

                ไอ้สัดเป้!!! ใครจะมีผัวกันวะ!!! ควายยยย!!!” 

                แต่จะว่าไปแล้ว...มึงก็น่าจะรับผิดชอบเป็นผัวให้มันไปนะ ไอ้เป้ เรื่องจะได้จบๆกัน

                ขอเถอะ ถึงกูจะม่อไปทั่วแต่กูก็เลือกคนม่อนะเว้ย - -^”

                อย่านินทาอะไรข้างหูกูได้มะ!! ไอ้เชี่ยเมฆ!! ไอ้ส้นตีนเป้!!”

                แกนี่ไม่หัดทำตัวให้น่ารักเหมือนน้องวาของไอ้กานต์มันเลยนะ

                โว้ย!!! มึงก็เป็นไปกับเขาด้วยเรอะกล้า!!!”

                ไม่เอาน่า...มันไม่ใช่อย่างที่พวกมึงคิดสักหน่อย

                ผมไม่ได้สนใจฟังประโยคสุดท้ายที่เป็นเสียงแย้งหน่ายๆของพี่กานต์เลยสักนิด ในหัวผมเริ่มโล่งคิดอะไรไม่ออกขึ้นมาอีกแล้วสิ...

                แต่อั๋นก็ใจดีนะที่ยอมให้กานต์กับวามันออกไปคุยกันข้างนอก แหม วันหลังใจดีกับกูแบบนั้นมั่งดิ

                เงียบไปซะ...กูแค่คิดว่าถ้ามันอยู่ข้างในมันจะทำให้คนอื่นเสียสมาธิต่างหาก...

                แล้วจะหน้าแดงทำไมล่ะครับ? หือ...ที่รัก

                ค...ใครเป็นที่รักมึงหา!!”

                โอ๊ย! ไอ้กล้าไอ้อั๋น! กรุณาไปสวีทกันไกลๆตีนกูทีเหอะ! ฟังแล้วสยิวสยอง!”

                เฮ้ยๆ อย่าคิดมาก ไอ้พีทมันก็แค่อิจฉาคนมีแฟนน่ะ เห็นมึงเลิฟๆไอ้วาอยู่เลยหมั่นไส้

                ไอ้เชี่ยเป้!!!!”

                เฮ้ย...กูก็บอกอยู่นี่ไงว่ามันไม่ใช่...

                เสียงพูดคุยชะงักไปแวบหนึ่ง แต่จะเพราะอะไรผมก็ไม่รู้ ผมนั่งตัวแข็ง ไม่กล้าหันกลับไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่เสียงของพี่คนที่น่าจะชื่อ พีทจะดังขึ้น

                โต๊ะเรามีคนมานั่งแล้วอ่ะ เอาไงดีอั๋นพี่พีทคนนั้นถามเหมือนจะขอความเห็นพี่อั๋นที่น่าจะเป็นหัวโจกกลุ่ม ก่อนที่น้ำเสียงจะเปลี่ยนเป็นสงสัย อ้าวกานต์ มีไร ไมมึงทำหน้าแบบนั้นวะ?

                ผมตัดสินใจลุกพรวดแล้วคว้าจานข้าวขึ้น คิดแต่ว่าต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

                อะไรวะ...ทั้งที่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว...แต่พอมาเจอเข้าจริงๆผมกลับเจ็บ...กลับไม่ชอบใจ...

                แต่ก่อนจะเดินหนีไปไหนได้ทัน เสียงร้องเรียกของใครบางคนก็ดังขึ้นเสียก่อน

     

                ตัวเล็ก!!”

     

                เสียงของพี่กานต์เป็นสิ่งเดียวที่ผมได้ยินท่ามกลางเสียงเอะอะจอแจในโรงอาหาร พร้อมกันนั้นแขนข้างที่ไม่ได้ถือข้าวก็ถูกกระชากกลับหลัง โอ๊ะ...ฉากแบบนี้มันคุ้นๆแฮะ...ราวกับย้อนเวลาไปในโลกอดีตด้วยไทม์แมชชีนโดเรมอน...แต่จะมาตลกอะไรเอาตอนนี้ล่ะ - -

                ผมไม่อยากเห็นหน้าเจ้าของเสียง ไม่อยากคุย ไม่อยากให้เขาเห็นด้วยว่าผมกำลังแสดงสีหน้าเช่นไร

                ...ปล่อยครับ

                ไม่! ตัวเล็กต้องฟังพี่ก่อน!”

                ก็ฟังอยู่นี่ไงล่ะ

                งั้นก็อย่าหลบตาพี่สิ!”

                ...

                ระหว่างที่ผมกับพี่กานต์ยื้อกันอยู่อย่างนั้น เสียงพึมพำจากกลุ่มพี่กานต์ก็ดังขึ้นอีกระลอกเหมือนกับ...พยายามแล้วที่จะกระซิบ

                เฮ้ย...กูว่าฉากมันชักจะแปลกๆแล้วว่ะ

                เออ คิดเหมือนกูเลย หรือว่าไอ้กานต์มันจะ...

                จับปลาสองมือ? โอ๊ยสาด! ตบหัวกูทำไมวะอั๋น!”

                ก็ปากมึงมันน่ามั้ยล่ะพีท ไม่รู้เรื่องแล้วยังจะเสือกไปวิจารณ์เขา - -^”

                ฯลฯ

     

                โห...สาบานว่านี่เรียกกระซิบของพวกพี่...รู้เลยว่าพี่กานต์ติดนิสัยแบบนั้นมาจากไหน

                ผมฟังแล้วก็ยิ่งเจ็บ...อะไรกัน...ผมเป็นอะไรไป...ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ...ผม...

                จานข้าวในมือผมถูกดึงออกไปก่อนจะวางลงบนโต๊ะที่เดิม ผมเองก็ไม่ได้ขัดขืน เอาเลย จะทำอะไรก็ทำ ผมเหนื่อยแล้ว ผมเบื่อแล้วที่จะต้องมานั่งเป็นบ้าอยู่คนเดียวแบบนี้...

                ผมไม่อยากเป็นฝ่ายบ้าไปคนเดียว ในขณะที่พี่กานต์มีใครอีกคนอยู่ในใจตลอดเวลา

                ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้...ผมก็ไม่น่า...ตอบตกลงไปเลย

                พวกมึงฟังเสียงพี่กานต์ดังขึ้นข้างหู และก็ดังพอที่จะให้ทั้งกลุ่มหันมาสนใจพวกผมแบบพร้อมหน้าพร้อมตา

                ผมเผลอเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ...พี่กานต์จะเล่นไรอ่ะ...ไมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆชอบกล...

     

                นี่ตะวันแฟนกู...ใครพูดอะไรไม่เข้าหูอีกอย่าหาว่ากูไม่เตือนนะ 

     

                อืม...เหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่พี่กานต์เรียกชื่อผมได้อย่างถูกต้อง เอ๊ะ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องแบบนี้อยู่สินะเนี่ย - -

                เงียบ...บรรยากาศกลายเป็นเงียบสงบกันถ้วนหน้า...แบบว่าหน้าพวกพี่ๆเขาอึ้งกันทั้งกลุ่มเลยครับ

                เอ่อ...จะว่าสีหน้าพวกพี่เขาฮามันก็ฮานะ แต่เสียดายที่ผมกำลังเครียดเลยฮาไม่ออก

                เงียบกันไปสักพัก ก่อนที่เสียงทั้งกลุ่มจะประสานกัน(ยกเว้นพี่อั๋น...เหมือนเขารู้อยู่แล้วเลย)        
        
        “เฮ้ยยยยยยย!!!!!!”

                ผมปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อพี่กานต์หันมายิ้มให้ สีหน้าเคร่งๆตอนประกาศความเป็นแฟนกันเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นติดจะขำ

                ก็แค่นั้นแหละ...ไอ้พวกนี้มันชอบแซวไร้สาระไปเรื่อย อย่าไปถือสาเลยนะตัวเล็ก

                อะ...ผมพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะปั้นหน้าไม่ถูกหนักกว่าเก่าเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่ไหล่ผมถูกแขนของพี่กานต์โอบกอดอยู่...ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย!! ม...ไม่เห็นจะต้องมาพูดกันโต้งๆเลยนี่...”

                ไม่ได้หรอกพี่กานต์ปฏิเสธเสียงแข็ง ไอ้พวกนี่มันโง่ ถ้าไม่พูดกันตรงๆมันก็ไม่รู้เรื่อง แถมยังจะมาแซวทั้งที่ไม่ยอมอัพเดทข่าวสารกัน พี่ก็เลยช่วยสงเคราะห์อัพเดทให้พวกมันหน่อย

                ผมหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่พี่ๆทั้งกลุ่มกลับตาลุกวาว

                มึงด่าใครโง่วะไอ้กานต์!!”

                โห...เดี๋ยวนี้เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน

                น้องน่ารักจังครับ ชื่อตะวันเหรอ พี่ชื่อพี่เป้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก เบอร์พี่ก็ 084...

                พี่ที่ชอบเถียงกับพี่พีทที่เพิ่งรู้ว่าชื่อเป้ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหาผม แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกเมื่อ...ตีน...ตีนจริงๆครับ ตีนพี่กานต์ยื่นไปยันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้ได้

                ออกไปห่างๆเลยไอ้เป้ นี่ของกู - -^”

                อ่า...

                ผมรู้สึกว่า...ผมกำลังเขินแฮะ

     

                นี่ของกู

     

                วลีสั้นๆแต่ได้ใจความ...และก็ได้ใจผมไปเพียบ

                ลงท้ายผมก็มานั่งกินข้าวกับกลุ่มพี่กานต์ พวกพี่เขาเอะอะไร้สาระกันมาก(แต่ฮาดี ผมชอบนะ) ผมเพิ่งจะมารู้ทีหลังว่าพวกเขาอยู่วงโยฯกันทั้งกลุ่มเลยครับ นับรวมแล้วมีตั้งสิบกว่าคน

                คนแรกก็พี่กานต์...เอ่อ...แฟนผม(เสียงเบา เขินครับ) เป็นลีดเดอร์ทรัมเป็ต ผมเคยเห็นตอนพี่เขาเล่นด้วยนะ...ไม่ค่อยอยากยอมรับ...แต่รู้สึกว่าเท่มาก(เขินนนนนโว้ย!)

                คนต่อมาพี่อั๋น ประธานวงโยฯ+ลีดฯคลาริเน็ต พี่กานต์บอกว่าชอบตีหน้าดุเก๊กเสียงโหดไปงั้นแต่ความจริงพี่อั๋นเป็นคนใจดีมากๆ และพี่กานต์ก็บอกว่าแฟนของพี่อั๋นคือพี่กล้า(เสียงพี่อั๋น-ไปตายซะเหอะ!! ไอ้เชี่ยกานต์!!)

                คนที่สามคือพี่กล้า เป็นลีดเดอร์แซ็กโซโฟน อารมณ์ดีและใจกล้ามากสมชื่อ ชอบแหย่ให้พี่อั๋นพ่นไฟอยู่ตลอด ผมล่ะกลัวความใจกล้าของพี่เขาจริงๆ...

                คนที่สี่คือพี่พีท รองลีดฯแซ็กโซโฟน อารมณ์ดีสุดๆและตัวเล็กชะมัด(เท่าผมเลยมั้ง เออ ผมเตี้ย รู้ หยุดย้ำ) เป็นคน...ปากเปราะครับ...แล้วก็ชอบทะเลาะกับพี่เป้

                คนที่ห้าก็พี่เป้นั่นแหละ เป็นลีดเดอร์ทูบา ผมเคยเห็นเครื่องทูบาแล้ว ใหญ่มากมาย แปลว่าพี่เขาต้องแรงมหาศาลชัวร์ พี่เป้ชอบแกล้งพี่พีทครับ แล้วพี่พีทก็บ้าให้เขายุตลอด(รู้สึกเหมือนเข้าตัวนิดๆเหมือนกันแฮะ) ที่สำคัญ...พี่เป้นี่แหละโคตรม่อตัวพ่อ!

                คนที่หกชื่อพี่เมฆ พี่เมฆจะอยู่รวมกับพี่พีทและพี่เป้ พี่กานต์เรียกสามคนนี้ว่าสามสหายหมัดเห็บเหา(ทำไมนะ?) เขาเป็นลีดเดอร์ทรอมโบน ชอบตีหน้านิ่งแต่แอบกวน แข่งกันกวนประสาทพี่พีทกับพี่เป้ตลอดเหมือนเห็นพี่พีทเป็นของเล่นชนิดหนึ่ง(- -)

                คนที่เจ็ดชื่อพี่เซมครับ คนนี้แหละที่วันก่อนเห็นวิ่งรอบสนามบอลอยู่กับพี่กานต์และพี่วา เขาเป็นหัวหน้าเพอร์คัสชั่นที่อธิบายง่ายๆว่าพวกกลอง พี่เซมเป็นคนที่เหมือนจะซื่อ(เหมือนจะ?) และก็อารมณ์ดี หัวเราะฮ่าๆๆตลอด(เริ่มน่ากลัว...)

                คนที่แปดผมว่าน่ารักนะ เขาชื่อพี่เน็ต เป็นลีดเดอร์ฟลุต แถมยังตัวเล็กกว่าพี่พีทเสียอีก(พี่พีทบอกว่าตัวเองสูงกว่าพี่เน็ตสองเซ็นต์ฯ) พี่เน็ตมักจะยิ้มเฉยๆ เป็นคนค่อนข้างนุ่มนวลที่ทำเอาผมงงว่าหลุดมาอยู่ในกลุ่มหลุดโลกแบบนี้ได้ยังไง

                อันที่จริงในกลุ่มยังมีอีกหลายคน อาทิ พี่ปลาย พี่นันท์ พี่ไฟร์ แล้วก็อีกหลายๆพี่ที่ผมจำแทบไม่ไหว เยอะมากกกกก แถมยังผสมคละตั้งแต่สายวิทย์จนถึงศิลป์ห้อง 9 เรียกได้ว่ามีพี่จากทุกสายมาอัดรวมกันในกลุ่มนี้เลย

     

                ปกติตัวเล็กกินข้าวกับใครเหรอ?พี่กานต์หันหน้ามาถามผมเมื่อสบโอกาสว่าทั้งกลุ่มกำลังเมามันอยู่กับการแซวพี่อั๋นกับพี่กล้า(รู้สึกว่าพี่กลุ่มนี้ชอบแซวคนเป็นงานอดิเรกจริงๆ - -)

                ผมยิ้มแห้งๆ ไม่มีหรอก ปกติกินคนเดียวแล้วก็ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดรอหมดพักน่ะ

                พี่กานต์ชะงักไปแวบหนึ่ง แต่แล้วก็ยิ้มให้ งั้นจากนี้มากินกับพี่นะ เดี๋ยวจะเดินไปรับที่ตึก อย่างน้อยๆเราก็จะได้เจอกันทุกพักไง

                อะ...

                ผมว่า...ผมกำลังเขิน...อีกแล้วล่ะครับ

                พี่กานต์นี่ช่าง...พูดอะไรได้ตรงเสียจนผมนึกอายแทนจริงๆ...

                ตกลงนะตัวเล็ก?มือของพี่กานต์วางลงมาบนมือผม ทำให้เหตุการณ์กลายเป็นว่าเราแอบจับมือกันใต้โต๊ะ อ่า...ผมกำลังเขินอีกแล้วคร้าบบบบ

                ...ก็...ก็ได้ครับ...

     

                ผมนั่งนิ่ง ปล่อยให้มือใหญ่ๆของพี่กานต์ถ่ายทอดความอบอุ่นมาให้แบบเงียบๆ นี่...นับว่าเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่ผมรู้สึกตั้งความหวังจริงๆจังๆกับการคบกันของเรา เพราะอย่างน้อยๆ...ผมก็รู้สึกว่าอยากจะให้พี่กานต์...รักผมบ้าง...รักผมเหมือนกับที่รักพี่วา

                ผมรู้ดี

                อาจจะไม่ใช่วันนี้ที่เรารักกัน แต่มันก็มีความเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ?

                สักวัน...สักวันหนึ่งในอนาคต คงจะมีวันที่ผมกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าพี่กานต์คือแฟน...คือคนรักของผม...

     

                สักวันหนึ่ง...คงจะมีวันที่ผมจะกล้าพูดจากใจจริงว่าพี่กานต์คือคนที่ผมรัก

     

     

     ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ตบอีสโนว์ได้เลยค่ะ อนุญาต(แต่ขอเอียงหัวหลบนะ.....กร๊ากกกกก)
    หนูผิดไปแล้ว TT^TT แต่เห็นอะไรป่าว.....

    2 ตอน!!! มันมาสองตอนถ้วนค่ะท่านผู้โช้มมมมมมมมมมมมมมมมมม

    ค่าสาย....อ่ะนะ...ไปเช็งเม้งกลับมา รถโคตรติด ติดโคตรๆ แถมยังเจือกมีรถทุ่มกันตรงบางนาอีก เสื้อแดงก็ชุมนุม ออกจากบ้านช่วงนี้เป็นอะไรที่วิบัติเว่อร์(หันซ้ายหันขวา...หวังว่าใน'ทู้คงไม่มีสมาชิกเสื้อแดงนะ กลัวโดนเขวี้ยงเลือด =[]= )
    มาทอล์ครั่วๆกะนิยายกันดีกว่า(ใครอยากจะคุยกับเอ็ง!!) ตอนนี้จะปิดสรุปกานต์Xตะวันละ จะได้เคลียร์ตาพระเอกปากหนักซะที โฮ่ๆๆๆ พี่กานต์เป็นจอมหยอดตัวฉกาจ ผู้ชายแบบนี้ทั้งน่ารักและน่ากลัว(เพราะหวานเว่อร์...) กลัว...ใจ อ้วกกกกกกก

    อ่ะ ว่าด้วยเกร็ดความรู้เล็กๆ ในแก๊งค์ของพี่กานต์ที่มีตาพี่เป้โผล่มาอ่ะ บางคนอาจจะไม่รู้จักว่าไอ้เครื่องที่เรียก "ทูบา" คืออะไร(บอกตรงๆ แต่ก่อนโนว์ก็ไม่รู้จักมัน = = ) ความจริงนี่ก็ไม่เกี่ยวกะเรื่องหรอก แต่อยากบอก(เพื่อ??)
    มันเป็นไอ้ตัวนี้คร่า!



    คิดว่าคงเคยเห็นกัน(มั้ง) แต่ไม่รู้จักชื่อ ปกติเวลาเดินขบวนกันไอ้ตัวนี้จะอยู่แถวหลังสุดค่ะ มีอีกแบบหนึ่งที่คล้ายๆ แต่คอมันจะวนขึ้นไปบนหัว(งงปะ?) ที่เห็นเป็นปากลำโพงอยู่บนหัว ตัวใหญ่เว่อร์ๆอะ แต่ตัวนี้เป็นแบบแบกข้าง น้ำหนักก็.....หนักสุโค่ย!! โนว์ยังยกแทบไม่ขึ้น!! ฮาๆ ก็ไม่ใช่สาย...เขาว่ากันว่าน้ำหนักมันมากกว่าห้ากิโลซะอีก คนแบกกล้ามงอก =o= <<<เรื่องจริงนะ....

    อีกตัวเป็นของตาเมฆ ทรอมโบน แต่ตัวนี้หลายคนคงรู้จักอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะเห็นทั่วไปทั้งในวงลูกทุ่ง แจ๊ส สตริงคอมโบ ออเคสตร้า...สรุปคือมันไปได้หมดทุกวง...ว่างั้น...



    ถือคติความรู้คู่นิยาย =o= รู้ไว้ใช่ว่าแต่ไม่ต้องใส่บ่าแบกก็ได้ค่ะ(แกจะพูดทำไม??) ถือว่าเอาความรู้มาฝากกัน อ่านๆไปเต๊อะ(เฮ้ย? เล่นงี้เลย....) ฮาๆ ใครสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ถามได้นะ โนว์จะพยายามเก็บตกรายละเอียดให้ อันไหนที่เผลอเขียนศัพท์เฉพาะลงไปแล้วไม่เข้าใจก็บอก เดี๋ยวจะแปะอธิบายเสริม ครึ่กๆๆ(นี่คือเสียงหัวเราะ -o- )

    พล่ามมากไปและ ไปตอนต่อไปเลยดีกว่า วีดวิ้ววววววว ลงสองตอนได้ เดี๋ยวเมืองไทยจะมีหิมะตกก็งานนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ ^O^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×