ตอนที่ 11 : บทที่ 9 สายหมอกแห่งราตรี
บทที่ 9 สายหมอกแห่งราตรี
ข้อดีที่หลุยส์หลับคือทำให้ฉันรู้สึกเขินอายน้อยลงเพราะรู้ดีว่าเขาไม่รู้สึกตัว และฉันยังถูกปลดพันธนาการจากวงแขนเขาอีกด้วย แต่ข้อเสียก็คือฉันไม่รู้ว่าจะพาเขาออกไปจากที่นี่ได้อย่างไรเพราะฉันกำลังจะหมดแรงสร้างเกราะเวทมนตร์เพื่อต่อต้านสิ่งลึกลับตรงหน้า แล้วการที่ฉันจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นได้ก็ต้องใช้วิธีเดียวกันกับเจ้าชายเหมือนดั่งเทพนิยายเรื่องเจ้าหญิงนิทรา
แย่จังเลย...ทำไมฉันถึงได้สิ้นคิดแบบนี้นะ ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นใหญ่อยู่เหนือความมีเหตุผลจนนำอันตรายมาสู่ตัวเองกี่ครั้งแล้ว เฉพาะวันนี้ก็แทบนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าตอนนี้ดีแลนกับวาเลนเซียจะเป็นยังไง
‘เห็นรึยัง เจ้าหญิงคนสวย เราเพิ่งบอกเจ้าไปได้ไม่นาน มันก็เกิดขึ้นเสียแล้ว ชายหนุ่มคนนี้กำลังจะขโมยหัวใจเจ้าไปจากแดเนียล แล้วเขาก็จะขโมยตัวเจ้าด้วย โชคชะตากำหนดให้เจ้าเป็นเช่นนี้ แต่เจ้ามีโอกาสที่จะฝืนโชคชะตาเจ้าได้ โดยการรับความช่วยเหลือจากเรา รีบตัดสินใจเสียเถอะ ก่อนที่พละกำลังของเจ้าจะหมดไปอย่างสูญเปล่า เพราะเมื่อถึงตอนนั้น... ’
เสียงพูดสะกิดหัวใจฉันให้รู้สึกปวดร้าว โดยเฉพาะเมื่อฉันนึกถึงแดเนียล
“ฉันไม่เข้าใจ คุณทำแบบนี้ทำไมกัน”
‘อย่าถามคำถามก้ำกวมแบบนี้ เราไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร’
“คุณยื่นข้อเสนอให้หลุยส์ แล้วคุณก็ยื่นข้อเสนอให้ฉัน ทั้งก่อนหน้านี้คุณยังตั้งท่าจะทำร้ายหลุยส์ หรืออาจจะเป็นฉันด้วยก็ได้ คุณต้องการอะไรกันแน่...”
‘เราต้องการ...เราต้องการอะไรหนอ เราควรลงโทษผู้แหกกฏประจำตระกูลคลีฟอย่างไรดี เรายังคิดไม่ออกเลยจริงๆ’ เสียงนั่นหัวเราะดัง
ลงโทษผู้แหกกฏหรือ นั่นไงเหตุผล...
เมื่อหันไปมองดูดาบที่วางอยู่ข้างกายหลุยส์ก็พอจะคิดได้ว่า การที่มันปรากฏตัวขึ้นมาให้เขาเห็นแบบนี้ต้องมีจุดประสงค์ที่สำคัญกว่าโผล่ขึ้นมาเพื่ออวดอ้างความงดงาม อันเหมาะสำหรับจะนำไปประดับประดาไว้บนหิ้งเฉยๆ อย่างแน่นอน
ฉันเอื้อมมือไปหยิบดาบ เมื่อคว้ามันมาก็รับรู้ถึงความหนักหน่วงที่ถ่วงแขนจนแทบจะยกไม่ขึ้น ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้มันทำอะไรกับกลุ่มเมฆดี ก็ในเมื่อสิ่งประหลาดนั่นดันอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าสูงและเหนือชั้นกว่าหลายเท่าตัว ถ้าหากฉันจะต่อสู้กับมันด้วยดาบ ก็จะต้องยกอาวุธนี่ด้วยสองมือจึงจะไหว ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักพอกันกับการเสกเวทต่อต้าน และเมื่อฉันเผลอมองไปยังบุคคลที่นอนหลับอยู่อย่างต้องการความช่วยเหลือ เมื่อใดก็ตามที่ฉันตัดสินใจปลุกเขาให้ลุกขึ้นมา นั่นหมายความว่าฉันจะต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อเขา ซึ่งจะเชื่อมโยงไปจนถึงครอบครัวของฉันด้วย
ลิลี่ เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอก...เธอจะต้องต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายตรงหน้าด้วยตัวของเธอเองให้ได้ เพื่อที่จะรักษาความลับของวงศ์ตระกูลและปกป้องคนแปลกหน้าที่เธอเคยปล่อยให้ตกอยู่ในอันตราย อันเป็นต้นเหตุซึ่งนำภัยตามมาถึงตัวเธอเองด้วย จงจดจำเอาไว้เสมอว่า เธอจะต้อง ‘รับผิดชอบในการกระทำ’ ของตนเองให้สำเร็จไปจนถึงตอนท้าย
“การที่จะต้องปิดบังฐานะตัวเองจากคุณ ทำให้ฉันรู้สึกลำบากมากก็วันนี้ละ”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพลางทอดสายตามองดูหลุยส์ พยายามชันขาเตรียมตัวลุกขึ้น เมื่อแตะเท้าลงบนพื้น ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปตามเส้นเอ็น แต่ฉันก็ยังฝืนที่จะยืนอยู่บนเท้าให้ได้ โดยใช้ปลายดาบค้ำพื้นป้องกันไม่ให้ตัวเสียหลักล้ม กำลังจะชักดาบออกจากฟักก็ถึงกับต้องหยุดชะงัก
หมับ!
“ผมขอโทษ” หลุยส์ละเมอคว้าชายกระโปรงฉันเอาไว้ คิ้วเรียวเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน
‘สงสารเขาใช่ไหมลิลี่ เจ้าช่างเป็นหญิงสาวผู้มีความเมตตาเสียเหลือเกิน’
เสียงนั่นหัวเราะเยาะเย้ยหยัน ก่อนจะส่งแรงกระแทกเกราะเวทมนตร์ที่ฉันสร้างจนมันสั่น พรางส่งผลกระทบให้ฉันถึงกับยืนโอนเอนเล็กน้อย ฉันกัดฟันแน่นแล้วชักดาบออกมาด้วยมือซ้าย ทนเจ็บปวดเพื่อเดินเยื้องกายออกห่างจากหลุยส์อีกหน่อยเพื่อที่เขาจะได้ปล่อยชายกระโปรงฉันสักที
“อลิซาเบธ...ผมยังรักคุณอยู่นะ” เสียงทุ้มอ่อนนุ่มพึมพำแผ่วเบาแต่ดังกล้องไปถึงหัวใจ นอกจากคนในครอบครัวแล้ว เขาได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ฉันรู้สึกเจ็บปวดร่วมด้วยเพราะความสงสาร ซึ่งแท้จริงฉันอาจจะไม่คิดมากขนาดนั้น หากไม่ได้ยินจากปากว่า ‘เขายังรักอลิซาเบธอยู่’ หรือแม้แต่การตั้งคำถามเกี่ยวกับ ‘สิทธิ์ที่เขาจะรู้สึกเจ็บปวด’ ว่าเขามีได้หรือไม่ และเรื่องราวทั้งหมดมันไม่ขยับเข้ามาใกล้ตัวพวกเราขนาดนี้
ฉันรู้สึกเหมือนหน้าชาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ วินาทีนั้นฉันได้ตัดสินใจโยนไม้กายสิทธิ์ลงบนพื้น ใช้มือกุมดาบทั้งสองข้างแล้วตวัดมันขึ้นมาตั้งฉาก เตรียมตัวพุ่งเข้าใส่เมฆสีดำที่ลดต่ำลงมาแล้วมุ่งหน้ามาทางหลุยส์ ฉันเหวี่ยงดาบฟาดฟันไปในอากาศจนเกิดเสียงดังเหมือนเวลาที่เราพยายามฟาดไม้เรียวโต้กับสายลม
ฟึบ ฟึบ! หมู่เมฆสลายตัวได้ทันเมื่อฉันพยายามจะฟันมัน แล้วแยกเป็นสองกลุ่มลอยวนเวียนไปมาแล้วกักขังเราเอาไว้ในวงพายุ ที่กำลังบีบรัดร่างกายของฉันให้หายใจได้ยากลำบากขึ้นไปทุกที ส่วนหลุยส์ที่นอนหลับไม่ได้สติกระตุกแรงเหมือนคนถูกไฟฟ้าช๊อต
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เราไม่มีเจตนาจะฝืนกฏแห่งวงศ์ตระกูล แต่เราจำเป็นต้องช่วยพวกเขา”
‘เจ้าจะห่วงเขาไปทำไมกัน ก็แค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่มีเขา...เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังเรื่องครอบครัวจากใคร’
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการให้เขารับรู้เรื่องของครอบครัว แต่ฉันจะปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายไม่ได้”
‘เพราะเจ้าติดใจรสจูบอันหอมหวานของเขาอย่างนั้นหรือ ถึงได้พยายามที่จะช่วยเหลือเขานักหนา’
“ปะ...เปล่านะ ฉันทำไปเพราะหน้าที่ต่างหาก แล้วฉันก็ไม่ได้ติดใจรสจูบเมื่อกี้นี้ด้วย” ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใจสั่นเมื่อพูดถึงมัน “ฉันเป็นต้นเหตุทำให้เขาติดอยู่ในนี้ ฉันจึงต้องรับผิดชอบเขา”
‘แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยติดใจรสจูบของเขาที่เคยมอบให้เจ้ามาก่อนแล้ว แม้ว่าตอนนั้นเจ้าจะต่อยหน้าเขาเป็นการตอบแทนก็เถอะ มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลยสักหน่อย’
ภาพที่หลุยส์จูบฉันในห้องนั่งเล่นเมื่อคราวที่เราต้องการตกลงกันเรื่องมางานเลี้ยงในคืนจันทราสีเงินไหลย้อนกลับมาในหัวฉันอีกครั้ง สัมผัสอันเร่าร้อนที่เคยทำให้ฉันตกใจในครั้งนั้น บัดนี้เปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วและถี่รัวอย่างที่ฉันไม่เคยเป็นมาก่อน
“ฉะ...ฉันไม่ได้ติดใจอะไรทั้งนั้น” ฉันย่อตัวลงโดยใช้ขาซ้ายรับน้ำหนักกายทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วใช้ขาขวาข้างที่เจ็บดันพื้นจังหวะที่ฉันดีดตัวกระโดดขึ้นสูง พร้อมกับตวัดดาบผ่ากลางกลุ่มเมฆ
เสียงร้องโหยหวนส่งผลให้แก้วหูแสบไปหมด จากนั้นกลุ่มเมฆอีกฝั่งก็หมุนตัวอย่างบ้าคลั่งแล้วสร้างพายุที่รุนแรงกว่าเดิมอีกเท่าตัวก่อนจะปล่อยมันพวยพุ่งเข้าใส่ร่างฉันจนกระเด็นไปอีกทาง ดาบจึงหลุดออกจากมือของฉันไป
‘ตื่นขึ้นมาได้แล้วเจ้าคนโง่ ตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงที่ผู้หญิงคนนี้พยายามปกปิดเจ้ามาตลอด ข้า...สายหมอกแห่งราตรีจะทำให้เจ้าได้มองเห็นความเป็นจริงสักที’
เสียงนั่นประกาศบอกอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่กลุ่มเมฆจะโอบล้อมร่างของคนหลับพร้อมจัดให้เขายืนทั้งที่ยังไม่ลืมตา แล้วปลุกให้ร่างนั้นตื่นในเวลาต่อมา ความหวาดกลัวว่าหลุยส์จะเป็นอันตรายโหมเข้าสู่จิตใจฉัน แต่ฉันไม่มีทางเลือกมากนักจึงรีบคลานเข้าไปหาไม้กายสิทธิ์ขณะที่เมฆประหลาดนั่นให้ความสนใจหลุยส์อยู่ พยายามใช้แรงที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดร่ายมนต์คาถาทำลายล้าง แต่ยังไม่ทันจะมีโอกาสได้เสกมันใส่กลุ่มเมฆนั่น หลุยส์ก็หันหน้ามาทางฉันพลางจ้องตาฉันไม่กระพริบ
“ลิลี่ คลีฟ...คุณเป็นแม่มดจริงๆ สินะ เขาบอกผมมาอย่างนั้น” สายตาของหลุยส์เลื่อนลอย การพูดไม่ใช่ตัวเขาที่แท้จริง
เขาต้องมนต์สะกด!
“หลุยส์” ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาหลุยส์ทั้งที่ยังเจ็บขา ผ่านลมพายุที่กระโชกแรงจนร่างฉันเซไปมาไม่มั่นคง พยายามเอื้อมมือไปข้างหน้าเพื่อคว้ามือใหญ่ที่ยื่นตรงมาให้ ฉันกระชากร่างของเขาเข้าหาตัวอย่างยากลำบากเพราะหลุยส์มีแรงต้านเยอะกว่าแม้ว่าเขาจะไม่ได้พยายามต่อต้านฉันเลยก็ตาม “ฉันไม่มีทางเลือกอีกแล้วใช่ไหม”
ถ้าฉันยังดื้อดึงฝืนอยู่ในนี้ต่อไปฉันจะหมดแรงและไม่สามารถต่อสู้กับหมู่เมฆเบื้องหน้าได้ เพราะฉันไม่ใช่คนที่เก่งเวทมากนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พี่ชายทั้งสองไม่ต้องการให้ฉันเข้ามาในนี้หรือแม้แต่เผชิญหน้ากับภัยอันตราย มีแต่ท่านพ่อที่ยังคงยึดมั่นเชื่อถืออยู่เสมอว่าฉันจะสามารถพัฒนามันได้หากนำออกมาใช้บ่อยๆ แต่สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าฉันยังฝืนที่จะอยู่ในห้องบอลรูมต่อไป ภัยอันตรายอาจจะไม่ได้ตกมาที่ฉันเพียงคนเดียวแต่อาจจะตกมาถึงหลุยส์ด้วย
หมับ! ฉันกำคอเสื้อของหลุยส์เพื่อดึงให้เขาโน้มตัวต่ำลงมา แต่เจ้าตัวกลับยืนแข็งทื่อเป็นตอไม้ฉันจึงต้องเขย่งเท้าขึ้นให้ตัวสูงอยู่ในระดับสายตาของเขาก่อนจะจูบปากเขาอย่างเร่งรีบ
“ตื่นสักทีสิคะ” ฉันกระซิบบอกแล้วผละตัวออกเร็วควัน
ทันใดนั้นเสียงอาวุธแหลมคมที่เคยอยู่ในมือฉันก็ลอยผ่าอากาสมุ่งหน้ามาทางฉัน ตวัดตัวมันเองลอยขึ้นสูงอยู่กลางอากาศเหมือนมีคนบังคับและกำลังจะตวัดลงมา ก็มีแรงผลักหนักๆ กดลงมาบนหน้าอกส่งผลให้ฉันหงายหลังล้มลองไปกองอยู่กับพื้น
ตุบ! ร่างสูงที่ก่อนหน้านี้เคยยืนเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณเปลี่ยนมายืนกางแขนออกกว้างแทนตำแหน่งที่ฉันเคยยืน
ฉัวะ! ดาบสีเงินสะบัดคมลงบนร่างที่โผล่เข้ามาขวางทางเป็นแนวยาว เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นห้องโดยที่ส่วนหนึ่งกระเด็นมาติดอยู่ที่หน้าฉัน ก่อนที่จะมีแสงสีทองสาดส่องไปทั่วบริเวณจนพื้นที่สว่างโร่เหมือนแสงจากหิ่งห้อยขนาดใหญ่จนฉันต้องหลับตาลง หูฉันอื้อตึงเพราะยังตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ บวกกับหัวใจที่เต้นโครมผิดจังหวะและเรี่ยวแรงที่หายสาบสูญไปกับสายลม
เมื่อรู้สึกว่าแสงนั่นจางหาย เมฆสีดำทะมึนก็สลายไป ฉันค่อยลืมตาขึ้นมาเพื่อหรี่มองไปยังที่มาของแสงจึงเห็นดีแลนที่ในมือถือไม้กายสิทธิ์ชี้มาทางเราทั้งที่ยังแบกร่างบางของเด็กสาวที่ดูเหมือนจะสลบไปอย่างไร้สติ โดยสังเกตได้จากท่าทางที่ทิ้งคอและแขนให้ห้อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างหมดสภาพ
โคร่ม!
“หลุยส์” เสียงที่ควรจะเป็นการร้องเรียกเจ้าของชื่อกลับลอดไรฟันออกมาอย่างยากลำบากทั้งยังแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน เมื่อร่างสูงที่เคยยืนตระหง่านอย่างสง่าล้มตัวลงนอนจมกองเลือด “หลุยส์”
ฉันรีบคลานเข้าไปหาแล้วพยายามหมุนตัวให้เขานอนหงายท้อง จึงได้สบกับดวงตาสีฟ้าครามอมเทาที่มองมายังฉันอย่างเลื่อนลอย ทำให้ฉันเผลอปล่อยน้ำตาให้พลั่งพลูออกมาอย่างห้ามใจไม่ได้ เพราะนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาตัวเข้ามาขวางดาบเพื่อปกป้องฉัน
“หน้าที่ของฉันคือนำคุณออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม นี่ฉันทำอะไรผิดอีกแล้วใช่ไหม”
“ลิลี่...พี่ไม่ได้ผิด” ดีแลนลดไม้กายสิทธิ์ให้ต่ำลง “ต่อให้พี่ไม่มีหลุยส์อยู่ตรงนี้ให้ต้องดูแล พี่ก็ไม่มีวันสู้สายหมอกแห่งราตรีได้อยู่ดี”
ฉันพยายามแหงนหน้าขึ้นมองดูน้องชายทั้งที่ตาพร่ามัวไปด้วยของเหลวใสที่กำลังเอ่อล้นเต็มหน้า แม้ว่าฉันจะไม่กระพริบตามันก็พาลหลั่งไหลออกมาเนื่องจากไม่หลงเหลือที่กักเก็บอีกต่อไป
“การที่พี่จะต่อสู้กับสายหมอกนี่ได้ ต้องอาศัยเวทมนตร์ขั้นสูงอย่างที่ผม เซอร์คัส ลูคัสและดันแคนมี”
“พี่ดื้อเองแท้ๆ หากปล่อยให้พี่เซอร์คัสกับพี่ลูคัสมา อะไรๆ คงไม่ร้ายแรงขนาดนี้”
“บางครั้งพี่ก็มีสิทธิ์ที่จะดื้อ” คำพูดปลอบโยนจากดีแลนไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย
“แล้วผลของความดื้อดึงก็ตอบแทนเราอย่างสาสม” ฉันโน้มตัวลงต่ำ ต้องการจะใช้จุมพิตมนตรารักษาบาดแผลให้หลุยส์ แต่โดนห้ามไว้
“หยุดนะลิลี่” ดีแลนเอ่ยจริงจัง “อย่าให้ริมฝีปากของพี่สัมผัสเลือดนั่นเป็นอันขาด”
ฉันไม่มีโอกาสที่จะถามว่าทำไม ดีแลนขยายความต่อว่า...
“บาดแผลที่เกิดจากดาบของเจ้าชายแวมไพร์ ถูกบังคับโดยเวทมนตร์ของสายหมอกแห่งราตรี...” เขาหยุดไว้แค่นั้นทั้งที่ประโยคมันน่าจะต่อไปอีกได้ เจ้าตัวตีหน้านิ่งและจริงจัง
“ทำไมดีแลน”
“ผมไม่เคยเห็นพี่ตัดพ้อเกี่ยวกับความผิดพลาดของตัวเองมากขนาดนี้มาก่อน” เขาเปลี่ยนเรื่อง ทั้งยังพูดในสิ่งที่ฉันไม่ได้อยากรู้เลย สิ่งที่ฉันอยากรู้คือผลจากฤทธิ์ดาบและเวทมนตร์ของสายหมอกแห่งราตรีต่างหาก แต่ฉันเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะซักไซ้เป็นหนที่สอง
“ก็เพราะว่าไม่มีความผิดพลาดครั้งไหนในชีวิตของพี่ จะร้ายแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน”
“ทุกคนต้องก่อความผิดพลาดบ้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้องได้เข้าใจง่ายมากขึ้น” ดีแลนบอก กอดร่างวาเลนเซียไว้แน่น แววตาที่เขามองดูร่างบางไร้สติในอ้อมแขนฉายแววเจ็บปวดไม่น้อย แม้ว่าเจ้าตัวจะมีประโยคพูดปลอบใจตัวเองที่ดีเสมอก็ตามที แต่เขาไม่สามารถเก็บซ่อนความโศกเศร้าไว้เบื้องหลังม่านดวงตาได้ ฉันมองออกว่าดีแลนเองก็คิดว่าการที่วาเลนเซียต้องกลายเป็นแบบนี้ก็มาจากความผิดพลาดของเขาเช่นกัน
“พี่ร่ายมนต์ห้ามเลือดเอาไว้ก่อน เดี๋ยวผมจะออกไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างนอก บางทีแดเนียลอาจจะยังรอเราอยู่กับท่านพ่อ ตอนนี้ห้องบอลรูมนี้ไม่น่าจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นได้อีกแล้ว”
ฉันทำตามที่ดีแลนบอก หยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาทั้งที่มือสั่นเทาแล้วร่ายคาถาห้ามเลือด ก่อนจะค่อยประคองหัวของหลุยส์ขึ้นมาหนุนไว้บนตักอย่างระมัดระวัง มองดูใบหน้าคมคายที่ซีดขาวปากเม้มแน่น คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากัน ฉันวางมือไว้บนอกซ้ายของเขาก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความปรีดีที่หัวใจของเขายังเต้นอยู่สม่ำเสมอ ดูท่าคนตรงหน้าจะหนังหนาและตายยากกว่าที่ฉันคิด แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุการตายของเขา
“ได้โปรด...มีชีวิตอยู่ต่อไปนะคะหลุยส์” ฉันพึมพำเบา ก่อนจะถามตัวเองอย่างอดสงสัยไม่ได้ว่า... “สายหมอกนั่น...มาจากไหนกันนะ”
“ฟาร์มารีน” เสียงทุ้มต่ำของน้องชายให้คำตอบฉันแล้วเขาก็เดินจากไป
ฟาร์มารีนอย่างนั้นหรือ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ได้อ่านมานาน
เบลอจนไม่รู้ว่าอ่านจากเรื่องไหนไปเรื่องไหนเลยนะเนี่ย
...ได้เข้ามาอ่านทีก็...แอบกรี้ดอ่า...หลุยส์ไมน่ารักยังงี้~
อร๊ายยย~ แอบเขิล -///-
ป.ล. กลับมารายงานตัวนะคร๊า...หลังจากที่หายไปนาน แหะๆ
เห็นในไอดี พี่นาตคอยมาบอกอัพเดทนิยายเรื่อยๆเลย 55 มาตามอ่านแล้วล่ะ อิอิ
----------------------------------------------------------
1. ธนัชชา ยืนยง (แซนด์)
2. 1900/4 หมู่ 6 ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 72160
ขอบคุณคร่า~!! *0* (อยากได้มากเยย TT)
แต่ว่าอิ๊งเปลี่ยนที่อยู่ใหม่แล้วนะคะ
อภิชญา ฐานโอฬาร (อิ๊ง)
188/48 หมู่บ้านลันตารีสอร์ทไลฟ์ ตำบลบางพลีใหญ่
อำเภอบางพลี สมุทรปราการ 10540
ขอบคุณนะค๊ะ
พี่นาต โพสในนี้ได้เลยใช่มั้ยค่ะ (ที่คั่นเซอร์คัส พี่ชายคนโตผู้น่ารัก >.< แห่งตระกูลคลีฟอ่ะ)
งั้นแอ๊มมาโพสไว้ก่อนคนแรกนะเค๊อะ หุๆๆ
1. ณัฐมน เกตุแก้ว (แอ๊ม)
2. 156 ร้านพร้อมพรรณแก๊ส ซ.ประชาสงเคราะห์ 14
แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. 10400
ขอบคุณค่ะ ^_______^