ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #8 : :: Chapter 4 : Camp I ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.42K
      21
      26 มี.ค. 53

     

     

     

    4

    Camp  I

     

     

     

     

    “เร็วๆ เข้าน้อง   จะขึ้นกันมั้ยรถเนี่ย   หรือจะเดินกันไปเอง”   ชายคนขับรถตะโกนเรียกเหล่าผู้โดยสารอย่างหงุดหงิดนิดหน่อย

     

    “เราไปแล้วนะฮยอก   มินนี่   อีกสี่วันเจอกัน”   ดงเฮบอกลาเพื่อนที่เดินมาส่งถึงหน้าโรงเรียน

     

    “อื้ม   ดูแลตัวเองดีๆ นะด๊อง   อย่ายอมให้นายคิบอมนั่นมารังแกล่ะ”   ฮยอกแจพูดยิ้มๆ   สีหน้าบึ้งนิดหน่อย   

     

    “จ้า   ฮยอกก็เหมือนกันนั่นแหละ   อย่ายอมให้ไอ้โหดนั่นมารังแกล่ะ   ฮิๆ”   ดงเฮล้อกลับบ้าง   สีหน้าของฮยอกแจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง   แต่เหมือนดงเฮจะไม่ทันได้สังเกตเห็น   เพราะมัวแต่ไปฟังซองมิน

     

    “นั่นสิ   เล่นให้สนุกนะด๊อง   ว้า   พูดแล้วก็อยากไปด้วยชะมัดเลย”   ซองมินเสียดายเล็กๆ   ยู่ปากเซ็งๆ   อยากไปเห็นตอนเพื่อนหน้าหวานปฏิบัติงานนี่นา

     

    “ก็มินนี่ไม่ยอมสมัครเคิร์สเองนี่นา   ชวนก็ไม่ยอม” 

     

    “จ้ะๆ  ช่างมันก็ได้   ด๊องไปขึ้นรถเถอะ”

     

    ดงเฮหันไปดูว่าคนที่กำลังทยอยขึ้นรถนั้นซาลงเต็มที   จึงโบกมือลาซองมินและฮยอกแจก่อนเดินแยกออกมา 

     

    “ด๊องครับ   นั่งทางนี้มั้ยครับ”   เดินหาที่นั่งบนรถได้สักพัก   นิชคุณที่นั่งอยู่เบาะแรกๆ ก็ส่งเสียงเรียก   พร้อมๆ กันกับที่ดงเฮมองเห็นเป้าหมาย...

     

    ...นั่งคนเดียว  

     

    “เอ่อ   ไม่เป็นไรหรอกคุณ   เรามีที่นั่งแล้วละ   ขอบใจนะ”   ดงเฮตัดบทแล้วเดินไปยังที่นั่งแถบด้านหลัง  

     

    คิบอมเลือกที่นั่งแถบหลังเพื่อหลีกหนีจากเสียงจ้อกแจ้กในแถบหน้าๆ ของตัวรถ   มองออกไปนอกหน้าต่าง   ไม่สนใจอะไร   คิดกับตัวเองว่าในแคมป์นี้   เขาจะเจออะไรบ้าง

     

    “นั่งด้วยคนสิ”

     

    เสียงหวานเรียก   สะกิดความคิดของคิบอมให้คล้อยไปว่า...   เริ่มแผนของนายแล้วรึไง

     

    “...”   ความเงียบเป็นคำตอบ   ด้วยนิสัยส่วนตัวอย่างหนึ่งและความอยากรู้อีกอย่างหนึ่ง   คิบอมเองก็อยากรู้   ว่าถ้าเขาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรเลย   หน้าหวานนี่จะทำยังไง

     

    “เอ้าน้อง!   น้อง...  หน้าหวานนั่นน่ะ   หาที่นั่งได้หรือยังครับ”  เสียงห้วนของโชเฟอร์ขับรถตะโกนถาม   เสียงไม่สบอารมณ์ตอนแรกเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มหื่นๆ  เมื่อเห็นหน้าหวานแบบจังๆ

     

    “คือผมไม่มีที่นั่งน่ะครับ”  ดงเฮทำใจอ้อน   เกลียดสายตาหื่นๆ ของไอ้โชเฟอร์หน้าเหียกนั่นขึ้นโข

     

    “อ้าว”  โชเฟอร์งงรับประทาน   ที่นั่งก็เหลือเยอะแยะ   แล้วมันยังไงวะ   แต่ถึงจะงงๆ   แต่สันดานส่วนตัวก็สอนให้เขาเดินหน้าหม้อ   เดินเข้ามาใกล้ๆ คว้ามือบางไปจับอย่างถือสิทธิ์  

     

    “งั้นไปนั่งข้างหน้ามั้ยจ๊ะ   ข้างๆ คนขับ”   ดงเฮนึกรังเกียจทำท่าทีที่ทำให้เขาขยะแขยง   นึกอยากจะสะบัดออกแรงๆ   ถ้าไม่ติดว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่เขาแอบหงุดหงิดใจ   ก็คนที่คิดว่าจะทำแบบนี้มันไม่ใช่ไอ้หื่นนี่สักหน่อย

     

    “เอ่อ   คือว่า...”   ทำทีเหมือนถูกลวนลามเล็กน้อย   เข่นเขี้ยวทั้งคนที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ   และเป้าหมายที่รอมาเป็นอัศวินม้าขาว

     

    คิบอมที่ไม่ได้นึกว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการรักหัวปักหัวปำของดงเฮนึกไปจริงๆ ว่าหน้าหวานคงกำลังถูกลวนลามเข้าแล้ว

     

    “ปล่อยซะ”

     

    เสียงเข้มดังพร้อมกับสัมผัสช่วยชีวิต   ดงเฮแอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง   เกือบโดนไอ้หื่นหน้าเหียกนี่ฉุดไปแล้วมั้ยล่ะ

     

    คิบอมยืนขึ้นเต็มความสูงพร้อมคว้ามืออีกข้างของดงเฮไว้   ยื้อกับชายตัวเตี้ยด้วยท่าทีนิ่งๆ

     

    “อ้าว   ไอ้น้อง   หมายความว่าไงวะ   น้องหน้าหวานนี่จะไปนั่งกับกู”   ถ้อยคำหยาบคายที่ดงเฮนึกรังเกียจ   สะบัดมือหนีทันทีที่แผนเริ่มเข้ารูปเข้ารอย   สงสัยถึงรีสอร์ทแล้วคงต้องอาบน้ำยกใหญ่แล้วมั้ง  

     

    “เห็นว่าเค้าอยากไปกับนายหรือเปล่าล่ะ”   คิบอมตอบกลับด้วยความนิ่ง

     

    “ก็เออสิวะ   น้องคนนี้อยากไปนั่งกับกู”  

     

    “จริงหรือเปล่า”   คิบอมหันมาถาม   เข้าทางดงเฮแล้วละคราวนี้   สองแขนเล็กคว้าหมับกับลำแขนแข็งแรง   แกล้งทำเป็นลูกปลาน้อยๆ ยามหวาดกลัว   จนคิบอมเองก็เผลอยกมือขึ้นลูบผมคนตัวเล็กเบาๆ    แล้วหันไปพูดต่อ

     

    “ชัดรึยัง”

     

    “หนอย   ไอ้เด็กเวรนี่!   โชเฟอร์ทำท่าจะพุ่งหมัดใส่เด็กอายุคราวลูกคราวหลาน

     

    “จะทำอะไร!

     

    จงฮุนกระชากเสียงถาม   รู้ดีว่าคนอย่างคิมคิบอมไม่ยอมถูกทำร้ายอะไรง่ายๆ   แต่ในฐานะประธานนักเรียน   เขาต้องทำในสิ่งที่สมควรจะทำ

     

    “อย่าเสือ...”   ตะคอกกลับไม่ทันจบ   ท่าทางเคร่งขรึมของจงฮุนก็ทำให้เขาต้องข่มอารมณ์   กักเก็บความโกรธ

     

    “คุณคงไม่อยากให้ผมแจ้งความประพฤติของคุณกับเจ้าของทัวร์หรอกนะครับ   คุณโชเฟอร์   คุณมีหน้าที่ทำอะไร   ก็ไปทำ   อย่ายุ่งวุ่นวายกับคนของผม”

     

    จงฮุนพูดเสียงเรียบ   อ้างถึงหัวหน้าทัวร์เจ้าของรถและเจ้านายของโชเฟอร์คนนี้ให้จนมุม   จนต้องกระแทกเท้าหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปประจำที่นั่งคนขับอย่างแค้นๆ

     

    “คิบอม   ฝากนายดูแลดงเฮด้วยนะ   ท่าทางแบบนี้ถูกรังแกง่ายหน่อย   ชั้นไปละ”

     

    “อืม”   คิบอมตอบรับในลำคอ   ยังคงมีดงเฮกอดแขนไว้ดังเดิม   และมือของเขาก็วางทับอยู่ที่มือบาง   เมื่อเป็นไปตามแผน   ดงเฮก็เลยผละมือออก   ทำทีประมาณว่าจะเดินไปนั่งที่อื่น   รอเสียงเข้มขัด...

     

    “จะไปไหน”

     

    เป็นดังคาด   คิบอมรั้งเขาไว้จริงๆ   คิดแล้วหัวเราะสนุกในใจ    เล่นกับนายแล้วมันสนุกจริงๆ ด้วย   คิมคิบอม

     

    “ก็เอ่อ...   ถ้านายไม่สะดวก   ชั้นก็จะไปนั่งที่อื่น”   แกล้งทำเสียงหงอยรู้สึกผิดเต็มประดาที่หาเรื่องให้คิบอมเดือดร้อน  

     

    คนตัวสูงชั่งใจ   ตรองกับการกระทำของร่างบาง   พอจะมองออกได้เลาๆ ว่านี่คงเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสนุกของหน้าหวาน   แต่ในเมื่อเขาคิดจะเดินไปตามเกมส์ของดงเฮ   เขาก็ทำให้ถึงที่สุด

     

    “ไม่ต้อง   จะนั่งก็นั่ง”   พูดเสียงแข็งในที   ก่อนนั่งลงที่เดิม   หยิบไอพอดขนาดเหมาะมือขึ้นมาแล้วฟัง   ในใจก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

     

    “แต่นายจะอึดอัด...”   ยังคงเกรงใจ๋เกรงจายยย

     

    “ไม่   นั่งซะ”   คิบอมพูดเป็นครั้งสุดท้าย   ประมาณว่าถ้าคนดื้อดึงดันจะไม่ยอมนั่ง   คงต้องมีกระชากให้แขนหลุดกันซะตรงนี้

     

    “อื้อ”  

     

    แอบยิ้มกว้างในใจ   แต่มันเผยออกมาถึงข้างนอกด้วย   รอยยิ้มหวานๆ ของดงเฮที่เผยออกทำให้คิบอมแน่ใจว่านี่เป็นอีกแผนของดงเฮ

     

    ชั้นจะเล่นไปตามเกมส์ของนาย   จะเชื่อว่านายทำเพราะรักชั้นจริงๆ   และจะทำเป็นไอ้หน้าโง่แบบที่นายต้องการ   อย่าลืมนะว่า   ชั้นก็มีสิทธิ์ทำให้นายหลงรักชั้นเหมือนกัน   ลีดงเฮ!’

     

     

     

     

     

    ----  My Sweetheart…  You’re  Everything ----

     

     

     

    มหาวิทยาลัย  สถานศึกษาของคิมฮีซอล

     

    “ไอ้ฮีซอล   แกเป็นอะไรวะ   แล้วนี่อิทึกไปไหน   ไอ้คังด้วย   ไอ้เด็กเปรตนั่นอีก   หายไปไหนกันหมดฟะ  เฮ้ย!   ไอ้นี่   เรียกแล้วสนหน่อยเซ่”

     

    เจย์  คิม  เพื่อนสนิทสุดห่ามอีกคนตะคอกเสียงใส่   จะไม่ให้เสียงดังได้ไง   พูดธรรมดามันไม่เข้าหูไอ้คุณเพื่อนของเขาหรอก

     

    “ไอ้เจย์!   แกจะตะคอกชั้นทำไมวะ   อย่ามากวนตีนนะ   คนกำลังอารมณ์ไม่ดี”   ฮีซอลอารมณ์ไม่ดีตามที่ปากว่าจริงๆ

     

    “ก็แล้วกระผม...  จะไปรู้กับคุณมั้ยครับคุณไอ้เวร...  ถ้าไม่ชอบ...  คราวหน้า...  ก็กรุณาเอาป้ายมาแขวนคอบอกสภาวะอารมณ์ด้วยนะครับ...   จะเป็นพระเดชพระคุณกับผมมากกกกกกกก”

     

    เจย์ลากเสียงยาวอย่างกวนส้นตีนที่สุดในชีวิตเพื่อแกล้งเพื่อนสนิท  

     

    “ไอ้นรกเจย์! 

     

    ตะโกนลั่นก่อนไล่เตะตูดเพื่อน   เวลาเขาอารมณ์ไม่ดีทีไร   ไอ้เพื่อนบ้าๆ รั่วๆ อย่างหมอนี่ก็มีวิธีที่ทำให้เขากลับมารั่วเหมือนมันได้ทุกครั้งไป

     

    “แฮ่กๆๆ   แกชอบทำชั้นเหนื่อยว่ะ”   ฮีซอลบ่น   ใช้เท้าเขี่ยไปที่ตัวของเจย์ที่นอนอย่างหมดสภาพอยู่กลางห้องพิเศษของคณะวิศวะ 

     

    “ก็แกนั่นแหละ   เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ   โดนไอ้เด็กเปรตนั่นมันสวมเขารึไง”   เจย์ถามอย่างไม่คิดอะไร   แต่ท่าทีของฮีซอลที่เหมือนถูกแทงใจดำทำเอาเจย์ต้องรีบต่อความ

     

    “เฮ้ย  จริงดิ”

     

    “อะไรจริง   เหลวไหลแล้วไอ้เจย์”

     

    “เฮ้ยๆๆ   แกไม่ต้องมากลบเกลื่อน   ไอ้ซีวอนมันทำอะไรวะ”   เจย์ทำท่าจะเค้นให้ได้ความ   ซึ่งเป็นอันรู้กัน   มันสนใจอะไรแล้วต้องได้

     

    “เออๆ   นี่ถ้าครั้งหน้าแกเสือกมีความลับกับชั้นนะ   ชั้นจะฆ่าแกจริงๆ”

     

    ฮีซอลหมายโทษ   มีทางเลือกเดียวคือบอกเรื่องของที่ทำให้กลุ้มไปซะ

     

    “ดงเฮไม่อยู่บ้าน   ไปแคมป์   ชั้นเหงา   เลยเซ็ง   ชัดมะ”

     

    คิมฮีซอลก็คือคิมฮีซอลอยู่วันยังค่ำ   ไม่ยอมเผยไต๋อะไรง่ายๆ หรอก   เนียนไปเรื่อย

     

    “เห็นชั้นโง่รึไงวะ   ปีที่แล้วที่ดงเฮไปแกไม่เห็นเป็นงี้   อย่ามาเฟคชั้นไอ้เวร”   เจย์จับทางได้โดยง่าย

     

    “ไอ้ชะเรี่ย   แกถามชั้นก็ตอบแล้วไง   จะเค้นหาอะไรวะ”   ฮีซอลหงุดหงิด   เจย์ตั้งท่าจะล้วงความลับให้ได้   แต่โชคร้ายไป   มีสองคนหนึ่งหัวใจเข้ามาขัดซะก่อน

     

    “ฮีซอลลล   ชั้นมาแล้ว   สรุปรายงานเสร็จยัง”   นางฟ้าตาสวยเดินเข้ามาพร้อมหมีบ้าพลัง   อารมณ์ร่าเริงอยู่เป็นนิตย์นั้นทำให้ยังไม่ได้เอะใจว่าสภาวะอารมณ์ของคนอื่นเป็นยังไง   อย่างที่เจย์ว่า   ฮีซอลสมควรเอาป้ายมาแขวนคอ...   เพื่อบอกสภาวะอารมณ์

     

    “เออ   เสร็จแล้ว   เพิ่งโผล่หัวมานะ”  

     

    ไม่รอให้ชั้นถูกไอ้เจย์ซักจนเปื่อยเลยล่ะ

     

    “อา   โทษทีๆ   พอดีพาตาหมีนี่ไปธุระมาน่ะ”   อิทึกตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ   ผิดกับแฟนที่ดูรนๆ พิกล    ฮีซอลกับเจย์หันมามองหน้าเป็นเชิงรู้กัน

     

    “แล้วไอ้ธุระที่ว่าเนี่ย   พอจะทำให้หมีบ้าพลังของแกหน้าแดงเลยใช่มะ”   เจย์แซว   ฮีซอลหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ   คังอินอายม้วน   และอิทึกต่อมเขินแตก   กลบเกลื่อนโดยการเปลี่ยนเรื่อง   ที่ทำให้อารมณ์คนในห้องเปลี่ยนจริงๆ

     

    “ว่าแต่ชั้นนั่นแหละ   ซีวอนของเธอล่ะฮีนิม   ปล่อยให้เค้าเถลไถล   เดี๋ยวก็ได้อดไปจริงๆ หรอก   เมื่อกี้ก็เห็นเดินอยู่กับเด็กเสื้อแดงนี่   หมอนั่นเปลี่ยนแนวแล้วหรือไง   จากโหดโฉดเถื่อน   เป็นหวานใสน่ารักคิกขุ”

     

    อิทึกก็ร่ายไปตามประสา   เป็นเจย์เองที่หมั่นไส้ไอ้เด็กซีวอนแทนเพื่อน

     

    “ที่ไหนวะ”

     

    “ห้องอาหารตึกนิเทศไง   สวีทเชียว   ยิ่งตอนชั้นเดินผ่านนะนี่เหมือนสวีทโชว์เลย   มีป้อนน้ำกันด้วย...   อ้าว!   เจย์   จะพาฮีนิมไปไหนน่ะ   เอ๊า   ถามไม่ตอบ   อย่าลืมกลับมาส่งรายงานน้าาา”    แม้จะยังงงๆ กับภาพที่เจย์ลากตัวฮีซอลออกไป   แต่ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวก็สั่งให้พูดออกไปด้วยความเคยชิน

     

    “เฮ้ย   ไอ้เวรเจย์    แกจะลากชั้นไปไหนวะ   เฮ้ยๆๆ   จะชนคนแล้ว   มีตาก็แหกดูบ้างดิวะ   ไอ้นี่”  

     

    ฮีซอลกึ่งถูกลากกึ่งกระชากให้ไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร...  ฝั่งตึกคณะนิเทศศาสตร์  

     

    “แกอยากแก้แค้นไอ้ซีวอนมะ”

     

    เจย์ถามเสียงต่ำ   มีความหมั่นไส้อยู่ในน้ำเสียงนั้นอย่างปิดไม่มิด   สองคนนี้ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไร   เหตุก็เพราะซีวอนคิดไปว่าเจย์อาจจะหลงรักพี่สุดที่รักของเขา   และเจย์เองที่หมั่นไส้ซีวอนเพราะความคิดบ้าๆ แบบนั้นนั่นละ   เค้ากับไอ้คุณเพื่อนคนนี้เนี่ย   สนิทกันจนเกินกว่าคำว่าแอบรักไปตั้งนานแล้ว

     

    “แก้แค้น?   อะไรวะ”   ฮีซอลยังจับทางไม่ถูก  

     

    “ทีเรื่องแบบนี้ละโง่นัก   อย่างอื่นนี้สลอนฉลาดมาคนแรกเลยนะไอ้ควาย”  

     

    ถึงจุดหมายพอดียามด่าประชดจบ   หลบอยู่มุมเสาพลางสอดส่องสายตาหาคู่กรณีที่ตนอุตส่าห์ถ่อมาหาเรื่องถึงที่

     

    เมื่อเห็นเป้าหมาย   ซอนยีที่กำลังนั่งยิ้มๆ ให้ซีวอนอยู่ในมุมหนึ่งของห้องอาหาร   โดยที่อีกฝ่ายนั้นมีท่าทีกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ   ดูท่าคงกำลังไม่มั่นใจและลังเลในอะไรบางอย่าง

     

    แค่คนอย่างเจย์   คิม  เห็นแค่นั้นละก็   พอจะเดาเรื่องทุกอย่างได้ง่ายๆ อยู่แล้ว   หันกลับมาถามเพื่อนสนิทสุด Teen อีกครั้ง

     

    “เอาไง”

     

    “เอาอะไรวะ   อย่ามาสำนวน   ตอนนี้ชั้นโง่”

     

    “ถามว่าจะเอาไง   จะยอมให้ไอ้ซีวอนหักหน้า   หรือจะไปหักดั้งมัน”   ถึงภาษาจะดูแปร่งๆ หูไปสักนิด    แต่ทว่าฮีซอลกลับสนใจมันอย่างประหลาด

     

    “ยังไง???”   หน้าสวยยังไม่ค่อย Get

     

    “วะ  ทำไมตูมีเพื่อนโง่แบบนี้วะเนี่ยยย”   เจย์ถึงกับกุมขมับ   ก่อนทำใจปลงแล้วลากเพื่อนให้มาดูภาพเดิมที่เขาเพิ่งเห็น

     

    “นั่น  แกเห็นมั้ย   ไอ้ซีวอนมันจงใจให้แกหึงชัวร์   สวีทวี้ดวิ้วกันที่ไหนล่ะ   คงแค่แกล้งจี๋จ๋าตอนทึกเดินผ่านเท่านั้นแหละ  แล้วมันก็จะโร่มาบอกแก   เป็นไงล่ะ”

     

    จริงดังที่เจย์ว่า   ฮีซอลไม่เห็นว่าซีวอนจะสวีวี่วีกับซอนยีแต่ประการใด  แค่นั่งคุยกันไปตามประสาเสียมากกว่า

     

    ฮึ่ย!  นี่เค้าโดนไอ้ซิมบ้านี่ปั่นหัวหรือเนี่ย!!!

     

    ฮีซอลเดือด  ความฉลาด(แกมโกง)เริ่มกลับมาและดูท่าจะทะยานขึ้นสูงปรี๊ดดดด

     

    ...เดือดร้อนแล้วซีวอนเอ๊ย...

     

    “เออ  เข้าใจแล้ว   ชั้นจะไปหักดั้งมัน!

     

    “อย่างนี้สิวะ  คิมฮีซอลตัวจริง”

     

     

     

     

     

    ----  My Sweetheart…  You’re  Everything ----

     

     

     

    ระยะทางที่ผ่านมากินเวลาไปประมาณสี่สิบห้านาที   ไม่มีการแวะพักปั๊มใดๆ ตามกำหนดการจนกว่าจะครบหนึ่งชั่วโมง   อาจเป็นเพราะโชเฟอร์หัวเสียอย่างหนักก็เป็นได้   อารามการขับรถถึงได้ห่วยแตกสิ้นดี   เลื้อยไปมาเป็นงูสร้างความเวียนหัวแก่ผู้โดยสารนับยี่สิบคนยิ่งนัก

     

    หัวทุยๆ เอนไปฝั่งทางเดินรถ  ไหวเอนตามแรงขับเคลื่อนของรถโดยสารอย่างน่าหวาดเสียว  เลี้ยวโค้งแต่ละทีก็ทำท่าว่าจะพาร่างทั้งร่างล้มไปด้วย   ร่างสูงที่ทำไม่สนใจแต่แรกเห็นแล้วยังอดเวทนาไม่ได้

     

    “อือ...”  ส่งเสียงครางประมาณว่าไม่สบายเนื้อตัว   หลับตาพริ้มในห้วงนิทรา

     

    คิบอมหลิ่วตามองเป็นรอบที่ร้อยได้   มีสองสามครั้งที่ดงเฮไหวตัวมากไปจนเกือบจะเอนตกจากเก้าอี้  จนเขาต้องรีบดึงร่างบางเข้ามาใกล้   แต่ก็เพราะอคติเป็นกำแพงหนาทึบอยู่  ทำให้คิบอมเลือกที่จะปล่อยดงเฮไว้ตามเดิมอีกครา

     

    “อื้อ...”  เสียงท้วงแลน่าสงสารเกินห้ามใจ   ยิ่งใบหน้าหวานนั้นเหยเกเพราะความปวดเมื่อยมากเท่าไหร่   มันก็ยิ่งพาลให้ทลายกำแพงหนาปึ้กนั่นได้

     

    คิบอมตัดใจ   ความคลางแคลงสงสัยยอมละทิ้งมันชั่วคราว  แม้จะติงความคิดที่ว่านี่อาจเป็นสิ่งที่หน้าหวานทำเพื่อยั่วเขา   แต่ตอนนี้คิบอมไม่อยากจะสนอะไร   อยากจะทำให้คนๆ นี้รู้สึกดีและสบายที่สุดเท่านั้นเอง

     

    คิบอมรั้งใบหน้าหวานเข้ามาใกล้  เอื้อมมืออีกข้างไปโอบเอวอีกฝ่ายให้ขยับกายเข้ามา  กลิ่นหอมๆ หวานๆ ที่เพิ่งเคยได้ประสบพบจากกายขาวๆ นั้นทำให้คิบอมเคลิ้มไปพักใหญ่

     

    อย่าบ้าน่าไอ้คิบอม   แกกำลังหลงนายหน้าหวานนี่รึไงกัน   ตลกน่า

     

    คิบอมละจากความคิดสับสนที่ก่นด่าตัวเอง   รั้งให้ศีรษะทุยๆ เอนมาซบกับไหล่ซ้ายแข็งแรง   แอบตื่นเต้นกับความรู้สึกแปลกใหม่จากสัมผัสที่ได้รับจากหน้าหวานในยามที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

     

    แน่ใจเรอะ...   หึๆๆ

     

    คิมคิบอม   แล้วนายก็เสร็จชั้นจนได้  

     

    ดงเฮลอบยิ้มกับชัยชนะเล็กๆ    เขาไม่จำเป็นต้องลงทุนเอนคอไปซบเองสักหน่อย   ก็แค่เอนหัวไปอีกทางให้มันน่าหวาดเสียว   ทำราวๆ กับคอจะหลุดได้   คิบอมก็ต้องเอื้อมมือมาเอนหัวเขาไปอยู่แล้ว

     

    ดงเฮดำเนินตามแผนต่อไป   ตอนนี้เขาเอนร่างไปหาคิบอมเต็มที่ตามที่อีกฝ่ายจัดท่าให้   หน้าหวานแกล้งเอื้อมมือไปสวมกอดหน้าท้องที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเบาๆ ประสาคนชอบก่ายหมอนข้าง   ซุกใบหน้าเล็กๆ ให้เกยไหล่กว้างจนเกือบถึงซอกคอของคิบอมอย่างย่ามใจ

     

    ...คิบอมตัวแข็งทื่อ

     

    แผนยั่วของหน้าหวานมันน่ารักเกินห้ามใจ   คิบอมเตรียมกันท่าจะดึงมือนั้นออก   แต่ทว่า   มนุษย์หนีอะไรก็หนีได้   แต่หนีความต้องการของหัวใจไปไม่ได้   มือหนาชะงักอยู่ที่มือบาง   ประทับอยู่อย่างนั้นอย่างคิดไม่ตก   ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง

     

    ดงเฮยิ้มได้ใจภายใต้ใบหน้าหลับตาพริ้ม   ไม่ได้นึกรังเกียจสัมผัสของคิบอมอย่างที่เป็นกับโชเฟอร์ป่าเถื่อนคนนั้นแม้แต่น้อย   กลับรู้สึกอบอุ่น   หวังให้ร่องรอยจากคิบอมช่วยล้างพิษจากสัมผัสอุกอาจเมื่อครู่ของชายคนนั้น

     

    ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ   แต่เพราะความสบายและไออุ่นที่ได้รับ   ทำให้คนทั้งสองหลับใหลท่ามกลางกันและกันไปตลอดการเดินทางร่วมสองชั่วโมง...

     

     

     

     

     

    ----  My Sweetheart…  You’re  Everything ----

     

     

     

    “พี่ซีวอนๆ  พี่ฮีซอลมาค่ะ”   ซอนยีสะกิดเรียก   ย้ำให้ทางสายตาอีกครั้งว่าให้ปฏิบัติตามที่วางแผนกันไว้

     

    “ไอ้เจย์...”   ซีวอนพูดออกมาแค่นั้นเมื่อเห็นว่าร่างบางเดินมากับใคร   แค่มาด้วยกันซีวอนก็หงุดหงิดแล้ว  นี่มีการหยอกล้อส่งยิ้มให้กันอีก   มันน่านัก!

     

    ซีวอนตั้งท่าจะลุกเข้าไปหาคนทั้งสองด้วยอารมณ์คุกรุ่น

     

    “อ๊ะ  พี่ซีวอน   อย่าค่ะ”   ซอนยีรีบปราม   คว้าแขนรุ่นพี่เอาไว้ได้ทันท่วงที

     

    “ซอนยีปล่อยพี่”

     

    “ไม่ได้นะคะ  พี่อุตส่าห์ทนไม่ไปหาพี่ฮีซอลได้ตั้งวันนึงแล้ว   พี่ไม่อยากรู้หรือไงคะว่าเค้าคิดยังไงกับพี่”   ซอนยีให้เหตุผล   แต่ที่ทำให้ซีวอนหยุดได้จริงๆ คงเป็นเพราะประโยคหลัง

     

    ผู้หญิงที่ฉลาดนี่น่ากลัวจริงๆ...

     

    ซีวอนชั่งใจข่มอารมณ์   เขาระแวงไอ้เจย์ คิม อะไรนั่นมากที่สุด   ท่าทีของมันที่ชอบมาวอแวกับคนของเขามันชวนให้คิดเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ

     

    “ฮึ่ย!   ทำได้เพียงแค่นั้น   จำต้องนั่งลงที่เดิม   เฝ้ามองคนสองคนที่เดินไปซื้ออาหารด้วยกันอย่างมีความสุขด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

     

    “พี่ซีวอนคะ   อย่าไปมองเค้าบ่อยสิคะ   ทานนี่ค่ะๆ”   ซอนยีกู้สถานการณ์เต็มที่   แต่เป็นตนเสียเองที่เผลอไปสบตากับรุ่นพี่หน้าสวยเข้า

     

    ฮีซอลตีหน้านิ่ง   ซอนยียิ้มให้อย่างเป็นมิตร   หน้าสวยเบือนสายตาไปสบกับรุ่นน้องหน้าหล่ออีกคนที่นั่งอยู่ไกลออกไป   สายตาเย็นเยียบเปลี่ยนเป็นสายตายามที่โลกสดใสอีกครั้ง

     

    ฮีซอลยิ้มให้ซีวอนแบบที่เคยเวลาหนุ่มหล่อมาเอาใจ   คนได้รับรอยยิ้มอึ้งไปชั่วขณะ   หลงใหลกับรอยยิ้มที่เขาอยากเป็นเจ้าของมานานนับปี  

     

    ซีวอนงงงวย   ดูฮีซอลจะปรีดาอย่างยิ่งที่เห็นเขามานั่งอ้อล้อหยอกเล่นอยู่กับซอนยี   ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนใดๆ เสียด้วยซ้ำ 

     

    พี่ยังคงยิ้ม   พี่ยังมีความสุขดีใช่มั้ย   พี่เคยรู้สึกอะไรกับผมบ้างหรือเปล่า...

     

    “ซีวอน   ชั้นก็นึกว่านายหายไปไหนซะอีก   ที่จริงก็มากับน้องซอนยีนี่เอง”  ฮีซอลเดินเข้ามาทักทาย   ใบหน้าเปื้อนยิ้ม   ไร้ซึ่งการเสแสร้งใดๆ  ในขณะที่เจย์ไปจัดการเรื่องซื้อบัตรอาหาร

     

    “ครับ...”  ซีวอนตอบรับแค่นั้น   เขายังเดาทางรุ่นพี่หน้าสวยไม่ออกนัก   อีกทั้งใจเขามันก็ว้าวุ่นไปหมด

     

    “พอดีซอนยีหิวเลยชวนพี่ซีวอนมาทานขนมเป็นเพื่อนน่ะค่ะ   พี่ฮีซอลคงไม่ว่าอะไรนะคะ”   ซอนยีเล่นไปตามบทที่ทำท่าจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่   ก็ซีวอนน่ะสิ   เอาแต่จ้องฮีซอลซะจนลืมทุกอย่างไปหมด

     

    “บ้าน่าซอนยี   พี่จะไปสนใจทำไมล่ะ   จะแอบเคืองก็ตรงที่ซอนยีไม่มาชวนพี่นี่แหละ”   ฮีซอลเริงร่า   ทันเกมส์ของหญิงสาวหน้าสวยนี่ไปชนิดติดจรวด 

     

    “ฮีซอล”

     

    “อ๊ะ   เจย์   ตกใจหมดเลย”   ฮีซอลทิ้งมาดอ้อล้อซอนยีมาเป็นออดอ้อนเจย์แทนตามที่เตี๊ยมกันมาอย่างดิบดี

     

    “โทษที   จะไปกันยัง”   ไม่พูดเปล่า   เอื้อมมือมารั้งให้ฮีซอลเข้าไปใกล้ๆ ก่อนสบตากับซีวอนในนาม...  ผู้ชนะ 

     

    “จะไปไหน”   ซีวอนกระชากเสียงถาม   ไม่สนใจแล้วว่าซอนยีจะทำหน้าแบบไหน   จะพยายามห้ามปรามเพียงใด   แต่ความใกล้ชิดของคนสองคนนี้มันทำให้เขาลืมได้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ

     

    “เรื่องอะไรของแกล่ะ”   เจย์ยียวน   ฮีซอลแกล้งทำเป็นห้ามปราม   เอื้อมมือไปคว้าตัวเจย์เอาไว้   คล้ายๆ กอดหลวมๆ

     

    “พี่ทำอะไรน่ะ!   ซีวอนสติขาดผึง   ห้องอาหารที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านนั้นมีคนใช้บริการไม่กี่คนจนเกือบจะร้าง

     

    “อะไรกันซีวอน   เสียงดังทำไมล่ะ   เจย์  ไปกันเหอะ   ชั้นว่าเปลี่ยนร้านกันดีกว่า   ไม่ค่อยชอบที่นี่เลย”

     

    ฮีซอลอ้อนได้อีก   รอยยิ้มหวานที่ซีวอนชอบนักหนาถูกหน้าสวยยกมาใช้โปรยเสน่ห์ให้เพื่อนสนิทที่ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับซีวอนยามได้รับ   เพียงแต่เล่นไปตามเกมส์

     

    “แต่ชั้นซื้อบัตรมาแล้ว   ตามใจชั้นซักวันสิ   เมื่อคืนชั้นก็อุตส่าห์ตามใจนายทั้งคืนแล้ว”   เจย์ยังคงยั่วโมโห   มีรึฮีซอลจะไม่ตบมุก    สวมรอยทับทันที   แม้จะแอบหมั่นไส้ไอ้เพื่อนรักที่เล่นจนเหลิงนี่สิ   พูดซะเค้าเสียหายเลย

     

    “บ้า”

     

    ซีวอนไม่ทนฟังอะไรอีกต่อไป   ร่างสูงพุ่งหมัดใส่ศัตรูด้วยแรงโทสะทั้งหมด   แต่เจย์ คิม  มีรึจะยอมถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว   ถีบซีวอนให้กระเด็นไปอีกทางทันทีที่ตั้งหลักได้

     

    “ไอ้เลว!   มึงทำอะไร!    ซีวอนกระชากเสียงถาม   พาร่างพุ่งเข้าประชิดตัวเจย์   ปล่อยหมัดลุ่นๆ เข้าใบหน้าคมคายที่เขาเหม็นขี้หน้ามานานด้วยกำลังทั้งหมดที่มีจนเลือดอีกฝ่ายไหลซิบๆ

     

    “ไอ้เจย์!   ฮีซอลเผลอตัว   ใช้ศัพท์ในกลุ่มอุทานก่อนเข้าไปประคองเพื่อนสนิทคิดซื่อๆ ที่ซีวอนไม่คิดแบบนั้น

     

    “พี่ฮีซอล...”   ซีวอนครางเบาๆ   เขาเองก็เจ็บเหมือนกัน   ตอนที่ถูกถีบแขนซ้ายซีวอนไปกระทบกับขอบโต๊ะอย่างแรงจนบวมช้ำ   เจ็บกายไม่เท่าไหร่   อย่างว่า   ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว   หัวใจซีวอนรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดจนแน่นขนัด   เหมือนมันหยุดเต้นไปเสียดื้อๆ   เมื่อคนที่เขาหลงรักมาโดยตลอดกลับไปให้ความสำคัญ...  กับอีกคน

     

    “พี่ซีวอนคะ”   ซอนยีเป็นห่วงร่างสูงจับใจ   เจย์ส่ายหน้าให้ฮีซอลเป็นเชิงไม่ต้องห่วง

     

    “นายทำแบบนี้ทำไมฮะ!   ฮีซอลตะคอกถาม  เสียงหวานห้วน  ไม่คำนึงถึงอีกฝ่าย

     

    “.....”

     

    “อย่าทำแบบนี้อีกเป็นอันขาด!   ชเว ซีวอน”

     

    ฮีซอลยื่นคำขาด   หันกลับไปให้ความสนใจร่างสูง   ค่อยๆ ประคองเจย์ออกไปจากห้องอาหาร   ไม่ได้ชายตาแลใครอีกคนเลยแม้แต่น้อย

     

    ร่างทั้งสองลับประตูไปไกลแล้ว   แต่ทว่าซีวอนยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม   จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ   ในเมื่อคนที่เขารัก   ไม่เคยรู้สึกแบบเดียวกันกับเขาเลย

     

    “พี่ซีวอน   อย่าร้องไห้เลยนะคะ...”

     

     

     

     

     

    ----  My Sweetheart…  You’re  Everything ----

     

     

     

     

    “เดี๋ยวมารับกุญแจห้องพักที่ห้องชั้นนะ   ห้องละสองคน   คู่ก็ตามลำดับผลโหวตนั่นละ   หนึ่งกับสอง  สามกับสี่  เข้าใจนะ”

     

    จงฮุนอธิบายพร้อมแกว่งกุญแจในมือไปมา   คิบอมตกใจนิดๆ กับรูมเมทของตน

     

    ฟ้าจะเป็นใจอะไรขนาดนั้น...

     

    ในขณะที่ดงเฮยิ้มกริ่มและแอบหวั่นเล็กๆ  ใช่  แม้ความสนุกจะนำพาไปมากยังไง  แต่ดงเฮก็ยังอดระแวงไม่ได้   จะว่าไปแล้ว  หน้าหวานยังประสานักในเรื่องพวกนี้

     

    .....หรือเปล่าน้า

     

    “พอถึงห้องแล้วชั้นมีเวลาให้พวกนายพักได้สองชั่วโมงนะ   จะลงไปเดินเล่นที่ทะเลก็ได้   แต่อย่าห่างจากรีสอร์ทให้มากนักล่ะ   พอครบสองชั่วโมงแล้วชั้นจะให้แจจินไปตามมาทานอาหารเที่ยงนะ   ตอนบ่ายถึงเย็นเราจะมีกิจกรรมผูกสัมพันธ์กัน”   จงฮุนอธิบายคร่าวๆ ก่อนปล่อยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปยังห้องพักของรีสอร์ทเพื่อพักผ่อน

     

    คิบอมเดินตามดงเฮที่ดูลั้ลลามากกว่าปกติไปเงียบๆ  อาจเป็นเพราะบรรยากาศและทิวทัศน์ใหม่ๆ ทำให้ร่างบางลืมเรื่องในหัวไปได้เกือบทั้งหมด   แสดงตัวตนของตัวเองมาได้แบบเต็มที่

     

    “ที่นี่สวยดีเนอะ”   ดงเฮเปรยยิ้มๆ  มองน้ำทะเลสีสวยที่ไกลออกไป

     

    “อืม”   คิบอมตอบรับเบาๆ ไม่มากไปกว่านั้น   สนใจกริยาท่าทางที่สดใสของคนๆ นี้มากกว่าทุกสิ่งรอบข้าง

     

    “ชั้นไม่ได้มาที่แบบนี้นานมากๆ แล้วตั้งแต่พ่อกับแม่ย้ายไปจีน  ประมาณสี่ห้าปีแล้วมั้ง”   ดงเฮยังคงเจื้อยแจ้ว  คิบอมก็ฟังไปได้เรื่อยๆ  แม้ท่าทางเหมือนจะไม่ได้สนใจ  แต่ก็รู้เรื่องในทุกอย่างที่หน้าหวานพูด   บางครั้งยังมีคำถามเสริมด้วยซ้ำ

     

    “แล้วทำไมต้องไปจีน”   ถามสั้นๆ  แต่เหมือนดงเฮจะเข้าใจความหมาย

     

    “ไปทำงานน่ะ   พ่อชั้นทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่นั่น   ตอนแรกแม่ก็จะอยู่กับชั้นหรอก   แต่ชั้นไม่ค่อยอยากให้พ่อกับแม่ไกลกันเท่าไหร่” 

     

    “อืม”

     

    “อ๊ะ  ห้องนี้ไง   1521  ขอกุญแจหน่อยสิ”  

     

    คิบอมยื่นกุญแจให้ดงเฮ   เป้ใบเล็กที่ดงเฮสะพายมาคิบอมรับมาถือไว้ให้ชั่วคราว   เพื่อให้ร่างบางได้ถนัดกับการเปิดประตูห้องที่มีลวดลายและเถาวัลย์บางอย่างรัดไว้อย่างสวยงามนั่นยิ่งขึ้น

     

    “อา   ตรงนี้ทำไงล่ะ   เจ้าของรีสอร์ทที่นี่ไอเดียดีชะมัด”   ดงเฮบ่นแอบประชดบุคคลที่สาม  เมื่อเถาวัลย์ปมสุดท้ายมันดันผูกกันแน่นจนคลายไม่ออก   ราวกับจะต้องกระชากให้มันหลุดจากประตู

     

    “ดึงเชือกข้างประตูสิ”   คิบอมชี้นิ้วเรียวไปยังด้ายบางๆ

     

    “สายตานายนี่เหลือเชื่อเลย”   ดงเฮดึงด้ายไหมเบาๆ   เสียงกริ๊กดังขึ้นสองครั้งพร้อมประตูที่เปิดออก

     

    “แล้วไอ้เถาวัลย์นี่   จะทำขึ้นมาทำซากอะไร”   ดงเฮบ่นหน้าเอ๋อๆ  คิบอมเผลอหลุดยิ้มกับกริยาน่ารักๆ ที่ไม่เสแสร้งนั้นอย่างลืมตัว

     

    “เข้าไปเถอะครับ”

     

    “อือ”

     

    ภายในเป็นห้องขนาดเล็กถึงปานกลาง   ลมพัดเข้าออกตลอดเวลาด้วยการดีไซน์ห้องพักให้เหมือนกระท่อมกลางป่า   ลมเย็นๆ ทำให้ดงเฮที่ใส่เสื้อกล้ามสีขาวและคลุมทับด้วยเชิ้ตสีชมพูห่อไหล่น้อยๆ

     

    “ให้ปิดหน้าต่างมั้ย?”

     

    สองคนนี้ดูเหมือนจะสงบศึกกันชั่วคราว   ไม่ได้ทะเลาะกันทุกครั้งที่เจรจาเหมือนยามปกติ

     

    “ไม่ต้องหรอกคิบอม   เดี๋ยวชั้นจะเปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาวแล้ว”

     

    “อืม”

     

    คิบอมปฏิเสธไม่ได้ว่า   เวลาดงเฮทำตัวดีๆ   ใช้น้ำเสียงหวานๆ พูดคุยกับเขา   วางตัวน่ารักๆ นั้น   มันทำให้เค้ารู้สึกพอใจและเอ็นดูดงเฮ....    ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

    แล้วดงเฮก็เดินเข้าห้องน้ำเล็กๆ ไปหลังจากคว้าเสื้อแขนยาวสีขาวสะอาดตาในกระเป๋าใบเล็ก

     

    คิบอมมองไปรอบๆ ห้อง   สังเกตเห็นเตียงเล็กสองเตียงที่ตกแต่งได้สวยเข้ากับบรรยากาศ  

     

    “คิบอม!   คิบอมมาดูนี่สิ”   เสียงหวานเรียกตื่นๆ  ร่างสูงหุนหันวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเล็กๆ อย่างลืมตัว  ...นึกเป็นห่วงดงเฮ

     

    “อะไรครับ”

     

    “ดูนี่สิๆ  เปิดหน้าต่างตรงนี้เห็นทะเลด้วยแหละ   มุมนี้สวยมากเลยนะ”   เสียงหวานลิงโลด   ไม่ว่าเปล่ายังกวักมือเรียกให้คิบอมไปดูด้วย

     

    “อืม   สวยดี”

     

    ถ้อยคำหลุดจากปาก  สายตาไม่ได้จับจ้องที่ทิวทัศน์งดงามอย่างดงเฮ   แต่กลับสนใจอยู่ที่ใบหน้าหวานๆ ที่อยู่ใกล้กันนี่ต่างหาก

     

    “อ๊ะ”  เหมือนดงเฮจะเริ่มรู้สึกถึงความใกล้ชิด   เผลอตัวขยับกายออกห่างอย่างตกใจโดยลืมไปเสียสนิท   ว่าตนมาที่นี่เพื่อยั่ว

     

    “เอ่อ..”

     

    “เป็นอะไร”   คิบอมสงสัยในท่าทีอึกอัก   เริ่มงงงวยกับทุกๆ การกระทำของดงเฮ

     

    ...จะเอาไงแน่   เดี๋ยวยั่วเดี๋ยวเล่นตัวเดี๋ยวน่ารักน่าเอ็นดู   ปั่นหัวคนเก่งขนาดนี้เลยหรือไงกัน

     

    อารมณ์ดีๆ ของคิบอมชักมวนตึง   และคงจะหงุดหงิดยิ่งกว่านี้   ถ้าดงเฮไม่พูดประโยคน่าฟังออกมา

     

    “ก็เห็นวิวสวยดีเลยเรียกมาดู   นึกว่าจะชอบ   แต่ถ้าไม่ก็ขอโทษ”   ประโยคหลังนี่แอบใส่อารมณ์ไปพอประมาณทำนองที่ว่า      เออ!  ชั้นมันทำดีไม่ขึ้น!

     

    ดงเฮเบี่ยงกายออกจากห้องน้ำที่แคบไปทันทีที่จุคนเกินหนึ่งคน   แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าพร้อมเบนหน้ากลับมาฟัง   พร้อมแย้มรอยยิ้มหวานๆ น่ารักๆ ที่เกิดขึ้นจากข้างในจริงๆ หลังจากฟังคำกล่าว

     

    “ยังไม่ทันได้พูดอะไรซักหน่อย   วิวสวยดี   ผมชอบ”

     

     

     

     

     

     

    “นายนอนเตียงขวานะ   ชั้นอยากได้เตียงนี้” 

     

    ดงเฮชี้ๆ  ก่อนได้รับการพยักหน้าเนิบๆ เป็นเชิงเอาไงก็เอา

     

    “จะนอนงั้นเหรอ”   คิบอมถาม   

     

    “อือ   ง่วง”

     

    “บนรถยังไม่พอ?”

     

    ถามเหมือนไม่คิดอะไร   แต่ที่จริงแล้วคิดมากมาย   ดงเฮแอบหน้าแดงเขินอายกับสิ่งที่ตนเพิ่งกระทำไปเมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้ว   นอนกอดกับคิบอมบนรถ   พอตื่นขึ้นมาก็ถูกคนทั้งคันรถแซวกันยกใหญ่ให้ได้อับอายขายขี้หน้า   แล้วนี่   ยังจะโดนล้ออีก      อับอายๆๆๆ

     

    คิบอมที่เห็นอีกฝ่ายเริ่มจะกระดากอายกับการกระทำของตัวเองยิ้มมุมปากอย่างขันๆ

     

    “นายแกล้งชั้น”   ดงเฮหาเรื่องกลบเกลื่อน   ซึ่งคิบอมรู้ได้ทันที

     

    “ตอนไหนล่ะ”   ตอบกลับยียวน

     

    “นายแกล้งนอนกอดชั้น  แล้วพอพี่จงฮุนมาปลุกก็เลยโดนล้อ   นายแกล้งทำให้ชั้นขายขี้หน้า”   ความสามารถพิเศษหรือกระไร  คนละเรื่องแต่ดงเฮยังเอามารวมกันได้   คิบอมยิ้มกว้างขึ้นอีกนิดพอยั่วโมโห   ให้ดงเฮยั่วอยู่ฝ่ายเดียว   ดูท่าจะเห็นแก่ตัวไปเสียหน่อย

     

    “ชั้นจำไม่ได้ว่าเป็นคนดึงแขนนายให้มากอดเสียเมื่อไหร่”

     

    ไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเอนร่างและศีรษะอีกฝ่ายมาซบ   เน้นแต่เฉพาะที่จะทำให้ดงเฮเขินอายระคนโมโหได้เท่านั้น

     

    “นั่นไง   นายก็รู้ว่าชั้นเผลอกอด   ไม่ยอมดึงออก”      แกล้งลืมไปชั่วขณะเสียเองว่าเขานี่แหละ   ที่เป็นคนจงใจไปกอดคิบอมแบบนั้น

     

    “สรุปว่าชั้นผิด”   ยังคงถามยิ้มๆ  ต่อปากต่อเถียงกับหน้าหวานนี่   ก็ไม่ได้มีอะไรแย่นัก   ถือว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้ชีวิต

     

    “ใช่!  ถ้าคนอื่นมาล้อชั้นแล้วนายทำนิ่งอีกนะ   ชั้นจะแฉนายแน่”   คาดโทษพร้อมกระโดดขึ้นเตียงแล้วคลุมโปง   เรื่องแฉอะไรนั่นก็ไม่มีกับเขาหรอก   พูดออกหน้าไปงั้น   เพราะประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของต้นเหตุเรื่องทั้งหมด   เกิดจากเขาเอง

     

    คิบอมยิ้มกว้างขึ้นไปอีกยามดงเฮนอนหันหลังให้   เดินไปอีกด้านของห้องแล้วโน้มตัวลงนอนบ้าง 

     

    ถามว่าทำไมถึงง่วง   นอนบนรถก็น่าจะพอ   คำตอบที่ตอบแทนทั้งสองคนได้นั้นคงเป็น...

     

    ....ตื่นเต้นจนนอนหลับไม่เต็มตาน่ะสิ   ถามได้

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×