ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #36 : Chapter 31 : KangTeuk Couple ♥

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.48K
      4
      22 ส.ค. 54


    Chapter 31 : KangTeuk Couple
     
     
     
     
                   
                กิจกรรมกลุ่มเชื่อมความสัมพันธ์ของคณะมนุษยศาสตร์จบลงอย่างราบรื่น โดยการให้นักศึกษาของทุกสาขาในคณะได้ทำงานกลุ่มร่วมกันก่อนจะแยกย้ายไปเรียนตามแต่ละสาขาวิชาในภาคบ่ายต่อไป ซองมินกับเรียวอุกเดินออกจากลานกิจกรรมเพื่อไปยังโรงอาหารเมื่อส่งงานกลุ่มของตนเองเสร็จ เสียงใสๆของทั้งคู่ดังเจื้อยแจ้วตลอดทางเพราะความสนุกสนานกับงานที่ได้ร่วมกันใช้ความคิดเมื่อสักครู่นี้ แต่แล้วจู่ๆเรียวอุกก็เงียบเสียงไปเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามาทางเขาสองคน
     
                “หวัดดีคยูฮยอน ดูนายสบายดีกว่าเมื่อเช้านะ” เป็นเรียวอุกเอ่ยทักออกไปก่อน มองผู้ชายตัวสูงตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างเพราะเห็นสภาพของคยูฮยอนมันดูดีกว่าเมื่อเช้าขึ้นเยอะ และจากการไต่สวนเพื่อนตัวอวบข้างๆแล้วได้ความว่าพ่อคนตัวสูงหน้าหล่อคนนี้เมาหมดสภาพกลับมาเมื่อคืน ส่วนสาเหตุนั้นไม่อาจทราบได้ แล้วเขาก็ไม่สามารถสันนิษฐานอะไรต่อได้เพราะเค้นอะไรไปเท่าไหร่ซองมินก็ส่ายหน้าไม่ยอมเล่าท่าเดียว เลยต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไป แต่เขาคิดว่ามันคงจะแตกออกมาในไม่ช้านี้แน่
     
                “ฉันสบายดี” คยูฮยอนตอบแล้วส่งยิ้มจางๆไปให้คนตัวเล็กทั้งสอง แต่มีเรียวอุกคนเดียวเท่านั้นที่ยิ้มกว้างตอบกลับมา ส่วนซองมินนั้นได้แต่ยิ้มแห้งๆ
     
                เมื่อเช้าหลังจากที่ซองมินออกไปเรียนคยูฮยอนก็กลับเข้าไปในห้องเลือกของที่ซองมินซื้อให้กินแก้เมาก่อนจะหลับไปอีกรอบ ตื่นมาอีกทีสิบโมงกว่าจึงอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเข้าเรียนรอบบ่าย แต่เพราะได้อ่านข้อความของซันนี่ที่เหมือนประกาศศึกกลายๆเลยทำให้เขามายืนอยู่ที่นี่ได้
     
                “แล้วนายมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า” ซองมินถามพยายามปรับสีหน้าให้ดูเรียบนิ่ง ก็พักนี้ใจมันชอบสั่นตลอดเวลาที่คยูฮยอนมองมา ทั้งคำสารภาพเอ่ย ทั้งการกระทำเมื่อเช้ามันชอบผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดให้หน้ามันแดงอยู่เรื่อย เลยต้องพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้แสดงท่าทีอะไรออกไปไม่มากนัก
     
                “มารับไปกินข้าว” ตอบคำถามเสียงเรียบพลางยิ้มกริ่มทำเอาใจคนฟังเต้นผิดจังหวะ แต่คงไม่ใช่กับเรียวอุกที่หันไปถลึงตาใส่ซองมินอย่างไม่เชื่อหู เพราะคำกล่าวหาที่อุตส่าห์ยัดเยียดให้นั้นโดนปฏิเสธมาโดยตลอด ถ้าเป็นปกติเรียวอุกจะเห็นคยูฮยอนโผล่มาเช้าหรือไม่ก็เย็นเพราะจะได้กลับหอไปพร้อมกัน แต่มีมารับกินข้าวกลางวันแบบนี้แล้วซองมินยังจะกล้าคัดค้านอะไรอีกไหม
     
                ซองมินนิ่งไปเพราะคิดคำต่อบทไม่ออก ถ้าอยู่กันแค่สองคนเขาคงตอบตกลงไปแล้วแต่นี่มีเรียวอุกอยู่ด้วย แถมยังมาทำหน้าตาล้อๆแซวๆเขาอีก ไม่อยากจะพูดหรือทำอะไรกลัวเขินแล้วทำอะไรไม่ถูกจะโดนล้อหนักยิ่งกว่าเดิม เรียวอุกก็แสบใช่ย่อยซะเมื่อไหร่ ตัวตั้งตัวตีอีกคนที่คอยแซวเรื่องเขากับคยูฮยอนเลยล่ะ
     
                “แต่นายสองคนเลิกคบกันไปนานแล้วนะ ไม่ต้องทำตามที่อีทึกสั่งแล้วก็ได้” เรียวอุกแซวอย่างสนุกปากเพราะอาการของซองมินมันน่าแกล้ง ความจริงเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เชียร์ให้สองคนนี้คบกันเช่นเดียวกับอีทึก และดูเหมือนสิ่งที่เขาหวังมันใกล้จะเป็นจริงเข้าไปทุกที
     
                “พูดอะไรเนี่ยเรียวอุก” ซองมินหันไปทำเสียงดุใส่เพื่อนที่เอาแต่อมยิ้มเมื่อเห็นหน้าแดงๆของเขา ส่วนคยูฮยอนน่ะเหรอ ยืนยิ้มชอบใจอยู่เหมือนกัน
     
                “เอาเหอะซองมิน ถ้านายยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร ฉันว่าฉันไปกินข้าวเที่ยงกับฮยอกแจดีกว่า” ทำท่าตบบ่าเพื่อนเหมือนให้กำลังใจ เรียวอุกพูดแล้วแย้มรอยยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือลาแล้วจากไปทันที เพราะเขาถือคติว่าไม่ควรอยู่เป็นก้างขวางคอคนรักกัน มันบาป
     
                “เดี๋ยวสิเรียวอุก” พยายามรั้งเรียกไว้เพราะอยากจะอธิบายอะไรๆให้มันเข้าใจกว่านี้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ซองมินเลยได้แต่ยู่ปากอย่างขัดใจก่อนจะหันกลับมามองหน้าพ่อรูมเมทตัวสูงที่เอาแต่ยิ้มให้ท่าเดียว มันไม่แปลกเลยที่คยูฮยอนจะทำตัวเปิดเผยแบบนี้ก็ในเมื่อเจ้าตัวสารภาพออกมาแล้ว แต่เขายังไม่พร้อมที่จะรับมือ เพราะมีบางอย่างที่เขายังไม่ได้สะสาง แล้วมันก็เป็นเรื่องใหญ่เสียด้วย
     
                “ยิ้มอยู่ได้ จะไปกินมั้ยข้าวน่ะ หิวแล้ว!” เพราะแก้ความเข้าใจผิดให้เพื่อนไม่ได้ซองมินเลยมาลงกับคนตรงหน้าเสียเลย ทำหน้าหล่อแล้วยิ้มเข้าไป รู้ตัวบ้างไหมว่าสาวคณะมนุษยศาสตร์มองกันใหญ่แล้ว
     
                คยูฮยอนไม่ตอบอะไรแต่หัวเราะชอบใจยกใหญ่ก่อนจะคว้ามือซองมินไปกุมไว้อย่างอารมณ์ดีพาเดินไปยังโรงอาหารท่ามกลางสายตาของหลายๆคนที่มองมา หลายคนอาจจะสงสัยกับความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ บางครั้งเห็นคยูฮยอนมาหาซองมินบ่อยๆ แต่บางทีหายไปเป็นอาทิตย์เลยก็มี จนเดาไม่ได้ว่าตกลงแล้วมันเป็นยังไงกันแน่นอกจากคำว่า ‘เพื่อน’ และ ‘รูมเมท’
     
                “ทำไมต้องจับมือด้วยเล่า” เนื่องจากความเขินเป็นเหตุทำให้ซองมินพยายามจะบิดมือข้างที่โดนกุมออก ตั้งแต่บอกความในใจให้เขารู้ รู้สึกว่าคยูฮยอนจะทำตัวเปิดเผยเหลือเกิน ทั้งที่เขายังไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย
     
                “อยากจับ” คยูฮยอนหันมาตอบสั้นๆแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลา มือที่กุมอยู่กระชับให้แน่นขึ้นกันซองมินไม่ให้สะบัดหลุดไปไหน การที่ได้ไล่ตามใครสักคนแบบนี้เขาว่ามันก็น่าสนุกดีเหมือนกัน ถึงมันจะลุ้นระทึกกับผลลัพธ์ที่จะออกมาไปหน่อยก็เถอะ
     
                “นายกวนประสาทแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ซองมินถามเสียงสูงพยายามปิดบังความเขินของตัวเองที่ปิดยังไงก็ไม่มิด เพราะไอ้อาการลนลานแบบนี้มันทำให้คนตัวสูงที่เดินจับมือยู่ข้างๆยิ้มไม่หุบ
     
                “ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชอบนายไง” หันมาตอบเสียงหวานแล้วยักคิ้วให้ก่อนจะกลับไปเดินยิ้มเหมือนเดิม ส่วนคนฟังนั้นเกิดอาการช็อคไปแล้วเรียบร้อย คยูฮยอนลอบมองอาการนิ่งอึ้งของซองมินอย่างชอบใจ เขาเพิ่งรู้ตัวเองว่าจะกวนประสาทแถมพูดจาเสี่ยวได้ขนาดนี้ แต่ที่ทำไปเพราะไล่ตอนซองมินให้จนมุมนั่นแหละ
     
                “ยังไม่หายเมาหรือไง” พึมพำขึ้นกับตัวเองเบาๆ หลังจากเงียบไปสักพักแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูคยูฮยอนได้ พ่อรูมเมทตัวสูงหันมาเหล่อย่างคนจับผิดก่อนจะอมยิ้มจนซองมินต้องเบือนหน้าหนี ไม่ต้องย้ำรู้แล้วว่าชอบ แล้วไอ้หน้าตากับรอยยิ้มแบบที่ทำอยู่น่ะ รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำให้คนมองใจสั่นแค่ไหน
               
                ไม่นานก็เดินมาถึงโรงอาหาร คยูฮยอนพาซองมินไปนั่งที่ประจำที่มักจะมากับเรียวอุกบ่อยๆ คนตัวเล็กกวาดสายตามองผู้คนไปรอบโรงอาหารก่อนจะไปหยุดที่ร้านอาหารแล้วไล่มองไปทีละร้าน ตอนนี้คิดไม่ออกว่าอยากกินอะไร จะหันไปถามพ่อรูมเมทก็ไม่กล้า หันไปทีไรได้เจอสายตากับรอยยิ้มที่ทำให้หวั่นไหวทุกที
     
                “กินอะไรดีล่ะ” เห็นซองมินเงียบคยูฮยอนเลยถามแทน และเมื่อรูมเมทอจอมพูดมากของตนหันมาก็ยิ้มหวานให้จนต้องหันหนีไปอีกรอบ
     
                “อะไรก็ซื้อมาเถอะ ฉันกินได้หมดแหละ” ตอบไปส่งๆเพราะคิดเมนูไม่ออกจริงๆ และเหมือนเป็นการสั่งให้คยูฮยอนเป็นคนไปซื้อไปในตัว พ่อรูมเมทตัวสูงพยักหน้ารับก่อนจะเดินอมยิ้มตรงไปยังร้านอาหารที่มีเหล่านักศึกษาเข้าคิวกันอยู่
     
                ผ่านไปราวสิบนาทีคยูฮยอนกลับมาพร้อมมื้อเที่ยงและน้ำอีกสองแก้ว ซองมินนั่งมองการกระทำของรูมเมทที่ดูเหมือนวันนี้จะอารมณ์ดีเสียเหลือเกินเพราะริมฝีปากที่เอาแต่แย้มยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทีเมื่อวานล่ะทำหน้าบึ้งเป็นตูดลิงตั้งแต่เช้า พอตกดึกก็เมาหัวทิ่มกลับมาจนเขาเป็นห่วงแทบแย่ แล้วนี่กลับเอาแต่ยิ้ม ไม่รู้ว่าลืมเรื่องน่าขมขืนเมื่อวานไปแล้วหรือยังไง
     
                “ทำไมนายต้องยิ้มด้วยล่ะคยูฮยอน วันนี้ไม่น่าทำให้นายมีความสุขแบบนี้นะ ฉันหมายถึง....เรื่องเมื่อวานน่ะ” เพราะเป็นคนช่างพูดช่างสงสัยทำให้ซองมินอดจะถามไม่ได้ระหว่างที่กำลังสำราญอยู่กับอาหารตรงหน้า เมื่อได้ยินคยูฮยอนจึงเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มลง ทำสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนปกติที่ซองมินคุ้นเคย
     
                “เราคุยกันแล้ว และเราก็เข้าใจกันดี หมายถึงฉันกับซันนี่น่ะนะ” คยูฮยอนตอบเสียงเรียบก่อนจะยิ้มบางๆเมื่อพูดจบ เวลานี้คือเวลาของการแข่งขัน ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ และเขาก็ไม่อยากเสียสิ่งที่เขาต้องการไป
     
                “ไปคุยกันตอนไหน”
     
                “ร้านเหล้า”
     
                “ร้านเหล้า!”
     
                “เมื่อวานหลังจากกลับจากสวนสนุก ฉันเจอซันนี่ที่นั่นแล้วเราก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว” คยูฮยอนวางช้อนส้อมที่อยู่ในมือลง เงยหน้าขึ้นมาอธิบายให้รูมเมทขี้สงสัยฟัง และเขาคิดว่าเรื่องนี้มันต้องจบลงอย่างราบรื่น คำตอบจากคนตรงหน้าเขาออกมาเป็นยังไงเขาก็จะยอมรับมัน
     
                “ยังไง” แต่คนที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์กลับยังไม่หายสงสัย ซองมินเอียงคอถามอย่างน่ารัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อพยายามคิดตาม รู้แล้วว่าเมื่อวานทำไมถึงได้เมาหนักขนาดนั้น คงจะนั่งดื่มกับซันนี่แล้วปรับความเข้าใจกัน แต่คุยกันเรื่องอะไรนี่แหละที่เขาอยากรู้
     
                “นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รอให้ถึงพรุ่งนี้นายแค่ตอบคำถามที่ซันนี่ต้องการ เท่านั้นก็พอ” พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของคยูฮยอนที่ดูร่าเริงกลับดูเศร้าลง ก่อนเขาจะรีบยิ้มออกมาเพราะกลัวจะโดนซองมินจับได้ว่าเขาเองก็กังวลไม่น้อยกับคำตอบวันพรุ่งนี้
     
                “อย่าบอกนะว่านายกับซันนี่จะแข่งกันจีบฉันน่ะ” ซองมินถามเสียงเบาก่อนจะก้มหน้าก้มตาไปสนใจอาหารต่อ ถามเองก็ใช่ว่าจะไม่เขิน มันรู้สึกดีอยู่หรอกนะที่มีคนมารัก แต่ไม่ใช่การแย่งชิงแบบนี้ มิน่าล่ะทำไมซันนี่ถึงได้ส่งข้อความมาให้เขาเมื่อเช้า ทั้งที่เธอควรจะโกรธมากแท้ๆ
     
                แทนที่จะตอบคำถามคยูฮยอนกลับหัวเราะชอบใจทำเอาซองมินหันขึ้นมาค้อนขวับแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะสงสัยจะจริงตามที่สันนิษฐาน
     
                “งั้นนายก็กินข้าวให้อิ่มแล้วเตรียมรับมือไว้แล้วกันนะ” เอ่ยเตือนเพื่อความหวังดีให้ซองมินได้ร้อนๆหนาวๆเล่น งานนี้เขาบุกไม่ถอยแน่ เพราะดูท่าซันนี่เองก็ไม่ยอมเขาง่ายๆเช่นกัน มันเป็นศึกระหว่างสายเลือดขนานแท้
     
                ซองมินเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดของคยูฮยอนนัก จะให้รับมือยังไง แล้วจะโดนบุกยังไงเขานึกไม่ออกจริงๆ แค่เห็นรอยยิ้มแบบนี้บ่อยๆก็หวั่นไหวจะแย่อยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้ยากเย็นหัวใจดวงน้อยๆก็มอบให้ไปแล้วกว่าครึ่งดวง แล้วถ้าคยูฮยอนตั้งหน้าตั้งตาจีบสงสัยเขามีอันต้องถวายใจให้แบบฟรีๆเป็นแน่
     
     
     
     
     
     
                “บอดี้การ์ดมารอนู้นแล้ว” ทันทีที่ก้าวออกมาจากตึกคณะหลังเลิกเรียนชินดงก็ชี้ไม้ชี้มือไปด้านหน้าที่มีหนุ่มร่างใหญ่ยืนอยู่ แล้วใช้ศอกอีกข้างกระทุ้งสีข้างเพื่อนตาสวยที่อยู่ข้างกันเบาๆ
     
                “รู้แล้วน่า” อีทึกตอบรับในลำคอ สายตามองไปยังคังอินที่ยืนยิ้มตาหยีให้อยู่ เรื่องแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นคังอินมารออยู่แบบนี้ถ้าเจ้าตัวเขาเลิกเรียนก่อน แต่ชินดงชอบพูดให้มันเป็นเหมือนเรื่องแปลกทุกที
     
                “งั้นฉันไปก่อนนะ นัดแทมินไปกินข้าว” พูดจบก็โบกมือเร็วๆก่อนจะวิ่งหายไป ความจริงเขาไม่ได้นัดอะไรใครไว้หรอก แค่ไม่อยากเห็นฉากสวีทหวานที่คังอินชอบทำเป็นประจำเท่านั้น เลยต้องหลบฉากไปก่อนทุกทีที่พ่อรูมเมทตาหยีมารอเพื่อนตาสวย
     
                ยังไม่ทันที่อีทึกจะได้บอกลาชินดงก็วิ่งหายไปเสียแล้ว คนตาสวยเลยได้แต่ยิ้มแห้งๆก่อนจะเดินไปหาคังอินที่ยืนยิ้มจนตาเป็นขีดรออยู่ พอเดินไปถึงตัวของที่อีทึกถืออยู่ก็ถูกคังอินแย่งไปถือไว้เองเสียหมดด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มออกเดินไปพร้อมกัน
     
                “อีทึก ถ้าฉันจะถามนายอีกครั้งนายจะว่าฉันมั้ย” เดินเงียบกันได้ไม่นานคังอินก็เริ่มชวนคุย ใบหน้าที่เคยดูขี้เล่นตอนนี้ดูจริงจังอย่างมากกับสิ่งที่เพิ่งถามไป
     
                “ถามอะไรล่ะ แล้วทำไมฉันต้องว่าด้วย” อีทึกเอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจนักว่าคังอินต้องการสื่อถึงเรื่องอะไร
     
                เดินมาได้นิดเดียวคังอินก็หยุดเดินเสียดื้อๆ ฝ่ามือใหญ่จับข้อมือเล็กไว้ ก่อนที่เขาจะหายใจเข้าลึกๆเหมือนเป็นการเตรียมใจและเรียกกำลังใจ เพราะไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ที่เขาเคยทำให้กลับโดนปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง และคราวนี้เขาจะลองมันอีกครั้ง ถึงจะโดนปฏิเสธอีกเขาก็จะลองทำให้เรื่อยๆจนกว่าอีทึกจะยอมรับมัน
     
                “คบกับฉันได้มั้ย” ถามออกไปด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แล้วความหวังอันยิ่งใหญ่ที่จะได้คำตอบดีๆกลับมา
     
                อีทึกนิ่งอึ้งไปทันทีเมื่อได้ฟัง อีกครั้งแล้วที่คังอินรุกเขาตรงๆแบบนี้ ไม่มีการให้ตั้งตัว ไม่มีประโยคลองเชิงอะไรมากมาย อยากพูดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำจนทำให้เขานึกโมโหอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ที่เขาไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด ความรู้สึกร้อนๆล่มๆภายในร่างกายมันกำลังขับเคลื่อนขึ้นมาบนใบหน้า โดนขอคบแบบนี้มันก็ควรเขินมากกว่าโกรธสินะ
     
                “ฉัน...”
     
                “ขอโทษครับ!” ยังไม่ทันที่อีทึกจะได้ตอบกลับก็มีบุคคลที่สามโผล่เข้ามาเกี่ยวข้องเสียอย่างนั้น คังอินที่กำลังลุ้นกับคำตอบชักสีหน้าไม่พอใจทันทีเมื่อหนุ่มหน้ามนเดินเข้ามาโค้งให้พวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
     
                “มะ...มีอะไรเหรอครับ” อีทึกที่อยู่ในอาการมึนงงหันไปถามพลางมองสลับกับคังอินไปมาเหมือนอยากขอความเห็น แต่รูมเมทเขาเอาแต่ทำหน้าบึ้งเสียอย่างนั้น
     
                “เอ่อ...คือ...” ชายหนุ่มคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นมาทำท่าจะตอบคำถามแต่ก็นิ่งไป มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาท้ายทอยอย่างเขินอายกับประโยคที่ตนเองกำลังจะเอ่ย คังอินปล่อยมืออีทึกยกแขนขึ้นมากอดอกจ้องเขม็งอย่างไม่ชอบใจเพราะเริ่มรู้จุดประสงค์แล้วว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันเข้ามาขัดจังหวะเขาทำไม ต่างกับอีทึกที่ยังคงยืนงงไม่เลิก
     
                “ไปกันเถอะอีทึก” คังอินมองอย่างรำคาญใจจนทนไม่ไหวทำท่าจะพาอีทึกเดินไปต่อแต่ก็โดนหนุ่มหน้ามนคนเดิมขัดขึ้นอีกครั้ง
     
                “ดะ...เดี๋ยวครับ คือ...คือ ผมชอบคุณครับปาร์คจองซู คบกับผมด้วยนะครับ” ชายหนุ่มตะกุกตะกักในตอนแรกก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยความในใจออกมาในที่สุด เขาเห็นคนๆนี้ที่งานครบรอบหอแล้วเกิดหลงรักขึ้นมาทันที ค้นหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับคนตาสวยตรงหน้า พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อมาสารภาพรักอยู่หลายครั้งแค่ก็ล้มเหลวเพราะคนสวยมักจะมีรูมเมทร่างใหญ่ตามประกบติดอยู่ตลอดเวลา จนวันนี้ที่เขาตัดสินใจแล้วว่าต้องบอกออกไปให้ได้
     
                ทั้งอีทึกและคังอินที่ได้ฟังต่างอึ้งไปทั้งคู่ คังอินนั้นแทบจะถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้หนุ่มหน้ามนตรงหน้าแล้วชกสักสองสามหมัดให้รู้แล้วรู้รอดที่บังอาจมาสารภาพรักอีทึกต่อหน้าเขาแต่ต้องระงับอารมณ์เอาไว้ ส่วนแม่คนเสน่ห์แรงพอหายตกใจกลับหัวเราะออกมายกใหญ่จนชายหนุ่มที่มาขอคบนั้นงงกับปฏิกิริยาตอบสนองของคนตาสวยแทน ไม่เว้นแม้กระทั่งคังอิน
     
                “คงไม่ได้หรอกนะเพราะผมมีแฟนแล้ว” อีทึกบอกแล้วยิ้มหวาน ชายหนุ่มที่เข้ามาสารภาพรักหน้าจ๋อยไปทันที เช่นเดียวกับรูมเมทร่างใหญ่ที่บัดนี้เบิกตากว้างอย่างตกใจกับคำตอบของเขา
     
                คังอินหันมามองอีทึกด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นอีทึกสนิทกับใครนอกจากชินดงและเขา โทรศัพท์ก็ไม่เห็นคุย นัดเจอใครก็ไม่มี แล้วแฟนของอีทึกที่ว่าเป็นใครกัน ทั้งที่เขาพยายามมาตลอด แต่อีทึกกลับไม่เห็นความพยายามของเขาเลยงั้นเหรอ
     
                “คนนี้ไงครับแฟนผม” ไม่รอให้คังอินสับสนจนต้องเอ่ยถามอีทึกก็คว้าเอาแขนล่ำของรูมเมทมากอดไว้แล้วยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มคนนั้นที่หน้าซีดไปแล้วตอนนี้ แต่คนที่อึ้งจนใบ้รับประทานไปแล้วคงเป็นคังอินเสียมากกว่า
     
                “งะ...งั้นเหรอครับ ขอโทษครับที่มารบกวน” เมื่อรู้ความจริงชายหนุ่มจึงวิ่งหนีไปทันทีพร้อมกับสีหน้าผิดหวัง อกหักดังเป๊าะเข้าแล้วไง ทั้งที่เขาคิดว่าสืบมาดีแล้วว่าทั้งคู่เป็นแค่รูมเมทกันไม่มีอะไรเกินเลย แต่นี่มันผิดคาด
     
                “ไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย” เมื่อหมดตัวปัญหาคังอินที่เพิ่งได้สติถามออกมาอย่างเลื่อนลอยอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่อีทึกพูด คงไม่ใช่แค่อยากแกล้งคนๆนั้นแล้วเอาเขาไปเป็นไม้กันหมาหรอกนะ แบบนั้นมันทำร้ายจิตใจกันชัดๆ
     
                “นายอยากให้ฉันล้อเล่นใช่มั้ย” ถามกลับทีเล่นทีจริงทำท่าจะปล่อยมือออก ลองมาคิดดูดีๆแล้ว คังอินก็เป็นคนดี ทำอะไรให้หลายต่อหลายอย่าง ถ้าเป็นคนอื่นคงจะตอบตกลงตั้งแต่ตอนที่คังอินร้องเพลงให้เขาเมื่อตอนนั้นไปแล้ว แต่มันไม่ใช่สำหรับเขาที่ไม่ชอบอะไรที่มันโอเวอร์แบบนั้น ไม่ได้ต้องการประกาศความรักให้ใครต่อใครต้องรู้ แต่การได้อยู่ใกล้ชิดกันทำให้เขาเข้าใจคังอินมากขึ้น และมันก็ทำให้เขาเข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นด้วย
     
                “ไม่นะไม่” คังอินรีบส่ายหน้ารัวเหมือนเด็ก อีทึกมองแล้วหัวเราะชอบใจยกใหญ่ เพิ่งจะเคยเห็นคังอินทำตัวแบบนี้ครั้งแรก มองดูแล้วมันก็น่ารักดีเหมือนกัน
     
                “แล้วเราจะไปกันได้หรือยัง” อีทึกเอ่ยถามเสียงเรียบพยายามข่มความเขินของตัวเองให้อยู่ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากโดนคังอินพูดคำหวานๆใส่ให้ต้องเขินแล้วเขามักจะทำอะไรไม่ถูก
     
                “มีแฟนแล้วโว้ย!!!~” แต่ถึงอย่างนั้นคังอินก็เก็บความดีใจไม่ได้จนต้องระบายออกมาด้วยการตะโกนดังๆให้คนทั้งมหาวิทยาลัยรับรู้กันไปเลย ว่าเขากับอีทึกเป็นแฟนกันแล้ว
     
                สุดท้ายคนที่คิดว่าจะไม่เขินก็ต้องเขินจนได้เมื่อเจอสายตาของใครต่อใครที่มองมาเมื่อคังอินระบายความในใจเสร็จ ก็นะ เขามันคู่ดังของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว เล่นทำวีรกรรมไว้เสียหลายอย่าง ไม่ว่าจะตอนแข่งกีฬา ฉากสารภาพกลางสนามแข่งกีฬาของคังอิน และงานครบรอบหอที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ เป็นคู่รักสดใหม่ที่ชื่อเสียงดังไกลกระช่อนของจริง
     
     
     
     
     
               
                “อ่านอะไรอ่ะฮันคยอง” ฮยอกแจที่เห็นฮันคยองเดินอยู่ข้างหน้าระหว่างที่กำลังรอลิฟต์วิ่งเข้าไปหาพลางชะเง้อมองแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือรูมเมท
     
                “โทรเลขน่ะ อาม่าส่งมาให้” ฮันคยองยื่นแผ่นกระดาษให้ฮยอกแจดู แต่ถึงดูไปก็คงอ่านไม่รู้เรื่องอยู่ดีเพราะเนื้อหามันเป็นภาษจีน จะมีเฉพาะที่อยู่เท่านั้นที่เป็นภาษาอังกฤษ
     
                “โห~ โทรเลข นี่อาม่านายยังใช้อยู่อีกเหรอ หลานมาเรียนถึงเมืองนอกน่าจะมีโทรศัพท์ใช้นะ” ตอบติดตลกเมื่อได้ยินชื่อเครื่องมือสื่อสารที่สุดแสนจะโบราณ ฮยอกแจก็อดหัวเราะออกมาได้ไม่ ฮันคยองเลยใช้กระดาษที่ถืออยู่ในมือม้วนๆแล้วตีเข้าที่หัวทุยๆของรูมเมทจอมซกมกซะหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้
     
                “พอดีครอบครัวยากจนไงเลยไม่มีเงินซื้อมือถือให้อาม่าโทรข้ามประเทศ” ตีหัวรูมเมทเสร็จฮันคยองก็เดินเข้าลิฟต์ที่เปิดออกพอดี ฮยอกแจยกมือขึ้นลูบหัวป้อยๆก่อนจะเดินตามเข้าไป ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรหรอก แค่แสดงท่าทางให้มันดูสมบทบาทที่ถูกตีหน่อยก็เท่านั้น
     
                “ล้อเล่นน่า แล้วอาม่าส่งมาว่าไงเหรอ”
     
                “อาม่ากับม๊าจะมาเยี่ยมซักสองสามวันน่ะ อาม่าแกคิดถึงเพราะฉันไม่ค่อยติดต่อกลับไปเท่าไหร่” ตอบแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที มาอยู่เกาหลีก็หลายเดือนเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกลับไปที่บ้านบ่อยนัก เรื่องเรียนมันก็ไม่ได้หนักมาก ส่วนใหญ่จะเจอกิจกรรมแสนล้านที่ทำให้ไม่มีเวลามากกว่า
     
                “ลูกไม่ดี ทิ้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย” ว่าแล้วฮยอกแจก็แหย่ฮันคยองอีกสักรอบอย่างนึกสนุกปากก่อนจะโดนกระดาษในมือรูมเมทเชื้อสายจีนเคาะเข้าที่หัวอีกสักที ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้อีกเช่นเคย
     
                “พ่อลูกกตัญญู” ฮันคยองว่าอย่างประชดประชันแล้วอมยิ้มน้อยๆเมื่อฮยอกแจหันมาแลบลิ้นใส่ ซึ่งในสายตาฮันคยองแล้วมันก็ดูน่ารักไม่หยอกเหมือนกัน แบบนี้สินะซีวอนถึงได้หลงหนักหนา
     
                ด้วยความหมั่นไส้ฮันคยองทำท่าจะยกเท้าขึ้นส่งลูกถีบหนักๆเข้าที่ก้นงามๆสักทีแต่ประตูลิฟต์ก็เปิดออกเสียก่อน ฮยอกแจจึงกระโดดพรวดออกจากลิฟต์แล้ววิ่งตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที
     
                เปิดประตูเข้ามาได้ฮยอกแจก็สลัดรองเท้าให้หลุดจากเท้าวางระแกะระกะอยู่ตรงประตูอีกตามเคย เดือดร้อนฮันคยองต้องคอยตามเก็บอยู่เป็นประจำจนเริ่มขี้เกียจบ่น เพราะบ่นไปมันก็เท่านั้นฮยอกแจไม่เคยทำได้อย่างที่บอกเลยสักอย่าง จนเขาชักเริ่มปลงกลายเป็นนิสัยคอยตามเก็บสิ่งที่รูมเมทจอมซกมกคนนี้ทำรกไว้เสียแล้ว
     
                “ว่าแต่ทำไมวันนี้ไม่เห็นไปรับที่คณะเลย” ฮยอกแจนั่งลงบนเตียงเอ่ยถามฮันคยองที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องเพราะมัวแต่จัดรองเท้าอยู่ ก่อนหน้านี้ตอนเลิกเรียนเขานั่งรออยู่พักหนึ่งไม่เห็นฮันคยองมาสักทีทั้งที่เลิกเรียนก่อนเขาแท้ๆ เลยตัดสินใจกลับมาหอแล้วก็เห็นฮันคยองยืนรอลิฟต์อยู่พอดี
     
                ปกติแล้วฮันคยองจะไปรับไปส่งฮยอกแจทุกวันที่คณะตั้งแต่ที่ได้สัญญากันไว้ เหตุการณ์อาจจะมีสะดุดบ้างเล็กน้อยตอนที่ฮยอกแจเข้าใจผิดจนตอบตกลงไปเที่ยวกับซีวอน แต่หลังจากนั้นเพื่อนที่คณะฮยอกแจจะเห็นหนุ่มจีนคนนี้อยู่เป็นประจำทั้งเช้าและเย็น
     
                “ก็รีบมาเอาโทรเลขนี่แหละ โทษทีที่ไม่ได้บอกก่อน”
     
                “นึกว่าไปกับผู้หญิงซะอีก” ฮยอกแจแหย่ฮันคยองเล่นอีกครั้งแต่หารู้ไม่ว่ามันจะโดนย้อนเข้าตัวเองเต็มๆ
     
                “ทำไม หึงหรือไง” ฮันคยองหันไปเลิกคิ้วถามแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ วันนี้กวนเขามาหลายรอบแล้วขอเอาคืนหน่อยก็แล้วกัน
     
                “หึงบ้าอะไรล่ะอย่ามามั่ว” รีบปฏิเสธออกมาทันควันจนฮันคยองหัวเราะร่วน ส่วนฮยอกแจที่โดนย้อนกลับนั้นนั่งบึ้งทำปากยื่นแล้วเรียบร้อย
     
                ฮันคยองไม่ตอบอะไรกลับมาอีกเพียงแค่ยิ้มบางๆก่อนจะพับโทรเลขของอาม่าเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงถือกระเป๋าไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือหยิบงานที่ต้องทำขึ้นมาทำฆ่าเวลาว่างที่ฮยอกแจมักใช้มันกับการเล่นเกมเสียมากกว่า
     
                เมื่อเห็นฮันคยองทำงานฮยอกแจก็ทำท่าจะหยิบโน้ตบุ๊กขึ้นมาเล่นเหมือนทุกที แต่สายตากลับไปสะดุดกับถุงกระดาษมากมายที่วางซุกๆไว้ข้างตู้ มันเป็นของที่ซีวอนพาเขาไปซื้อคราวนั้น จะว่าไปของที่ตั้งใจจะเอาไปให้เพื่อนๆ ก็ยังไม่ได้ให้เพราะวันนั้นดันหงุดหงิดฮันคยองขึ้นมาชั่วขณะจนลืมเรื่องอื่นไปหมดสิ้น แล้วถ้าเขาเอามาให้ตอนนี้ล่ะ หวังว่าคงไม่โดนเหน็บแนมอะไรหรอกนะ
     
                คิดได้ดังนั้นฮยอกแจจึงลุกจากเตียงไปค้นถุงเหล่านั้นแล้วหยิบถุงกระดาษเล็กๆใบหนึ่งขึ้นมา ข้างในมีน้ำหอมยี่ห้อหรูที่เขาเลือกมาสำหรับใครบางคนโดยเฉพาะ
     
                “นี่ฮันคยอง” ซ่อนถุงกระดาษในมือไว้ด้านหลังก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างๆฮันคยองก้มลงไปเรียกเสียใกล้เหมือนอยากจะแกล้งให้รูมเมทตกใจเล่น แต่ไม่มีแม้แต่สะดุ้งหรือหันหน้ามาหายังคงตั้งใจทำงานอยู่อย่างนั้น คนอยากแกล้งเลยได้แต่เบ้ปากอย่างขัดใจ
     
                “อะไรเหรอ” ปากถามกลับส่วนมือยังคงวุ่นอยู่กับการเขียนสรุปเนื้อหา ฮันคยองยกยิ้มน้อยๆเมื่อฮยอกแจยืดตัวกลับไปยืนตรงเหมือนเดิมเพราะแกล้งเขาไม่สำเร็จ
     
                “นายใช้น้ำหอมบ้างหรือเปล่า ปกติฉันไม่เคยเห็นอ่ะ” ฮยอกแจถามลองเชิง อยู่ด้วยกันมาก็หลายเดือนเขายังไม่เคยเห็นฮันคยองฉีดน้ำหอมเลยสักครั้งเลยลองถามดู เผื่อบางทีเจ้าตัวอาจจะไม่ชอบน้ำหอมก็ได้
     
                “หือ...ถามทำไม” เลิกคิ้วถามกลับอย่างสงสัยโดยที่ไม่ได้หันไปมองคู่สนทนา
     
                “ก็แค่อยากรู้ ถามไม่ได้หรือไง” ยู่ปากตอบเหมือนคนกำลังน้อยใจ ฮยอกแจกำถุงกระดาษที่ถืออยู่ไว้แน่น เพราะถ้าเกิดฮันคยองไม่ชอบใช้น้ำหอมขึ้นมาแล้วเขาจะเอาไอ้น้ำหอมราคาแพงหูฉี่ขวดนี้ไปทำอะไรล่ะ
     
                “อยากรู้ก็ดมเอาดิ” ฮันคยองหันกลับมายกนิ้วจิ้มที่แก้มตัวเองให้ฮยอกแจพิสูจน์ความหอม แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่
     
                “จะบ้าเหรอ! นายฉีดน้ำหอมที่แก้มหรือไง” ฮยอกแจที่โดนแกล้งกลับโวยวายใส่ทันทีกับท่าทีกวนๆของฮันคยองที่นานๆจะได้เห็นกันสักที แต่ถ้าลองให้ไปทำแบบนี้กับพวกสาวๆนะ เขาว่าแย่งกันหอมแก้มช้ำแน่ๆ
     
                “ล้อเล่นน่า ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอก ฉันไม่ค่อยจุกจิกเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะไม่ใช้มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร นายถามทำไมอ่ะ” ฮันคยองหัวเราะเบาๆกับท่าทางโวยวายของฮยอกแจก่อนจะตอบคำถาม
     
                “คือฉันซื้อน้ำหอมมาให้นายน่ะ แต่จะบอกว่าซื้อก็ไม่ได้ คือฉันเป็นคนเลือกน่ะ ไม่รู้ว่านายจะชอบหรือเปล่า” ยื่นของที่ซ่อนไว้ข้างหลังไปตรงหน้าฮันคยองก่อนจะอธิบายประกอบ ฮยอกแจดูมีท่าทีขัดๆเขินๆนิดๆยามที่พูด ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกเขินก็แค่ให้ของรูมเมทแต่เขาก็เขินอยู่ดี อาจจะเป็นเพราะไม่เคยทำแบบนี้ก็ได้ล่ะมั้ง
     
                “ขอบใจนะ” ฮันคยองรับของมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณยิ้มๆ ไม่มีคำพูดเหน็บแนมอย่างที่ฮยอกแจคิดเอาไว้ ถึงเจ้าตัวเขาจะรู้ก็เถอะว่าน้ำหอมที่ให้มาน่ะมันเป็นเงินใคร แต่ก็ต้องขอบใจที่มีน้ำใจมาฝากกัน อีกอย่างเขายังไม่อยากแหย่ให้ฮยอกแจอารมณ์เสียตอนนี้
     
                “อืม” พยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะเดินกลับไปล้มตัวนอนบนเตียง ส่วนฮันคยองก็หันกลับไปทำงานเหมือนเดิมโดยวางน้ำหอมมันไว้ตรงหน้านั่นแหละ ความจริงเขาเคยแอบไปค้นดูของพวกนั้นตอนฮยอกแจไม่อยู่ นึกอยู่ว่าที่รูมเมทจอมซกมกบอกว่าซื้อมาฝากเพื่อนๆด้วยจะมีของเขารวมอยู่ด้วยไหม แต่กว่าจะเอาออกมาให้ก็เล่นจนลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว
     
                นึกแล้วฮันคยองก็นั่งยิ้มไปทำงานไป ถึงจะเป็นเงินซีวอนแต่ถ้าฮยอกแจเลือกให้เขาก็จะใช้มันแล้วกันนะ

    ---------------------------------------
     
    kr...Talk
    มาแล้วจ้า คิดถึงไรเตอร์กันสุดใจขาดดิ้นเลยใช่ไหมล่ะ
    หลังจากดองฟิคทิ้งไว้นานตั้ง2-3อาทิตย์
    ก็กลับมาพร้อมกับการลงรอยกันของคู่คนแก่
    แก่แล้วก็แบบนี้แหละ ต้องรีบรักกัน หากช้าอาจจะต้องขึ้นคานเหมือนไรเตอร์ ฮือๆ(แลเห็นอนาคตตัวเอง)

    สุดท้ายน้ำหอมก็ต้องมาอยู่ในมือฮันจนได้
    เหมือนจะลืมกันไปแล้ว รวมทั้งไรเตอร์ด้วย ฮ่าๆๆ
    เนื่องจากวันนี้มีอารมณ์(?)ก็ขออัพอีกซักตอนแล้วกันนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×