คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Chapter28 : Full of Happines
Chapter28 : Full of Happines
ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องสนุกไปเสียแล้วกับการได้แลกเปลี่ยนความคิดหรือเรื่องเล่าต่างๆนานให้อีกฝ่ายฟัง อดีตเพื่อนรักที่กำลังจะกลับมาเป็นเพื่อนรักกันอีกครั้ง และอดีตของคำว่าศัตรูบัดนี้กำลังจะแปลเปลี่ยนเป็นคำว่ามิตรภาพ
“พรุ่งนี้คังอินกับฮีชอลจะแต่งงานกันที่นี่ หวังว่าทุกคนคงจะมาได้นะ” คำพูดของฮโยริทำเอาทุกคนเงียบไปในทันที จะมีก็แต่คนในครอบครัวลีเท่านั้นที่ยังคงยิ้มยินดีกับเรื่องที่ได้ยินนี้ ความจริงแล้วเธอกะว่าจะส่งการ์ดไปเชิญโจกรุ๊ปทุกคนให้มาร่วมงาน แต่มาเจอกันที่นี่เสียก่อนจะได้บอกข่าวดีให้รู้กันถ้วนหน้าไปทีเดียวเลย
สายตาของประธานโจกรุ๊ปอย่างซีวอนเปลี่ยนไปทันทีที่ฮโยริเอ่ยจบลง การแต่งงานคือการตัดสินใจแล้วว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่กับคนๆนั้นไปตลอดชีวิต ทั้งที่เขาดีใจอย่างมากที่จะได้เจอฮีชอลในวันนี้ถึงแม้จะยังไม่ได้คุยอะไรกันซักคำเลยก็ตาม แต่เพราะเรื่องการแต่งงานที่ได้ยินเมื่อซักครู่ที่ผ่านมา มันทำให้เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“จริงเหรอ!” คงจะมีแค่เยจินคนเดียวเท่านั้นที่ทำท่าดีอกดีใจกับเรื่องนี้
“ก็เขาเป็นคู่หมั้นกันนี่นา” แล้วผู้ใหญ่ทั้งสองก็คุยกันอย่างร่าเริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เด็กๆจึงถูกตัดออกจากโลกส่วนตัวของฮโยริกับเยจินในทันใด
อึนฮยอกที่นั่งเงียบมาทั้งวันตั้งแต่เจอกับครอบครัวลีหันมองอีทึกกับซีวอนสลับกันไปมา สายตาของซีวอนฉายแววความผิดหวังเสียใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดและคงจะตกใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าคังอินกับฮีชอลเป็นคู่หมั้น เพราะเขารู้ดีว่าซีวอนคิดอย่างไรกับฮีชอล พอมารู้ข่าวนี้ก็คงช็อคไม่น้อยเลยทีเดียว ต่างกับอีทึกที่ยังคงทำหน้าเรียบเฉย ใบหน้าสวยเบือนหนียามเมื่อคังอินพยายามหันมาสบตาด้วย
ฝั่งผู้ใหญ่ยังคงคุยกันไปโดยลืมไปเลยว่ารอบตัวยังมีอีกหลายชีวิตนั่งอยู่ด้วย และสุดท้ายแล้วความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดของซีวอนก็หมดลง ประธานแห่งบริษัทโจกรุ๊ปลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปรั้งข้อมือฮีชอลให้ลุกขึ้นก่อนจะพาเดินออกไปนอกโบสถ์
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” อารมณ์ของความผิดหวังเสียใจถูกปล่อยออกมาพร้อมกับคำพูด ซีวอนปล่อยมือฮีชอลออก คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้าทำลงไป
“ทำอะไร” คนที่ถูกลากมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตีหน้าซื่อถามออกไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าที่ซีวอนถามออกมานั้นหมายถึงอะไร
“ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว คุณกำลังจะแต่งงานทั้งที่ผมรักคุณนี่เหรอฮีชอล”
“นายเหรอรักฉัน แล้วที่ลากฉันไปคอนโดคราวนั้น นายทิ้งฉันไว้โดยไม่คิดจะสนใจเลยซักนิด แบบนั้นมันเรียกว่ารักใช่มั้ย”
“ผม...” ซีวอนเถียงอะไรไม่ออก ทั้งหมดที่เขาทำไปตอนนั้นเพราะความโมโห โกรธที่ฮีชอลทำกับอีทึกไปแบบนั้น แต่เขาไม่เข้าใจ คังอินขืนใจอีทึกทั้งที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว แล้วฮีชอลไม่รู้สึกอะไรเลยหรือยังไง
“ขอโทษด้วยนะซีวอน นายมาบอกฉันตอนนี้มันสายไปแล้ว เพราะฉันตัดสินใจไปแล้ว ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ฉันรักแล้วเขาก็รักฉันจริง” พูดเน้นย้ำให้ซีวอนได้เข้าใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโบสถ์เช่นเดิม
ซีวอนได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮีชอลทำ ไม่เข้าใจจริงๆ เขาไม่เห็นว่าคังอินกับฮีชอลจะรักกันตรงไหน คนรักกันเขาจะปล่อยให้คู่หมั้นตัวเองออกมาเที่ยวนอนกับใครต่อใครไปทั่วหรือไง แล้วคนเป็นคู่หมั้นกันเขาจะสั่งให้คนของตัวเองไปมีอะไรกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ
บรรยากาศในตลาดของที่นี่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ร้านค้าร้านเดิมยังคงตั้งอยู่ในที่ของมัน คยูฮยอนเดินกุมมือซองมินไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านรามยอนที่เคยมากินด้วยกันเมื่อปีที่แล้ว มันทำให้เขาหวนนึกถึงความสุขในคราวนั้น กับลีซองมินคนที่กำลังจะปลิดชีวิตพ่อของเขาแต่เขากลับพาหนีออกมา มันช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกเสียจริง
ซองมินมองเข้าไปในร้านเหมือนอยากจะถามว่าที่นี่หรือคือเรื่องที่คยูฮยอนจะบอกกับเขา หรือเป็นเพราะว่าเจ้าตัวหิวเลยอยากจะมาหาอะไรกิน
“ไปกันเถอะครับ” แล้วคยูฮยอนก็จูงมือซองมินเดินผ่านหน้าร้านไป ดูท่าทางแล้วจะอารมณ์ดีไม่น้อยเลย ต่างกับซองมินที่ยังคงวางฟอร์มไว้อยู่เล็กๆ เพราะยังไม่เปิดใจให้คยูฮยอนอย่างเต็มที่นัก
“ผมดีใจมากเลยนะครับที่พี่ยังใส่มันอยู่” เพราะคำพูดของคยูฮยอนทำให้ซองมินมองต่ำไปที่ข้อมือของตนเอง นาฬิกาสีเงินล้อมด้วยคริสตัลยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่องจากได้รับการดูแลรักษาที่ดีจากเจ้าของของมัน
“เพราะมันเป็นของชิ้นเดียวที่นายซื้อให้พี่” ตอบออกมาเรียบๆหากแต่ประโยคนี้กลับทำให้คยูฮยอนยิ้มไม่หุบ เป็นของชิ้นเดียวถึงต้องรักษาให้ดี เพราะว่ามันเป็นของชิ้นสำคัญ
“พี่จำเรื่องนาฬิกาที่ผมเคยบอกกับพี่ได้มั้ย” คยูฮยอนพาซองมินมาหยุดอยู่ที่ร้านนาฬิกา แม่ค้าเจ้าของร้านที่คยูฮยอนจำหน้าได้ดีเดินออกมาจากร้านพร้อมกับยิ้มหวานให้
“นาฬิกาเรือนนี้” ซองมินดูจะแปลกใจไม่น้อยเลยที่ยังคงเห็นนาฬิกาเรือนสีดำที่เหมือนกับของเขาวางอยู่บนกล่องของมันที่เดิม ทั้งที่เวลาผ่านมากว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่มีใครซื้อนาฬิกาเรือนนี้ไป
“มันขายไม่ออกน่ะค่ะ สงสัยมันคงรอคนที่คู่ควรกับมันมาซื้อมันไป” เป็นคำพูดที่ฟังดูดีทีเดียวสำหรับวิธีการขายของของป้าแม่ค้าเจ้าของร้าน แต่ก็ใช่ว่าเธอจะพูดแค่เอาใจลูกค้าเท่านั้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครหยิบนาฬิกาเรือนนี้ขึ้นมาดูเลยทั้งที่มันสวยมากแท้ๆ
“แล้วเจ้าของของมันก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้วไงครับป้า” คยูฮยอนเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางหยิบนาฬิกาเรือนดังกล่าวขึ้นมาดู ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ความสวยงามของมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ
“มันเป็นของนายคยูฮยอน ป้าครับใส่กล่องให้ด้วยนะครับ” ซองมินบอกกับคนทียืนอยู่ข้างๆก่อนจะหันไปบอกกับป้าเจ้าของร้าน เงินจำนวนหนึ่งถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า นาฬิกาเรือนนี้เขาจะเป็นคนซื้อให้คยูฮยอนเอง
ถุงกระดาษใบเล็กที่ด้านในมีนาฬิกาเรือนสวยอยู่ในนั้น ถึงราคาจะสูงไม่สู้กับของในเมือง แบรนด์หรือยี่ห้อไม่ใช่สำหรับคนมีเงินเขาใช้กัน บางทีมันอาจจะเป็นเพียงของก็อบปี้หรือทำเลียนแบบกันมา แต่คุณค่าทางจิตใจที่ได้มันมาของราคาแพงๆคงสู้ไม่ได้เลย
เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วคยูฮยอนก็ชวนซองมินเดินเล่นกันต่ออีกซักพักก่อนที่จะกลับไปที่โบสถ์เพื่อไปหาทุกๆคน เดินไปตามล็อกนู้นล็อกนี้ก็ได้ของติดมือกลับมาเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะของกิน เพราะพวกเขาคิดว่าคนที่รออยู่คงจะหิวกันแล้ว เพราะนี่ก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองแล้ว ข้าวเที่ยงยังไม่มีใครได้กินกันเลย
ซองมินกับคยูฮยอนเดินเข้าไปในโบสถ์ซึ่งมีทุกๆคนนั่งรออยู่พร้อมกับของเต็มไม้เต็มมือ ฮโยริเห็นแล้วก็อดจะแปลกใจไม่ได้ที่เห็นทั้งสองคนดูสนิทสนมกันขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นต้องมากมาย และระยะเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีก็ไม่ได้ปรับความเข้าใจอะไรกันเลยซักนิด แต่กลับออกไปด้วยกันอย่างกับว่าไม่มีอะไรค้างคาใจกันอยู่เลย แต่สำหรับเยจินนั้นออกจะดูดีใจกับคยูฮยอนที่เห็นลูกชายคนเล็กของตนมีความสุขได้ขนาดนี้
“หนูซองมินสบายดีมั้ยจ๊ะ” คำถามของเยจินทำเอาซองมินหยุดชะงักในทันที มือที่กำลังจะยื่นของกินให้กับเรียวอุกค่อยๆลดลงมาอยู่ข้างๆตัว ความรู้สึกผิดที่เคยทำกับเยจินไว้มันยังคงฝังอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้ เขาไม่รู้ว่าเยจินจะรู้หรือไม่ว่าคนที่ยิงตัวเองนั้นเป็นเขา แต่พอมาโดนถามด้วยคำถามแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
“สบายดีครับ” ตอบกลับไปเสียงเบาหวิว ก่อนจะยื่นของให้เรียวอุกที่นั่งข้างตนเองอีกครั้ง ปฏิกิริยานี้ของซองมินคงมีแต่คนในครอบครัวกับคยูฮยอนเท่านั้นที่เข้าใจ
“ผมว่าเรากลับบ้านกันดีกว่าครับ ก่อนมันจะเย็น” คยูฮยอนเสนอออกมาเมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มดูหดหู่ชอบกล เขาไม่อยากให้ซองมินเป็นแบบนี้เลย ในอดีตคนเราย่อมทำผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อได้รับการให้อภัยแล้วเราก็ควรจำมันไว้เป็นบทเรียน ไม่ใช่ว่าเก็บมามันตอกย้ำให้ชีวิตต้องมืดมนยิ่งกว่าเดิม
ข้อเสนอของคยูฮยอนได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน ต่างคนต่างครอบครัวต่างก็เดินไปขึ้นรถของตัวเองเพื่อเดินทางกลับบ้าน คังอินเป็นคนสุดท้ายที่เดินออกมาจากภายในโบสถ์ ด้านหน้าของเขาคือเลขาคนสวยแห่งโจกรุ๊ปที่ก้าวอย่างช้าๆไม่ดูเร่งรีบอะไร
ตอนนี้คนที่เขาอยากจะคุยด้วยมากที่สุดอยู่แค่เอื้อมมือเท่านั้น คังอินก้าวเท้าให้เร็วขึ้นจนเดินไปอยู่ระดับเดียวกับอีทึก เลขาคนสวยเพียงแค่เหลือบมามองเท่านั้นก่อนจะทำเป็นไม่สนใจคังอินซะ
“คุณสบายดีใช่มั้ย” นี่คงเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้จากคนที่เราเป็นห่วงมากที่สุด หากคำตอบที่ได้รับคือคำว่าสบายมันก็จะทำให้เราหายห่วงไปได้บ้าง
“ก็มีความสุขกว่าตอนที่ถูกขังแล้วกัน” อีทึกเหลือบตากลับมามองก่อนจะหันหน้ากลับไปมองทางอย่างเดิม
“แล้วคุณคิดยังไงกับงานแต่งงานของผมเหรอ คุณไม่....อ้าว! คุณ” ยังไม่ทันที่จะคำถามจะจบประโยคอีทึกก็เดินหนีไปเสียแล้วเพียงแค่ได้ยินคำว่างานแต่งงานเท่านั้น
คังอินหยุดยืนอยู่กับที่ มองอีทึกที่เดินจ้ำไปหาซีวอนที่เดินออกนอกโบสถ์เรียบร้อยแล้ว
“คุณคงรักซีวอนอยู่สินะ” พูดออกมาด้วยความน้อยใจ ทั้งที่คังอินกำลังจะแต่งงานในพรุ่งนี้แล้ว แต่กลับมาอาลัยอาวรณ์อยู่กับคนที่ไม่เคยคิดจะมาสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ก็แน่ล่ะ ในเมื่ออีทึกโดนเขาขืนใจไปคงไม่มีทางที่จะยอมให้อภัยเขาง่ายๆอยู่แล้ว
พิธีสำคัญถูกจัดขึ้นยังโบสถ์เล็กๆแห่งเดิม งานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายไม่มีพิธีอะไรมากนัก คนที่ได้รับเชิญมาร่วมงานนั้นมีเพียงไม่กี่คน จะพิเศษก็ตรงที่มีนายตำรวจหนุ่มสองคนตามคุณอดีตมือปืนเลือดเย็นมาด้วยเมื่อรู้ว่าครอบครัวลีกลับมาที่เกาลีแล้ว และฮีชอลกับคังอินกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกัน
“ทำไมซีวอนถึงยังไม่มาอีกล่ะ” อีทึกหันไปถามอึนฮยอกที่นั่งอยู่ข้างๆตน เพราะตอนนี้พิธีใกล้จะเริ่มเต็มทีแล้วแต่ซีวอนกลับยังไม่โผล่มาเสียที เมื่อวานหลังจากไปถึงโซลซีวอนก็ไม่กลับเข้าบ้านอีกเลย คงจะไปเที่ยวอยู่ที่ไหนซักแห่ง และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างเนื่องจากติดต่อไม่ได้เลย
“คุณซีวอนไม่รับสายเลยครับ” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเครียดเมื่อโทรหาซีวอนกี่ทีเจ้าตัวก็ไม่ยอมรับ
“คงทำใจไม่ได้ล่ะมั้ง” ทงแฮเสริม ที่ซีวอนเป็นแบบนี้อีกทั้งที่เลิกเที่ยวกลางคืนมานานแล้วก็มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่เขานึกออก
ทุกคนพากันหันไปมองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ไม่นานนักบาทหลวงก็เข้ามาในพิธี ตามด้วยเจ้าบ่าว ก่อนปิดท้ายด้วยการเปิดตัวเจ้าสวย ชุดที่คังอินกับฮีชอลใส่นั้นคล้ายคลึงกันเป็นสูทสีขาวสะอาด เป็นสูทแบบกระดุมสองเม็ด คังอินผูกเนคไทและฮีชอลติดโบว์หูกระต่าย
พิธีการเริ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อบุคคลสำคัญในพิธีการเดินทางมาถึง บาทหลวงทำหน้าที่กล่าวนำคำสาบานของคู่บ่าวสาวเพื่อให้ทั้งสองได้ยืนยันว่าจะรักกันตลอดไป
“ท่านทั้งสองมาที่นี่โดยไม่ถูกบังคับแต่มาด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริงเพื่อเข้าพิธีสมรสหรือ?”
“ครับ”
“ครับ”
บ่าวสาวเอ่ยตอบออกมาพร้อมกัน ฝั่งครอบครัวนั่งมองทั้งคู่แล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข ต่างกับฝั่งโจกรุ๊ปที่ดูจะนั่งไม่ค่อยติดเก้าอี้ เพราะตอนนี้ทุกคนรู้สึกเป็นห่วงท่านประธานบริษัทเป็นอย่างมาก ไม่รู้ที่ไม่ยอมรับโทร
ศัพท์แบบนี้ กำลังคิดทำอะไรบ้าๆอยู่หรือเปล่า
“เมื่อเข้าสู่ชีวิตสมรสแล้ว ท่านทั้งสองพร้อมที่จะรักและยกย่องให้เกียตริกันและกันจนตลอดชีวิตหรือ?”
“ครับ”
“ครับ”
พิธียังคงดำเนินต่อไปตามลำดับขั้นตอน เรียวอุกเหลือบหันไปมองโจกรุ๊ปที่รู้สึกว่าจะอยู่กันไม่ค่อยเป็นสุขแล้วยิ้มออกมา ยังไงซะพิธีในวันก็ถือเป็นโฆษะอยู่แล้ว เพราะคงมีแต่คนในครอบครัวลีเท่านั้นที่รู้ว่าการแต่งงานถูกจัดขึ้นเพื่อเหตุผลบางประการเท่านั้น เหตุผลที่ฮีชอลอยากจะพิสูจน์อะไรบ้างอย่าง
“โดยที่ท่านทั้งสองมีเจตจำนงที่จะสมรสกัน ขอให้จับมือขวาของกันและกันและแสดงความสมัครใจ ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าและพระศาสนจักรหรือ?”
คังอินกับฮีชอลหันหน้าเข้าหากันก่อนจะจับมือขวาของกันและกันขึ้นมา ฮีชอลเม้มปากแน่นเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งป่านนี้แล้วคนที่เขารอกลับไม่มาเสียที ดวงตาของทั้งสองคนสบกันก่อนที่คังอินจะเริ่มพูดคำสาบานต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
“ข้าพเจ้านายคิมยองอุน ขอรับคิมฮีชอลเป็นภรรยาและขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคิมฮีชอลทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ทั้งเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณคิมฮีชอลจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ฮีชอลก้มหน้าลงนิ่งเมื่อคังอินกล่าวจบ เบี่ยงหน้าหันไปมองที่ประตูที่ยังคงปิดสนิท ซีวอนคงไม่มาแล้วสินะ ที่ทางครอบครัวลีได้จัดพิธีนี้ขึ้นเพราะฮีชอลต้องการพิสูจน์ใจซีวอนว่ายังรักตนอยู่มากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวเขากับคังอินนั้นได้ตกลงใจถอนหมั้นกันเมื่อกลางปีที่แล้ว เพราะเรื่องราวตลอดเวลากว่าสี่ห้าปีที่หมั้นหมายกันไว้มันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น เป็นความต้องการของทางผู้ใหญ่ที่อยากจะให้ชีวิตของพวกเขามีคู่ครองที่ดีที่ผู้ใหญ่เห็นชอบด้วย
สุดท้ายแล้วฮีชอลจำต้องกล่าวคำสาบานของตนเองออกมาเบาๆ และต่อจากนี้ไปจะเป็นพิธีการแลกแหวน
“ความสมัครใจของท่านทั้งสองได้แสดงต่อหน้าพระศาสนจักรนี้ ขอพระเจ้าทรงเมตตา ทำนุบำรุงให้แข็งแรง และประทานพระพรแก่ท่านทั้งสองอย่างอุดมสมบูรณ์”
“อาเมน” ฮีชอลและคังอินรับคำพร้อมกัน
“พระเจ้าข้าโปรดเสกแหวนสองวงนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเสกในนามของพระองค์เพื่อให้ผู้สวมนั้นซื่อสัตย์ต่อกัน ดำรงอยู่ในสันติสุขและความโปรดปรานของพระองค์ จะได้เจริญชีวิตอยู่ในความรักกันตลอดไป ทั้งนี้อาศัยพระบารมีของพระคริสตเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย
“อาเมน”
คังอินจับมือข้างซ้ายของฮีชอลขึ้นมา วงสีเงินวงสวยกำลังถูกสวมเข้าไปในนิ้วนางอย่างช้าๆ ทั้งมองสบตากันตลอด เขาหวังว่าคนที่ฮีชอลรอคอยคงจะมาถึงในเวลาอันนี้ใกล้นี้
“ผมขอคัดค้านงานแต่งงานครั้งนี้” ประตูโบสถ์ถูกผลักออกด้วยฝีมือของคนที่ทุกคนกำลังรอคอย ซีวอนเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยอาการมึนๆ ทำให้การเดินนั้นเซไปมาเล็กน้อย ใบหน้ามีสีแดงจางๆด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกาย
ฮีชอลหันไปมองซีวอนที่เดินตรงมาทางเขาด้วยอาการเมาค้าง ดวงตาแดงก่ำนั้นมองที่ไปด้านหน้าอย่างเอาเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งบาทหลวง ยังไงคนที่สนับสนุนการแต่งงานครั้งคือคนผิดสำหรับเขา
“ฮีชอลจะแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้น เค้าเป็นของผม ผมรักเค้าและเค้าก็รักผม ไม่ใช่ไอ้หมีอ้วนที่ยืนอยู่ตรงนั้น” ซีวอนพร่ำเพ้อทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา ทั้งที่ตัวเองยืนตรงไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่กลับชี้หน้าคังอินอย่างเอาเรื่อง คนโดนว่าได้แต่กำหมัดอย่างข่มอารมณ์ อย่าโมโหไปเลยนั่นมันคนเมา
คำสารภาพของซีวอนทำให้ทุกคนเกิดอาการนิ่งอึ้งไปตามๆกัน ไม่คิดว่าท่านประธานสุดหล่อจะโผล่มาขัดขวางการแต่งงานในสภาพเมาหัวราน้ำแบบนี้
“ฮีชอล คุณห้ามแต่งงานกับมันนะ” ซีวอนเดินโซเซเข้าไปใกล้บริเวณที่ทำพิธี แต่ยังไม่ทันก้าวเข้าไปถึงตัวฮีชอลก็ดูเหมือนจะน็อคไปเสียก่อน
“ซีวอน!” เจ้าสาวในงานพิธีทิ้งแหวนที่เจ้าบ่าวกำลังจะสวมให้วิ่งเข้ามาดูคนที่นอนหมดสติอยู่กลางทางเดินเป็นคนแรก ฮีชอลตบหน้าซีวอนเบาๆเพื่อเรียกสติ แต่ดูเหมือนอีกคนจะหลับลึกไปเสียแล้ว
คังอินเดินลงมาจากแท่นทำพิธีตามด้วยคนที่มาร่วมงาน คนในโจกรุ๊ปทำได้แค่ยืนมองดูเท่านั้น เพราะข้างๆซีวอนนั้นมีฮีชอลอยู่แล้ว แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้มากที่สุดคงจะเป็นอาการนิ่งเฉยของคังอิน ที่เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยกับการที่ฮีชอลวิ่งออกมาหาผู้ชายอื่นแบบนี้
อีทึกเหลือบมองคังอินที่ยืนมองฮีชอลอย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอะไรแล้วก็ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ หรือเพราะคนๆนี้ไม่เคยรักใครจริงถึงได้ทนยืนมองเฉยๆแบบนี้ได้
“คุณไม่โกรธเลยหรือไง ทั้งที่กำลังจะสวมแหวนแต่ฮีชอลกลับวิ่งออกมาหาซีวอนแบบนี้” เพราะอีทึกกับคังอินยืนอยู่ด้านหลังทำให้ไม่เป็นที่สังเกตมากนักกับการสนทนากันในครั้งนี้ ดูเหมือนคนถามจะร้อนใจแทนตัวเจ้าบ่าวเสียอีก
“ก็ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ทำไมผมจะต้องโกรธด้วยล่ะครับ” ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มเหมือนเป็นการสารภาพความจริงไปในตัวด้วยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นละครฉากหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นเท่านั้น
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมคุณถึง...” ทำให้เกิดความงงงวยมากขึ้นไปอีกเมื่อคังอินพูดออกมาแบบนี้ ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วทำไมถึงแต่งงานกันได้ล่ะ โดนบังคับอย่างนั้นเหรอ
“คนที่ผมอยากแต่งงานด้วยก็คือคุณนะอีทึก” คำสารภาพของคังอินนั้นดังอยู่พอสมควรทำให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันไปสนใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งฮีชอล
คนที่เหมือนถูกขอแต่งงานกลายๆ นิ่งอึ้งไปทันที อีทึกยืนมองหน้าคังอินนิ่งท่ามกลางสายตาของทุกคน เมื่อได้พูดมันออกไปแล้วคังอินก็เตรียมรุกหน้าเต็มที่ เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของอีทึกแล้วหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้น
“ผมไม่ได้ขอให้คุณตอบตกลงผม ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่าผมรักคุณมากก็เท่านั้น” คังอินจับมือข้างซ้ายของอีทึกขึ้นมาก่อนจะสวมแหวนวงดังกล่าวให้ มันไม่ใช่แหวนที่เขาจะสวมให้ฮีชอลแต่มันเป็นแหวนที่เขาเตรียมมาให้กับคนที่เขารักโดยเฉพาะ
อีทึกยังคงนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าปฏิเสธและตอบตกลงอะไรออกมา เลยปล่อยให้คังอินได้ทำตามใจชอบ
“คนนี้ผมจองแล้วนะครับ” สวมเสร็จคังอินก็ตะโกนจนก้องไปทั่วโบสถ์ อีทึกจะมาออกปากปฏิเสธอะไรตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้วเมื่อดูเหมือนทุกคนจะยินดีกับคังอินไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงปรบมือแสดงความดีใจดังออกมาจากฝั่งครอบครัวโจไม่เว้นแม้กระทั่งเยจินเองก็ดูเหมือนจะคล้อยตามไปกับคนอื่นเขาด้วย
“แต่ผม...”
“มีคนมาจองแล้วนะพี่ จะได้ไม่ขึ้นคาน” พอจะค้านอีทึกกลับโดนอึนฮยอกขัดจนกลายเป็นว่าเขาโดนมัดมือฉกให้ตอบตกลงคำสารภาพของคังอินไปเสียแล้ว ไม่เข้าใจจริงๆเลย ทั้งที่คังอินทำกับเขาขนาดนั้นแต่ทำไมทุกคนถึงยังเห็นดีด้วย
เรื่องทุกอย่างจบลงอย่างสวยงามเมื่อซีวอนกลับมาทวงฮีชอลคืน คังอินเองก็ทำการจับจองอีทึกเป็นของตัวเองทั้งที่อีกคนไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่ แต่เพราะตลอดเวลาที่คังอินคอยดูแลอีทึกอยู่ไม่ห่าง ทำให้กำแพงที่หนามันเริ่มบางลง ความผิดที่ทำลงไปได้มีความดีมาทดแทน ถึงแม้คังอินจะไม่ได้สมหวังในรักแต่เขาก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธจากคนที่รัก เพียงแค่รอเวลาที่อีทึกจะยอมรับในตัวเขาก็เท่านั้น
สุดท้ายแผนที่ฮีชอลกับทุกคนในครอบครัวได้วางไว้ก็ผ่านไปอย่างสวยงาม ทุกคนทยอยกันเดินออกมาจากโบสถ์ปล่อยให้ฮีชอลคอยดูแลซีวอนจนกว่าจะฟื้นอยู่ในนั้นตามลำพัง
“ตามอึนฮยอกอยู่แบบนี้ไม่กลัวเขารำคาญชักปืนออกมายิงเหรอครับ” เห็นฮันคยองที่เดินตามอึนฮยอกอย่างเป็นหนึ่งในลูกน้องทงแฮก็อดจะแซวออกมาไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่อึนฮยอกกับฮันคยองออกจากโรงพยาบาล มีเวลาว่างทีไรคู่นี้ก็ทำตัวติดกันตลอด จนเขาคิดว่าทั้งสองคบกันเสียอีก
“ถ้าเขาชักปืนออกมาจริงๆคงได้แค่ขู่นั่นแหละ” คำตอบของฮันคยองทำเอาอึนฮยอกหันขวับกลับไปมองทันที แต่มันก็จริงอย่างที่ว่า เพราะตั้งแต่ที่ยิงฮันคยองไปคราวนั้นต่อมาเขาก็ทำได้แค่ชักปืนออกมาขู่ ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งที่สองที่เขาจะยิงจริงๆก็ได้ เอาให้ตายจะได้ทำพิธีฝังทีเดียวไปเลย
“ชีวิตของผมเป็นของเขาแล้วนี่ครับ” กลับไปตอบคำถามของทงแฮอีกครั้งก่อนจะยิ้มบางๆ อึนฮยอกคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ฆ่าเขา ในเมื่อเจ้าตัวบอกออกมาแบบนี้ เลยเหมือนกับว่าเขาได้บอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ใครที่มันคิดจะปองร้ายเขาโดนอึนฮยอกเก็บก่อนทุกราย
ดูเหมือนคำตอบนี้ของฮันคยองจะทำให้อึนฮยอกพอใจเป็นอย่างมาก แต่คงไม่มีใครเข้าใจความหมายจริงๆของคำว่าเจ้าของชีวิตในนิยามของฮันคยองกับอึนฮยอกมันหมายความว่ายังไง
ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าคนเมาจะได้สติกลับมาอีกครั้ง ซีวอนปลือตาขึ้นมาอย่างช้าๆ รู้สึกมึนหัวไปหมดอย่างกับว่าศีรษะของเขาโดนทุบด้วยอะไรหนักๆ
“มาสร้างเรื่องแต่กลับสลบไปแบบนี้มันใช้ไม่ได้เลยนะ” ซีวอนลืมตาโผลงขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงที่เขาคุ้นเคยดีดังอยู่ข้างหู และเมื่อมองไปตรงหน้าก็พบกับฮีชอลที่ส่งยิ้มบางๆให้เขาอยู่
“ฮีชอล โอ้ย!” จากที่จะลุกขึ้นซีวอนกลับต้องทิ้งตัวลงนอนบนตักของฮีชอลอย่างเดิม เมื่อหัวมันหนักจนลุกไม่ขึ้น ยังแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่สามารถขับรถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย ทั้งที่เมื่อวานเขาดื่มหนักมากๆ
“ลุกไม่ไหวก็นอนอยู่เฉยๆนั่นแหละ รู้มั้ยว่านายมาทำลายงานแต่งงานของฉัน” พูดทำท่าเหมือนจะโกรธ แต่ข้างในใจกลับกำลังยิ้มอย่างมีความสุข
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่งั้นคุณต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก” ซีวอนขอเข้าข้างตัวเองไว้ก่อนแม้ยังไม่มั่นใจว่าฮีชอลจะยังรู้สึกแบบเดียวกับตนหรือเปล่า
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีน่ะซีวอน ในเมื่อเขากับฉันเป็นคู่หมั้นกันทำไมฉัน...” คำพูดของฮีชอลถูกกลืนลงคอไปทันทีเมื่อซีวอนโน้มคอของฮีชอลลงไปจูบ กลิ่นของแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วปากเมื่อซีวอนสอดลิ้นเข้ามาภายใน แต่แทนที่ฮีชอลจะขัดขืนเหมือนคำพูดของตัวเองแต่เขากลับโอนอ่อนให้ซีวอนอย่างง่ายดาย เพียงแค่ได้ลิ้มรสกับสัมผัสเดิมที่คุ้นเคยก็ทำให้ใจอ่อนระทวยลงมากแล้ว
“แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคุณรักผม ห้ามบอกว่ารักใครนอกจากผมอีก เข้าใจมั้ยครับ” ถอนริมฝีปากออก เลื่อนมือมาจับใบหน้าของฮีชอลไว้ก่อนจะประกบจูบลงไปอีกรอบเมื่อพูดจบ
จูบที่แสนหอมหวานและดูดดื่มถูกมอบให้แก่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักเบื่อ จนลืมไปเสียสนิทเลยว่ามีอีกหลายชีวิตที่ยังคงรอคอยเขาทั้งสองคนอยู่ด้านนอกของโบสถ์
“พี่เขาจูบกันอีกแล้ว” เรียวอุกที่ยืนแอบดูอยู่หันไปบอกเยซองที่ยืนผิงกำแพงอยู่ข้างๆ อิจฉาพวกผู้ใหญ่จริงๆ จะทำอะไรกันก็ได้ไม่ต้องแคร์สายตาใคร เมื่อไหร่เขาถึงจะเรียนจบซักทีนะ เยซองจะได้ไม่เห็นเขาเป็นเด็กอีก
“เลิกแอบดูคนอื่นได้แล้วน่า กลับไปหาทุกคนกันเถอะ” เยซองกระตุกแขนคนตัวเล็กของเขาเบาๆเพื่อให้เดินตามมา แต่เหมือนเรียวอุกคงจะติดใจกับภาพที่ได้เห็นถึงไม่ยอมเลิกดูเสียที
“อยากได้แบบสองคนนั้นบ้างหรือไง”
“เปล่าครับ ปะ...” ได้ยินแบบนี้เรียวอุกจึงรีบหันมาปฏิเสธแต่กลับโดนเยซองดึงเข้าไปจูบ คนตัวเล็กเลยได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกใจ จูบแรกระหว่างเขากับเยซองเลยนะเนี่ย
สองครอบครัวยังคงคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย เพื่อรอเวลาที่ทุกคนจะกลับมารวมตัวกันครบและเดินทางกลับบ้าน ต่างคนก็ต่างนั่งแยกกันเป็นคู่ ที่ดูจะสะดุดหน่อยคงเป็นคังอินกับอีทึกที่ยังคงเถียงกันไม่เลิก อีกคนอยากจะทำนู้นทำนี้ให้แต่กลับโดนปฏิเสธกลับมาตลอด
ส่วนซองมินนั้นดูเหมือนคนเป็นแม่จะเกิดอาการหวงเป็นพิเศษ นั่งคุมไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาเมื่อรู้ว่าซองมินได้ตกลงคบหาดูใจกับคยูฮยอนแล้ว
“ป้าฮโยริครับ งานหน้าขอเป็นงานผมกับพี่ซองมินนะครับ” เมื่อฮโยริไม่ยอมปล่อยซองมินไปไหน คยูฮยอนก็เลือกที่จะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นซะเลย คำขอนี้ของเขาทำเอาพวกผู้ใหญ่หัวเราะออกมา แต่ซองมินกลับยิ้มเหมือนเอ็นดูเขาเสียมากกว่า
“ฝันไปเถอะย่ะ!” พูดจบก็หัวเราะอย่างชอบใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูผิดหวังของคยูฮยอน แต่นี่ก็เป็นเพียงคำพูดที่ล้อกันเล่นเท่านั้น เยจินนั่งมองลูกแล้วก็อมยิ้มไม่หุบ แบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นคยูฮยอน คนที่เป็นเพียงเด็กมหาวิทยาลัยธรรมดา ไม่ต้องมาคอยนั่งทำหน้าเครียดกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา
“งั้นเราหนีไปด้วยกันเถอะครับพี่ซองมิน” คยูฮยอนเดินเข้าไปหาซองมินก่อนจะดึงข้อมือซองมินให้ลุกออกมาจากที่นั่ง ก่อนจะออกวิ่งไปด้วยกัน เส้นทางที่ทอดยาวไปยังสถานที่ที่บุคคลสำคัญของเขารออยู่ที่นั่น เส้นทางที่มีดอกไม้สีขาวรายล้อมตอลดทาง
ฮโยริกับเยจินมองลูกชายของเธอทั้งสองคนออกวิ่งไปด้วยกันอย่างมีความสุข รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าจนมันแทบจะหุบไม่ลง ต่อจากนี้ไปเส้นทางของพวกเขาคงจะได้พบกับความสุขเสียที
------------------------------------------
kr...Talk
สวัสดีจ้าเพื่อนแฟนฟิคทั้งหลาย
คิดถึงไรเตอร์กันไหมเอ่ย?
ขอโทษทีนะจีะที่มาอัพให้ช้า เกินไปตั้งอาทิดนึง ไม่เป็นรัยใช่ไหม?
ก็ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว เข้าใจไรเตอร์หน่อยนะ
และแล้วก็จบที่วอนซิน คังทึก
ต้องขอโทษคุณ u moon ด้วยนะค่ะที่วอนทึก คังซินให้ไม่ได้
ไซโคอย่างไรก็ไม่สำเร็จ คิคิ
หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะจบแบบแฮปปี้เหมือนที่ทุกคนต้องการนะ
เหลืออีก1ตอนฟิคก็จะจบเรื่องแล้วนะ รู้สึกใจหายเหมือนกัน
แต่เรื่องนี้จบก็ติดตามอ่านเรื่องอื่นของไรเตอร์ได้นะ
วันที่15มิ.ย อย่าลืมไปหอบสาหร่ายมาชิตะกลับมากินบ้านนะทุกคน
แล้วเจอกันจ้า
ตอนหน้าสเปเชียลคยูมิน
ความคิดเห็น