ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จับให้มั่น คั้นให้รัก เปลี่ยนชื่อเป็น (ร้อนไฟรัก)ตีพิมพ์แล้ว

    ลำดับตอนที่ #1 : หัวใจไร้เดียงสา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.3K
      14
      3 พ.ค. 52




             "พ่อคะเราจะไปไหนกัน?"

            เด็กหญิงวัยสี่ขวบถามบิดา เมื่อครอบครัวของเธอเก็บข้าวของย้ายจากบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่สลัมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ไปที่ใดสักแห่งที่เธอไม่รู้จัก 

           มือน้อยๆ ที่เกาะกุมมือของมารดาไว้แน่น เมื่อก้าวขาขึ้นรถเก๋งคันหรู ที่จอดอยู่หน้าบ้านเช่าหลังน้อยของเธออย่างสงสัย

             "เราจะไปอยู่บ้านสวยๆ กันลูก พ่อเขาได้เลื่อนตำแหน่ง พวกเราจะไปอยู่ที่บ้านใหม่กัน ที่นั่นหนูจะมีที่วิ่งเล่น มีน้องตุ๊กตาเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ"


              มารดาเป็นฝ่ายตอบคำถาม ก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะหันมายิ้มให้แล้วใช้มือแข็งแรงลูบศรีษะน้อยๆ ของเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

           "จากนี้ไป หนูจะได้เรียนที่โรงเรียนดีๆ มีของอร่อยๆ กินทุกวันเลย พ่อก็จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงหนูกับแม่อีกนะจ๊ะ"

            เด็กหญิงยิ้มกว้างขวางจนเห็นฟันกระต่ายสองซี่เด่นชัด ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า เมื่อรถเก๋งคันงามเริ่มเคลื่อนตัวออกไปจากหน้าบ้านเช่าหลังน้อยของเธออย่างนิ่มนวล


            คฤหาสน์หลังงามที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ต้นไม้มากมาย ทำให้เด็กหญิงรู้สึกตื่นตาตื่นใจจนต้องมองซ้ายมองขวาราวกับกำลังสำรวจ 

           "หึๆ เดี๋ยวลงจากรถไปแล้วอย่าซนนะลูก พ่อจะพาไปพบกับเจ้านายพ่อก่อน"

            ผู้เป็นบิดาหันมาหัวเราะกับความน่ารักของบุตรสาวก่อนจะขับพารถไปจอดไว้หน้าคฤหาสน์อย่างนิ่มนวล

           "พ่อคะ พวกเราจะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือคะ?"

           คุณแม่ยังสาวยิ้มกับความช่างซักของลูกสาว ตั้งแต่เด็กๆ แล้วลูกสาวของเธอคนนี้ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำให้ต้องเป็นห่วงเด็กน้อยเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย และอ่อนโยนน่ารัก หากแต่เป็นเด็กที่จิตใจเข้มแข็งไม่แพ้ผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย อย่างเมื่อตอนที่ทะเลาะกับเด็กผู้ชายข้างบ้าน ถึงขนาดหกล้มได้แผลถลอกกลับมาที่บ้าน เด็กสาวยังยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจว่าได้สู้กับเด็กผู้ชายจนชนะ ถึงแม้ว่าตอนหลังจะถูกผลักจนล้มลงไปก็ตามที


           "จ๊ะลูก พ่อจะพาหนูไปไหว้นายใหญ่กับนายน้อย หนูจะต้องทำตัวให้เรียบร้อยหน่อยนะลูก"

           "ค่ะพ่อ"

           สามคนพ่อแม่ลูกเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังงาม ท่ามกลางคนชุดดำที่ทำหน้าที่เดินยามรอบคฤหาสน์อย่างระแวดระวังภัย ด้วยความเป็นเด็ก เธอจึงไม่ได้สังเกตว่า พ่อ ของเธอก็แต่งชุดที่เหมือนกับคนพวกนี้เช่นกัน

             ทั้งสามคนไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่ ที่ด้านหน้านั้นมีชายชุดดำยืนอยู่ 7-8 คน แต่ละคนหน้าตาเคร่งเดรียด ก่อนที่ประตูจะเปิดออกก็มีชายอีกกลุ่มใหญ่เดินออกมา ซึ่งพวกที่กำลังเดินออกมานั้น ภายหลังเธอจึงได้รู้ว่าล้วนแต่เป็นนักการเมือง ผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลาย หรือแม้แต่นักธุรกิจชื่อดัง ที่ตั้งใจจะมาขอความช่วยเหลือจากนายใหญ่หรือนายน้อย


            "พี่ผไทย นายให้หาครับ"  ชายชุดดำที่ไม่รู้เดินมาจากไหน เดินมานำทางให้ ก่อนที่ทั้งสามคนจะไปหยุดอยู่ในห้องกว้างใหญ่ ที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวน้อยๆ ของเด็กหญิง ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล


           "อ้าว!...มากันแล้วหรือ? มาๆ ไหนเข้ามาใกล้ๆ ซิ"

           เด็กหญิง ชายิกา สันติภพ (น้ำหวาน) มองชายสองคนที่อยู่ในห้องด้วยดวงตาใคร่รู้ คนแรกนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ที่เด็กสาวต้องแหงหน้าคอตั้งบ่าถึงจะมองเห็นหน้าตาของชายคนนั้นได้ 


           ครั้งแรกที่สบตาดำใหญ่ น้ำหวานถึงกับห่อตัวเข้าหาบิดา เพราะกลัวในอำนาจดวงตานั้น หากภายหลังน้ำหวานได้รู้แจ้งแก่ใจเลยว่า บุรุษอีกคนที่ได้รับสืบทอดดวงตานั้นมา กลับมีอำนาจเสียยิ่งกว่า และยังทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอต้องตกเป็นทาสโดยไม่ตั้งใจ


           "นี่น่ะเหรอลูกสาว?....น่ารักจริงๆ มาๆ มาให้ลุงกอดหน่อยซิ แหมเห็นแล้วอยากมีบ้างเหมือนกันนะเนี่ย"


            ชายคนนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แต่เด็กหญิงก็ยังไม่กล้าเข้าไปจนกระทั่ง


            "สงสัยจะกลัวคุณพ่อล่ะมั้งครับ?...ฮะๆๆ"

           เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าเป็นเพราะเขายืนอยู่ตรงชั้นหนังสือที่บังเขาอยู่ครึ่งหนึ่งในตอนแรก เด็กสาวจึงไม่เห็นว่าผู้ที่พูดนั้น มีหน้าตาคมคายหล่อเหลาขนาดไหน แต่ที่สำคัญ ดวงตาดำใหญ่คมกริบ ที่ได้ตกทอดมาจากบิดา กำลังตรึงเด็กหญิงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่


            "เจ้าธี พูดซะพ่อเสียหมด ดูสิ น้องมองใหญ่แล้ว"

             บิดาของเด็กสาวก้มลงมากระซิบอะไรบางอย่างที่หูของเด็กน้อย ก่อนที่เด็กหญิงจะเดินเข้าไปหาชายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ 

            แต่พอมาหยุดตรงหน้าของชายคนนั้น ร่างเล็กกลับส่งยิ้มให้เต็มที่ พร้อมกับใช้แขนเล็กป้อมชูขึ้นสองข้าง ประหนึ่งว่าจะโผเข้าไปหาอ้อมกอดของชายที่อยู่ตรงหน้า


            พรต ธนผไทไพศาล หัวเราะดังสนั่นจนอกกว้างกระเพื่อม ก่อนจะก้มลงช้อนตัวเด็กหญิงขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมทั้งหอมแก้มยุ้ยเป็นพวงฟอดใหญ่ และนั่นในกาลต่อมา กลับทำให้น้ำหวาน หรือชายิกา จะต้องทนให้ชายเอาแต่ใจอีกคน หอมแก้มอยู่ทุกวันเพื่อชดเชยที่เขาไม่ได้เป็นชายคนแรกที่หอมแก้มเธอนอกจากบิดา

         
           "เป็นไงล่ะเจ้าธี! น้องไม่ได้กลัวพ่อสักหน่อยดูสิยังยอมให้พ่ออุ้มด้วย"

          "คร๊าบบบ....คุณพ่อ ผมน่ะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปเลย"

          กนธี ธนผไทไพศาล กล่าวยิ้มๆ ด้วยวัย 18 ปี ทำให้เขาซึ่งเป็นหนุ่มน้อยเริ่มที่จะเรียนรู้ธุรกิจของบิดาอย่างจริงจัง ตอนนี้ในฟากฟ้าเมืองไทยต่างเริ่มยอมรับว่า พรต มีบุตรชายที่อนาคตไกล ที่จะมาเป็นผู้ดูและอนาจักร ธนผไทไพศาล ของเขาได้อย่างดียิ่ง 


            "ว่าแต่สาวน้อย...หนูชื่ออะไรจ๊ะ ไหนบอกลุงซิลูก"

            พรต ถามเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยความอ่อนโยน ช่างขัดกับใบหน้าที่เย็นชา และกรามแข็งแรงโครงสร้างลักษณะของชายไทยแท้ที่คนภายนอกมองและลงความเห็นว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อน ผิดกับบุตรชาย ที่หน้าตาคมคาย ติดจะเป็นคนมีเสน่ห์ อาจเป็นเพราะได้จากมารดาที่เป็นชาวอังกฤษ แต่ก็เลิกกับบิดาของเขาตั้งแต่ชายหนุ่ม เลือก ที่จะเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อมาดูแลกิจการของคุณปู่กับคุณย่า หลังจากที่ท่านทั้งสองเสียไปพร้อมกันเพราะเครื่องบินตก


           "หนูชื่อน้องน้ำหวานค่ะ ชื่อจริงชื่อชายิกา นามสกุลสันติภพค่ะ"

            เด็กหญิงน้ำหวานแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด เพราะเธอทำแบบนี้ทุกวันตอนที่อยู่โรงเรียนอนุบาลเต่าน้อยแถวบ้าน 


            ทุกคนในห้องต่างยิ้มให้กับความน่ารักของเด็กสาวก่อนที่พรต จะหันไปพูดกับบิดาของเด็กน้อยว่า

            "ผไท....ลูกสาวแกนี่น่ารักจริงๆ อย่างที่บอก อ้อคนนี้ใช่ไหมรินรดา"

            น้ำหวานเห็นมารดายกมือไหว้คุณลุงที่อุ้มเธอเอาไว้ ก่อนจะตอบรับ

            "ค่ะ"

            "ฮะๆๆ...ดีแล้ว มาอยู่ด้วยกันซะที่นี่ ผไทจะได้ไม่ต้องกังวล นี่ฉันก็เตรียมเงินเอาไว้ให้อีกก้อน เป็นเงินที่ผไทควรจะได้ เพราะเขาทำงานอยู่กับฉันมานานแล้ว"


            ทั้งแม่และพ่อ ต่างยกมือไหวคุณลุง ตอนนั้นน้ำหวานได้แต่มองหน้าคุณลุงอย่างสงสัย เพราะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่พูดกันซักเท่าไหร่ 


           "หนูน้อยแสนสวยของลุง อยากเรียนโรงเรียนอะไรจ๊ะ? เดี๋ยวลุงจะจัดการให้"

            พรตหันไปถามเด็กสาวที่ดูแล้วเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ ด้วยผิวที่ขาวละเอียดที่ได้มาจากมารดาที่เป็นสาวเหนือ กับดวงตางดงามหวานซึ้งที่บิดาชอบนักชอบหนา เพราะเธอก็ได้มันมาจากมารดาเช่นกัน จะผิดกันก็แต่เส้นผมยาวสลวยที่หยักโศกดำสนิทที่ได้มาจากบิดา ทำให้ตอนนี้เด็กหญิงน้ำหวานดูแล้วราวกับตุ๊กตานางฟ้าตัวเล็กๆ น่ารักไม่มีผิด


           "ตอบคุณลุงไปซิลูก" มารดากล่าวยิ้มๆ 

            "น้ำหวานอยากเรียนที่โรงเรียนที่มีภาษาอังกฤษค่ะ น้ำหวานอยากฟังภาษาอังกฤษได้ค่ะ เวลาน้าสมข้างบ้านว่าน้ำหวาน น้ำหวานจะได้ฟังออก"


            พรตทำหน้าแปลกใจก่อนจะถามเด็กน้อยในอ้อมแขน

            "ทำไมล่ะจ๊ะ น้าสมคนนั้นเขาว่าอะไรน้ำหวานบ่อยเหรอ?"

           "คิก...น้ำหวานชกหน้าของปีเตอร์ลูกชายน้าสมค่ะ ก็เขาชอบมาเปิดกระโปรงน้ำหวานก่อนนี่นา น้าสมกลับหาว่าน้ำหวานแกล้งลูกชายเขา และก็พูดอะไรออกมาเป็นภาษาอังกฤษน้ำหวานฟังไม่ออก"

            พวกผู้ใหญ่ต่างหัวเราะให้กับวีรกรรมเล็กๆ ของเด็กหญิง ไม่มีใครในห้องแปลกใจ ว่าทำไมเด็กชายคนนั้นถึงได้ทำแบบนี้ ก็น้ำหวานเป็นเด็กสาวที่น่ารัก ใครเห็นก็อดชอบไม่ได้ เด็กคนนั้นคงอยากให้นำหวานสนใจจึงได้แกล้งเพื่อทำเป็นตีสนิทด้วย

            "แล้วน้ำหวานรู้ได้ยังไงคะ ว่าน้าสมคนนั้นพูดเป็นภาษาอังกฤษ"


           เสียงของกนธีดังขึ้น เขาเห็นความน่ารักของเด็กน้อยแล้วรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก

           "รู้สิคะ ก็เจ้าปีเตอร์มาคุยว่า พ่อของเขาเป็นคนอังกฤษ แต่นานๆ พ่อจะมาหาเขาทีแม่ก็เลยชอบพูดภาษาอังกฤษให้เขาฟังเพราะกลัวเขาพูดกับพ่อไม่ได้น่ะค่ะ"


           ที่จริงแล้วทุกคนในสลัมต่างรู้ดีว่า น้าสม ที่เด็กหญิงน้ำหวานพูดถึงนั้นเป็นหญิงบริการที่ยบังเอิญไปได้ฝรั่งฐานะปานกลางรับเลี้ยงดูเอาไว้ เพียงแต่ผู้ใหญ่ในนั้นไม่มีใครพูดออกมาให้เด็กหญิงต้องสัมผัสกับความโหดร้ายของชีวิตเร็วเกินไปนัก

         "เอาล่ะ...จากนี้ไปเรื่องโรงเรียน เสื้อผ้า ทุกอย่างที่หนูต้องการลุงจะเป็นคนออกให้เอง หนูจะได้เรียนหน้งสือ หรือเรียนทุกอย่างๆ ที่หนูอยากจะเรียน ดีไหมล่ะ?"

         พรตกล่าวขึ้นท่ามกลางความตกใจของคู่สามีภรรยา แต่กลับเรียกรอยยิ้มให้กับบุตรชายคนเดียวของเขา เพราะตัวชายหนุมเองก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยคนนี้เช่นกัน


          "เอ่อ...จะเป็นการรบกวนนายใหญ่เกินไปหรือเปล่าครับ?"

          ผไทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจ 


           "พูดอะไรอย่างนั้น แกก็เป็นลูกน้องคนสนิทของฉัน ลูกสาวแกคนนี้ฉันชอบ ฉันจะส่งเสียให้จนจบมหาลัยเลย ไม่ต้องเป็นห่วง ฮะๆๆๆ"


          แล้วพรตก็หันมาทางเด็กน้อยที่มองหน้าผู้ใหญ่คนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความไม่เข้าใจ


          "น้ำหวาน หนูมาเป็นลูกสาวของลุงดีไหมลูก? ลุงจะให้หนูทุกอย่างที่หนูต้องการเลยดีไหมคะ?"

          "ไม่ดีหรอกค่ะคุณลุง น้ำหวานมีพ่อกับแม่แล้ว อีกอย่างแม่บอกว่า ห้ามรับของจากคนอื่นฟรีๆ ค่ะ"

           "ฮะๆๆ คุณพ่อโดนเด็กปฏิเสธซะแล้วนะครับ"

           กนธีพูดยิ้มๆ ก่อนจะสาวเท้าจากจุดที่ยืนอยู่ไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของบิดา 

           เขาอดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วแข็งแรงเขี่ยเบาๆ ที่แก้มยุ้ยๆ ของเด็กสาว นึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อย ว่าทำไมถึงได้นึกถุกชะตากับเด็กน้อยคนนี้นัก

            "พี่ชายเป็นลูกของคุณลุงหรือคะ?"

            กนธีรู้สึกแปลกใจที่เด็กน้อยถามขึ้น แต่ก็ตอบรับออกมา

             "ใช่ครับ พี่เป็นลูกชายของคุณลุงที่อุ้มหนูอยู่ไงครับ"

            น้องน้ำหวานหันหน้าไปหาคุณลุงใจดีที่จะซื้อของให้ก่อนจะพูดว่า


             "คุณลุงคะ น้ำหวานไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณลุงค่ะ ถ้ายังไงน้ำหวานโตขึ้น น้ำหวานจะแต่งงานกับคุณพี่ก็ได้นะคะ น้ำหวานไม่ถือ" เด็กน้อยยืนยันคำพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังยิ่งนัก


            เสียงหัวเราะประสานกันหลายเสียงดังออกไปจากห้องทำงานของเจ้านาย จนลูกน้องที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกถึงกับมองหน้ากัน พลางสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่


           "จ๊ะ....พี่ชายจะรอน้ำหวานนะคะ"


    ....................................................................

     
           10 ปีต่อมา...

            นับตั้งแต่ผไทยกับครอบครัวย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ ธนผไทไพศาล ความเป็นอยู่ของครอบครัวเล็กๆ ก็ดีขึ้น พวกเขาได้เข้าไปอยู่ยังตึกเล็กด้วยความอนุเคราะห์ของประมุขคฤหาสน์ เด็กหญิงน้ำหวานเติบโตขึ้นท่ามกลางความเอาใจใส่ดูแลของทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะประมุขของคฤหาสน์ พรต และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นพี่ชายที่น้ำหวานรักมากที่สุด กนธี 


           ไม่ว่าน้ำหวานจะเรียนอะไรก็ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะเก่งไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน กีฬา ศิลปะการป้องกันตัว  เวลาที่ผ่านไปทำให้เด็กหญิงตัวน้อยที่เป็นขวัญใจของบ้าน โตขึ้นเป็นเด็กสาว แขนขายาวเก้งก้าง สีผิวที่เข้มขึ้นเล็กน้อยเพราะเป็นตัวแทนนักกีฬาของโรงเรียน จะมีก็แต่ดวงตากลมโตที่แฝงแววหวานที่ดูแล้วไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย


         ไม่ใช่เพียงแต่เด็กสาวเท่านั้นที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลง นายใหญ่หรือคุณลุงที่น้ำหวานเรียกติดปากเสมอมาตอนนี้ได้โอนงานทั้งหมดให้กับลูกชายบริหารงานแทน ตัวเขาเลี่ยงมาเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทอย่างสุขสบายอยู่ที่บ้าน ตอนนี้พี่ชายของเด็กหญิงน้ำหวานก็เริ่มห่างหายไป ชายหนุ่มเริ่มกลับบ้านไม่ตรงเวลา นานวันเข้าภาพความสนิทสนมของสองพี่น้องก็ห่างกันไป จนกระทั่งวันหนึ่งตอนที่น้ำหวานอายุ 10 ขวบ น้ำหวานก็เห็นพี่ชาย ใช้ปากชนกับผู้หญิงที่ชายหนุ่มพามาที่บ้านอยู่ในสวน เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายถึงได้กัดคุณผู้หญิงคนนั้น แต่กลังจากที่น้ำหวานเข้าไปถามพี่ชาย เด็กสาวก็ไม่เคยเห็นพี่ชายทำอย่างนั้นอีกเลย จะมีก็เพียงแต่ ที่ตึกเล็กอีกหลังจะมีผู้หญิงสวยๆ ผลัดกันเข้าออกบ่อยครั้งก็เท่านั้น....

          "เมื่อกี้พ่อว่าอะไรนะคะ?"

           น้ำหวานตาโตเมื่อได้ยินผู้เป็นบิดากล่าว

            "พ่อบอกว่าพวกเราอาจต้องไปจากที่นี่" ผไท ปีนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองแก่ขึ้นอีกมากโข เขาได้รับคำสั่งให้ไปช่วยงานที่บริษัทแทนการเป็นบอดี้การ์ด อาจเป็นเพราะว่าเขาเริ่มอายุมากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะนายใหญ่กลัวว่าลูกสาวของเขาต้องกำพร้าพ่อก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจจะย้ายจากที่นี่ไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

            "ตากับยายของหนูที่อยู่เชียงใหม่น่ะเสียแล้ว ที่พ่อขึ้นไปที่นั่นหลายวันและทิ้งให้หนูอยู่ที่นี่เฝ้าบ้านยังไงล่ะลูก ทีนี้ ตากับยายน่ะทิ้งที่ทางเอาไว้มากมาย ส่วนใหญ่ปลูกพวกผลไม้ พ่อกับแม่เลยคุยกันว่าพวกเราจะไปตั้งรกรากที่โน่นน่ะลูก"

           ดวงตาแววหวานของเด็กหญิง หลุบลง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้น้ำหวานโตขึ้นมาก ผไทจึงรู้สึกว่าลูกสาวของเขาโตเกินอายุ เด็กสาวมักทำตัวราวกับผู้ใหญ่ จนเขาเองกลัวว่าลูกสาวจะไม่สดใสร่าเริงเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ดีแต่ตรงที่ว่า ลูกสาวของเขานั้นมีเพื่อนมาก และแต่ละคนก็เป็นลูกของพวกผู้มีอำนาจ ซึ่งอาจเป็นเพราะโรงเรียนที่นายใหญ่ส่งลูกสาวของเขาไปเรียนก็เป็นได้ เพราะที่นั่นเป็นโรงเรียนต่างชาติซึ่งมีค่าเล่าเรียนแพงมาก ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่าลำพังความสามารถของเขา คงไม่อาจทำให้ลูกสาวได้ดีขนาดนี้ ถ้าไม่ได้นายใหญ่ช่วย


           "หนูไม่เห็นด้วยหรือลูก พวกเราจะได้มีที่ของตัวเองซักที"

            มารดาขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะโอบเอวบุตรสาวเอาไว้ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าบุตรสาวคิดเช่นไร สิ่งเดียวที่รั้งบุตรสาวของเธอเอาไว้ได้

           รินรดา ปรายตามองไปยังเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา


           "บางที...การไปเริ่มต้นใหม่ อาจทำให้หนูเข้าใจหัวใจตัวเองก็ได้นะลูก"

            ทำไมเธอจะไม่รู้ บุตรสาวของเธอกำลังหลงรักเทพบุตรที่อยู่สูงจนเกินเอื้อม 

            กนธี ธนผไทไพศาล ชายหนุ่มนักธุรกิจอนาคตไกลด้วยวัยเพียง 28 ปี เขาสามารถนำพาบริษัทฝ่ามรสุมทางด้านเศรษกิจไปได้ และยังสามารถขยายธุรกิจออกไปยังตลาดเมืองนอก ตอนนี้ไม่ว่าใครเมื่อกลาวถึงเขา ก็ต้องยอมยกให้ในเรื่องความสามารถที่เรียกได้ว่ามีเหนือกว่าในยุคเฟื่องฟูของบิดาเสียอีก

           น้ำหวานรู้ตัวดีว่ามารดาหมายถึงเรื่องอะไร เด็กสาวเองก็รู้ดีว่าตนเองกำลังหลงรัก คนที่ไม่อาจได้มาครอบครอง 

        แต่หัวใจใครเล่าจะบังคับได้

            "ค่ะแม่ หนูเข้าใจค่ะ แล้วเราจะย้ายไปเมื่อไหร่ค่ะ?"

     
            "คงต้องรอให้พ่อเขาเรียนนายใหญ่ก่อนน่ะลูก"

           รินรดามองลูกสาวด้วยความสงสารก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาซุกอกของเธออย่างที่เคยทำมาตลอด


          "จะไปจริงๆ หรือผไท? ทำไมล่ะอยู่กับฉันมีเรื่องอึดอัดใจหยั่งงั้นหรือ?"

          พรตมองลูกน้องคนสนิท ที่อยู่ด้วยกันมานับสิบปีด้วยแววตาค้นหา 

          "ไม่หรอกครับนาย พอดีว่าผมอยากไปเริ่มต้นที่โน่นเรือกสวนที่พ่อกับแม่ของดาเขาทิ้งไว้ให้ก็เยอะ ผมเสียดายน่ะครับ อีกอย่างเมื่อก่อนผมเองก็เคยทำสวนมาก่อนเลยคิดว่าน่าจะทำได้ไม่มีปัญหาน่ะครับ"

     
           พรตนิ่งงั้นไปกับเหตผลที่ได้รับจากคนสนิท ระยะเวลาที่เคยอยู่ด้วยกันมา ทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจของสองครอบครัวเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะน้ำหวานที่เป็นดั่งตัวเชื่อมความสมพันธ์ที่แนบแน่นที่สุด 

          แล้วเช่นนี้น้ำหวานล่ะจะทำอย่างไร?


           "แล้วน้ำหวานล่ะ จะไปด้วยหรือเปล่า?"

            ผไทรู้อยู่แล้วว่าพรตจะต้องถามคำถามนี้ออกมา เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ยากนักเพราะน้ำหวานนั้นถูกเลี้ยงดูมาประดุจน้องสาวของ นาย เลยทีเดียว และนายที่เขาหมายถึง ก็คือกนธี ที่ก้าวเข้ามารับผิดชอบธุรกิจของตระกูลทั้งหมดตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน


                 "ไปครับนายใหญ่...พวกเราทุกคนจะไปด้วยกันทั้งหมดครับ" ผไทยเห็นสีหน้าพูดไม่ออกของเจ้านาย จึงได้กล่าวต่อ


              "ผมต้องขอบพระคุณนายใหญ่จริงๆ ครับที่ดูแลน้ำหวานอย่างดีเสมอมา แต่ผมเองคงต้องเอาแกไปด้วย เพราะผมคิดว่าต่อไปถ้านาย แต่งงานกับคุณศจี มันคงไม่เป็นผลดีนักที่จะให้น้ำหวานมาเป็นคนที่ทำให้นายต้องด่างพร้อย"

          พรตไม่อาจปฏิเสธเรื่องที่ลูกน้องกล่าวได้แม้แต่น้อย ในเมื่อศจี หญิงสาวที่ผไทกล่าวถึง ก็คือคู่ควงคนล่าสุดของเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวน และดูเหมือนว่าจะเป็นหญิงสาวที่เจ้าลูกชายของเขาควงออกงานด้วยนานที่สุด จนตอนนี้คนภายนอกถึงกับพูดกันแล้วว่า ผู้หญิงคนนี้ก็คือว่าที่นายหญิงของตระกูลธนผไทไพศาลอันโด่งดัง


          ครั้งแรกที่พรตได้เจอกับหญิงสาวที่ลูกชายคบอยู่คนนี้ ก็สามารถบอกได้เลยว่า ช่างเป็นคนที่ทะเยอทะยานและใฝ่สูงทุกอย่างรวมอยู่ในตัวของผู้หญิงคนนั้น แต่อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ศจีก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ หญิงสาวแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่ารังเกียจในตัวของน้ำหวานเป็นที่สุด และถ้าเจ้าลูกชายของเขาเลือกผู้หญิงคนนี้ น้ำหวานก็คงต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่เขาเชื่ออย่างนึงว่า ถ้าเจ้าลูกชายของเขารู้เรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นใช้น้องสาวสุดที่รักราวกับเด็กรับใช้ในบ้าน เขารับรองเลยว่า ผู้หญิงคนนั้นจะต้องกระเด็นออกจากบ้านนี้แทบไม่ทันอย่างแน่นอน ก็ในเมื่อผู้หญิงคนเดียวที่เจ้าลูกชายของเขาให้ความรักและความเอ็นดูอย่างที่สุดก็คือน้องสาวคนนี้


          มันเป็นเช่นนี้เสมอมา และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป.....


          "แล้วแกจะไปเมื่อไหร่?"

          "อีกสิบวัน ยัยน้ำหวานจะสอบเสร็จ ผมอยากให้แกมีเวลาได้ปรับตัวสำหรับโรงเรียนใหม่นะครับ หลังจากสอบเสร็จ ผมจะพาน้ำหวานไปเลย ผมติดต่อโรงเรียนทางโน้นเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ"


           พรตพยักหน้าก่อนจะนึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งได้


           "แล้วแกบอกเรื่องนี้ให้นายของแกรู้หรือยัง?"

           พรตเห็นหน้าที่สลดลงของลูกน้องคนสนิท ก็นึกรู้ว่าเรื่องนี้เจ้าลูกชายตัวดีของเขาคงยังไม่รู้เรื่องที่น้องสาวสุดที่รักกำลังจะออกจากบ้านนี้ไป เขาเชื่อว่าถ้าเจ้านั่นรู้เรื่องนี้เข้า แม้แต่ประตูห้อง น้ำหวานก็ยังไม่มีโอกาสได้ออกไปเสียด้วยซ้ำ


           "งั้นเอาอย่างนี้ ฉันจะช่วยให้แกไปจากที่นี่เอง ตอนนี้แกบอกเรื่องนี้กับใครแล้วหรือยัง?"

     
            "ยังครับนายใหญ่ ผมยังไม่ได้รับอนุญาติจากนายใหญ่ แล้วก็นาย ผมไม่กล้าทำอะไรพละการหรอกครับ"


            "ดี...แกก็รู้ใช่ไหม ถ้าเจ้านายของแกรู้เรื่องนี้เข้า อย่าว่าแต่จะไปจากที่นี่เลย แม้แต่จะย่างก้าวออกจากห้อง น้ำหวานก็คงไม่มีโอกาสได้ทำ"


           ทำไมเขาจะไม่รู้ ครั้งหนึ่ง น้ำหวานเคยพาเพื่อนๆ มาที่บ้านหลังนี้ แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่ ที่เป็นพวกโตเกินไว คิดจะลองเรื่องใหม่ๆ อย่างเช่นการจูบหรือการจับมือถือแขนกับน้ำหวาน แต่พอน้ำหวานไม่เล่นด้วยก็คิดที่จะลวนลาม ผลสุดท้ายนาย ที่เพิ่งกลับจากทำงานมาเห็นเข้าพอดี หลังจากที่เล่นงานเจ้าเด็กนั่นจนสลบคาเท้าแล้ว ยังเล่นงานไปถึงบิดาและมารดาของเด็กคนนั้นที่ไม่สามารถสั่งสอนลูกให้เอาดีได้ จนไม่สามารถอยู่เมืองไทยได้อีกต่อไป แล้วนี่ ถึงขนาดพรากดวงใจของเจ้าลูกชายไป มีหรือที่หมอนั่นจะไม่ดิ้นรนจนสุดความสามารถ 


          จะมีก็แต่...เขา ผู้ซึ่งเป็นบิดาที่จะสามารถพาน้ำหวานหลบสายตาสัปรดของเจ้าลูกชายไปได้


           -------------------------------------------------------------------------------------------------------


          


           

            

             


               
       
          
          

            


           

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×