ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] อลวนรัก หอพักสุดเพี้ยน (Super Junior Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 10 : คน-ผี-ประหลาด

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.25K
      11
      21 เม.ย. 53


    Chapter 10 :
    คน-ผี-ประหลาด
     
     
     
     
     
     
                    ในวันที่สองของการรับบทเป็นแฟนกัน คยูฮยอนไปรับซองมินที่หน้าคณะและพาไปทานมื้อกลางวันตามข้อปฏิบัติของคิงอีทึก และระหว่างที่กำลังมองหาที่นั่งกันนั้น คนที่ซองมินกับคยูฮยอนไม่อยากจะเจอที่สุดในตอนนี้ก็โผล่หน้ามา ทั้งที่คณะไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยซักนิด ยังอุตส่าห์โคจรมาเจอกันได้อีก
     
                    “ว่าไงคู่รักอีทึกสร้าง” ชินดงที่พ่วงติดมากับอีทึกและคังอินร้องแซวขึ้นทันทีเมื่อเห็นซองมินกับคยูฮยอนยืนอยู่ด้วยกัน คู่นี้บอกว่าสวรรค์สร้างไม่ได้ เพราะอีทึกเป็นคนสร้างเห็นๆ
     
                    พอทั้งสามคนเดินเข้ามาหาซองมินก็ทำหน้าแหยทันที ส่วนคยูฮยอนนั้นยังคงทำมาดนิ่ง ขืนแสดงความรู้สึกหรือท่าทางอะไรออกไปคงได้โดนแซวอีกแน่
     
                    “กำลังจะไปกินข้าวกันเหรอ” อีทึกถามพร้อมรอยยิ้มที่ซองมินกับคยูฮยอนมองแล้วมันดูน่าสยดสยองพิกล
     
                    “อืม” ซองมินพยักหน้ารับเบาๆ ไม่อยากจะไล่หรือไม่อยากจะชวนไปกินด้วยกันทั้งนั้น เพราะเขาคิดว่าพูดอะไรไปคงจะโดนสวนกับมาให้เขินหรืออายเล่นอยู่ดี
     
                    “จริงสิคยูฮยอน ฉันขอดูมือถือหน่อย” อีทึกแบมือไปตรงหน้าคยูฮยอนพร้อมกับยิ้มอย่างกวนๆ เมื่อวานเขาว่าสองคนนี้เพิ่งจะแลกเบอร์กัน อยากรู้จริงๆว่าคยูฮยอนจะเมมชื่อซองมินอย่างที่เขาเขียนไว้ในข้อปฏิบัติหรือเปล่า
     
                    “อะ...เอาไปทำไม” ถามกลับไปตะกุกตะกัก ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นในอีกไม่กี่นาทีที่จะถึงข้างหน้านี้
     
                    “ตอนนี้นายยังอยู่ในการควบคุมของฉันนะ อย่าขัดคำสั่งสิ” อีทึกว่าเสียงเข้ม ถึงแม้ว่าเกมคิงจะจบไปแล้ว แต่สำหรับคู่นี้มันยังไม่จบง่ายๆหรอก
     
                    คยูฮยอนนิ่งไปซักพักก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นไปให้อีทีกแต่โดยดีเพราะขัดอะไรไม่ได้ ส่วนซองมินก็ได้แต่ยืนมองอย่างงงๆ ยังคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับข้อปฏิบัติที่อีทึกให้กับคยูฮยอนไว้
     
                     “ซองมินเหรอ ทำไมนายถึงได้เมมว่าซองมินล่ะ” พอหาเจอชื่อที่ต้องการเท่านั้นอีทึกก็เลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าสงสัย
     
                    “เอ่อ...ก็ชื่อซองมิน จะให้ฉันเมมว่าอะไรเล่า”
     
                    “เมมว่าที่รักสิ เดี๋ยวนี้ด้วย!” ยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆคยูฮยอนก่อนจะส่งมือถือคืนให้จากนั้นจึงถอยออกมาแล้วยืนยิ้มอย่างร่าเริง นางฟ้าอีทึกกลายร่างเป็นปีศาจเต็มตัวแล้วจริงๆ
     
                    “รู้แล้วน่า” คยูฮยอนตอบรับด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อนความเขินที่เริ่มจะก่อตัวขึ้นมาเล็กๆ ก่อนจะลงมือแก้ไขชื่อที่เมมจากซองมินเป็นที่รักอย่างที่อีทึกสั่ง
     
                    “เมมชื่อกันว่าที่รักด้วยเหรอ ไหนๆๆ ขอดูของนายบ้างดิซองมิน” ชินดงบอกออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนจะปรี่เข้าไปหาซองมินเพื่อขอมือถือดูบ้าง ถึงจะรู้ว่ามันเป็นคำสั่งของอีทึกแต่มันก็แปลกดีสำหรับเขา เมมชื่อกันว่าที่รักทั้งที่เป็นผู้ชายด้วยกัน ถ้าเป็นเขาโดนแบบนี้บ้างมันคงเป็นอะไรที่ทำให้ขนลุกซู่อยู่ตลอดเวลา
     
                    “ดะ...ดูอะไร” ซองมินรีบเบี่ยงตัวหลบทันทีเมื่อชินดงเข้ามาหา แค่ให้แกล้งเป็นแฟนกันยังไม่พอนี่ถึงขนาดต้องเมมชื่อว่าที่รักด้วย ถ้าเกิดคยูฮยอนโทรมาหาแล้วคำว่าที่รักมันขึ้นหลาอยู่หน้าจอ เขาจะมีกระจิตกระใจรับมั้ยล่ะเนี่ย
     
                    “ก็มือถือนายไงเอามาดูหน่อย นายเมมชื่อคยูอยอนว่าอะไร” ชินดงแบมือไปขอโทรศัพท์มือถือจากซองมินก่อนจะยิ้มแฉ่ง
     
                    “ก็เมมชื่อธรรมดานั่นแหละ” ตอบเสียงอ่อมแอ้ม ล้วงมือเข้าไปควานหาโทรศัพท์มือถือออกมา สายตาก็เหล่ไปมองที่อีทึกที่กำลังส่งยิ้มมาให้
     
                    “งั้นก็จัดการเมมว่าที่รักด้วยนะ” อีทึกสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะยิ้มตามแบบฉบับ
     
                    “ไม่เมมไม่ได้เหรอ” ต่อรองเสียงอ่อยและแน่นอนว่าคำตอบที่ได้นั้นทำเอารอยยิ้มแหยๆนั้นหุบลงทันที
     
                    “ไม่!” ตอบเสียงเข้มก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้ง มันคือกฎยังไงซะภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ซองมินก็ต้องปฏิบัติตาม แต่พอหลังจากผ่านหนึ่งสัปดาห์นี้ไปแล้ว คำว่าที่รักที่เมมไว้จะเปลี่ยนเป็นอะไรหรือมันจะยังเป็นคำว่าที่รักเหมือนเดิมก็ขึ้นอยู่กับนายสองคน
     
                    เมื่อได้คำตอบซองมินก็ก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนชื่อของคยูฮยอนที่เมมเอาไว้ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนแบะออกเล็กน้อยเหมือนเด็กที่โดนขัดใจ
     
                    “ว้าวๆๆ ที่รัก” พอซองมินเมมเสร็จชินดงก็ชะโงกหน้าเข้าไปดูทันทีก่อนจะร้องแซวออกมาเสียงดัง
     
                    “นายจะตะโกนทำไมเล่า!” ซองมินออกปากดูเมื่อชินดงเสียงดังเกินเหตุ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงกระเป๋าในทันที
     
                    “ไปกันยังอีทึก หิวข้าว” คังอินที่ยืนดูเงียบๆ ลูบท้องตัวเองป้อยๆ ทำตาละห้อยใส่นางฟ้าของตัวเอง ตอนนี้เขาหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว ถึงได้ยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่อยากออกปากออกเสียง เดี๋ยวพลังงานมันจะหมดไปซะเปล่าๆ
     
                    “งั้นเราไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันเลยมั้ย” ชินดงเสนอ
     
                    “ฉันว่าปล่อยคนเป็นแฟนกันเค้าไปด้วยกันเถอะ อย่าไปเป็นก้างขวางเค้า มันบาป ไปกันเถอะ” อีทึกพูดอย่างลอยหน้าลอยตาก่อนจะยิ้มในประโยคสุดท้ายแล้วเดินนำออกไป ดูไปดูมาเหมือนอีทึกกำลังรับบทนางร้ายในละครเลยตอนนี้ โดยมีสมุนร่างใหญ่สองคนคอยติดตาม
     
                    “มันบาป! พูดเหมือนกันเลยนะ” ซองมินประชดประชันอย่างหมั่นไส้ เพราะเรียวอุกก็เคยพูดว่าไม่อยากอยู่เป็นก้างเพราะมันบาป แบบนี้เลย
     
                    “จะไปหรือยัง” คยูฮยอนถามออกมาเสียงเรียบ ในที่สุดตัวก่อกวนที่เขาไม่เจอที่สุดก็จากไป เขาจะได้ไปกินข้าวเที่ยงซักที
     
                    “อะ...อืม   แล้วต้องจับมือด้วยมั้ย” พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะถามออกมาหน้าซื่อๆ แต่คำถามนี้กลับทำให้เลือดบนใบหน้าของคยูฮยอนสูบฉีดอย่างรุนแรง
     
                    “ยังจะมาถามอีก” ว่าด้วยท่าทางหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินก่อนจะคว้ามือเล็กมากุมไว้แล้วพาเดินไปยังโรงอาหารทันที
     
                    และเมื่อได้ที่นั่งแล้วคยูฮยอนก็จัดการซื้อข้าวซื้อน้ำทั้งของตัวเองและซองมินตามที่ในข้อปฏิบัติการเป็นแฟนกันของอีทึกเขียนเอาไว้
     
    ถึงซองมินจะสงสัยกับท่าทีที่ดูสมจริงเกินไปของคยูฮยอนที่ทำกับเขาเหมือนเป็นแฟนกันจริงๆตลอดเวลาทั้งที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าอีทึก แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้โดยไม่เอ่ยปากถามอะไรออกมา เพราะเป็นแบบนี้มันก็ดีแล้ว มีคนมาคอยปรนนิบัติแบบนี้สบายจะตายไป
     
     
     
     
     
     
    “หายไปไหนล่ะเนี่ย เมื่อเช้าวางไว้ตรงนี้นี่นา” ท่าทางก้มๆเงยๆเพราะกำลังหาของบางอย่างอยู่ของฮีชอลทำให้ซีวอนที่นอนเล่นโน้ตบุ๊กอยู่บนเตียงต้องเหล่ตามองเป็นพักๆ เพราะของที่ฮีชอลกำลังหาอยู่เขาเพิ่งเอาไปปูยี่ปูยำเมื่อเช้านี่เอง เนื่องจากโดนฮยอกแจปฏิเสธมา
     
    “นายเอาไปหรือเปล่า” อยู่ๆฮีชอลก็หันขวับมาถามตาขวางทำเอาซีวอนสะดุ้ง ถ้ารู้ว่าเขาเอาไปล่ะตายแน่งานนี้
     
    “เปล่า!”
     
    “ทำไมต้องพูดเสียงสูงด้วย นายเอาไปใช้มั้ยห๊ะ!” ฮีชอลถามกลับด้วยสีหน้าไม่ค่อยเชื่อนักก่อนจะขึ้นเสียงในประโยคหลัง ตุ๊กตาดอกทานตะวันนั้นเพื่อนเขาอุตส่าห์ซื้อมาให้จากประเทศไทยเชียวนะ
     
    “อย่ามากล่าวหากันสิ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เอาไป” ซีวอนหลบหน้าหลบตาตอบไม่กล้าจ้องตาขวางๆนั่นเดี๋ยวจะโดนจับได้ซะก่อน เขาคงคิดผิดจริงๆที่เอาของของฮีชอลไปแบบนี้ ก็ฮีชอลน่ะหวงของของตัวเองอย่างกับอะไรดี แต่เพราะตอนนั้นความรักมันบังตาเลยไม่ได้นึกถึงผลที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญเจ้าตุ๊กตานั่นมันยังอยู่ในกระเป๋าของเขา ถ้ายัยขี้โวยวายนี่ค้นเจอขึ้นมาคงซวยไปหลายวันแน่ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือหลังจากที่โดนฮยอกแจปฏิเสธเขาก็พาเจ้าตุ๊กตานั่นไปลงโทษจนสภาพของมันไม่สามารถกลับมาเป็นอย่างเมื่อเช้าได้แน่ๆ ทางแก้ทางเดียวคือคงจะต้องซื้อใหม่
     
    “แน่ใจนะ ว่าแต่เมื่อเช้านายออกไปจากห้องก่อนฉันเห็นมันบ้างหรือเปล่า” ปากถามไปส่วนสายตาก็ยังคงมองหาเจ้าตุ๊กตาดอกทานตะวันนั้นไปรอบๆห้อง ไม่มีใครเอาไปแล้วมันจะหายไปได้ยังไงกัน
     
    ซีวอนนิ่งไปเพื่อใช้ความคิดในการตอบคำถามนี้ หากตอบอะไรออกไปขัดหูฮีชอลแม้แต่นิดเดียวก็จะโดนซักอีกยาวแน่
     
    “ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้สังเกต”
     
    “ลุกขึ้นมาช่วยฉันหา! เดี๋ยวนี้เลย!” และแล้วฮีชอลก็เริ่มออกคำสั่ง ถ้าไม่มีใครเอาไปมันก้ต้องอยู่ในห้องนี่แหละ
     
    “ทำไมฉันจะต้องไปหามันด้วยเล่า ของฉันก็ไม่ใช่”
     
    “ก็เพราะมันเป็นของฉันไงเล่า! อย่าบ่นมากแล้วมาช่วยฉันหามันซะ!”
     
    เจอคำสั่งออกมาแบบนี้ซีวอนเลยแต่ได้ทำท่าฮึดฮัดก่อนจะลุกขึ้นมาช่วยหา เพราะถ้าขืนยังทำนิ่งอยู่อาจจะโดนสงสัยอีกก็เป็นได้
     
    ซีวอนลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะทำท่าเป็นหาอยู่บริเวณเตียงของตัวเองซึ่งมีกระเป๋าที่ซ่อนตุ๊กตาดอกไม้เจ้าปัญหานั่นไว้อยู่ ทำไมเขาถึงไม่ทิ้งมันไปตั้งแต่ตอนกลางวัน จะได้ไม่ต้องมาระแวงอยู่แบบนี้
     
    สายตาคมของซีวอนหันไปมองฮีชอลที่กำลังหาอยู่อีกฝั่งก่อนจะหันกลับมาเปิดกระเป๋าที่ใช้สะพายไปเรียนอยู่เป็นประจำเพื่อดูสภาพที่ไม่น่าดูเลยของตุ๊กตาดอกไม้เจ้าปัญหา
     
    “ไหนบอกไม่ได้เอาไปไง! ทำไมมันเป็นแบบนี้!!!” เสียงแหลมๆของฮีชอลแผดเสียงลั่นเมื่อเห็นของที่อยู่ในกระเป๋าของซีวอน นั่นมันตุ๊กตาดอกทานตะวันของเขาไม่ใช่หรือแล้วทำไมมันกลายเป็นเศษผ้าเปื้อนดินไปได้
     
    “เฮ้ย! ไม่ใช่ๆ ไอ้นี่ไม่ใช่ของนาย!” ซีวอนสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆฮีชอลก็มายืนอยู่ด้านหลัง มือไม้ลนลานพยายามปิดกระเป๋าแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อแขนยาวๆของรูมเมทขี้โวยวายผลักตัวเขาจนแทบกระเด็นด้วยแรงมหาศาลก่อนจะหยิบตุ๊กตาเจ้าปัญหานั้นขึ้นมา
     
    “ซีวอน!” เสียงเรียกทุ้มต่ำพร้อมกับเสียงขบกรามที่ฟังดูน่ากลัวทำเอาคนถูกเรียกถอยหลังกรู ฮีชอลก้มลงมองซากเศษผ้าเปื้อนดินที่อยู่ในมือ ก่อนที่สายตาอาฆาตจะถูกส่งไปให้ผู้ที่ฆาตกรรมตุ๊กตาของเขา
     
    “อย่าอยู่เลย!!!” เศษผ้าที่อยู่ในมือถูกขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี ฮีชอลดีดตัวลุกขึ้นตรงไปหาซีวอนที่ลนลานหนีไปยังประตู
     
    ซีวอนเปิดหระตูห้องออก เท้ายัดใส่รองเท้าของตัวเองอย่างลวกๆ แต่ทุกอย่างกับไม่ทันการที่จะหนีเสียแล้ว
     
    “มานี่!” มือเรียวสวยคว้าเอาที่คอเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะดึงร่างสูงใหญ่ของรูมเมทตัวดีที่กำลังจะหนีให้กลับเข้ามาในห้องเพื่อชำระโทษ
     
    ปัง!
     
    ฮีชอลเหวี่ยงซีวอนเข้าไปในห้องก่อนจะปิดประตูอย่างแรงด้วยความโมโห
     
    “นายทำตุ๊กตาของฉันให้กลายเป็นเศษผ้า!!! ฉันจะทำกับนายแบบนั้นบ้าง!! ชเวซีวอน!!!”
     
    “ช่วยด้วย!!!!!~”
     
     
     
     
     
     
     
     
    “เรียวอุก”
     
    “ทำไมไม่กินล่ะ กินนี่สิ เดี๋ยวฉันป้อน”
     
    “เรียวอุก~”
     
    “ไม่อยากกินเหรอ อย่าเดินหนีสิ”
     
    “เรียวอุกอ่า~”
     
    “จะเรียกทำไมนักหนาล่ะเยซอง ผมยุ่งอยู่เนี่ยไม่เห็นเหรอ” เรียวอุกหันมาว่าเยซองด้วยน้ำเสียงที่ออกจะรำคาญเล็กน้อย เพราะเยซองเอาแต่เรียกชื่อเขาแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาซักที ก่อนจะหันกลับมายิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าเต่าน้อยที่อยู่ในตู้
     
    “สนใจแต่เจ้าเต่านั่นนะ ของว่างเนี่ยจะไม่กินใช่มั้ย” เมื่อได้ฟังเรียวอุกพูดแบบนี้เยซองจึงตอบกลับไปด้วยความน้อยใจ ก็เพราะตั้งแต่ที่เขาพาเรียวอุกไปซื้อเจ้าเต่าตัวนี้มาคนตัวเล็กก็สนใจแต่เจ้าเต่าตังโกมาตัวนั้นไม่สนใจเขาที่พยายามชวนมากินเค้กที่ซื้อด้วยกันเมื่อตอนเย็นเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็ปาเข้าเกือบสี่ทุ่มแล้วเรียวอุกก็ยังไม่เลิกวุ่นวายกับเต่าซักที อยากรู้จริงๆมันมีดีอะไรนักหนา
     
    “เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมก็กินเองนั่นแหละ” ตอบกลับมาโดยไม่หันมามองคู่สนทนาที่ตอนนี้ความน้อยใจมันดันขึ้นมาเต็มอกเลยแม้แต่น้อย และเรียวอุกก็ยังสนใจแต่เจ้าเต่าตังโกมาต่อไป
     
                    “เรียวอุก~” ครางออกมาเสียงอ่อยเมื่อสุดท้ายแล้วเรียวอุกก็ไม่สนใจตัวเองอยู่ดี เยซองจึงตัดสินเดินออกมาจากห้องปล่อยให้เรียวอุกอยู่กับเจ้าเต่าตังโกมานั่นสองต่อสอง
     
    “น่าน้อยใจชะมัด เห็นเต่าดีกว่าเรางั้นเหรอ” เยซองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจเต็มที่ ก่อนจะเดินทอดน่องมาตามทางเดินจนมาถึงบันได
     
    ช่วงขายาวนั้นก้าวเดินลงบันไดอย่างช้าๆไม่เร่งรีบอะไรมาก ถึงแม้บรรยากาศรอบข้างมันจะมืดและดูน่ากลัวแค่ไหนแต่เยซองกลับไม่สนใจมันเลย เพราะความน้อยใจที่มีอยู่เต็มอกมันทำให้เขาคิดถึงแต่หน้าของเรียวอุกอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวเลยแม้แต่น้อย
     
    สายลมเย็นๆพัดผ่านมาเบาๆทำให้รู้สึกสบายและขนลุกได้พร้อมๆกัน เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างสุดเยซองจึงเดินตรงไปยังม้านั่งที่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก แต่แล้วกลับมีเสียงประหลาดเหมือนเสียงรองเท้าคนดังขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่ที่เยซองเดินลงมาถึงชั้นล่าง เหมือนกับว่ามีคนเดิมตามหลังมา เขาจึงหันหลังกลับไปมองแต่กลับมีแค่ความว่างเปล่า
     
    “นึกว่าเรียวอุกจะลงมาง้อซะอีก....ฮะ เฮ้ย!!” พูดออกมาด้วยความผิดหวังเมื่อหันไปมองแล้วไม่เจอใคร แต่เมื่อเยซองหันกลับมาก็ต้องร้องอุทานเสียงดังก่อนจะถอยหลังกรูเมื่อมีคนยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งที่เมื่อกี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลยนอกจากเขาคนเดียว
     
    “ตกใจขนาดนั้นเลย” คนตรงหน้าเยซองถามขึ้นยิ้มๆ
     
    “นะ...นายเป็นใครเนี่ย แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เยซองตั้งสติก่อนจะถามออกมา เขารู้สึกว่าคนๆนี้หน้าคุ้นๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน แถมเขายังไงใส่ชุดนักศึกษาแสดงว่าต้องพักอยู่ที่หอนี่ แต่หมอนี่ตัวขาวเป็นบ้าเลย ซีดอย่างกับไม่มีเลือด
     
    “ฉันชื่อยุนโฮ ว่าแต่นายเถอะทำไมออกมาเดินคนเดียวดึกดื่นแบบนี้ ไม่กลัวเหรอ” ยุนโฮถามก่อนจะยิ้มอีกครั้ง เด็กคนนี้เขาจำได้ว่าเคยเจอกันแล้ว แต่ดูท่าเด็กนี่จะจำเขาไม่ได้ถึงได้ไม่มีท่าทีกลัวอะไรเลย
     
    “พอดีว่าฉันมีเรื่องกลุ้มใจนิดหน่อยน่ะ เลยออกมารับลมเย็นๆเผื่อจะสบายใจขึ้น”
     
    “งั้นเราไปนั่งคุยกันดีมั้ย” ยุนโฮเสนอก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่ม้านั่งซึ่งเป็นที่ๆเยซองตั้งใจจะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อเยซองยิ้มรับทั้งสองจึงเดินยังม้านั่งด้วยกัน
     
    “นายชื่ออะไรล่ะ แล้วนายไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอ” ยุนโฮถามขึ้นเมื่อทั้งสองคนนั่งลงที่ม้านั่งเรียบร้อยแล้ว
     
    “ฉันชื่อเยซอง คือ...พอดีว่าฉันก็แค่น้อยใจรูมเมทน่ะ เขาชื่อเรียวอุก ที่จริงตอนนี้ฉันแอบชอบเรียวอุกอยู่แต่ยังไม่ได้บอกเขา และเมื่อไม่นานมานี้ฉันกับเรียวอุกไปซื้อเต่ามาเลี้ยงด้วยกัน แต่เรียวอุกกลับสนใจแต่เจ้าเต่าตัวนั้นไม่สนใจฉันเลย ขนาดฉันชวนมากินเค้กด้วยกันยังไม่ยอมมาเลย ไม่รู้เจ้าเต่าตัวนั้นมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา” เยซองค่อยๆเล่ารายละเอียดให้ยุนโฮฟัง สีหน้านั้นแสดงความน้อยใจออกมาอย่างชัดเจน
     
    “อย่างนั้นเหรอ เรื่องแบบนี้ฉันเองก็เคยเจอมาเหมือนกัน” ยุนโฮตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเริ่มเล่าต่อ เมื่อเห็นสีหน้าอยากรู้ของเยซอง
     
    “ฉันเองก็หลงรักแจจ๋ารูมเมทของฉันเหมือนกัน”
     
    “แจจ๋าเหรอ” อยู่ๆเยซองก็ขัดขึ้น ชื่อนี้มันคุ้นๆเหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหน
     
    “ใช่ แจจ๋า ทำไมเหรอ” ยุนโฮพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะยิ้มเหมือนเดิม
     
    “เปล่าๆ เล่าต่อเถอะ” เยซองยกมือขึ้นโบกเบาๆเป็นการปฏิเสธ ตอนนี้เขาไม่อยากจะสนใจเรื่องอื่นมากนัก และอยากฟังเรื่องของยุนโฮให้จบซะก่อน เผื่อว่าจะมีทางช่วยอะไรเขาได้บ้าง
     
    “แจจ๋าน่ะ ไปซื้อหนูแฮมเตอร์มาเลี้ยงชื่อเจ้าเจเรมี่ แล้วแจจ๋าก็สนใจแต่เจ้าเจเรมี่ไม่สนใจฉันเลย แต่ฉันโชคดีกว่านายอย่างหนึ่งคือฉันกับแจจ๋าได้เป็นแฟนกัน” เล่าจบยุนโฮก็ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจที่เขาโชคดีกว่าเยซองที่ได้แจจุงสุดสวยเป็นแฟน
     
    “แล้วนายทำไงล่ะ แจจ๋าแฟนของนายถึงได้เลิกสนใจเจ้าเจเรมี่น่ะ” เยซองถามต่อด้วยสีหน้าที่ดูจะเคร่งเครียดเล็กน้อย
     
    “อยากรู้เหรอ”
     
    “ก็ใช่น่ะสิ”
     
    “งั้นเอาเข้ามาใกล้ๆสิ แล้วฉันจะบอกวิธีให้” ยุนโฮกวักมือเรียกให้เยซองเขยิบเข้ามาหาตัวเอง ก่อนจะเริ่มซุบซิบแผนการที่เขาเคยใช้ให้เยซองฟัง
     
    “จะดีเหรอแบบนี้” เมื่อฟังวิธีจบเยซองก็เลิกคิ้วถามด้วยความไม่แน่ใจ จะสำเร็จแน่เหรอวิธีแบบนี้
     
    “ก็ต้องลองดู” ยุนโฮตอบกลับด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับหนุ่มอารมณ์ดี เมื่อกี้เขาเล่าให้เยซองฟังแต่วิธีแต่ไม่ได้บอกผลลัพธ์ที่เขาได้กลับมาว่ามันเป็นยังไง ให้เจ้าตัวลองไปทำดูเองน่าจะดีกว่า
     
    “ขอบใจมากเลยนะ...อุ้ย!” เยซองเอื้อมมือไปจับมือยุนโฮก่อนจะยิ้มตาปิดแต่กลับต้องเบิกตากว้างอีกครั้งก่อนจะรีบชักมือกลับมาด้วยความตกใจ
     
    “ทำไมมือนายมันเย็นแบบนี้ล่ะ อย่างกับน้ำแข็งเลย” พูดพร้อมกับลูบมือตัวเองไปมา มือเขามันรู้สึกชาขึ้นมาทันทีเลยที่แตะถูกมือของยุนโฮ
     
    “สงสัย....อากาศมันเย็นมั้ง” ตอบก่อนจะทำท่ามองลมฟ้าอากาศที่มีเพียงลมพัดมาเบาๆเท่านั้น ไม่ได้ให้ความรู้สึกหนาวเย็นเลยแม่แต่น้อย
     
    ได้ฟังคำตอบเยซองก็ได้แต่พยักหน้าตอบแบบงงๆเล็กน้อย อากาศมันเย็นตรงไหนกัน
     
                    “นี่ก็ดึกมากแล้วนายกลับขึ้นนอนไปเถอะ” ยุนโฮบอกก่อนจะลุกขึ้นเยซองจึงลุกขึ้นตาม
     
                    “แล้วเจอกันใหม่นะ” บอกลาเพื่อนมนุษย์อีกครั้งก่อนจะเดินแยกมาอีกทาง
     
                    เยซองยิ้มให้ยุนโฮบางๆก่อนจะเดินมาตามทางของตัวเองบ้าง ช่วงขายาวก้าวเดินมาได้สองสามก้าวก็หันกลับไปมองทางที่เดินจากมาเพราะรู้สึกเหมือนว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่เขานึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
                   
                    “หายไปไหนเร็วจังวะ” เยซองอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อหันกลับมาแล้วไม่เห็นใครแม่แต้คนเดียว ทั้งๆที่ยุนโฮน่าจะยังอยู่ ถึงจะให้เดินเร็วแค่ไหน แต่ก็ไม่น่าจะหายไปภายในเวลาไม่ถึงนาทีได้
     
                    “น่าขนลุกชะมัด” พูดกับตัวเองเสียงสั่นพลางทำท่ากอดตัวเองเมื่อบรรยากาศที่ตอนแรกเขาว่ามันหดหู่เพราะความน้อยใจที่มีต่อเรียวอุก แต่ตอนนี้มันน่าขนลุกจนน่ากลัว เขากล้าเดินลงมาในที่แบบนี้คนเดียวได้ยังไงกัน
     
                    และแล้วเยซองก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว เพราะคงเข็ดกับการขึ้นลิฟต์ตอนกลางคืนไปอีกนาน 

                                                                                    ----------------------------------------------------



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×