ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #44 : Chapter 38 : การตัดสินใจของซีวอน (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.75K
      8
      16 ธ.ค. 54


    แถลงการณ์จากไรเตอร์ จะอ่านหรือไม่อ่าน ไม่ว่ากันจะ

    ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษทุกคนด้วยที่อัพฟิคช้ามากๆ เพราะเหตุจำเป็นอันมากมายก่ายกอง

    และไม่รู้ว่าทุกคนรู้กันหรือเปล่าว่าไรเตอร์ kr นั้นมีสองคน ช่วยกันแต่งช่วยกันเขียนมาด้วยกันก็ร่วมๆ 5 ปีแล้วล่ะ

    จนตอนนี้มันคงอิ่มตัวกันทั้งคู่ แต่ละคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ เลยไม่ค่อยมีเวลากันมากนัก

    ตอนนี้เราสองคนเรียนกันคนละที่ ไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนอย่างเคย

    การจะเขียนฟิคด้วยกันอีกจึงเป็นเรื่องยาก เพราะเหตุจำเป็นของแต่ละคนอีกนั่นแหละ

    แต่ก็ใช่ว่าเราจะเลิกเขียนไปเลยนะ ถึงจะไม่ได้ทำต่อด้วยกันแล้วแต่ก็ยังจะพยายามเขียนต่อไป

    เวลาการอัพอาจจะช้าลงไปอีก ซึ่งที่ผ่านมาก็ช้ามากๆ อยู่แล้ว ต้องขอโทษทุกคนด้วย

    จะเขียนฟิคเรื่องนี้ให้จบ ยังไงรีดเดอร์ก็อย่าทิ้งกันไปก่อนล่ะ

    เล่ม 3 ต้องคลอดออกมาซักวัน ซึ่งไม่รู้วันไหน = =

     

    ครบ 100% แล้วจ้า

    ช่วงนี้วอนซินกำลังดราม่ากันสุดๆ

    ฮีชอลจะลาออกหรือไม่?  แล้วซีวอนจะทำยังไงกันนะ?


    --------------------------------------------



    Chapter 38 : การตัดสินใจของซีวอน


           

                “ซีวอน! เกิดเรื่องแล้ว ซีวอน!!” เสียงของอีทึกดังมาแต่ไกลเรียกความสนใจของนักศึกษาที่อยู่บริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี อีทึกวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าซีวอนที่มองกลับมาด้วยอาการงงๆ

                “เป็นอะไรของนายอีทึก เกิดเรื่องอะไร” ขมวดคิ้วมุ่นแล้วถามกลับ

                “ฮีชอล...ฮีชอลกำลังจะลาออก” ตอบคำถามไปก็หอบไป อีทึกยกมือทาบหน้าอกตัวเองหอบหายใจอย่างแรงเพื่อกอบโกยอากาศเข้าไปให้ได้มากที่สุด

                หลังจากที่ได้รับรู้ข่าวร้ายที่สุดในรอบปี อีทึกพยายามจะพูดคุยกับฮีชอลถึงเหตุผลแต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมตอบอะไรเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ส่ายหน้าไปมาลูกเดียว ทำให้ไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องมายื่นเอกสารลาออกแบบนี้ และคนเดียวที่นึกถึงขึ้นมาตอนนั้นก็คือรูมเมทอย่างซีวอนซึ่งไม่รู้ว่าจะรู้เรื่องนี้หรือยัง และไม่แน่ว่าซีวอนอาจจะรู้เหตุผลที่ฮีชอลมาลาออกก็เป็นได้ เลยต้องรีบนำข่าวมาแจ้งก่อนที่อะไรมันจะสายไปเสียก่อน

                “ว่าไงนะ” ถามกลับไปอย่างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นมันเป็นความจริงแน่หรือเปล่า

                “ลาออก ฮีชอลมาลา...”

                “ที่ไหน ตอนนี้ฮีชอลอยู่ไหน” ซีวอนถามตัดบทอย่างรีบร้อนโดยที่อีทึกยังตอบไม่ทันจบ

    “กองอำนวยการนัก....อ้าว! ซีวอนรอฉันด้วยสิ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!” พูดยังไม่ทันจบประโยคดีซีวอนก็ชิงวิ่งจากไปเสียก่อน อีทึกเลยได้แต่บ่นกระปอดกระแปดไปตามเรื่องก่อนจะรีบวิ่งตามไป

                พอประติดประต่อเรื่องราวได้ซีวอนจึงรีบวิ่งที่มากองอำนวยการนักศึกษาโดยไม่ได้สนใจเสียงร้องเรียกของอีทึกที่กำลังวิ่งตามมามากนัก เมื่อมาถึงซีวอนกวาดมองหาฮีชอลไปทั่วบริเวณก่อนจะเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยเดินผ่านพ้นประตูของกองอำนวยการนักศึกษาเข้าไป

                ซีวอนเปิดประตูเข้าไปภายในอาคารก็พบกับฮีชอลซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก ท่าทางของรูมเมทขี้วายโวยตอนนี้ดูโทรมแทบไม่หลงเหลือเคล้าเดิม ท่าทางการเดินที่เหมือนคนใกล้หมดแรงเต็มทียิ่งทำให้ความรู้สึกของซีวอนเริ่มปั่นป่วนไปหมด

                “จะทำอะไรของนาย!” เดินเข้าไปกระชากข้อมือข้างที่ถือเอกสารอยู่จนมันหลุดจากมือล่วงลงบนพื้น ฮีชอลหันมาเผชิญหน้ากับซีวอนตามแรงดึง แต่กลับทำให้คนที่อารมณ์ปั่นป่วนชะงักค้างไปชั่วครู่

                ฮีชอลไม่ตอบคำถามใดๆ ดวงตาที่แสนบอบซ้ำสบกับดวงตาที่ดูแข็งกร้าวได้ไม่นานก็ต้องเบือนหนี และในที่สุดคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดก็มาจนได้

                “ตอบฉัน ฮีชอล! นายจะทำอะไร!” ถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าฮีชอลกำลังจะทำอะไรและสาเหตุมาจากอะไร แต่ตอนนี้สมองมันกลับตื้อจนคิดหาคำถามหรือคำพูดที่มันดีกว่านี้ไม่ออก

                “ทำในสิ่งที่นายต้องการไง” ตอบกลับเสียงเบาโดยไม่กล้าสบตา ฮีชอลเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเขาพูดออกไปแล้วแรงบีบที่ข้อมือนั้นกลับเพิ่มขึ้นจนรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา บอกให้รู้ได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ซีวอนโกรธมากแค่ไหน และแม้เขาอยากจะสะบัดมันออกมากเท่าไหร่แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีเหลืออยู่เลย

                “สิ่งที่ฉันต้องการงั้นเหรอ! ฉันไม่ต้องการให้นายทำแบบนี้!” ซีวอนตะคอกกลับไปด้วยอารมณ์โมโหอย่างถึงที่สุด จนคนที่อยู่ภายในตัวอาคารเริ่มหันมามอง รวมทั้งอีทึกที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามายังรู้สึกตกใจไปด้วย แต่ฮีชอลกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาเลย

                “แต่นายเป็นคนบีบบังคับฉันเอง” เงยหน้าขึ้นมาเถียงอย่างคนไม่ยอมแพ้ ฮีชอลจ้องหน้าซีวอนเขม็ง เพราะทุกอย่างซีวอนเป็นคนบีบบังคับเขาให้ทำ ในเมื่อพูดคุยตกลงกันดีๆไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือหนีไปซะ แล้วคราวนี้จะรั้งเขาไว้ทำไม

                “ฮีชอล!” ตวาดเรียกชื่อเสียงดังพร้อมกับกระชากร่างที่ไร้เรี่ยวแรงจนถลาเข้ามากระแทกหน้าอกตัวเอง ซีวอนปล่อยมือที่จับข้อมือฮีชอลออกก่อนจะผลักร่างนั้นออกห่างจากตัวเองเบาๆ

                “ซีวอน ทำอะไรของนายเนี่ย คุยกันดีๆสิ” อีทึกรีบถลาเข้ามาประคองฮีชอลเอาไว้เพราะไม่งั้นร่างสวยๆได้ลงไปนอนวัดพื้นเป็นแน่ ถึงจะยังไม่เข้าใจก็เถอะว่าตกลงเรื่องราวมันเป็นมายังไง แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักเขาจึงไม่อยากถามอะไรให้มากความรอให้อารมณ์ของซีวอนเย็นลงก่อนจะดีกว่า

                “อย่าเสียงดังสิครับ” เสียงเตือนจากเจ้าหน้าที่ภายในกองอำนวยการนักศึกษาดังขึ้นเพื่อตักเตือนถึงมารยาทที่ควรมี

                ซีวอนกับอีทึกหันไปค้อมหัวให้เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าตึงให้เป็นการขอโทษ ก่อนซีวอนจะก้มลงเก็บซองเอกสารของฮีชอลแล้วดึงร่างบางออกมาจากการประคองของอีทึกให้เดินตามออกไปข้างนอก

                “ซีวอน ฉันก็พอเข้าใจนะว่านายคงจะโมโหแต่อย่าทำรุนแรงได้มั้ย” อีทึกเห็นสถานการณ์ชักจะแย่ลงทุกทีจึงรีบเดินตามซีวอนออกไปและพยายามพูดไกล่เกลี่ย แต่เหมือนเพื่อนตัวสูงจะไม่ได้ฟังคำที่เขาพูดออกมาเลยสักนิด เรื่องที่อยู่ๆมารู้ว่ารูมเมทตัวเองจะมาลาออกเขาก็เข้าใจว่าเป็นใครก็ต้องโกรธ แถมดูจากท่าทางของทั้งคู่แล้วคงมีเรื่องบาดหมางหรือทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้ ไม่งั้นซีวอนคงไม่แสดงท่าทีโมโหมากมายแบบนี้

                ซีวอนพาฮีชอลเดินห่างออกมาจากกองอำนวยการนักศึกษามาเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจคำพูดของอีทึกที่ลอยมากระทบหูเลย เอาแต่เดินจ้ำอ้าวโดยไม่ได้ใส่ใจเช่นกันว่าคนที่ตนลากมานั้นจะเดินทันตามหรือเปล่า

                “นายจะพาฮีชอลไปไหนน่ะซีวอน” อีทึกวิ่งตามมาจนถึงหน้ามหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายคำถามของเขาก็ไม่ได้รับคำตอบเช่นเดิมเมื่อซีวอนโบกแท็กซี่พาฮีชอลจากไปแล้ว เหลือเพียงความสงสัยและสับสนที่เขาเองก็ไม่รู้จะไปหาคำตอบจากใครเช่นกัน

     

     

     

                ตลอดทางที่รถเคลื่อนที่ออกห่างจากมหาวิทยาลัยเรื่อยๆ ฮีชอลทำได้เพียงแค่นั่งเงียบ ไม่อยากเถียงไม่อยากพูดคุยให้เรื่องมันไปสร้างอารมณ์โมโหของซีวอนมากกว่านี้ ถึงจะไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าซีวอนจะพาเขาไปไหน ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเรื่องอะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด ยังไงเขาคงไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อยู่ดี

                เดินทางมาร่วมชั่วโมงรถโดยสารส่วนบุคคลก็จอดเทียบที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ฮีชอลจำไม่ได้ว่าซีวอนบอกจุดหมายกับคนขับไปว่าอย่างไร แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ามันกลับทำให้รู้สึกหวั่นใจแปลกๆ จนสุดท้ายต้องเอ่ยปากถามออกไปเพื่อคลายความสงสัย

                “นายพาฉันมาที่ไหน”

                ซีวอนหันไปมองเสี้ยวหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แม้ท่าทางภายนอกจะยังดูนิ่งเฉยแต่ภายในคงกำลังสั่นไหวน่าดู มองดูจากตรงนี้แล้วสิ่งก่อสร้างด้านหน้าดูยังไงก็คือบ้านคน และในเมื่อไม่ใช่บ้านของฮีชอลแล้วจะเป็นบ้านของใครได้ล่ะ

                “บ้านฉันไง”

                “พาฉันมาที่นี่ทำไม” ฮีชอลหันกลับไปถาม น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นไหวเล็กน้อย สิ่งเดียวที่เขาคิดได้ตอนนี้มีแต่เรื่องในแง่ลบทั้งนั้น หวังว่าซีวอนคงไม่ได้คิดจะมาบอกความจริงเรื่องครอบครัวเขาหรอกนะ แต่สุดท้ายมันก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ

                ซีวอนไม่ตอบคำถามแต่กลับเดินนำเข้าไปในบ้าน ส่วนฮีชอลนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สมองมันเริ่มจินตนาการไปต่างๆนานาแล้วว่าหากครอบครัวของซีวอนรู้ความจริงแล้วจะเป็นยังไง จากที่เคยมีชีวิตอิสระเพียงแค่กระพริบตาอาจจะเข้าไปนอนในตารางแล้วก็เป็นได้

    สมองที่สรรค์สร้างจินตานาการแย่ๆ บัดนี้มันออกคำสั่งให้ฮีชอลขยับเท้าก้าวถอยหลัง ในเมื่อไม่อยากจะเผชิญหน้าไม่อยากรับรู้เรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิด สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องหนี หนีไปให้เร็วที่สุด

                “อย่าคิดจะหนีอีกเลยฮีชอล ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยนายไปไหนแน่” ซีวอนเหลือบมามองเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น ทำให้ฮีชอลชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวหนีทันที

                “ถ้าเป็นนาย นายจะอยู่ทั้งที่รู้ว่าเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นมันเป็นภัยกับตัวเองงั้นเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตอนนี้ฮีชอลไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าซีวอนกำลังคิดที่จะทำอะไร เลยได้แต่เดาสุ่มไปเองด้วยความคิดที่มีแต่แง่ลบเท่านั้น

                “จะไม่มีภัยอะไรเกิดขึ้นกับนายทั้งนั้นฮีชอล เชื่อใจฉัน แล้วตามฉันเข้ามา” บอกแกมบังคับแล้วซีวอนก็เดินนำเข้าไปภายในบ้าน

                ฮีชอลชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะยอมเดินตามเข้าไป ถึงจะไม่เชื่อในคำพูดของซีวอนร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คำว่า เชื่อใจ มันกลับคำให้ขามันยอมขยับเท้าก้าวตามเข้าไปโดยง่าย

    ซีวอนเดินเข้ามาภายในตัวบ้านที่แสนกว้างขวางใหญ่โตสมฐานะ บริเวณห้องรับแขกของบ้านตอนนี้มีแม่บ้านวัยกลางคนกำลังทำความสะอาดอยู่ เมื่อเห็นซีวอนเธอจึงหันมาค้อมหัวให้เล็กน้อยและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ซึ่งซีวอนเองก็ค้อมหัวกลับและยิ้มให้เช่นกัน

                “คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาหรือยังครับป้า”

                “คุณหญิงกลับมาแล้วค่ะ อยู่ที่ห้องทำงาน” เธอตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังของซีวอนซึ่งปรากฏร่างของใครคนหนึ่ง คนที่เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นหญิงหรือชาย รูปร่างที่ดูอ้อนแอ้น โครงหน้าสวยหวาน เส้นผมยาวสลวยประบ่า ด้วยรวมนั้นดูเหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ท่าทางและการแต่งตัวนั้นออกไปทางผู้ชายมากกว่า แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอยากรู้มากนักว่าเป็นหญิงหรือชาย เธออยากรู้มากกว่าว่าคนๆนี้เป็นใคร

                ซีวอนเหลียวหลังกลับไปมองตามสายตาของแม่บ้าน เมื่อเห็นฮีชอลยืนอยู่ด้านหลังจึงกดยิ้มบางๆก่อนจะหันกลับมา

                “นี่ชอลลี่ แฟนผมเองครับ” ซีวอนเดินกลับไปโอบไหล่ฮีชอลไว้หลวมๆ เพื่อไขข้อข้องใจให้แก่แม่บ้านคนโปรดของตระกูล ซึ่งคนโดนลวนลามก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไร ได้แต่คิดสับสนในคำพูดของซีวอนเท่านั้น เพราะถึงแม้จะเป็นการแสดงละครแต่ซีวอนกับฮีชอลก็ยังเป็นแค่เพียงคนรู้จักที่ถูกนัดไปดูตัวกันเท่านั้น

                “ขอตัวนะครับ” พูดจบก็เดินโอบฮีชอลผ่านหน้าป้าแม่บ้านขึ้นชั้นบนไป

                เมื่อพ้นสายตาของคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องซีวอนก็ปล่อยมือออก เดินนำหน้าฮีชอลไปโดยไม่พูดอะไร ฮีชอลเองก็ยังไม่คิดที่จะถามได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไป ในเมื่อบอกให้เขาเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก เขาก็จะยอมเชื่อ

                ซีวอนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องทำงานของคุณหญิงอึนจองผู้เป็นแม่ ก่อนจะหันไปมองฮีชอลที่เดินตามมาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ และเมื่อฮีชอลเดินเข้ามาใกล้จึงคว้ามือเล็กมากุมไว้ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นเคาะประตูห้องตามมารยาท

                “ซีวอนเองครับแม่” เอ่ยบอกคนในห้องก่อนซีวอนจะเปิดประตูเข้าไป



    ----------------------  50% ----------------------


               “อ้าว! ซีวอนนึกยังไงกลับมาบ้านล่ะลูก แล้วนั่น ใครน่ะ.....หนูชอลลี่หรือเปล่า” คุณหญิงอึนจองละสายตาจากเอกสารตรงหน้าเมื่อรู้ว่าใครมาหา เธอลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานร้องถามออกมาอย่างแปลกใจเมื่อเห็นลูกชายกลับมาบ้าน และแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าลูกชายพาใครมาด้วย

                ฮีชอลโค้งให้คุณหญิงอึนจองเล็กน้อยแล้วเอาแต่ยืนก้มหน้าก้มตา ด้านซีวอนเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้มบางๆ

                “ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะ หืม?” ถามไปปากก็อมยิ้ม ซีวอนพามาบ้านด้วยแบบนี้แถมจับมือกันอีก สมองมันก็จินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้วว่าความสัมพันธ์ของลูกชายสุดหวงคนนี้กับแม่หนูหน้าหวานชอลลี่คงพัฒนาไปไกลพอสมควร

                “พอดีผมมีเรื่องจะบอกแม่น่ะครับ” คำพูดของซีวอนทำให้ฮีชอลใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ รีบเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูด เพราะเรื่องที่ซีวอนจะบอกฮีชอลคิดได้อย่างเดียวคือความลับของครอบครัวเขาที่หวังจะมาหลอกเอาเงินของตระกูลชเว นี่คงคิดจะพาเขามาเพื่อบอกความจริงกับครอบครัวสินะ

                “หนูชอลลี่! ทำไมหน้าตาดูโทรมแบบนี้ล่ะ” แต่แทนที่คุณหญิงอึนจองจะสนใจสิ่งที่ซีวอนกำลังจะพูดเธอกลับหันไปสนใจใบหน้าที่ดูซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาของฮีชอลที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาเสียมากกว่า

                “เอ่อ...คือ...” ฮีชอลก้มหน้าลงตามเดิม ลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้หน้าตาตัวเองดูไม่ได้แค่ไหน แล้วถ้าเกิดคุณหญิงอึนจองรู้ความจริงขึ้นมาว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงแล้วมันจะเป็นยังไง แต่ยังไงวันนี้เขาก็คงไปไหนไม่รอด เพราะซีวอนคงคิดที่จะบอกความจริงอยู่แล้ว

                “คือช่วงนี้ชอลลี่เค้าไม่ค่อยสบายน่ะครับเลยดูโทรมไปหน่อย” ซีวอนรีบช่วยแก้ต่างให้ ถ้าขืนรอให้ฮีชอลแก้ตัวเองมีหวังความจะแตกเสียก่อน ตัวเขาเองก็ลืมนึกไปเลยว่าสภาพของฮีชอลตอนนี้ต่างกับชอลลี่ที่แม่เขาเคยเจอเหมือนเหวกับฟ้า แถมชุดที่ใส่ยังเป็นชุดผู้ชายอีกต่างหาก

                คำแก้ตัวที่ซีวอนเป็นคนออกตัวแทนสร้างความแปลกใจให้ฮีชอลอยู่ไม่น้อย ที่คิดว่าซีวอนพามาที่นี่เพื่อมาบอกความจริงเริ่มจางหายไป กลายเป็นความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นมาแทน

                “เหรอจ๊ะ แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ หนูชอลลี่เปลี่ยนแนวแล้วเหรอ” คุณหญิงยังคงถามต่อไปเรื่อยด้วยความแปลกใจที่วันนี้ชอลลี่แต่งตัวแปลกๆ ไม่สวยหวานอย่างที่เธอเคยเห็นจนตอนแรกเธอเองก็เกือบจะจำไม่ได้เหมือนกัน

                “ก็เพราะไม่สบายไงครับผมเลยขอให้เธอแต่งตัวให้มิดชิด” อีกครั้งที่ซีวอนออกมาปากแก้ตัวให้ ซึ่งอึนจองก็พยักหน้ารับยอมเชื่อคำพูดของลูกชายโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ

                “งั้นเหรอจ๊ะ น่ารักจังเลยนะ” ว่าแล้วคุณหญิงก็ฉีกยิ้มเสียยกใหญ่กับอาการที่ดูหวงแหนหญิงสาวที่เธอหมายหมั้นปั้นมืออยากให้คบกันเสียเหลือเกิน

                ได้ฟังแม่พูดออกมาแบบนี้ซีวอนเลยได้แต่ส่งยิ้มให้ ส่วนฮีชอลนั้นเอาแต่ก้มหน้าก้มตาลูกเดียว ในใจก็นึกหวั่นว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับชีวิตอีก

                “แม่ครับ ที่มาหานี่คือผมมีเรื่องจะเรียนให้ทราบน่ะครับ” เมื่อเห็นจังหวะเหมาะซีวอนเริ่มเข้าเรื่อง เหตุผลที่เขาพาฮีชอลมาที่นี่ไม่ใช่เพราะอยากจะเปิดเผยความจริงให้แม่ของเขาได้รู้ แต่มาเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาให้มันดีขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้มากแค่ไหน

                “เรื่องอะไรเหรอลูก”

                “คือเราสองคนตัดสินใจกันแล้วครับว่าจากนี้จะคบหาดูใจกันอย่างจริงจัง” ซีวอนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

                คุณหญิงอึนจองที่ได้ฟังถึงกับยิ้มกว้างไม่ยอมหุบต่างกับฮีชอลที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าซีวอนเขม็งด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่ซีวอนพูดออกไป แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเออออตามกันไปและอยู่นิ่งๆให้ซีวอนเป็นคนจัดการกับสถานการณ์เท่านั้น

                “จริงเหรอลูก” คุณหญิงอึนจองถามย้ำเพื่อความมั่นใจ ใบหน้าของเธอแสดงออกชัดเจนว่าดีใจอย่างถึงที่สุด

    “ครับ” ซีวอนพยักหน้ารับแล้วยิ้มบางๆ กับคนเป็นลูกอย่างเขาที่รับรู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังทุกอย่างยิ่งเห็นอาการดีอกดีใจของคนเป็นแม่กลับรู้สึกว่ายิ่งทำให้แม่ของเขาดูโง่มากกว่าเดิมที่โดนหลอกอยู่แบบนี้ แต่ในเมื่อตัดสินใจทำลงไปแล้วคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก และเขาจะทำให้ทุกอย่างจบลงดีที่สุดตามแผนที่เขาได้คิดเอาไว้

    หลังจากทราบเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเกี่ยวกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน คุณหญิงอึนจองก็ชวนฮีชอลกับซีวอนนั่งคุยด้วยกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งซีวอนขอตัวกลับและอ้างว่าต้องไปส่งฮีชอลที่บ้าน คุณหญิงอึนจองจึงยอมให้ปลีกตัวออกมาได้ ตลอดการสนทนานั้นฮีชอลก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ส่งยิ้มให้ว่าที่แม่เขยจอมปลอมบ้างบางครั้ง เพราะคำถามส่วนใหญ่ซีวอนจะเป็นฝ่ายตอบเสียมากกว่า

    “ทำไมนายต้องบอกแม่นายไปแบบนั้นด้วย” เดินออกมานอกตัวบ้านได้ไม่นานสิ่งที่ฮีชอลค้างคาใจก็ถูกถามออกมา เขาไม่เข้าใจเหตุผลที่ซีวอนบอกออกไปแบบนั้น เพราะอยากจะช่วยเขาหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เขาคิดว่ามันจะยิ่งทำให้เรื่องปานปลายไปกันใหญ่

    “อย่าถามมากเลย” ซีวอนตอบเพียงเท่านี้ก่อนทำท่าจะโบกรถแท็กซี่เพื่อกลับหอแต่ฮีชอลไม่ยอมจึงรีบดึงซีวอนให้หันกลับมา

    “พูดออกไปแบบนั้นนายไม่คิดว่าจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิมหรือไง! แบบนี้ฉันก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนายมากกว่าเดิม! จะทำอะไรทำไมนายไม่ปรึกษาฉันบ้าง! พอฉันจะไปจากชีวิตนาย นายกลับมารั้งไว้ เนี่ยนะที่บอกให้เชื่อใจ แล้วนายกลับทำแบบนี้เหรอซีวอน!!” เพราะไม่เข้าใจเหตุผลที่ซีวอนทำลงไปทำให้ฮีชอลอดตวาดออกมาไม่ได้ ความรู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งเงียบตลอดเวลาโดยที่ซีวอนเป็นฝ่ายพูดสร้างสถานการณ์อยู่เพียงฝ่ายเดียวและมีเขาเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่ต้องเล่นตามบทเท่านั้น เขาแค่อยากให้ซีวอนบอกเขาบ้างก่อนคิดที่จะทำอะไร ยังไงซะเรื่องทั้งหมดเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงอยู่แล้ว ถึงจะรู้ตัวดีว่าความจริงแล้วเขาแทบไม่มีสิทธิ์ออกปากออกเสียงเลย ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายผิด แค่ซีวอนไม่มาที่นี่เพื่อบอกความจริงมันก็ดีแค่ไหน

    “ที่ฉันทำก็เพราะอยากจะช่วยนายไง มันจะเป็นวิธีที่ดีหรือเปล่าฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันจะรับผิดชอบมันเอง  ขอแค่อย่างเดียว นายอย่าคิดหนีปัญหาด้วยวิธีโง่ๆ อีก” พูดจบซีวอนก็เดินไปโบกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับหอ เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าประโยคที่พูดออกไปเมื่อครู่มันเจือไปด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นห่วงและความหวังดีมากแค่ไหน แต่มันก็มากพอให้คนฟังรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้

    ฮีชอลยืนนิ่งเมื่อฟังจบ นึกโมโหตัวเองขึ้นมาฉลับพลันที่เผลอตวาดซีวอนออกไปแต่อีกคนกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่มีท่าทีว่าจะตวาดเขากลับเลยสักนิด สถานการณ์แบบนี้ก็เท่ากับว่าร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว ต่อไปอะไรจะเกิดก็คงต้องช่วยกันแก้ ดีแค่ไหนแล้วที่ซีวอนยอมช่วยเหลือกันแบบนี้

    “กลับไปคงต้องคิดหาวิธีแก้ตัวกับอีทึกด้วย ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องไปบอกกับเพื่อนๆหรือยัง” ซีวอนเปิดประตูรถออกก่อนหันกลับมาพูดกับฮีชอล

    “อืม”

    “แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันมีแฟนจริงๆ เมื่อไหร่มันคงจะช่วยทำให้เรื่องนี้จบเร็วขึ้น ยังไงนายก็ช่วยพูดกับพ่อแม่ให้เลิกทำด้วยแล้วกัน” พูดจบซีวอนก็ขึ้นรถไป

    ฮีชอลถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งจะเดินตามขึ้นรถไป นึกถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นแล้วต้องคิดแก้ปัญหามันรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะต้องหาคำแก้ตัวให้กับเพื่อนๆ ที่คงตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำตอบกันอยู่ แล้วไหนจะต้องคอยพูดเกลี่ยกล่อมพ่อกับแม่ให้เลิกทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้

     

                และมันก็เป็นอย่างที่ซีวอนได้คาดการณ์เอาไว้ จะผิดพลาดไปตรงที่อีทึกคงไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับเพื่อนทุกคน เพราะในที่นี่มีเพียงคังอินกับชินดงที่นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย และไม่รู้ว่าที่นั่งกันอยู่นี่แค่ลงมาหาอะไรกินยามเย็นหรือมารอพวกพวกเขากันแน่ แต่เมื่อดูจากท่าทางของอีทึกแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

                “ซีวอน! นายพาฮีชอลไปไหนมา” พอเห็นคนที่รอเดินเข้ามาในระยะการมองเห็นอีทึกก็ลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะหวังจะเดินเข้าไปหา ถ้าไม่ติดที่ว่าคังอินรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน

                “ใจเย็น ให้เดินเข้ามาใกล้ๆก่อนค่อยเรียกมาคุยก็ได้” คังอินดึงแขนอีทึกให้กลับลงมานั่ง มองไปยังซีวอนกับฮีชอลที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ จากเรื่องที่อีทึกเล่าให้ฟังแล้วเขาเองก็ยังจับจุดไม่ถูกว่าเรื่องมันจะเป็นมายังไง แต่ดูท่าอีทึกแล้วจะเข้าข้างฮีชอลมากกว่า เพราะได้ยินบ่นอยู่หลายรอบแล้วว่าซีวอนรุนแรงกับฮีชอลเกินไปทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก บางทีที่คิดว่าฮีชอลถูก ความจริงแล้วฮีชอลอาจเป็นฝ่ายผิดก็ได้

                “ฮีชอลดูโทรมไปมากจริงๆ” ชินดงพึมพำขึ้นเมื่อเห็นสภาพของฮีชอลเมื่อเดินเข้ามาใกล้ จากที่เคยดูสวยสง่าตอนนี้เหมือนกลายเป็นอีกคนไปเลย

                “ไงซีวอน ฮีชอล มานั่งคุยกันหน่อยสิ” คังอินกวักมือเรียกเพื่อนทั้งสองซึ่งยอมเดินมานั่งร่วมโต๊ะด้วยแต่โดยดี

                “คงให้เวลาได้ไม่นานนะ ฮีชอลเขาอยากจะพัก” ซีวอนบอกไปเป็นเชิง ซึ่งคังอินกับชินดงก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

                “นายพาฮีชอลไปไหนมา” คำถามแรกออกมาจากปากอีทึก คนตาสวยจ้องซีวอนเขม็งเพราะในใจยังคงเข้าข้างฮีชอลอยู่

                “ไปบ้านฮีชอลมา” ซีวอนตอบ

                “ไปทำไม แล้วตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ช่วยเล่าให้ฉันฟังทีได้มั้ย ทำไมฮีชอลต้องมายื่นใบลาออกด้วย” อีทึกรัวคำถามออกเป็นชุด และเขาก็ต้องการฟังคำตอบจากปากทั้งสองคนเดี๋ยวนี้ด้วย

                “ฉันขอเป็นคนตอบเองแล้วกันนะ พอดีฮีชอลเค้ามีปัญหากับทางบ้านนิดหน่อย ที่ฉันบอกว่าไปเที่ยวกับครอบครัวนั่นแหละ ความจริงพ่อกับแม่ของฮีชอลต้องการย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดทั้งครอบครัวและแน่นอนว่าต้องย้ายที่เรียนด้วย ถึงฮีชอลจะไม่อยากย้ายแต่ก็ขัดอะไรไม่ได้ วันนี้ถึงได้มายื่นเอกสารเพื่อลาออกไง ฉันเลยบุกที่บ้านฮีชอลซะเลย ไปช่วยกันคุยจนพ่อแม่ของฮีชอลยอมให้เรียนต่อที่นี่แล้ว” หลังจากเสนอขอเป็นคนเล่า ซีวอนก็เล่าเรื่องที่เพิ่งช่วยกันแต่งขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ตอนอยู่บนรถ ถึงจะไม่แน่ใจก็เถอะว่าเพื่อนๆ จะยอมเชื่อหรือเปล่าแต่เขาคิดว่าเหตุผลนี้คงสมเหตุสมผลที่สุด

                “แล้วทำไมนายต้องโมโหใส่ฮีชอลด้วย” คนฟังยังคงไม่เชื่อในทีเดียว อีทึกจึงตั้งคำถามขึ้นมาอีก

                “แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งคังอินมายื่นใบลาออกโดยที่ไม่บอกนายล่วงหน้านายจะโมโหหรือเปล่าล่ะ” ซีวอนย้อนถามกลับไปทำเอาอีทึกนิ่งไปทันที

                “จริงหรือเปล่าฮีชอล” เค้นถามจากซีวอนฝ่ายเดียวดูไม่ยุติธรรมคังอินเลยหันไปถามฮีชอลแทน

                “อืม” ฮีชอลพยักหน้า ไม่รู้ว่าถ้าหากเพื่อนๆ รู้ความจริงว่ามันเป็นมายังไงจะยังรักและยอมเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจือนๆ กลับไปให้

                “แน่นะ” อีทึกถามย้ำอีกทีอย่างนึกเป็นห่วง เพราะดูสีหน้าฮีชอลแล้วไม่สู้ดีเท่าไหร่

                ฮีชอลพยักหน้ารับอีกทีแล้วฝืนยิ้มให้ดูสดใสกว่าเดิม เพราะถ้าหากโดนถามมากกว่านี้แล้วต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต

                และก่อนที่อีทึกจะถามอะไรให้มากความกว่านี้ซีวอนก็ขอตัวกลับขึ้นห้องโดยอ้างว่าฮีชอลต้องการพักผ่อนอย่างที่ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ ตอนแรกอีทึกเหมือนจะไม่ยอมเพราะอยากฟังเรื่องราวให้ละเอียด แต่ก็โดนคังอินห้ามเอาไว้ เพราะถ้าเจ้าตัวเขายังไม่อยากเล่า และยังมีเวลาอีกเยอะที่พอจะซักถามกันได้ รอให้สภาพจิตใจของเพื่อนดีขึ้นกว่านี้ ยังไงซะฮีชอลกับซีวอนก็คงไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว

    -------------------------------------


    Talk

    ครบ 100% แล้วนะจ๊ะ
    รู้สึกว่าจะมีหลายคนเดาถูกว่าซีวอนพาฮีชอลไปบ้านทำไม
    ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาแบบนี้จะทำให้เรื่องมันดีขึ้นหรือแย่ลง
    ยังไงก็ต้องตามดูกันต่อไป

    รู้สึกครึ่งหลังอันนี้มาเร็วกว่าปกติ ฮ่าๆๆ
    เอาเป็นว่าจะพยายามมาอัพให้อาทิตย์ละครั้งแล้วกันนะ

    ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ ^ ^



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×