ลำดับตอนที่ #14
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ทฤษฎี Self Fulfilling Prophecy ( 2 )
                          หมายเหตุ  เขียนวันที่  30 มี.ค.48    หนัก 86.0 กิโลกรัม
                          เรามาว่ากันต่อนะครับว่า SFP เกี่ยวยังไงกับการลดน้ำหนัก จริงๆแล้วต้องพูดว่าเกี่ยวยังไงกับการที่ทำให้คนอ้วนด้วยซ้ำไป เท่าที่ผมสังเกตพฤติกรรมของตัวเองและเพื่อนๆที่อ้วนเหมือนๆกัน ปรากฏว่าทฤษฎีนี้น่าจะอธิบายสิ่งต่างๆได้ดีทีเดียว
                        แต่สิ่งแรกที่เริ่มต้นต้องมาจากตัวเราก่อน ตัวเราอาจจะเป็นคนที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารอยู่แล้ว โดยเฉพะอย่างยิ่งอาหารที่มีแคลอรี่สูง แต่การที่เราแสดงออกไปอย่างนั้นกับสังคม มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้เราต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนแรกเราอาจจะเริ่มท้วมๆแค่นั้น แต่พอเวลาผ่านไป หลายคนรอบข้างอาจจะคิดว่า เราเป็นคนที่ทานเยอะ ถ้าทานน้อยเราอาจจะไม่อิ่ม เมื่อคนรอบข้างรู้สึกอย่างนั้น ความรักเคลือบยาพิษจึงเกิดขึ้นแบบที่ใครๆไม่ทันตั้งตัว มันอาจเป็น SFP ที่ดูซับซ้อนกว่าตัวอย่างของครูมาลี
                        ด้วยความที่คนรอบข้างคิดไปแล้วว่า เราต้องทานเยอะถึงจะอิ่ม สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือตอนที่ซื้ออาหารมาให้เรากินไม่ว่าจะมื้อหลักหรือว่ามื้ออาหารว่าง มันจะดูเยอะกว่าปกติ แต่เขาคิดว่านั่นเป็นการแสดงออกของความรัก และตัวเราเองก็ไม่อยากที่จะทำให้คนที่รักเราเขาผิดหวัง ก็เลยกินไปหมดเลย ( ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ได้ต้องการกินอะไรที่มันเยอะแยะมากมายถึงขนาดนั้น แต่มันก็กินเข้าไปแล้ว ) แต่พอคนที่เขารักเราเห็นเรากินหมด เขาก็คิดว่าถ้าเราจะอิ่มเราต้องกินมากถึงประมาณนี้ ความรักแบบนี้จึงเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนน้ำหนักของเราก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่ทันตั้งตัว
                      หลายครั้งที่คนที่เรารัก กลับไปบอกคนรอบข้างเพิ่มมากขึ้นว่าเราเป็นคนที่ทานเก่งถึงจะอิ่ม ถ้าจะซื้ออะไรให้เรามันก็ต้องเป็นปริมาณที่เยอะมากๆ พอพวกนั้นซื้อมาจริงๆก็ต้องกินให้หมด ถ้ากินน้อยไปก็จะเจอข้อหาว่า \"เธอไม่รู้สึกดีกับฉันเหรอ ทีคนอื่นเธอกินเอาๆ ทีกับฉันเธอกินแค่นี้เอง\" และด้วยความเกรงใจเราก็กินมันเข้าไปอีก และมันก็เป็นการเพาะนิสัยการกินปริมาณมากที่เราเองก็ไม่ได้อยากเป็นเลยนะ มันเริ่มมาจากเรื่องของความรักแท้ๆเลย
                      จากปากต่อปากเราก็ได้ฉายาว่าเป็นคนที่กินเก่งไปโดยปริยาย และคนทั้งตำบลก็เริ่มที่จะอินกับฉายานี้ของเรา และทุกคนต่างก็คิดว่าเราเป็นคนที่กินเก่ง มันแสดงออกมาในรูปแบบที่หลากหลายเอามากๆจนบางครั้งเราเองก็นึกไม่ถึง ถ้าเขามาชวนเราไปงานเลี้ยงแล้วตั้งใจจะสั่งอาหารมาเยอะ มีหลายคนในกลุ่มบอกว่า\"สั่งมาแล้วจะกินหมดเหรอ\" แล้วก็มีคนที่รักและหวังดีต่อเรามากๆบอกออกไปว่า มีเราอยู่ยังไงก็ต้องหมดอยู่แล้ว ฟังดูมันก็เหมือนกับว่าเขาให้เกียรติเรา เขารักเราและคิดว่าเรากินเก่ง และเราก็ยอมทำตามที่เขาร้องขอโดยหารู้ไม่ว่า ตัวเราเองกำลังเพาะ \"พฤติกรรมเคยชิน\"กับการกินขึ้นมาโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว
                      หลายครั้งที่เวลาไปกินอะไรด้วยกัน พอมีอาหารเหลือหน่อย พวกเขาก็จะยกเป็นหน้าที่ของเราว่าให้เราจัดการให้หมด เหลือแล้วมันเสียดาย เราเองก็นึกเสียดาย ประเทศของเรามีคนอดอยากมากมาย แต่เรากินทิ้งกินขว้าง มันก็เหมือนกับว่าเรารู้สึกไม่ดีต่อผู้อดอยากเหล่านั้น เราจึงกิน กิน กิน และกินมันเข้าไป โดยที่ไม่ทันฉุกคิดว่า ขณะที่เราจัดการกับของเหลือเหล่านั้น ผู้อดอยากที่มีอยู่มากมายเต็มประเทศเขาไม่ได้อิ่มไปกับเราด้วย แต่เราสิกลับพกพาน้ำหนักที่เกินมากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ไม่สามารถเอาน้ำหนักของเราไปแบ่งให้กับผู้อดอยากเหล่านั้นได้เลย แต่ประการสำคัญก็คือ พวกเขาเห็นเรากิน พวกเขายิ่งคิดไปว่า เราตัวจริงต้องเป็นแบบนี้ เป็นคนที่อารมณ์ดีและกินเก่ง พอเรากินเสร็จทุกคนก็ปรบมือให้เหมือนกับเราเป็นคนพิเศษและเราก็อาจจะเผลอหลงใหลไปกับการชื่นชมนั้น จนมันกลายมาเป็นพฤติกรรมเคยชินของเราไปในท้ายที่สุด
                      ชื่อเสียงของเราก็แพร่ระบาดออกไปทั่วทุกทิศ หลายคนเชื่อเมื่อเห็นรูปร่างของเรา มันกลายเป็นหลักฐานที่สำคัญไปแล้ว ตอนนี้เรามีความสามารถที่ว่า ถึงอิ่มแล้วเราก็ยังกินได้อีก เราเริ่มเป็นที่สนใจในกลุ่มเป็นอย่างมากในฐานะที่เป็นผู้สร้างความสุขให้กับคนรอบข้าง ถ้ามีเราอยู่มุขต่างๆก็จะไหลมาเทมาอย่างมากมาย
                    \"ข้ามถนนระวังนะ เดี๋ยวถ้าเกิดรถชนขึ้นมาเดี๋ยวรถเขาจะบุบหมด\"
                    ถ้ามีคนอ้วนอยู่บนรถสองคนก็จะมีการพูดว่า \"นั่งกันคนละมุมนะ มันจะได้เกิดสมดุล\"
                    บางครั้งก็เข้ามากอดเราแล้วบอกว่า \"ตัวน่ากอดจังเลย อุ่นดีจัง\"
                    ไปกินอะไรที่ไหนก็บอกว่า \"นั่งหัวโต๊ะไปเลย ท่านประธานใหญ่ ท่านคณบดี\"
                    \"มีพี่อยู่มื้อนี้อาหารไม่เหลือแน่\"
                    พอเราอ้วนถึงระดับหนึ่งเราก็รู้ตัวเหมือนกันว่ามันเริ่มที่จะไม่ค่อยดีแล้วนะ เราเริ่มลดปริมาณการกินลงบ้าง พอลดลงหน่อยนึงก็จะมีเสียงแห่งความรักโปรยมาแต่ไกล
                    \"ทำไมวันนี้กินน้อยล่ะ\"
                    \"ไม่สบายรึเปล่า\"
                    \"มีปัญหากับใครมารึเปล่าเนี่ย\"
                    \"โกรธพวกเราเหรอเลยประท้วงไม่ยอมกิน\"
                    \"กินอะไรอีกหน่อยนะ พวกเราไม่สบายใจเลยที่เห็นนายเป็นอย่างนี้\"
                    และก็ด้วยความรักอีกนั่นแหละทำให้เรายอมกิน และกลับมากินต่อให้มันดูเหมือนเป็นปกติ กินให้พวกเขาสบายใจ กินให้เห็นว่า เราก็แคร์เขานะ เขาห่วงใยเราถึงขนาดนี้ เราอ้วนขนาดนี้ก็คงไม่เป็นไร มีแต่คนรักเราทั้งนั้นเลย
                    แต่พอวันดีคืนดีก็จะมีการพูดออกมาแบบเราเองก็ค่ดไม่ถึงเหมือนกัน
                    \"ทำไมปล่อยตัวเองให้อ้วนถึงขนาดนี้ล่ะ\"
                    \"กินอะไรไม่บันยะบันยังเลยนะ\"
                    \"โห ... ที่ผ่านมากินเข้าไปได้ยังไงเนี่ย\"
                    \"ทำไมถึงได้กินเก่งถึงขนาดนี้ล่ะ\"
                    \"กินอะไรผิดมนุษย์มนา\"
                    อ้าว และเรื่องความหวังดีล่ะครับ เรื่องรักและห่วงใยล่ะ พอเจอแบบนี้เราก็เครียด พอยิ่งเครียดก็ยิ่งกิน และมันก็ยิ่งอ้วน จะมีใครพอจะสังเกตได้ไหมว่าที่เราอ้วนอยู่ทุกวันนี้มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ แล้วทำไมสุดท้ายเราต้องมารับผิดชอบสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นกับตัวเราอยู่คนเดียวล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว เราไม่ถือโทษโกรธใครหรอกที่ผ่านมาเรายอมกินเอง เราก็คงต้องรับผิดชอบเอง
                    แต่พอเราคิดจะลดและลองสั่งส้มตำมาทานก็จะมีเสียงประมาณว่า
                    \"วันนี้เกิดอะไรกันเนี่ยถึงกินแบบนี้ล่ะ ลดไม่ทันแล้วมั้ง ผมว่าคุณไปซื้อข้าวขาหมูกับบะหมี่เกี๊ยวพิเศษ 2 ก้อนมากินเหมือนเดิมดีกว่า คุณมาทำอะไรแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ \"
                    \"ทำไมเพิ่งจะมาคิดลดเอาป่านนี้ล่ะ\"
                    \"วันนี้ไม่ต้องมาทำเสแสร้งว่าเป็นคนทานน้อยหรอก อยากกินอะไรก็ไปซื้อมาเหอะเดี๋ยวจะหิว\"
                    \"ไม่ต้องคิดมากนะ ถึงนายจะหนัก 120 โล 130 โล พวกเราก็รักนายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไปซื้ออะไรที่นายอยากกินเหอะ\"
                    แล้วเราก็ต้องมานั่งคิดว่า \"นี่มันอะไรกันวะ...นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรกัน ...ทำไมถึงปล่อยให้วงจรแบบนี้เกิดซ้ำๆซากๆอยู่ได้ ...นี่มันอะไรกันวะ มันอะไรกัน\" รู้สึกว่าผมจะโดนหนักกว่า นาย ข. เยอะทีเดียว
                    แต่ท้ายที่สุดผมก็มาคิดว่า คิดถึงแต่อดีตที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก มามองไกลไปข้างหน้าดีกว่าว่าจะทำอย่างไรดี และที่สำคัญไม่ต้องไปนั่งโทษใครด้วย ตัวเองก็ไม่ต้องไปโทษ นึกเสียว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแค่นั้นก็พอ แต่สิ่งที่สำคัญเท่าที่ปัญญาของตัวเองจะคิดได้ก็คือ
                    เมื่อมันเกิดด้วย SFP มันก็ต้องดับด้วย SFP ครับ ตอนหน้าจะมาเจาะเรื่องนี้กันครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ
                     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น