ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เกริ่นนำ
                        หมายเหตุ เขียนวันที่ 21 มี.ค.48 หนัก 89 กิโลกรัม
                        ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ แต่ไม่ใช่แนะนำเกี่ยวกับรายละเอียดของตัวเอง เช่น ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน เกิดวันที่เท่าไหร่ แต่เป็นการแนะนำว่า ก่อนที่ผมจะหนักที่สุดประมาณ 107 กิโลนั้น มันเป็นยังไงมายังไง
                      หลายคนที่เห็นโครงร่างของผมจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมไม่ใช่คนที่อ้วนแต่กำเนิด ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง ผมสูงประมาณ 175 ซม. ตอนนี้อายุ 33 ครับ ตอนก่อนสอบเอ็นฯ ผมหนักประมาณ 80 กว่าๆ แต่หลังจากผมเอ็นฯติดมหาวิทยาลัยแถวๆสามย่านแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
                      ก่อนหน้านั้นผมอยู่โรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง ซึ่งเรื่องอาหารแย่เอามากๆ อาหารที่โรงอาหารสมัยนั้นแทบจะกินไม่ได้เอาซะเลย แถมรอบๆโรงเรียนยังไม่มีห้างฯให้เราไปเดินหาของกินอีก หรือถึงจะมี อาจารย์ก็คงไม่ปล่อยให้เราไปกินอาหารเที่ยงนอกโรงเรียน ขนาดผมเองเป็นคนที่ชอบกินมากๆแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกินได้มากเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นน้ำหนักก็เลยอยู่ประมาณ 80 นิดๆเท่านั้นเอง ถ้าดูจากส่วนสูงก็อาจประมาณได้ว่าผมเริ่มอ้วนแล้ว
                    แต่พอเอ็นฯติดแถวสามย่านนี่สิครับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นเหมือนกับสวรรค์สำหรับคนที่ชอบรับประทาน พอเดินออกจากรั้วมหาลัย ทางขวาก็คือสามย่าน แหล่งอาหารที่บริบูรณ์มากๆแห่งหนึ่ง ยิ่งสมัยนั้น มันมีร้านอาหารทั้งสองฝั่งเลยครับ ทั้งฝั่งตลาดสามย่านและฝั่งที่ติดกับคณะบัญชี ส่วนทางซ้ายมือก็คือมาบุญครองกับสยาม แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารนานาชนิด  สมัยนั้นเป็นสมัยที่พวกไก่ทอด kfc กับพวกพิซซาเพิ่งเริ่มเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่นาน วัฒนธรรมการกินในระดับที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า \"บริโภคนิยม\"จึงเกิดขึ้น และดูเหมือนว่าผมจะหลงใหลวัฒนธรรมแบบนี้เข้าเต็มเปา
                    พอเอ็นฯติดปุ๊บ การฉลองก็เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน พอฉลองกันบ่อยมากๆ ก็เริ่มเพาะนิสัยให้ผมเป็นคนที่ชอบรับประทานมากยิ่งขึ้น สมัยอยู่ที่โรงเรียนผมไม่ค่อยได้ทานมื้อเช้า แต่พอมาอยู่มหาลัย มื้อเช้ากลับกลายเป็นมื้อที่พิเศษมากๆอีกหนึ่งมื้อ จะไม่ให้พิเศษได้ยังไงครับ เพราะสมัยนั้นข้าวแกงที่ตึกจุลฯกับก๋วยเตี๋ยวที่อักษรฯขึ้นชื่อมากๆ
                    พอสิ่งแวดล้อมมันเป็นแบบนี้ มันก็เลยหล่อหลอมให้เด็กหนุ่มปีหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของเขา จนกลายเป็นว่า
มื้อเช้าของผมต้องเริ่มด้วยข้าวแกงกับสองอย่างถึงสามอย่าง ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม ขนมปังทาเนยสามแผ่น แล้วปิดท้ายด้วยน้ำอัดลมหนึ่งขวด
มื้อกลางวันก็คือ ข้าวแกงหนึ่งจาน บางทีก็อาจเป็นข้าวมันไก่หรือข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยวอีกหนึ่งชาม ตามด้วยน้ำอัดลมหนึ่งขวด
มื้อเย็นนี่สิครับ อาจมีหลายแบบครับ
                  แบบที่หนึ่งคือไปมาบุญครองกัน ไปมาบุญครองนี่ก็หลายแบบครับมีทั้ง กิน kfc คนเดียว 6-8 ชิ้น (สมัยก่อนหนึ่งชิ้นนั้น ชิ้นใหญ่กว่าสมัยนี้มาก)แล้วย้ายไปกิน พสุธากัมปนาทอีกหนึ่งถ้วย เออ...ผมกินคนเดียวนะครับ
                  แบบที่สองคือก็แถวๆมาบุญครองหรือสยามอีกล่ะครับ พิซซาครับ พิซซา คนเดียวหนึ่งถาด แล้วไปต่อไอติมของบลาสกิ้นรอบบินอีก 2 ถ้วย ถ้วยละสองลูกหรือไม่ก็กินเค้กอีกสองชิ้น
                  แบบที่สามนี่ไปแถวตลาดสามย่านครับ ถ้ากินกันหลายคนก็จะสั่งกับข้าวมา แล้วผมก็จะกินกับข้าวเปล่าประมาณ 3 จาน ตามด้วยน้ำอัดลมประมาณสองขวด แล้วปิดท้ายด้วยบานาน่าสปลิทอีก 2 ถ้วย
มื้อค่ำ มื้อนี้สำคัญมากครับในสมัยนั้น อาจจะเรียนหนักก็เลยกินม่าม่า ก่อนนอนครับ การกินม่าม่าของผมนี่ก็วิวัฒนาการไปตามเรื่อง เริ่มจากจานละ 1 ซองเป็น 2 , 3  และที่มากที่สุดคือชามละ 4 ซองครับ สะใจดี ตอนที่เริ่มมี 7-11 ผมก็ยังซัดโดนัทอีก 6 ชิ้น และไส้กรอก 2 ไม้ บางวันก็เป็นลูกชิ้นทอดประมาณเกือบ 50 ลูกได้มั้ง
                และด้วยความบังเอิญของชีวิต ผมเรียนอยู่แถวนี้ตั้ง 12 ปี (ตรี 1 ใบ โท 2 ใบ ) มันก็เลยทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้นเรื่อยๆจาก 80 เป็น 90 เป็น 100 และก็มาถึง 110 ในที่สุด
                ที่เล่ามาทั้งหมดก็พยายามจะบอกถึงสาเหตุต่างๆที่ทำให้ผมหนักตั้ง 110 กิโล ก็เรามันชาวพุทธครับ ถ้าจะทำอะไรก็ต้องวิเคราะห์เรื่องสาเหตุให้ถี่ถ้วนซะก่อน เกิดด้วยเหตุก็ต้องดับด้วยเหตุครับ แต่สำหรับการลดน้ำหนักนั้น ขอบอกครับว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำได้ มันต้องมีทั้งเคล็ดลับ ความอดทน และที่สำคัญมากๆสำหรับตัวผมคือวิธีคิดถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำ เรื่องวิธีคิดนี้ทำให้ผมประสบความสำเร็จเกินคาด เพราะตอนแรกผมกะจะลดเดือนละ 3-5 โล แต่ด้วยวิธีคิดนี่เองที่ทำให้ผมสามารถลดได้เดือนละ 10 โล เดือนแรก ก.พ.48 ก็ 10 โล เดือนนี้ มี.ค. 48 แค่ 20 วัน ผมก็ลดลงไปแล้ว 8 โล โดยที่ผมไม่ต้องเสียตังสักบาทให้สถานบริการใดๆทั้งสิ้น
                ตอนแรกคิดว่าจะลดให้ได้สัก 4 เดือนซะก่อนแล้วค่อยมาเขียนเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน แต่มาเปลี่ยนใจว่าถ้านานขนาดนั้น อาจทำให้เราลืมช่วงแรกๆที่เราต้องคิดอย่างไร หรือเวลาที่เกือบตบะแตกแล้วเรามีวิธีแก้ไขอย่างไร เวลาที่จะต้องไปสัมมนาต่างจังหวัดแล้วต้องพบกับของว่างคาลอรีสูงบ่อยๆ หรือเวลาไปงานเลี้ยงแล้วเพื่อนยังคงมอบหน้าที่ให้เราเป็นคนที่ต้องจัดการทุกอย่างที่เหลือ ถ้าเจอปัญหาพวกนี้เราควรจะแก้ไขอย่างไร มันต้องมีเคล็ดลับบวกกับวิธีคิดในทุกขั้นตอนเลยครับ คุณจึงจะสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และยังเป็นการลดน้ำหนักที่สุขภาพดี และยังมีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย ไม่ต้องถึงกับมานั่งคำนวณคาลอรี่ในทุกๆมื้อ แบบนั้นมันเหนื่อยเกินไป แล้วก็ไม่ต้องมาหักโหมกับการออกกำลังกายแบบนึกแล้วเข่าอ่อน แต่มันต้องมีทั้งเทคนิคและวิธีคิดครับ แล้วผมจะค่อยๆเล่าให้คุณฟังก็แล้วกัน
              บังเอิญผมเป็นผู้ชาย แต่คิดว่าวิธีการที่ผมทำนี้ก็น่าจะเอาไปประยุกต์ใช้กับผู้หญิงได้ เพราะไม่ยาก แต่ถ้าคุณเป็นผู้ชายที่อายุประมาณ 28-39 ปี ที่ตอนนี้หนักประมาณ 110-120 กิโล แล้วอยากจะลดลงมาเหลือ 89 กิโลเท่าผมในตอนนี้หรืออาจจะน้อยกว่านี้ก็ค่อยๆติดตามอ่านได้เลยครับ
              หมายเหตุ ก่อนเข้าโปรแกรมผมได้ถ่ายรูปไว้ และตอนนี้กำลังจะถ่ายรูปเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นแต่ยังไม่มีเวลา ถ้าถ่ายได้เรียบร้อยแล้ว ผมจะมาบอกให้ไปดูรูปเพื่อเป็นการเปรียบเทียบและยืนยันว่าทำได้จริงครับผม
                   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น