ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #39 : Chapter 33 : อาม่าจอมบงการ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.49K
      6
      11 ก.ย. 54


    Chapter 33 : อาม่าจอมบงการ
     
     
     
     
     
     
     
                    ประเด็นฮอตที่สุดของสัปดาห์นี้สำหรับเหล่าเด็กหอสิบสามชั้นสี่คงหนีไม่พ้น คู่รักสองคู่สดใหม่ที่มีแววเค้าลางกันมาเนิ่นนานแต่เพิ่งจะตกลงปลงใจกันได้ไม่กี่วันที่ผ่านมา พอรับรู้ข่าวเสียงล้อเสียงแซวย่อมมีบ้างเป็นธรรมดาแต่คงไม่สู้เสียงแสดงความยินดีจากเพื่อนๆ แต่เรื่องราวเหล่านี้กลับไม่ใช่ประเด็นหลักที่ฮันคยองสนใจมากนักเพราะเรื่องสำคัญและน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าที่รออยู่
     
    “นายจะออกไปไหนฮันคยอง นี่มันจะหกโมงแล้วนะ” ฮยอกแจที่เห็นฮันคยองแต่งตัวซะหล่อเฟี้ยวหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายเตรียมพร้อมจะออกจากห้องหันไปมองนาฬิกาแล้วถามขึ้น เย็นวันนี้พอกลับมาถึงหอฮันคยองก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ออกมาในสภาพแบบนี้โดยไม่บอกเขาสักคำว่าคิดจะไปไหน
     
                “ไปรับม๊ากับอาม่า เดี๋ยวไม่ทัน” ตอบอย่างเร่งรีบพลางเดินไปใส่รองเท้าที่หน้าห้อง ที่จริงฮันคยองนึกว่าอาม่าจะมาถึงวันเสาร์เสียอีก ตอนได้รับโทรเลขเมื่อหลายวันก่อนเลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรไว้ แต่จู่ๆก็โทรมาบอกว่ากำลังจะขึ้นเครื่องแล้วก็บอกเวลาเครื่องลงไว้เสร็จสรรพ ทำให้เขาต้องรีบแบบนี้ นึกสงสัยในตัวอาม่าแต่ก็ไม่กล้าถาม อีกวันเดียวก็จะถึงวันหยุดแล้วไม่รู้จะรีบมาทำไมกัน เพราะถ้ามาช่วงนั้นเขาจะได้พาไปเที่ยวได้สะดวกกว่านี้
     
                “แล้วจะกลับกี่โมง”
     
                “ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะพาม๊ากับอาม่าไปส่งโรงแรมแล้วกลับหรืออาจะเดินเที่ยวก่อนก็ได้” ฮันคยองยืนขึ้นเต็มความสูงหลังใส่รองเท้าเสร็จ หันไปตอบคำถามฮยอกแจที่นั่งยู่อยู่บนเตียง
     
                “แล้วนายจะปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวดึกๆเนี่ยนะ” ฮยอกแจท้วงน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ สารภาพตามตรงเลยว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่ห้องคนเดียวมาก่อนเพราะที่นี่มันออกจะน่ากลัวขึ้นชื่อขนาดนี้
     
                “แล้วจะให้ทำไงล่ะ หรือนายจะไปด้วย” เงียบเหมือนใช้ความคิดสักพักก่อนจะเลิกคิ้วถาม
     
                “ชวนตั้งแต่ทีแรกก็จบ” ไม่รอช้าฮยอกแจลุกไปหยิบเสื้อแขนยาวในตู้และหยิบกระเป๋าเดินมาหาฮันคยองทันที ไม่ใช่ว่าอยากไปด้วยมากมายอะไรเขาก็แค่ไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว อีกอย่างจะได้ไปทำความรู้จักกับแม่และอาม่าของฮันคยองด้วย
     
                ฮันคยองมองท่าทางของฮยอกแจแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว ดูท่าคงจะไม่อยากอยู่คนเดียวจริงๆ และที่สำคัญไม่แน่ว่าถ้าคืนนี้เขาไม่ได้กลับมาห้องแล้วปล่อยให้ฮยอกแจอยู่คนเดียวกลับมาตอนเช้าคงก็อาละวาดแน่ๆ อาม่าเขาแกยิ่งเป็นคนแปลกๆอยู่ นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ต้องเอาให้ได้ วันนี้ถึงได้มากะทันหันแบบนี้ไง
     
                “รีบอยู่ไม่ใช่เหรอ ไปดิ” ฮยอกแจเห็นรอยยิ้มฮันคยองแล้วชักรู้สึกหมั่นไส้เลยดุนหลังให้เดินออกไปจากห้องเพราะเมื่อกี้ยังบ่นว่ารีบอยู่ ยังดีที่คราวนี้ฮันคยองไม่ล้อเขา ไม่งั้นได้เปิดฉากกันก่อนไปเจอญาติผู้ใหญ่แน่
     
               
     
                ใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงสนามบินอินชอนแต่เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าเครื่องลงตั้งแต่สิบนาทีก่อนหน้านี้ แต่น่าแปลกที่อาม่าไม่โทรมาจิกอย่างที่ฮันคยองคิดเอาไว้ เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาแม่ของเขาพร้อมกับเดินไปยังทางผู้โดยสารขาออก เพราะคิดว่าแม่กับอาม่าอาจจะรออยู่ที่นั่น โดยมีฮยอกแจเดินตามหลังอยู่ไม่ห่างนัก
     
                “อาเกิง” แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงที่หมายเสียงเรียกที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ฮันคยองหันซ้ายแลขวาหาต้นเสียงก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ริมฝีปากเผยยิ้มกว้างพร้อมอ้าแขนรับอาม่าสุดที่รักที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือนเข้าสู่อ้อมกอด สองยายหลานกอดกันกลมดิ๊กสักพักจึงผละออกจากกัน และเยื้องอาม่าไปทางด้านหลังก็มีสาววัยกลางคนคนหนึ่งยืนยิ้มอยู่ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา
     
                “คิดถึงม๊าจังเลยครับ” ว่าแล้วก็เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่เสียเต็มรักก่อนจะผละออกมา
     
                ฮยอกแจที่เดินตามมามองตามการแสดงความรักของฮันคยองกับครอบครัวแล้วก็ยิ้มตาม รับรู้ถึงความอบอุ่นความโหยหายของคนที่ต้องจากไกลกันข้ามประเทศแบบนี้ เห็นแล้วเขาก็อยากกลับไปเยี่ยมครอบครัวบ้างจัง
     
                “เป็นไงบ้างสบายดีไหมลูก” คุณแม่ของฮันคยองเอ่ยถามสองมือยกขึ้นลูบแก้มลูกชายอย่างรักใคร่
     
                “สบายดีครับ แล้วม๊ากับอาม่าล่ะเป็นยังไงบ้าง ขอโทษนะครับที่ผมไม่ค่อยได้ติดต่อกลับไปเลย” ฮันคยองบอกด้วยความสำนึกผิด ส่งสายตาเศร้าๆปนท่าทางออดอ้อนให้แม่กับอาม่าสลับกันซึ่งผู้ใหญ่ทั้งสองก็ยิ้มรับด้วยความเอ็นดู
     
                “อั๊วสบายดี คิดถึงลื้อจังเลยอาเกิง” อาม่าตบเข้าที่บ่าฮันคยองแรงๆหนึ่งทีให้หลานชายหันมาหาตนก่อนจะหยิกแก้มยุ้ยๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว
     
                “โอ๊ย! อาม่าผมเจ็บนะ อ้อ! ลืมไปเลย” ฮันคยองร้องออกมาเบาๆเมื่ออาม่ายอมปล่อยจึงรีบยกมือขึ้นมาลูบแก้มป้อยๆ แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าพาอีกคนมาด้วย จึงหันไปหาฮยอกแจที่ยืนอยู่ข้างหลัง
     
                “ฮยอกแจ” กวักมือเรียกรูมเมทจอมซกมกที่ดูเหมือนคนกำลังซึ้งบวกความงงนิดๆให้เข้ามาหา ก็เมื่อกี้ฮันคยองเล่นพูดภาษาจีนกับครอบครับจนฮยอกแจฟังไม่รู้เรื่องซักคำ เลยได้แต่ยืนรอว่าเมื่อไหร่จะแนะนำครอบครัวให้ได้รู้จักซักที
     
                “นี่ฮยอกแจรูมเมทผมเองครับ” ฮันคยองแนะนำฮยอกแจเป็นภาษาจีนให้แม่และอาม่าฟัง ฮยอกแจทำหน้างงเล็กน้อยแต่เมื่อได้ยินชื่อตัวเองกับมือของฮันคยองที่ผายมาทางตนจึงโค้งให้ผู้ใหญ่ทั้งของคนเมื่อฮันคยองพูดจบ
     
                “โอ้! น่ารักจังเลย นี่ลื้ออยู่กินกับผู้หญิงเหรอ แฟนลื้อหรือเปล่า ที่เคยเล่าให้อั๊วฟังใช่มั้ย” อาม่าที่เห็นฮยอกแจยิ้มน่ารักให้ก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงเดินเข้ามาหยิกแก้มนิ่มๆเสียยกใหญ่พร้อมทั้งหันไปถามฮันคยองที่ตกใจไม่น้อยกับประโยคที่อาม่าเอ่ยออกมา แต่คนที่ตกใจมากกว่าคงเป็นฮยอกแจที่เอ๋อรับประทานตั้งตัวไม่ทันกับการจู่โจมของอาม่า แถมยังฟังไม่รู้เรื่องอีกด้วยว่าเขาพูดอะไรกัน
     
                “ไม่ใช่ครับอาม่า เขาเป็นผู้ชาย” ฮันคยองรีบยกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ก่อนจะอมยิ้มกับความคิดแปลกๆของอาม่า ดูยังไงว่าฮยอกแจเป็นผู้หญิง
     
                “ลื้ออย่ามาหลอกอาม่าเลย น่ารักแบบนี่เหรอเป็นผู้ชาย หน้าก็ใส แก้มนิ่มขนาดนี้” ยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่หลานชายพูด อาม่าปล่อยมือจากแก้มฮยอกแจแล้วยืนกอดอกอย่างพินิจพิจารณา
     
                ส่วนฮยอกแจนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองทันที พลางหันไปมองฮันคยองให้ช่วยอธิบายอะไรให้เขาเข้าใจขึ้นหน่อย แต่พ่อรูมเมทขี้บ่นกลับเอาแต่ยิ้มเสียอย่างนั้น นี่พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย ลีฮยอกแจงง
     
                “เขาเป็นผู้ชายนะม๊า ดูดีๆสิ” แม่ของฮันคยองเข้ามาช่วยอธิบายอีกแรง สงสัยแม่ของเธอคงจะสายตาไม่ดีมองผู้ชายเป็นผู้หญิงได้ยังไงกัน แต่จะว่าไปแล้วพ่อหนุ่มน้อยรูมเมทฮันคยองคนนี้ก็หน้าตาน่ารักคล้ายเด็กผู้หญิงอยู่เหมือนกัน
     
                อาม่ายังคงเพ่งมองฮยอกแจตั้งแต่หัวจรดเท้าจนคนถูกจ้องนั้นทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เพราะนึกว่าตนเองไปทำอะไรไม่ถูกใจอาม่าเข้าหรือเปล่า หรือฮันคยองเคยไปพูดอะไรเกี่ยวกับเขาให้อาม่าไม่พอใจถึงได้จ้องกันขนาดนี้
     
                “ผู้ชายหรอกเหรอ อืม...น่ารักเหมือนผู้หญิงเลยนะหนูเนี่ย ตัวก็ขาว ผิวก็เนียน หน้าก็ใส แก้มก็นิ่ม ปากก็แดง ตัวก็เล็ก สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ” อาม่าพยักหน้าในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหน้าแทนเมื่อนึกถึงความไม่ยุติธรรมที่ทำให้ฮยอกแจต้องมีรูปร่างหน้าตาอ่อนหวานคล้ายกับเด็กผู้หญิงแบบนี้ ส่วนสายตานั้นก็ยังไล่มองฮยอกแจตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณาเช่นเดิม
     
                ฮยอกแจที่เห็นอาม่าพยักหน้าก็พยักหน้าตามทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าทุกคำที่อาม่าพูดมามีความหมายว่าอย่างไร ก่อนปากแดงๆนั้นจะอ้าออกเล็กน้อยอย่างคนที่กำลังมึนงงเมื่ออยู่ดีๆอาม่าก็ส่ายหน้าเสียอย่างนั้นทำเอาฮยอกแจตามอารมณ์ไม่ทัน ภาพตรงหน้านี้ทำเอาฮันคยองขำพรืดกับอาการงงเป็นไก่ตาแตกของรูมเมทตัวเอง นึกไม่ออกเลยว่าถ้าหากฮยอกแจฟังที่อาม่าพูดรู้เรื่องแล้วจะเขินหน้าแดงหรือออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันแน่
     
                “ไปครับอาม่ากลับโรงแรมกันจะได้ไปพักผ่อน” ฮันคยองเอ่ยชวนเข้าไปช่วยแม่กับอาม่าถือของ เช่นเดียวกับฮยอกแจที่เข้าไปช่วยถือเช่นกัน ก่อนที่ทุกคนจะไปขึ้นรถแท็กซี่ที่ด้านหน้า มุ่งตรงไปยังโรงแรมที่คุณแม่ของฮันคยองและอาม่าได้จองไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
                กระเป๋าสัมภาระมากมายถูกขนขึ้นตามเจ้าของของมันโดยเด็กยกกระเป๋าของโรงแรมชื่อดัง คุณแม่ของฮันคยองไปเช็คอินก่อนที่ทุกคนจะได้ขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ห้องที่จองไว้นั้นเป็นแบบ Triple Room โดยมีเตียงขนาดใหญ่หนึ่งหลังและเตียงเดี่ยวหนึ่งหลัง ภายในห้องตกแต่งสไตล์เรียบหรูแบบตะวันตก พื้นที่ในห้องกว้างขวาง มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันตามราคาที่ลูกค้าได้จ่ายไป
     
                “ทำไมจองห้องนี้ล่ะครับม๊า” ฮันคยองเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาภายในห้อง เขาคิดว่าห้องนี้มันใหญ่สำหรับพักอยู่สองคน
     
                “อาม่าเค้าจองเผื่อลูกไงจ๊ะ เผื่อจะมานอนด้วยกัน” คุณแม่ของฮันคยองไขความกระจ่างให้ก่อนจะช่วยกันลากกระเป๋าไปวางไว้มุมใดมุมหนึ่งของห้องแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงพลางยืดแข็งยืดขาคลายความเมื่อยล้า
     
                ฮันคยองพยักหน้ารับก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเดี่ยวอีกเตียงบ้าง ส่วนฮยอกแจนั้นยังคงยืนเก้ๆกังๆบริเวณประตู เนื่องจากภาษาที่เขาพูดกันตัวเองก็ไม่รู้เรื่อง แถมปรับตัวเข้ากับผู้ใหญ่ไม่เก่งเท่าที่ควรเลยทำให้รู้สึกวางตัวไม่ค่อยถูก
     
                “แม่หนู มานี่ๆ ไปนั่งข้างอาเกิงนู้นไป ยืนแบบนั้นเมื่อยตาย” พออาม่ากวักมือเรียกฮยอกแจซึ่งยังคงทำหน้ามึนใส่อยู่ดี แต่พอเห็นท่าทางก็พอจะเดาออกบ้างเลยเดินเข้าไปหาใกล้ และไม่พ้นฮันคยองที่ต้องแปลให้ฟัง
     
                “อาม่าบอกให้นายมานั่งข้างฉันน่ะ” อมยิ้มเล็กๆพร้อมกับตบที่ว่างข้างๆตัวเองไปด้วย ฮยอกแจรีบพนักหน้ารับก่อนจะเดินไปนั่งข้างฮันคยอง
     
                “นี่นะอาเกิง อาม่าเอาของมาฝากลื้อด้วย” พูดจบอาม่าก็หยิบถุงที่ข้างในบรรจุของที่ฮันคยองชอบนำมาให้หลานชายที่ยิ้มแป้นรับทันทีเมื่อเห็นว่าของแต่ละอย่างนั้นเป็นของโปรดของตัวเองทั้งนั้น เมื่อรับของทั้งหมดมาถือไว้ฮันคยองก็สวมกอดอาม่าเต็มรักอีกสักที
     
                “ขอบคุณนะครับอาม่า ขอบคุณนะครับม๊า ผมล่ะคิดถึงอาหารจีนจริงๆ”
     
                หลังจากนั้นอาม่ากับแม่ของฮันคยองก็พากันเล่าเรื่องราวต่างๆนานาระหว่างที่ฮันคยองเดินทางมาร่ำเรียนอยู่ที่เกาหลี ไม่ว่าจะเรื่องสุข สนุก ทุกข์หรือเศร้า เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดสาย จะมีเพียงแต่ฮยอกแจเท่านั้นที่ได้แต่นั่งยิ้มบางๆเพราะไม่รู้ความหมายของเรื่องราวต่างๆที่ถูกเล่าออกมา จนแอบคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะคิดผิดที่ตามฮันคยองมาด้วยแบบนี้ เพราะลืมไปว่าครอบครัวของฮันคยองเป็นคนจีน เขาที่ไม่รู้ภาษาจีนมาด้วยก็คงจะพูดจะจาอะไรไม่ได้มาก
     
                “ขอโทษนะ” ฮันคยองที่สังเกตเห็นรอยยิ้มของฮยอกแจเริ่มหดหายไปเรื่อยๆก็พอจะเดาออกว่ารูมเมทคนนี้คงจะเบื่อกับเรื่องราวที่ตัวเองไม่สามารถรับรู้ความหมายของมันได้ ทำให้ความรู้สึกผิดน้อยๆมันผุดขึ้นมาจนอดไม่ได้ต้องขอโทษ เพราะเขาเองก็มัวแต่คุยกับครอบครัวจนทำเหมือนกับว่าฮยอกแจไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้
     
                “ขอโทษเรื่องอะไร” ถามกลับหน้าตายทั้งที่ในใจก็พอรู้ว่าฮันคยองเหมายถึงอะไร แต่ฮยอกแจกลับคิดว่ามันใช่เรื่องที่จะมาขอโทษกัน
     
                “ก็ขอโทษไง ยิ้มหน่อยสิ” บอกย้ำอีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ผมฮยอกแจเบาๆเพื่อหยอกเล่น ซึ่งมันก็เรียกรอยยิ้มจางๆจากปากแดงๆได้จริงๆ
     
                “คุยกับครอบครัวนายไปเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” ฮยอกแจปัดมือฮันคยองออกแล้วจัดทรงผมตัวเองให้เข้าที่ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบกับรอยยิ้มของญาติผู้ใหญ่ที่มองเขาแปลกๆ ก่อนที่อาม่าจะเอ่ยประโยคที่เขาฟังไม่รู้เรื่องออกมา
     
                “หนูฮยอกแจน่ารักดีนะ ทำไมลื้อไม่จีบเป็นแฟนซะเลยล่ะ” คำพูดของอาม่าทำเอาฮันคยองอยากจะหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็ทำได้แค่กลั้นยิ้มไว้เท่านั้น ส่วนคนเป็นแม่ก็นั่งยิ้มไม่ได้คัดค้านหรือสนับสนุนอะไรออกมา
     
                ฮันคยองยังไม่ตอบคำถามอะไรเพียงหันไปมองหน้าฮยอกแจที่เลิกคิ้วให้อย่างสงสัยในบทสนทนาเมื่อครู่นี้ สายตาคมกริบของหนุ่มเชื้อสายจีนไล่มองโครงหน้าของรูมเมทจอมซกมกที่เขาเป็นคนตั้งฉายาให้แล้วก็ได้แต้ยิ้ม เพราะในใจก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือแปลกพิสดารอะไรหากเขาคบกับฮยอกแจจริงๆ แต่เพียงไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากอาม่าเท่านั้น
     
                “จะดีมากเลยนะถ้านายจะแปลให้ฉันฟังหน่อยน่ะ” บอกเหมือนเกิดอาการงอนขึ้นมาเล็กๆ เพราะเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของฮันคยองแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้ว่าจะนินทาอะไรเขาอยู่หรือเปล่า
     
                “อาม่าบอกนายน่ารักน่ะ” ตอบไปตามตรงเพียงแต่ไม่ครบประโยคทั้งหมดเท่านั้น ฮยอกแจพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะก้มหน้าลง พลันแก้มทั้งสองข้างมันกลับรู้สึกร้อนๆลุ่มๆขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็แค่ผู้ใหญ่ทำไมต้องรู้สึกเขินด้วยก็ไม่รู้ หรืออาจจะไม่ค่อยมีใครชมเขาว่าน่ารักก็เป็นได้ล่ะมั้ง
     
                “ว่าไงอาเกิง ไม่เห็นลื้อตอบเลย” อาม่าทวงคำตอบแต่หลานชายกลับส่ายหน้ารัว
     
                “ยอมรับว่าน่ารักครับ แต่เราเป็นเพื่อนกัน” ตอบแบบสงวนท่าทีแต่เหมือนมันจะขัดใจอาม่าอยู่เล็กๆ ฮันคยองยังคงยิ้มบางๆอย่างเคย สายตาก็เหลือบมองคนที่นั่งข้างๆเป็นพักๆ ตลอดเวลาหลายเดือนที่ได้อยู่ด้วยกันได้รู้จักกัน เขายอมรับว่าฮยอกแจเป็นคนน่ารัก ทั้งนิสัยและหน้าตา ถ้าไม่ติดว่าความซกมกมันล้ำหน้าอยู่ล่ะก็ ดีไม่ดีเขาอาจจะกลายเป็นคู่แข่งของซีวอนไปแล้วก็ได้
     
                “ระวังเถอะอาเกิงชาตินี้จะหาเมียไม่ได้” คำเตือนของอาม่าเล่นเอาฮันคยองกลั้นหัวเราะไม่ไหวเลยขำออกมาเสียยกใหญ่ ส่วนคนเป็นแม่ก็ได้แต่นั่งยิ้มกับความคิดของอาม่า จะเว้นก็แต่ฮยอกแจที่ได้แต่นั่งงง ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆเพราะขันกับท่าทางการหัวเราะของฮันคยองถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าเขาคุยเรื่องอะไรกัน
     
                “นี่อาเกิงพาอั๊วไปเที่ยวหน่อย” พอเห็นหลานชายเริ่มตั้งสติได้อาม่าก็เปลี่ยนเรื่องทันที
     
                “ตอนนี้น่ะเหรอครับ”
     
                อาม่าพยักหน้ารับหงึกหงัก ฮันคยองเองก็ไม่อยากขัดใจถึงตอนนี้อยากจะให้อาม่าพักผ่อนอยู่ก็ตาม เลยหันไปขอความเห็นจากคนเกาหลีที่นั่งข้างๆแทน
     
                “ฮยอกแจ มีที่เที่ยวใกล้ๆแถวนี้มั้ย”
     
                “แถวนี้เหรอ...อืม โซลทาวเวอร์ใกล้สุดแล้วนะ ทำไม อาม่านายอยากไปเที่ยวเหรอ” นึกอยู่ไม่นานนักฮยอกแจก็ตอบออกมา ถ้าเป็นสถานที่เที่ยวใกล้โรงแรมที่นี่ที่สุดก็คงจะมีแต่โซลทาวเวอร์ แถมเที่ยวตอนกลางคืนนี้ก็สวยดีเหมือนกัน
     
                “โซลทาวเวอร์ ไอ้หอคอยสูงๆที่เขาไปคล้องกุญแจกันน่ะเหรอ” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก เขาเคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตก่อนจะเดินทางมาที่นี่แต่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าจะได้ไปเที่ยวที่นั่น
     
                “อืม นั่นแหละ ถ้าคู่รักเอากุญแจที่เขียนชื่อตัวเองไปล็อคไว้ด้วยกันแล้วโยนลูกกุญแจทิ้ง เป็นเคล็ดว่าคู่รักนั้นจะรักกันตลอดไปด้วยนะ แล้วก็มีพิพิธภัณฑ์หมีเท็ดดี้ด้วย” ฮยอกแจอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งดูจากสีหน้าคนฟังแล้วสนอกสนใจอยู่ไม่น้อยเลย
     
                 “งั้นเราไปเที่ยวโซลทาวเวอร์กันนะครับอาม่า เดี๋ยวให้ฮยอกแจพาไป ดีนะเนี่ยที่พามาด้วย” พูดจบแล้วยิ้มแป้นก่อนจะหันไปบอกฮยอกแจให้ช่วยเป็นผู้นำทัวร์ให้หน่อย ซึ่งคนน่ารักปากแดงก็พยักหน้าตกลงทันที
     
                เมื่อตกลงกันได้ก็พากันยกขบวนมายังโซลทาวเวอร์โดยใช้เวลาไม่นานนัก ฮยอกแจทำตัวเป็นไกด์นำเที่ยวที่ดี คอยอธิบายความเป็นมาเป็นไปรวมถึงประวัติต่างๆเท่าที่ตัวเองรู้ แนะนำทุกอย่างเพื่อให้อาม่ากับแม่ของฮันคยองรู้สึกรักและพอใจที่ได้มาเยือนประเทศเกาหลี โดยมีฮันคยองช่วยเป็นล่ามแปลให้อีกที แต่ก็ใช่ว่าคนแปลจะแปลตรงความหมายเป๊ะๆ ซะทีเดียว มีแอบแซวไกด์หนุ่มของเราบ้างตามประสาคนสนิทกัน แต่คนโดนแซวก็ใช่ว่าจะรู้เรื่อง เห็นทุกคนยิ้มก็ยิ้มตอบกลับไปให้ ไม่ได้รู้เลยว่าที่เขายิ้มกันเพราะรู้สึกเอ็นดูกับเรื่องที่ฮันคยองเสริมเติมแต่งไปให้มากกว่า
     
                สุดท้ายแล้วฮยอกแจก็พาทุกคนมายังสถานที่สำหรับคล้องกุญแจ มีแม่กุญแจมากมายถูกคล้องกับรั้วเหล็กไว้เป็นคู่ดูละลานตา ครอบครัวคนจีนเบิกตาโตเมื่อได้เห็นกุญแจเหล่านั้น ซึ่งฮยอกแจก็ช่วยอธิบายเพิ่มเล็กๆน้อยๆให้อีก
     
                “งั้นลูกไปซื้อกุญแจมาทีนะ” คุณแม่ของฮันคยองหยิบเงินวอนออกมาจากกระเป๋าจะยื่นให้ลูกชาย ฮันคยองจึงลากฮยอกแจให้ไปซื้อกุญแจด้วยกัน
     
                เมื่อได้กุญแจมาครบสี่อันตามจำนวนคนฮันคยองหยิบปากกาเมจิกออกมาเขียนข้อความเป็นภาษาจีน ส่วนฮยอกแจที่นั่งอยู่ข้างๆเพื่อรอต่อมาปากกาก็ได้แต่ชะเง้อมองแล้วเบ้ปากเพราะอ่านไม่ออก และไม่รู้ฮันคยองเขียนอะไรลงไปเสียเยอะแยะ
     
                “เขียนอะไรอ่ะ อ่านให้ฟังหน่อยดิ” ฮยอกแจกระแซะถามแต่ฮันคยองกับยกกุญแจของตัวเองหนีแล้วส่ายหน้า
     
                “ไม่บอกหรอก” ตอบแล้วยักคิ้วกวนๆให้ก่อนจะยื่นปากกาให้ฮยอกแจเขียนต่อ คนโดนปฏิเสธยู่หน้าใส่ก่อนจะเลิกสนใจหันกลับมาเขียนกุญแจของตัวเองบ้าง ส่วนฮันคยองนั้นเดินไปหาที่เพื่อจะคล้องกุญแจ
     
                “จะคล้องแล้วเหรออาเกิง อย่างเพิ่งๆ” อาม่าที่เห็นฮันคยองทำท่าจะคล้องกุญแจเลยร้องห้าม หลานชายเลยหันมามองอย่างงงๆ
     
                “มีอะไรเหรอครับอาม่า”
     
                “รอก่อนๆ” อาม่าบอกเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินไปหาฮยอกแจเหมือนจะไปยืนรอปากกา ฮันคยองเห็นท่าทางของอาม่าจึงคิดว่าจะให้รอคล้องพร้อมกันจึงยืนรอตามคำสั่ง
     
                ด้านอาม่าที่เดินมาหาฮยอกแจ เมื่อเพื่อนของหลานชายเห็นจึงยื่นปากกาให้ก่อนจะยิ้มบางๆ อาม่าจึงชี้ไปที่ฮันคยองก่อนจะดันหลังฮยอกแจให้เดินไปหา ซึ่งคนไม่รู้เรื่องรู้ราวก็เดินไปตามแรงผลักอย่างมึนๆ โดยที่มีอาม่าเดินตามหลังมา
     
                “อาเกิง ลื้อคล้องกุญแจกับหนูฮยอกแจนะ” อาม่าบอกแล้วยิ้มแฉ่ง แต่คนที่ตกใจกลับเป็นฮันคยอง
     
                “ไม่ได้หรอกครับอาม่า เราไม่ใช่คู่รักกัน” ฮันคยองรีบยกมือปฏิเสธ ท่าทางทั้งหมดของคู่ยายหลานอยู่ในสายตาของฮยอกแจที่เดาไม่ค่อยถูกว่าสองคนนี้เขาคุยเรื่องอะไรกันอยู่ จึงได้แต่ยืมมองอย่างสงสัยเช่นเดิม รอเวลาที่ฮันคยองจะหันมาอธิบายให้ตนเองเข้าใจ
     
                “ลื้ออย่าพูดมากน่า เดี๋ยวก็ได้เป็นคู่รักกันเองนั่นแหละ” ยกมือขึ้นโบกไปมาเหมือนรำคาญที่หลานชายเอาแต่เถียงก่อนอาม่าจะเดินหนีไป ปล่อยให้ฮันคยองยืนนิ่งอึ้งกับคำพูดเมื่อสักครู่ สถานการณ์แบบนี้เดาได้ไม่ยากเลยว่าอาม่าของเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
     
                “มีอะไรเหรอ” ฮยอกแจเอียงคอถามน่ารักด้วยความมึนสุดขีด
     
                ฮันคยองเองก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรเลยได้แต่ยิ้มไว้ก่อน จะบอกว่าอาม่าคิดจะจับคู่ให้เขากับฮยอกแจก็ดูเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของผู้ใหญ่ไปหน่อย แต่ถ้าบอกว่าอาม่าให้คล้องกุญแจคู่กันมันก็คงตีความหมายอะไรได้ไม่ยาก เขากลัวว่าฮยอกแจรู้เข้าจะเกิดอาการโวยวายเข้าน่ะสิ
     
                “อาม่าให้เราคล้องกุญแจคู่กัน” บอกออกไปตามความจริงเพราะฮันคยองเองก็ไม่รู้จะปิดไปทำไม เขาคิดว่าฮยอกแจคงไม่กล้าต่อปากต่อคำหรือโวยวายอะไรต่อหน้าผู้ใหญ่
     
                “จะบ้าเหรอ” ฮยอกแจโผลงออกมาเสียงดังเมื่อได้ฟัง นี่อาม่าคิดว่าเขากับฮันคยองเป็นคู่รักกันหรือไง
                “หรือนายจะขัดใจอาม่า” เลิกคิ้วถามเหมือนอยากจะหยอกเล่น ตอนเด็กฮันคยองเคยประสบเหตุการณ์อันแสนเศร้าเมื่อครั้งที่เขาดื้อกับอาม่าจนเป็นเรื่องใหญ่โต และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่เคยขัดใจอาม่าอีกเลย ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทตลอด ทำให้อาม่ารักเขามากขนาดนี้
     
                “อย่ามาขู่นะ แล้วทำไมฉันต้องคล้องกับนายด้วยเล่า” ว่าหน้าบูดหน้าบึ้ง ฮยอกแจหันกลับไปมองอาม่ากับแม่ของฮันคยองแต่พอเห็นว่าท่านทั้งสองกำลังเดินมาหาก็รีบหันหน้ากลับมาทันที ไม่ใช่ว่าเขาจะขัดใจอาม่าหรอกนะแต่มันใช่เรื่องซะที่ไหน อีกอย่างเขาเองก็ไม่ใช่ลูกหลานแท้ๆคงไม่ต้องทำตามที่ท่านต้องการทั้งหมดก็ได้
     
                “ยังไม่คล้องกันอีกเหรอ” อาม่ายิ้มให้ฮันคยองเลยได้แต่ยิ้มแหยๆกลับไป แต่พออาม่าชี้ไปที่กุญแจทั้งสองเท่านั้นฮันคยองก็รีบดึงมือฮยอกแจให้เข้ามาคล้องกุญแจด้วยกันทันที ซึ่งฮยอกแจก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนอะไรมากนัก จะมีก็แค่หน้าตาที่บึ้งตึงดูไม่น่ารักเท่านั้น
     
                “บอกแฟนลื้อให้ยิ้มหน่อยสิอาเกิง แบบนี้ไม่น่ารักเลยม่าไม่ชอบ” ตีเข้าที่แขนหลานชายเบาๆ แล้วอาม่าก็ตู่ฮยอกแจเป็นแฟนฮันคยองให้เสร็จสรรพ ความจริงเธอถูกใจฮยอกแจตั้งแต่แรกเห็นแล้วล่ะ มีบางครั้งที่หลานชายคนนี้โทรมาเล่าเรื่องรูมเมทให้ฟัง ซึ่งพอมาได้เห็นตัวจริงๆแล้วเธอคิดว่าฮยอกแจน่ารักกว่าในจินตนาการเยอะเลย
     
                จบคำพูดฮันคยองก็เบิกตาโตเกือบจะเท่าไข่ห่านไม่คิดว่าอาม่าจะพูดออกมาถึงขนาดนี้ แถมแม่ของเขายังไม่ห้ามปราบอะไรสักคำกลับยืนยิ้มเสียอีก
     
                “ไม่ใช่แฟนครับอาม่า เพื่อน” ฮันคยองย้ำสถานะของเขากับฮยอกแจอีกครั้งซึ่งดูเหมือนอาม่าจะไม่ได้สนใจเลย
     
                “จะเป็นอะไรก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้อั๊วอยากกลับห้องแล้ว ง่วง” ว่าแล้วอาม่าก็หาวโชว์หนึ่งรอบพร้อมกับเข้าไปควงแขนลูกสาวตัวเองเดินนำออกไปเสียอย่างนั้น
     
                ฮันคยองได้แต่ส่ายหน้าแล้วยกยิ้มน้อยๆ กับนิสัยหัวดื้อของอาม่าตัวเอง นี่คงเป็นอีกนิสัยหนึ่งของคนแก่ที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ และอาม่าเขาก็เป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจยาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รักอาม่าคนนี้ที่สุด
     
                “กลับเถอะ อาม่าง่วงแล้ว” ฮยอกแจพยักหน้ารับตามคำบอกเล่า เดินเคียงคู่ไปกับฮันคยองตามอาม่ากับแม่ของฮันคยองไป
     
                ระหว่างที่เดินเพื่อออกมาขึ้นรถเสียงคุยเจื้อยแจ้วของอาม่ากับคุณแม่ดังออกมาเป็นระลอก ฮยอกแจเงยหน้ามองรูมเมทตัวเองก็เห็นว่าฮันคยองอมยิ้มอยู่เลยอดที่จะถามถึงเรื่องที่พวกผู้ใหญ่คุยกันอยู่ไม่ได้
     
                “แม่กับอาม่านายคุยอะไรกันอยู่เหรอ แล้วก็บนหอคอยเมื่อกี้ด้วย นายก็ไม่แปลให้ฉันฟัง”
     
                “เรื่องนายนั่นแหละ” ฮันคยองเหล่มามองก่อนจะตอบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก็เรื่องที่อาม่ากับแม่เขาคุยกันน่ะมีแต่เรื่องของฮยอกแจล้วนๆ บอกว่าน่ารักบ้างล่ะ เก่งบ้างล่ะ เหมาะสมกับเขาบ้างล่ะ ทั้งที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงไม่คิดว่าจะทำให้อาม่าของเขาชอบได้ขนาดนี้ ฮยอกแจนี่ร้ายไม่เบาจริงๆ
     
                “เรื่องฉันเหรอ ฉันทำไมเหรอ” ฮยอกแจถามกลับไปอย่างอยากรู้ ไม่รู้ว่าจะโดนผู้ใหญ่ว่าอะไรเอาหรือเปล่า
     
                “ความลับ” ตอบเพียงเท่านี้แล้วฮันคยองก็เงียบไป มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จางๆให้ฮยอกแจได้เดาความหมายเล่นเท่านั้น
     
                “บอกมาเดี๋ยวนี้นะฮันคยอง” แต่อีกคนกลับไม่ยอมบอก สองมือยกขึ้นเขย่าแขนฮันคยองไปมาอย่างต้องการคำตอบแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบกับรอยยิ้มแบบเดิม รอยยิ้มแบบที่ทำให้ฮยอกแจรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ เลยอดไม่ได้จะฟาดเข้าที่แขนแรงๆ
     
                “โอ้ย! เจ็บนะ ทำอะไรของนายเนี่ย” ฮันคยองยกมือขึ้นลูบแขน ถามกลับหน้าเครียด อยู่ดีๆมาตีเขาเสียอย่างนั้น
     
                “นายก็บอกมาสิ”
     
                “ไม่บอก” ยืนยันหนักแน่นแล้วยักคิ้วใส่อย่างกวนๆ ฮยอกแจทำหน้ายักใส่แต่สุดท้ายมันก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยสะบัดหน้าหนีแทนทำเอาฮันคยองหัวเราะชอบใจ
     
                แต่ทั้งสองคนจะรู้ไหมว่าสายตาของผู้ใหญ่ที่มองอยู่ความคิดโลดแล่นไปไหนต่อไหนเสียแล้ว ท่าทางงอนๆง้อๆเหมือนคู่รักใหม่เรียกรอยยิ้มจากอาม่าได้เป็นอย่างดี แบบนี้หลานชายเธอยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอว่าไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน
     
                ใช้เวลาไม่นานนักทุกคนก็กลับมาถึงโรงแรมกันอย่างปลอดภัย และอาม่าผู้เอาแต่ใจก็ได้สั่งการให้หลานชายสุดที่รักค้างที่โรงแรมด้วยกันโดยมีแผนในใจบางอย่าง และแน่นอนว่าเมื่อฮันคยองค้างฮยอกแจก็ต้องค้างด้วย ถึงจะพยายามค้านกันแล้วก็ตามแต่ใครจะขัดใจอาม่าได้
     
                “ลื้อสองคนนอนเตียงนั้นนะ คืนนี้ก็รีบนอนกันล่ะพรุ่งนี้ลื้อต้องตื่นไปมหาวิทยาลัยกันแต่เช้า” เมื่อฮันคยองที่จัดการธุระส่วนตัวเสร็จเป็นคนสุดท้ายเดินออกมาจากห้องน้ำอาม่าก็ออกคำสั่งทันที พร้อมกับชี้ไปที่เตียงเดี่ยวซึ่งมีฮยอกแจนั่งทำหน้ามึนอยู่
     
                “ผมนอนโซฟาก็ได้ครับอาม่า ฮยอกแจจะได้ไม่อึดอัด” ฮันคยองปฏิเสธออกไปทันควันเพราะล่วงรู้แล้วว่าอาม่าของตนคิดอะไรอยู่ เตียงเดี่ยวเล็กๆแบบนั้นจะให้นอนสองคน ถ้าไม่นอนเบียดๆกันคงมีใครคนใดคนหนึ่งได้กลิ้งตกเตียงแน่ เพราะฉะนั้นเขาขอสละสิทธิ์ไปนอนโซฟาเลยดีกว่า
     
                “ไม่เอาน่าอาเกิง นอนโซฟามันปวดหลัง ลื้ออย่าขัดใจอั้วสิ” อาม่าขมวดคิ้วพูดเมื่อโดนขัดใจ ฮันคยองยิ้มบางๆเหลือบไปมองแม่ตัวเองซึ่งก็ยิ้มกลับมาให้เช่นกัน ดูเหมือนว่างานนี้แม่เขาจะโดนอาม่าแย่งซีนไปเสียหมด
     
                “ครับๆ” ตอบรับออกไปส่งๆเพราะไม่อยากขัดใจ
     
                “งั้นลื้อรีบนอนได้แล้ว ปิดไฟด้วยล่ะ” สั่งการอีกครั้งแล้วอาม่าก็ล้มตัวลงนอน  
     
                “ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ฮันคยองบอกก่อนจะเดินไปปิดไฟห้องแล้วไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆฮยอกแจที่คงจะรอให้เขาแปลบทสนทนาเมื่อสักครู่อยู่
     
                “สงสัยคืนนี้เราต้องนอนเตียงเดียวกันแล้วล่ะ” พูดจบฮันคยองก็ล้มตัวลงนอนบ้าง ได้นอนด้วยกันสักครั้งก็คงดีเขาจะได้เอาไปโม้ซีวอนมัน
     
                “ผ้าห่มกับหมอนหนุนใบเดียวเนี่ยนะ” ฮยอกแจถามกลับอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อ นี่คงเป็นคำสั่งอาม่าอีกแล้วใช่ไหมถ้าเขาเดาไม่ผิด
     
                “อืม นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นกลับไปที่หอแต่เช้านะ” ฮันคยองดึงแขนให้ฮยอกแจล้มตัวลงนอนข้างๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอาไว้ พรุ่งนี้พวกเขาต้องรีบตื่นกลับไปที่หอก่อนจะไปเรียน เนื่องจากชีทหรือหนังสืออยู่ที่หอหมด ถ้าไม่รีบเข้านอนอาจจะตื่นสายไม่ทันคาบแรกตอนแปดโมงครึ่งก็เป็นได้
     
                ฮยอกแจเขยิบตัวออกห่างเล็กน้อยเพราะรู้สึกไม่คุ้นชินที่ต้องมานอนเตียงเล็กๆด้วยกันแบบนี้ ตั้งแต่เป็นรูมเมทกับฮันคยองมายังไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ต้องนอนเตียงเดียวกัน จะมีใกล้ชิดบ้างแต่มันไม่ถึงขั้นนี้ อีกอย่างถ้ายังอยู่ในระยะใกล้ชิดแบบนี้ต่อไป มันไม่ใช่แค่นาทีสองนาที แต่มันจะยาวนานตลอดทั้งคืน
     
                “นอนแบบนั้นถนัดหรือไง เดี๋ยวก็เมื่อยหรอก” เห็นฮยอกแจนอนไม่ได้หนุนหมอนเพราะเล่นเขยิบออกไปเสียห่าง ฮันคยองเลยใจดีให้ยืมแขนเป็นหมอนเสียเลย วงแขนแข็งแรงวาดโอบรอบเอวบางดึงเข้ามาหาตัวเพื่อให้ฮยอกแจนอนได้ถนัดขึ้น แต่คนโดนกอดเอาแต่ดิ้นขลุกขลักไปมา
     
                “นายจะกอดทำไมเล่า” ว่าพลางพยายามดันตัวเองออกแต่ฮันคยองขืนแรงเอาไว้แถมทำท่าจะกอดแน่นขึ้นเสียด้วย
     
                “ถ้าไม่กอดเดี๋ยวนายก็เขยิบหนีจนตกเตียงพอดี” ตอบทีเล่นที่จริงแล้วกดยิ้มเจ้าเล่ห์ ฮันคยองกระชับกอดฮยอกแจให้แน่นทำให้อีกคนหยุดดิ้นทันที
     
                “ปล่อยเถอะฮันคยอง ฉันไม่หนีจนตกเตียงหรอกน่า” ฮยอกแจบอกเสียงเบาหวิว รู้สึกหัวใจมันเต้นแรงผิดปกติ แถมหน้ายังร้อนขึ้นมาเฉยๆกับการกระทำถึงเนื้อถึงตัวของฮันคยองที่ไม่ค่อยได้พบเจอบ่อยนัก เขาไม่รู้หรอกนะว่าฮันคยองคิดอะไรอยู่ถึงทำแบบนี้ แต่ตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวอย่างมาก
     
                “สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร ฉันแค่อยากให้นายนอนสบายๆ อยากให้นายอุ่นเลยกอดไว้แบบนี้” อธิบายให้ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือที่กอดรอบเอวอยู่ยกขึ้นมาลูบผมนุ่มลื่นเบาๆ คำพูดทั้งหมดที่เขาพูดมาเมื่อครู่ไม่ไช่แค่อยากล้อเล่น แต่ฮันคยองคนนี้อยากทำให้ฮยอกแจจริงๆ
     
                “นอนเถอะ....ฝันดี” ฮันคยองก้มไปกระซิบบอกข้างหูเบาๆก่อนจะผละออกมา ดวงตาคมเข้มสบกับดวงตากลมสีดำสนิทนิ่ง ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มช้าๆเป็นการทักทายก่อนเข้านอนจนฮยอกแจต้องเบือนหน้าหนีโดยการก้มหน้ามองแผนอกกำยำภายใต้เนื้อผ้าตัวบางท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืนแทน
     
                “ฉันจะนอนไม่หลับก็เพราะนายนี่แหละฮันคยอง” งึมงำผ่านลำคอออกมาเหมือนบ่นกับตัวเอง แต่เพราะความเงียบสงัดก็ทำให้ใครอีกคนที่เอ่ยถึงได้ยินอย่างชัดเจน
     
                จากที่ฮันคยองจะหุบยิ้มแล้วรีบนอนกลับกลายเป็นหุบไม่ลงเสียอย่างนั้น รู้สึกความสุขมันทะลักออกมาจากไหนไม่รู้จนตามันสว่างเสียดื้อๆ แล้วแบบนี้เขาจะนอนหลับไหมนะฮยอกแจ

    ---------------------------------------------

    kr...Talk
    กราบสวัสดีมิตรรักแฟนฟิคทุกท่านจ้า
    ตอนนี้ขอเอาใจฮันฮยอกชิปเปอร์หน่อยนะจ๊ะ
    ต้องขอขอบคุณอาม่าของเกิงจริงๆ
    แต่ไม่รู้อาม่าใช้ตาหรือใช้ส่วนไหนดูกันเนี่ย ถึงเห็นฮยอกเป็นผู้หญิง ฮ่าๆๆ
    ตอนหน้าเป็นวอนชอลนะจ๊ะ
    วอนชอลชิปเปอร์ตั้งตารอเลยจ้า

    สำหรับงานเคเอฟซีที่ผ่านมาคนไปเอาของแถมแค่ไม่กี่คนเลย
    ของแถมยังคงเหลืออยู่ น่าเสียดายจริงๆ
    อุตส่าห์ตั้งใจจะให้ TwT
    สำหรับคนที่หาบูทของไรเตอร์ไม่เจอ แล้วไม่ได้ซื้อ
    ก็ขอบอกให้รอตอนออกเล่ม3เลยนะค่ะ
    แบบนั้นจะดีกว่า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×