ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -My Sweetheart..You're Everything -KiHae HanHyuk SJ-

    ลำดับตอนที่ #66 : :: Chapter 46 : กินหัวกินหาง กินปลาตลอดตัว ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.65K
      27
      26 มี.ค. 53

     

     



    กินหัวกินหาง   กินปลาตลอดตัว

     

     

     

     

     

     

     

    แสงแดดแสบตาส่องแสงจ้าในยามที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวมาอยู่ในมุมสามสิบห้าองศา  ม่านผืนใหญ่ที่ลืมปิดตั้งแต่เมื่อคืนปล่อยให้แสงอรุณช่วงสายปลุกชายหนุ่มร่างหนาบนเตียง  แพขนตาหนากระพริบถี่ๆ เพื่อปรับให้สายตาชินกับแสงสว่าง   ก่อนจะสำนึกได้ว่ามีเรือนร่างเล็กบอบบางฝังตัวอยู่ในอ้อมกอดหนาของตัวเอง

    กว่าคิบอมจะได้นอนก็ประมาณตีสองเข้าไปแล้วเพราะต้องตื่นมานวดแขนที่ช้ำให้คนเจ็บ   รอยเขียวจ้ำๆ จางลงไปเยอะจนแทบไม่เหลือร่องรอย   คิบอมตื่นเต็มตาทันทีที่เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานประมวลเข้าความคิด   มือหนาสอดเข้าไปรั้งร่างบางให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิมอย่างหวงแหน   พรมจูบลงบนหน้าผากมนด้วยความรักใคร่และใจที่คลายกังวล

    “อื้อ..”

    ดงเฮร้องเบาๆ เพราะมีบางอย่างรบกวนการนอน   ร่างเล็กกระแซะตัวเข้าหาอกอุ่น   รดรินลมหายใจร้อนๆ ให้ปะทะแผงอกกว้างของคิบอมจนร่างสูงใจสั่น

    ริมฝีปากหวานที่เคยลิ้มลองมานับครั้งไม่ถ้วนแนบชิดติดกับเสื้อยืดตัวบางของคิบอมเป่าลมหายใจออกมาประสาคนหลับลึกจนเกิดเสียง “ฟู่...” ให้ฟังดูน่าขำ   แต่ตอนนี้คิบอมไม่มีอารมณ์จะมายิ้มหรือหัวเราะอะไรทั้งนั้น

    ก็ไอ้ลมหายใจร้อนๆ กับร่างนุ่มนิ่มที่เบียดบดเข้ามาให้สัมผัสนี่มันยิ่งกระตุ้นธรรมชาติของผู้ชายอันเป็นกิจวัตรประจำวันในทุกเช้าให้เกิดอาการรุนแรงยิ่งกว่าเดิมอีกน่ะสิ!

    คิบอมเริ่มหายใจติดขัด   ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสารเพราะเจ้าคนตัวเล็กที่กำลังสร้างความปั่นป่วนบดบู้บี้คิบอมน้อยอยู่ดันหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องเสียอย่างนั้น  

    นี่เค้าจะรู้มั๊ยว่าแค่การที่เค้านอนอยู่เฉยๆ ก็ทำให้ผมแทบจะบ้าตายได้แบบนี้น่ะ

    ร่างสูงพยายามแกะมือเหนียวๆ ออกอย่างยากลำบาก   การเคลื่อนไหวที่ต่างไปจากเดิมทำให้ฝ่ายที่หลับอยู่เริ่มรู้สึกตัวและลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด

    “อื้อ..”   มือขาวขยี้ตาร้องงัวเงีย   ร่างสูงยกยิ้มเอ็นดูกับท่าทางน่ารักแล้วนอนนิ่งไม่ไหวติง   พฤติกรรมตอนตื่นนอนของร่างเล็กคนนี้น่าชมอย่าบอกใครเชียวล่ะ ..

    แขนขาวตวัดรัดหมอนข้างมีชีวิตที่กกกอดตลอดทั้งคืนเอาไว้แน่นเป็นการบิดขี้เกียจ   อ้าปากหวอดหาวรดยอดหมอนข้างที่ปัจจุบันคือซอกคอหนาจนคิบอมจั๊กจี้แล้วกลิ้งตัวสี่ตลบเป็นอันปิดท้ายอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่ตื่นนอน

    ตากลมกะพริบปริบๆ ปรับให้ชินกับแสงสว่าง   เห็นว่าเป็นอีกคนที่กำลังมองมาก็ตกใจเพราะยังเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์อะไรไม่ได้นัก   พอทุกอย่างประมวลเข้าสมองก็ส่งยิ้มให้ร่างหนาจางๆ ยังไม่คลายความงัวเงีย

    “อรุณสวัสดิ์” 

    “อื้อ”  เสียงเล็กร้องอู้อี้พลางขยี้ตา

    “หายเจ็บแขนหรือยัง”   คิบอมลูบแขนขาวแล้วไถ่ถามอย่างเป็นห่วง   อาการไม่ปกติของจิตมารที่ฝักใฝ่เรื่องใต้สะดือพอจะทุเลาลงไปได้บ้างเมื่อเห็นใบหน้าหวานเจือยิ้มสดใสส่งมา

    ดงเฮยืดแขนสะบัดๆ ไปมาทดสอบ   หันมายิ้มกริ่มให้ร่างสูงที่นอนข้างๆ  “หายแล้ว   แต่ยังตึงๆ นิดหน่อยเวลาขยับแรงๆ”

    “ถ้าเจ็บมากเดี๋ยวบ่ายๆ ไปหาหมอกันนะ”

    “ฮื้อ  ไปทำไมบ่อยๆ  เค้าไม่ถูกกับโรงพยาบาลนะ”  

    “ไม่ฉีดยาหรอกน่า”   คิบอมรู้ทัน  ตัวเล็กยู่ปากใส่งอนๆ แล้วค้านเสียงแข็ง

    “ไม่ได้กลัวเข็มฉีดยาสักหน่อย   แค่ไม่ชอบ”

    “มันต่างกันที่ไหนล่ะ”

    เห็นคิบอมยิ้มขำก็ยิ่งหงุดหงิดเพราะมักถูกล้อให้อายอยู่เสมอๆ ด้วยเรื่องทำนองนี้   จะกลายเป็นเด็กแปดขวบทำอะไรไม่ได้ก็เพราะคิบอมคอยแต่ล้อและยั่วแหย่ให้งอนทำหน้ามุ่ยเป็นจอมเอาแต่ใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

    ดงเฮยื่นจมูกเข้าไปดมฟุดฟิดตามข้อพับแขน   แผงอกกว้างของคิบอมจนเขาเลิกคิ้ว   แต่ก็ต้องระบายยิ้มเพราะเจ้าตัวเล็กเงยหน้ามาพูดด้วยอารามอยากเอาชนะ

    “ไปอาบน้ำเลย   ตัวมีกลิ่นด้วย   เมื่อวานไม่ได้อาบน้ำใช่มั๊ย”

    “หา  จริงอ่ะ”   คิบอมดึงเสื้อเชิ้ตให้กว้างแล้วก้มไปดม   มันก็ไม่มีกลิ่นสาบอะไรนี่นานอกจากกลิ่นของผ้าปูที่นอน   แอบมีกลิ่นของเหงื่อปนมาด้วยนิดหน่อยก็ไม่น่าแปลกเพราะเมื่อคืนนี้ก็วิ่งวุ่นตามหาดงเฮไปทั่วไม่ได้หยุด   แถมตอนที่ร่างเล็กเพลียจนหลับไปเขาก็ต้องตื่นมาทายาให้เพราะกลัวจะเจ็บหากทำตอนรู้สึกตัวเลยไม่ใคร่ที่จะสนใจตัวเอง   นวดแขนช้ำเสร็จก็ล้มตัวนอนตาม   ตื่นอีกทีก็เช้านี้นั่นแหละ

    “จริงสิคุณคิมซกมก””

    - -

    ตัวเองถูกแซวบ้างก็เลยแกล้งทำโกรธ   สีหน้าบึ้งตึงอย่างเคยโดยไม่พูดอะไร  ทว่าเจ้าคนตัวเล็กก็ไหวตัวทัน   คนมันเคยๆ กันอยู่

    “ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้านิ่งเลยนะ   นี่แน่ะๆๆ”   บิดซ้าย  บิดขวาจนแก้มอูมๆ ของคิบอมเริ่มแดงด้วยความสะใจ

    “โอ๊ยๆ  เจ็บนะ   แล้วรู้ได้ไงว่าแกล้งทำ   มานั่งอยู่ในใจผมเหรอ”

    “แหงสิ  ชิส์”

    “โอ๋ๆ  ไม่งอนน่า   ไม่งอนนะคนดี   หายงอนแล้วจะให้หอมแก้มหนึ่งที  เอามั้ยครับ”

    “อี๋   ใครจะไปอยากหอมแก้มอ้วนๆ กันล่ะ   ฮ่าๆๆ”

    “-*-”

    คิบอมขมวดคิ้วปั้นหน้ายุ่งดงเฮก็ยิ่งชอบใจหัวเราะร่าส่ายตัวไปมาบนเตียงอย่างกลั้นอาการไว้ไม่ไหว   คุณคิมซกมกบิดจมูกรั้นของดวงใจจอมซนอย่างหมั่นเขี้ยว   แต่เนิ่นนานดงเฮก็ยังไม่หยุดหัวเราะ   คิบอมเลยจัดการจูบปิดปากมันซะเลย

    “อื้อ...”   คนเป็นรองผลักร่างที่คุกคามตัวเองอยู่ออกอย่างรวดเร็ว   โดนเอาเปรียบอีกแล้ว   คิดอย่างเคืองงอนแต่ก็มีความสุขและรู้สึกดี   คิบอมยิ้มกริ่มหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างเป็นต่อ   ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งทำหน้าขึงขังไม่ยอมถูกแกล้งอีกต่อไป

    “ขี้โกง”

    “เค้าเรียกใครดีใครได้”  คิบอมยิ้มแป้นแก้มท่วมหน้า   “เดี๋ยวจะทำอะไรให้ทานเป็นค่าตอบแทนมอร์นิ่งคิสเมื่อกี้   ไปอาบน้ำซะนะคนสวย”

    คิบอมหัวเราะร่าอย่างผู้ชนะ   เดินตัวปลิวออกจากห้องสุดแสนจะเบิกบานใจที่กลั่นแกล้งลิ้มหน้าหวานของเขาได้สำเร็จ   ดงเฮค้อนหน้าคว่ำมองตามหน้ามุ่ย   แต่จนแล้วจนรอดก็เก๊กโกรธไม่ได้ตลอดต้องหลุดยิ้มออกมาแล้วเข้าไปอาบน้ำพร้อมรอยยิ้ม

    คิบอมถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก   ไม่รู้จะลงมือทำอย่างไร   ในตู้เย็นมีของสดเยอะพอจะให้เลือกประกอบอาหารอยู่หลายอย่างก็จริง   แต่ไอ้ปัญหาน่ะมันติดอยู่ว่าคนที่เลือกซื้อและรู้ดีว่าจะทำอะไรกินนั้นคือคนที่กำลังอาบน้ำและรอคอยเขาตั้งโต๊ะ

    ร่างสูงแทบจะไม่รู้สูตรทำอาหารชนิดใดเลยก็ว่าได้   จะให้ทำรามยอนก็หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว   ทางเลือกเดียวคือไข่ทอดที่คิบอมคิดว่าคงไม่ยุ่งยากและมีขั้นตอนมากมายอะไร   พอจะแก้ขัดรองท้องไปได้ก่อนแล้วค่อยออกไปหาอะไรทานหากดงเฮไม่พอใจ

    “เอาสักตั้งวะ”

    ...

    “อื้อหือ ...   เค้าจะได้กินอาหารเช้ามั๊ยเนี่ย”

    ร่างเล็กร้องทันทีที่ห้องครัวที่เขาชื่นชอบมีกลิ่นไหม้เกรียมของอะไรบางอย่างลอยคละคลุ้ง   คิบอมยืนหน้าเสียให้กับความผิดพลาดรุนแรงที่ทำไข่ไหม้ไปแปดฟอง   จนใบที่เก้าเข้าทำนองประสบการณ์สอนคนแม้จะไม่ไหม้จนกินไม่ได้เหมือนครั้งก่อนๆ แต่ก็ดำเมี่ยมจนแทบจะเป็นไข่ย่าง

    ดงเฮหัวเราะคิกคักกับสภาพที่เห็น  คิบอมปั้นหน้ายุ่งผิดหวังที่ผลออกมามันไม่เป็นอย่างที่ใจหวัง  ตอนที่มองดงเฮทำนู่นนี่คล่องแคล่วมันก็เพลินตาและดูไม่ยุ่งยากอะไร  แต่พอเอาเข้าจริงทำไมถึงมีสภาพไม่เหลือซากแบบนี้วะ

    คิบอมตักส่วนที่มีสีเหลืองมากที่สุดบนเนื้อไข่แล้วยื่นไปจ่อที่ปากบาง   อาหารอย่างแรกที่เขาทำสำเร็จและตั้งใจจนออกมาเป็นรูปเป็นร่าง   สภาพของมันที่ไม่ได้ดูดีเลิศหรูแต่อนาถาจนถึงขั้นกินไม่ได้นั้นก็ยังอยากจะให้คนที่รักลองชิม

    ร่างเล็กเล่นแง่  เม้มปากแน่นไม่ยอมให้สิ่งใดผ่านเข้าไป

    “ชิมหน่อยนะ   ผมตั้งใจทำให้เลยนะ  คนสวยอย่าใจร้ายสิ”

    “ฮื้อ...”   เสียงเล็กทำฮือไม่แน่ใจ  กลั่นแกล้งคิบอม   ทำท่าจะเบือนหน้าหนีแต่ก็คิบอมเคลื่อนร่างมาดักทางไม่ให้หายไปไหน   ท้ายที่สุดก็ต้องพูดประโยคที่ไม่เคยได้พูดบ่อยออกไปเพื่อให้ร่างบางยิ้มขำแล้วยอมเปิดปากอย่างเต็มใจ

    “ถึงไข่จะดำ   แต่ใจคนทำก็สีชมพูนะ”

     

     

     

     

    ช่วงบ่ายฮีซอลโทรมาหาคิบอมเพื่อถามว่าจะเอายังไงกับเรื่องของดงเฮ   ร่างสูงปลีกตัวออกไปคุยที่ระเบียงเพราะไม่อยากให้ร่างเล็กที่นอนดูหนังอย่างสบายใจบนโซฟาต้องคิดมากและเป็นกังวลอีก   ทว่าไม่จัดการพวกเดนนรกนั่นถึงขั้นเด็ดขาดก็ยังวางใจอะไรไม่ได้   สิ่งที่คิบอมหวังให้ดงเฮรับรู้มีเพียงอย่างเดียวคือเขาจะไม่ยอมเอาความเสี่ยงที่จะสูญเสียดวงใจดวงนี้ไปอีกเป็นครั้งสองแขวนไว้บนเส้นด้ายอีกแล้ว

    ฮีซอลกับเจย์คิมคอยเป็นตัวชูโรงกำจัดมารร้ายออกไปจากชีวิตของน้องชายพวกเขาไม่หวั่นเกรงอิทธิพลมืด   ทำไมจะต้องกลัวในเมื่อตัวเองก็มีแบ็คกราวน์เป็นถึงทายาทคิมกรุ๊ปและชเวคอร์เปอร์เรชั่น    และถึงไม่มีก็ใช่ว่าเพื่อนรักเพื่อนตายอย่างพวกเขาทั้งสองจะไม่กล้าหือ   นัมกอซองมันก็เป็นแค่ลูกกระจ๊อกหากเทียบกับกลุ่มคนที่เจย์คิมสนิทสนมในหมู่นักเลงหัวไม้  

    [ใครมันทำอะไรกับน้องชายชั้นมันต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม!]

    “ผมว่าตอนนี้ให้ดงเฮอยู่กับผมไปก่อนดีกว่า   อันตรายเกินไปถ้าจะให้เค้าอยู่ตามลำพังที่บ้านหรือไปไหนมาไหนคนเดียว”  คิบอมเองก็เคียดแค้นไม่แพ้กัน   แต่ความสำคัญของดงเฮย่อมมาเหนือสิ่งอื่นใดที่จะทำให้ใจร้อนรุ่มไขว้เขว   เวลาเอาคืนยังมีเสมอตราบใดที่มันยังไม่จมตีนเขาจนสาแก่ใจ

    [นายแน่ใจเหรอว่าจะปกป้องน้องชั้นได้   ชั้นไม่ลืมหรอกนะว่าไอ้ตัวไหนที่มันขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนแต่กลับปล่อยให้ดงเฮเจออันตราย]  น้ำเสียงฮีซอลกดดันข่มขวัญจนชวนให้อึดอัดและผวาในใจ   หากแต่คิบอมไม่ใช่ไก่อ่อนที่จะยอมลงหรือสยบให้ใครง่ายๆ แม้แต่คนๆ นี้   ด้วยความที่นับถือเป็นรุ่นพี่มาหลายปีและมีสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคนที่ตัวเองรักเลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่คิบอมจะโต้ตอบ   ความเป็นห่วงดงเฮของฮีซอลมันมาจากใจที่ห่วงใยมากกว่าใคร  และเขาเองก็มีส่วนผิด   การที่คิบอมเงียบและเอ่ยปากขอโทษออกไปจึงเป็นสิ่งที่สมควรและถูกต้องที่สุด

    “ผมรู้แค่ว่าต่อให้ผมต้องตาย   ผมก็ต้องปกป้องดงเฮให้ได้”

    [คำพูดมันก็แค่ลมปาก   ชั้นไม่เชื่อจนกว่าจะมีลำกล้องมาอยู่ตรงหน้านายแล้วฆ่านายแทนน้องชั้น]

    “...”

    [เฮ่อ  ชั้นรู้นะว่าแกรักน้องชั้น   บอกตรงๆ ตอนนี้ชั้นไม่อยากฝากให้แกปกป้องดงเฮมันเหมือนเดิม   น้องชั้นน่ะมีแค่คนเดียวนะคิบอม   ชั้นเสียไอ้ตัวเล็กมันไปไม่ได้นะ]   น้ำเสียงตึงเครียดจากความรู้สึกตรงๆ เผยออกมา   คิบอมได้ยินเสียงซีวอนแทรกเข้ามาเหมือนพูดอะไรบางอย่างกับฮีซอลแล้วก็เงียบไป]

    “มันจะไม่มีวันนั้น   ผมให้สัญญา”

    แม้จะมีเสียงของเขาที่รับปาก  แต่คิบอมก็ยังได้ยินฮีซอลทอดถอนใจออกมาอยู่ดี   คิบอมรู้ดีว่าตอนนี้เขายังไม่มีหลักประกันใดๆ มาสนับสนุนคำพูดตัวเองมากมายนัก   ของแบบนี้มีแค่การกระทำเท่านั้นที่พิสูจน์ได้   ลมปากบอกไปก็เท่านั้น   พูดได้ทำไม่ได้มันก็ไร้ค่ายิ่งกว่าผายลม

    คิบอมออกจากคอนโดไปเก็บเสื้อผ้าบางส่วนที่ฮีซอลยัดใส่กระเป๋าไว้ให้แล้วบอกให้มารับไป   แต่ก่อนออกจากห้องซองมินกับฮยอกแจก็มาหาเพื่อนสนิทของพวกเขาและอยู่เป็นเพื่อนให้ระหว่างที่คิบอมไปจัดการธุระ   แม้ตอนจะไปก็ยังไม่วายถูกน้องอ่อนแอของไอ้โหดร้องแซว

    “ตอนนี้ก็แค่เอาเสื้อผ้ามาอยู่ด้วย   ต่อไปไม่ขนของย้ายตามกันมาเลยเร้อ   ทำเพื่อนชั้นใจแตกนะนายน่ะ   คึๆ”

    ทว่าคิบอมก็ปากหมาตอบกลับไปแทบจะในทันที   “เหมือนที่ฮันกยองมันทำกับฮยอกแจน่ะเหรอ”  พูดจบก็ปิดประตูหนีไม่ให้ฮยอกแจได้โต้กลับ

    “แฟนด๊องนี่มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ   ตอนแรกทำเป็นขรึม   แกล้งให้ตายใจล่ะสิไม่ว่า”  คุณหนูเล็กบริภาษคนที่เพิ่งออกไปให้อีกสองคนฟัง   “พอๆ กับไอ้โหดนั่นเลย”

    “แน่ะ   พูดไปพูดมาก็วกเข้าเรื่องตัวเองจนได้”     ซองมินแขวะ

    “เอ๊า  เรื่องของชั้นไม่น่าฟังตรงไหน”

    “แน่ใจเหรอว่าอยากรู้”

    “ไอ้กระต่ายบ้าเอ๊ย”

    “ฮ่าๆๆ”   ดงเฮหัวเราะร่ากับอารามต่อล้อต่อเถียงของเพื่อนรักเพื่อนแค้น   แก๊งค์กระต่ายไก่ปลานั่งรวมกันอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะรับแขกเพราะให้บรรยากาศสมถะและสบายกว่า   หลังจากสอบถามว่าอาการเขาเป็นอะไรจนทราบว่าสบายดีแล้วก็พากันเลิกกังวลและกลับเข้าสู่โหมดเฮฮาปาร์ตี้กันต่อ

    “เมื่อวานพี่ชายโทรมา   บอกว่าเคมบริดจ์สวยมากๆ   แต่ยังหาเพื่อนไม่ได้”

    “เหรอ   เดี๋ยวก็คงหาได้มั้ง  พี่แกใจดีจะตายไป   ว่าแต่ตอนนี้ที่นู่นหายหนาวหรือยังอะ”

    “ปลายๆ เดือนกุมภาก็คงจะหนาวแหละ   แต่ก็คงเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้าง”   ฮยอกแจตอบซองมิน   “ชั้นว่าชั้นหัดถักผ้าพันคอส่งไปให้ดีมั๊ย   จะได้อุ่นๆ”

    “พูดเหมือนคะแนนวิชาประดิษฐ์แกดีมากอย่างงั้นแหละ”  กระต่ายน้อยจ้องจิกตาเป็นมัน

    “ก็หัดสิฟะ   ไอ้เพื่อนบ้านี่   คนอื่นเห็นมีแต่ให้กำลังใจ   แกนี่แหละดีแต่บั่นทอน”

    “กว่าจะถักเสร็จก็ไม่หนาวแล้วมั้ง   เราว่าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่า”  

    “หรือจะทำอาหารส่งไปให้ดี”  ฮยอกแจปิ๊งไอเดีย

    “เน่าคาเครื่องบินใช่มั๊ย”   ซองมินรอดักทุกจุด

    “หมวกไหมพรมล่ะ   อิๆ   เอาสีหวานๆ เลย”

    “โถๆๆ   น้ำหน้าอย่างแกกว่าจะถักเสร็จก็สองปีสามปี   ป่านนั้นพี่จุนกิเรียนจบแล้วมั้ง   เพ้อเจ้อ”

    “อ๊ากกกกกก    ไอ้อ้วนนรก!!~

    ฮยอกแจยันซองมินจนร่างอวบหงายหลัง   ดงเฮหัวเราะคิกคักไม่รู้จะตลกหรือสงสารเพื่อนดี   ซองมินบ่นปากขมุบขมิบแล้วค้อนวงโต  ไม่ถือสาอะไรแต่ก็ใช้เท้ายันไหล่เล็กของฮยอกแจจนร่างเล็กเซ

    “ถีบงี้เอามีดมาแทงกันเลยเหอะ   หน้าจะทิ่ม”

    “พูดมากเดี๋ยวตดอัดหน้าเลยนี่”

    “ยี๋   โสโครก”   ฮยอกแจกระโดดหนีความซกมกของซองมินถลาไปกอดดงเฮที่หัวเราะจนท้องแข็ง   อดกระแนะกระแหนกลับไม่ได้   หากซองมินกับฮยอกแจแซวเล่นกันส่วนใหญ่ดงเฮมักจะรอชมศึกวันชิงชัยแล้วเอาแต่หัวเราะเสียมากกว่า   เพราะไม่เช่นนั้นเป้าหมายก็จะมาลงที่ตัวเองจากการร่วมมือของเจ้าเพื่อนก.ไก่และก.กระต่าย

    “ปากดี   ฝีมือตัวเองอย่างกับเด็กอนุบาลเล็บขบ”

    “ดูถูก”  ซองมินตอกกลับได้เท่านั้น  “ชิส์   อย่างน้อยชั้นก็มีดีละกัน”

    “อะไร”   คุณหนูแสบซ่าร้องทันควัน   อยากรู้นักเชียวว่าไอ้สิ่งที่ซองมินจะงัดมาอวดน่ะมันคืออะไร

    “หนึ่ง  สอง  สาม”   ชี้นิ้วที่ตัวเอง   ฮยอกแจ  และดงเฮ   “ชั้นน่ารักที่สุด”

    “โถ๊   น่ารักแต่ไหงป่านนี้ยังหง่าวนั่งหงี่เหงาอยู่คนเดียวล่ะครับคุณลีซองมิน”   ฮยอกแจดัดเสียงเข้มทำจีบปากจีบคอ   ถูกตีกลับด้วยอารมณ์นี้มีหรือซองมินจะยอม   โพล่งทันควันด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

    “ใครบอก   ชั้นมีแฟนแล้วนะ”

    “ไอ้พี่ฮยอนจุงนั่นน่ะเหรอ?” 

    “ไม่ใช่!  จะบ้าเหรอ   ชั้นไม่ได้คิดสั้นขนาดนั้นนะ   วันๆ เอาแต่นั่งจ้องจิ้งจกแล้วดูมันกินแมลงน่ะ”   ซองมินทำหน้าปุเลี่ยน

    “งั้นก็...  คยูฮยอน?”   เสียงหวานเดาส่งเดช   ดวงหน้าแฉล้มของซองมินหันขวับมามองแล้วดีดนิ้วเปาะ

    “ถูก”

    “เฮ๊ย!!!  ไอ้นั่นมันฟันแกแล้วทิ้งไม่ใช่เหรอ”

    “พูดดีๆ ก็ได้ฮยอกแจ   จี๊ดนะ”   ตัวอวบพูดทีเล่นทีจริง

    “อ่าๆ   โทษๆ   ก็ไหนว่า...  เกลียดแล้วไม่ใช่เหรอ   แล้วก็อะไรนะ   เค้าอยู่ประเทศจีนไม่ใช่หรือไงน่ะ”

    “ก็กลับมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว  ชั้นไม่ได้บอกเพราะตอนแรกก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นอยู่เหมือนกัน”

    “เมื่อวานคนที่มาช่วยซองมินคงจะเป็นคยูฮยอนสินะ”  ซองมินพยักหน้ารับคำพูดของดงเฮ   ร่างเล็กพอจะเข้าใจความรู้สึกเพื่อนรักหรืออีกนัยหนึ่งคือเขาเห็นเองกับตาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นห่วงซองมินมากขนาดไหน   ทำให้ยอมใจอ่อนและคืนดีกันได้คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก

    “เดี๋ยวๆๆ   อย่าเข้าใจอะไรกันสองคนได้มั๊ยเนี่ย   ชั้นก็อยากรู้นะ”

    “ด๊องอธิบายไอ้ไก่สู่รู้ซิ”

    “ก็คือว่า   เมื่อวานนี้นอกจากคิบอมกับพี่ฮยอนจุงที่ไปช่วยพวกเราแล้วก็มีผู้ชายอีกคนนึง  ซึ่งก็คือคยูฮยอน   แล้วเค้าก็บาดเจ็บเพราะช่วยซองมิน”  

    “อ๋อ   ก็เลยใจอ่อนให้ซาตานที่แปลงร่างเป็นพระเอกขี่ม้าขาวว่างั้นเถอะ    แล้วหมอนั่นเจอพี่ฮยอนจุงได้ไง   ไปรู้จักกันตอนไหน”  ฮยอกแจยังไม่หายข้องใจ  เช่นเดียวกันกับดงเฮที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้  

    “เคยเจอกันครั้งนึงตอนพี่เค้าไปส่งชั้นที่บ้านอ่ะ   สงสัยว่าหมอนั่นจะหล่อมั้งอีตารุ่นพี่ประหลาดนั่นถึงจำได้   เห็นเจอใครหน้าตาดีทีไรก็จ้องตาเป็นมันแทบทุกคนเลยนี่”

    พูดอีกก็ถูกอีก   สามคนมองหน้ากันไม่ได้นัดหมายแล้วหัวเราะแหะๆ ที่แอบนินทาพาดพิงไปถึงรุ่นพี่อีกคนจนได้  

    “ถามจริงเหอะ”   ฮยอกแจตีหน้าเครียด  หลิ่วตามองคล้ายประเมินความคิด   “แกคบกับเค้าเพราะสงสารจริงๆ อ่ะเหรอ   แน่ใจแล้วใช่มั๊ยว่าเค้ามาคบกับเราเพราะรักเราอ่ะ   เดี๋ยวจะพลาดเหมือนคราวที่แล้วอีกนะ   ไหนจะเรื่องที่เคยทิ้งแกไปอีก   ไม่คิดแค้นอะไรบ้างเลยหรือไง   ลีซองมินที่ชั้นรู้จักไหนไปไหนเนี๊ย!

    แซวจนจบประโยคได้ไม่ทันไรมะเหงกก็ลอยเข้ากบาล   ซองมินแยกเขี้ยวใส่พูดเสียงเขียว

    “ชั้นคนเดิมเว้ย   อันที่จริงมันก็ไม่ได้ใสสะอาดไปซะทั้งหมดหรอกนะ”   ดวงหน้าของกระต่ายป่าพราวระยับมากเล่ห์จนเสียวสันหลังวาบ

    “ชั้นจะทำเหมือนด๊องนั่นแหละ”

    “ยังไง?”

    “หลอกให้เสียวแล้วเลี้ยวกลับมั้ง   ฮ่าๆๆ”

    “มินนี่อ่ะ!!

    ดงเฮร้องเพราะตัวเองถูกแซวเข้าซะแล้ว   ซองมินปิดปากเงียบเสเปลี่ยนเรื่องเพราะยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ให้ใครก็ตามรู้ด้วยเหตุผลบางอย่าง   ฮยอกแจตั้งท่าจะย้อนความเซ้าซี้จะให้บอกแต่ซองมินก็โพล่งขึ้นขัดซะก่อน

    “บอกแล้วว่าชั้นอ่ะไม่ธรรมดา   มีแต่นายสองคนนั่นแหละ    อ่อนด๋อย”   เกทับได้เพราะก่อนหน้านี้ก็มีพี่ชางมินมาเทียวจีบเช้าเย็น   ผิดกับฮยอกแจที่โดนฮันกยองป่วนจนปวดหัวมากกว่าเกี้ยวให้หลงรัก   ยิ่งดงเฮก็ยิ่งแล้วใหญ่

    “ชิ   อย่างน้อยชั้นก็ไม่ได้ครองจิ้นเป็นคนสุดท้ายละกัน”   คนอารมณ์ตึงเพราะตกเป็นรองอยู่ทุกทีพาลไปหมด   สองคนนำคะแนนสูงลิ่วประสบการณ์เพดานบินสูงมองไปเป็นตาเดียวยังคนที่ซิง  ใส  จิ้น  ทั้งๆ ที่ออกตัวเร็วกว่าชาวบ้านเขา

    “อ..อะไรเล่า   ร..เรื่องนั้นมันไม่เห็นสำคัญซะหน่อย”

    “เปล๊า   ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่  /  ร้อนตัวๆๆ”  

    คนถูกรุมหน้าแดงปลั่ง   ซองมินกับฮยอกแจที่ตอนแรกเถียงกันจะเป็นจะตายหันมาแทคทีมปะมือสนุกสนานร้องแซวไม่หยุด

    “บอกจะไปยั่วเค้าคนแรกเลย   จนคบกันแล้วก็ยังรักษาสติลยั่วให้อยากแล้วจากไปเหมือนเดิม”   ซองมินร้อง   ไม่ทันไรฮยอกแจก็รับคำอย่างเข้าขา

    “หรือว่าด๊องจะเสน่ห์ไม่แรงจริง  ไม่งั้นคิบอมจะปล่อยให้หลุดมือมานานได้ขนาดนี้เหรอ”

    “พูดไปนะฮยอกแจ   ทำไมล่ะ   ด๊องของเราก็ออกจะหุ่นดี”  ปากก็พูดมือก็จับสัดส่วนนู่นนี่   คนสวยของคิบอมทำหน้างอถูกรุมกินโต๊ะแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนี้

    “อื้ม ...   ออกจะขาว   ร่างเล็ก  เอวคอด   มีน้ำมีนวลซะขนาดเนี๊ย!!  มืออวบขยำบั้นท้ายบึ้บบั้บเต็มไม้เต็มมือ

    “ฮ่าๆๆ”

    “ซองมิน!~  ฮยอกแจ!~   ทำไมต้องรุมเราด้วยล่ะ   รังแกคนป่วยกันอ่ะ”  

    “ทีนี้เลยหาข้ออ้างใหญ่เลย”  ฮยอกแจรู้ทัน   กระแซะกอดคลอเคลียดงเฮที่ทำปั้นปึ่งบึ้งงอนจนตัวโยนเป็นการโอ๋  

    ซองมินยิ้มกรุ้มกริ่มชอบใจกลั่นแกล้งเพื่อนรักสำเร็จ   ดงเฮย่นจมูกใส่   ความปากไวที่บางครั้งก็ทำงานดีเกินคาดเป็นตัวจุดชนวนได้ดีเยี่ยม

    “อีกไม่นานหรอก   ชิ   คิบอมก็รอเราพร้อมอยู่นี่แหละ”

    “คงอีกนานเนอะ”  ยัง  ซองมินยังไม่หยุด   ลอยหน้าลอยตาล้อเลียนด้วยระบบ Non-Stop

    “อย่าท้านะ”  เสียงหวานชักมีไฟขึ้นมาซะแล้ว   ซองมินกับฮยอกแจก็รู้ๆ กันอยู่ว่าดงเฮน่ะบ้ายุขนาดไหน   ก่อนหน้านี้ฮันกยองก็เปรยให้ฟังบ่อยๆ เรื่องของคิบอมกับดงเฮ   เท่าที่รู้ก็มีแต่คิบอมจ้องจะกินแต่เพื่อนรักดันไม่พร้อม   มีโอกาสเสี้ยมก็อยากจะยุให้ได้เรื่องกันไปซะที   สงสารคิบอมก็สงสารเพราะรู้ดีว่าเพื่อนตัวเองก็ดันความรู้สึกช้า   ถ้าไม่ถูกกระตุ้นซะหน่อยคิบอมมีหวังได้รอต่อไปอีกสามปีเป็นอย่างต่ำแน่นอน

    “โอ๊ย”   ฮยอกแจแหวขึ้นในที่สุด  มือขาวผลักหัวเพื่อนจอมกวนประสาทไปที   “แกก็นี่นะ  คนมันไม่พร้อมนี่หว่า   มาล้อกันอยู่ได้”

    “อ้าว   ไอ้ไก่ไข้หวัดนก   กลับลำทันทีเลยนะแก”

    “ของมันแน่”   รับเต็มปากเต็มคำ   “ว่าแต่เจ้าผีจีนนั่นก็เคยพูดกับชั้นอยู่นะ   เรื่องของคิบอมอ่ะ”

    “หือ?”   อีกสองคนทำหน้าสนใจ   ยิ่งเป็นแบบนั้นฮยอกแจก็ยิ่งแกล้งทำเป็นคิดนานจนถูกซองมินผลักหัวเข้าจนได้

    “รู้ก็เล่าสิไอ้ไก่นี่  มัวมาอมภูมิอยู่ได้”

    “ฮันกยองบอกว่าคิบอมอยากรวบหัวรวบหางด๊อง    เพราะกลัวจะเสียไปให้คนอื่น   แต่ก็ไม่กล้าเพราะเห็นว่าด๊องยังไม่พร้อม   อะไรทำนองนี้แหละถ้าจำไม่ผิด”

    “โห   โรแมนติกเนอะ   แต่ก็หื่น”    ซองมินพูดคนแรก

    “จ..จริงอ่ะ   คิบอมพูดแบบนั้น  จริงเหรอ...”

    “อืม   ชั้นก็ตกใจนะตอนแรก  แต่พอได้เห็นหลายๆ อย่างที่ด๊องแสดงออกมาก็เข้าใจคิบอมเลย”

    “เราทำอะไร?”

    “พูดแล้วอย่าโกรธกันนะ”  ฮยอกแจอยากแน่ใจซะก่อน   ตัวเขาเองก็เป็นพวกปากไวพูดอะไรไม่คิด   ไม่อยากเสี่ยงทะเลาะกับเพื่อนเพราะเรื่องพวกนี้อีก

    “อือ  บอกมาเถอะ”

    “ชั้นรู้สึกว่าด๊องดูเหมือนจะกังวลไปหมด   ไม่ค่อยเชื่อใจคิบอมเท่าไหร่   ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ   แบบ...  ยังไงดีวะ   ...  อืม   ไม่กล้าให้ไปทั้งตัวทั้งใจมั้ง   คิดแล้วก็ออกแนวสงสารคิบอมนิสนึง”  ฮยอกแจพูดติดตลกด้วยการเติม S   พยักพเยิดไปทางซองมินให้ออกความเห็นบ้าง

    “คงจะอย่างงั้นมั้ง   คนแบบหมอนั่นไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรเท่าไหร่   เห็นเป็นอีกคนนึงก็เวลาอยู่กับด๊องเท่านั้นแหละ”

    “มันไม่ใช่แบบนั้นนะ   เราเชื่อใจคิบอมนะ”

    “โอ๊ะ  เค้าไม่ได้อยากรู้   คิบอมของด๊องต่างหาก”   ซองมินใช้นิ้วชี้ส่ายไปมา   “ไม่ต้องคิดมากหรอก   ถ้าคิดว่ารักแล้วก็ไม่มีอะไรแย่หรอก   หรือถ้ามันไม่ไหวจริงๆ  ...หมายถึงเรื่องนั้นอ่ะนะ   ก็บอกคิบอมไป”

    “จริง   เรื่องแบบนี้มันต้องพูดนะ”

    “ระดับนี้ไม่พูดแล้ว   รวบหัวรวบหางเลย   ปล่อยไว้นานเดี๋ยวก็โดนไอ้พวกมือดีมันมาแย่งไป   คนดีๆ น่ะไม่ได้มีอยู่ตามริมถนนให้คว้าให้สอยกันได้เกลื่อนกลาดนะ”

    “ทำเป็นพูดดี   กว่าจะสอยคยูฮยอนไว้ได้เสียน้ำตาไปกี่แกลอนแล้วล่ะ”

    “ไอ้ไก่ปากเสีย   เดี๋ยวแม่ฟรีคิกส์ให้ปีกหักเลยนี่   อารมณ์เสีย”

    “เฮ่อ”   คนสวยถอนหายใจ   คุยไปคุยมาก็ไม่รู้มาจบลงที่เรื่องนี้ได้อย่างไร   ใจเขาเองก็ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างรักกับความแน่ใจ   ความรักทั้งหมดที่เขามีมันมอบให้แค่คิบอม   แต่ความแน่นอนใจที่คิบอมจะรักเขาแบบนี้ตลอดไปมันยังไม่กล้าเอาไปเสี่ยง   ลีดงเฮไม่ใช่คนประเภทที่ว่าจะกล้านำทุกอย่างที่หวงแหนไปเสี่ยงกับอะไรก็ตามที่เป็นจุดพลิกผันของชีวิต

     

     

     

     

     

    ฮยอกแจกับซองมินกลับไปแล้ว   และตอนนี้ผมกำลังนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวระหว่างรอคอยคิบอมกลับบ้าน   คำพูดของซองมินลอยเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่ากอปรกับทุกๆ เรื่องราวที่ผ่านมาของผมกับคนที่ผมเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาคือคนรัก

    ผมรักคิบอมนะ   ผมรักและหวงแหนความรู้สึกของเขามากจนไม่อยากเสียไปให้ใครอื่น   ที่ผ่านมาอย่าคิดว่าผมไม่เคยหึงไม่เคยหวงเขา   เพียงแต่ผมแสดงออกมากไม่เท่าเขา   แหงล่ะ   หึงทุกคนที่เฉียดเข้ามาใกล้แถมใช้สายตาเรดาห์ตรวจจับทุกอณูน่ะใครจะไปทำไหวถ้าไม่ใช่คิบอม

    ถ้าผมมอบตัวและหัวใจให้เขา   เขาจะรักผมตลอดไปหรือเปล่า   จะไม่เขี่ยผมทิ้งใช่มั้ย   ไม่ว่าวันข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไร   คิบอมจะยืนอยู่ข้างๆ แล้วกุมมือผมเอาไว้แบบนี้เหมือนเดิมหรือเปล่า   ...ผมกลัวจริงๆ   ผมกลัว   อนาคตที่ไม่มีเขาอยู่กับผมมันอ้างว้างจนผมรู้สึกทรมาน

    ถ้าเป็นแบบนี้...   ผมควรจะตัดสินใจยังไงดี

    “คนดี   ผมกลับมาแล้วนะ”

    อ๊ะ ..   ชอบทำอะไรเงียบๆ อีกแล้วคนบ้านี่   ปกติประตูห้องมันจะมีจะเกิดเสียงเวลาเปิดปิดนะ  แต่เขาชอบทำเงียบๆ ไม่ให้ผมรู้ตัวแบบนี้ทุกที

    ผมเดินออกไปหาคิบอม   เขาถือกระเป๋าเดินทางของพี่ฮีซอลที่คาดว่าข้างในคงจะเป็นเสื้อผ้าของผมนั่นแหละ   คิบอมส่งยิ้มอบอุ่นให้แล้วแกล้งเดินกระแซะผ่านผมไปห้องนอน   วางกระเป๋าไว้ให้บนเตียงของเขา

    “ผมเคลียร์ชั้นให้แล้วนะ”  คิบอมชี้นิ้วไปที่ตู้เสื้อผ้า  

    “อื้อ   พี่ฮีซอลว่าไงบ้าง”

    ผมถามพลางคว้ากระเป๋ามารื้อบนเตียงกว้างสีเรียบๆ ของเขา   ผมจำได้นะว่าบอกให้เขาเอาผ้าปูที่นอนลายนีโม่มาให้ผมด้วย   อ๊ะ   เจอแล้ว

    “ไม่ได้พูดอะไรมากหรอก   ผมรีบไปก็รีบกลับ   แค่บอกให้ดูแลตัวเองด้วย”

    “ขอเปลี่ยนผ้าปูเตียงได้มั๊ย?”

    “หือ   ลายปลาการ์ตูนเนี่ยนะ”

    “ปลานีโม่ต่างหาก”

    “มันเข้ากันมั๊ยเนี่ย”

    “ชิ   ไม่เปลี่ยนก็ได้”   ผมทำหน้างอนๆ แล้วยัดผ้าปูที่นอนสุดรักสุดหวงลงกระเป๋าเหมือนเดิมอย่างเด็กเอาแต่ใจ   ผมรู้ว่ามันคงไม่น่ารักนักหรอก   แต่ผมก็งอนนี่   ...อะไรฟะ   ตามใจกันหน่อยก็ไม่ได้  เชอะ!!

    “เดี๋ยวสิ   ไม่ได้บอกว่าจะไม่เปลี่ยนซะหน่อย”  คิบอมถลามาหยุดมือผม

    “ก็ทำหน้าไม่พอใจขนาดนั้นนี่”

    “ฮื้อ   เปล่าทำ”

    “ก็เห็นๆ อยู่”

    “คิดมาก”  แล้วตานี่ก็ผลักหัวผม   คนบ้า! 

    ผมกับเขาช่วยกันเปลี่ยนผ้าปูที่นอนจากสีครีมเรียบๆ กลายเป็นลายการ์ตูนนีโม่น้อยสดใสแบบที่ผมชอบ   จากที่ว่าจะเปลี่ยนแค่ผ้าปูที่นอนก็ลามไปถึงหมอนข้างและปลอกหมอนเพราะผมอ้อนแกมบังคับเขาอีกนั่นแหละ  

    ผมน่ะขี้อ้อนนะ  ผมรู้ตัว   และทุกครั้งที่ทำตาแป๋วใส่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะไม่ติดกับ   อิๆ

    “ลิ้มบอมจัดกระเป๋าให้เค้าหรือเปล่าอะ”   ผมนึกภาพไม่ออกว่าคิบอมจะเป็นคนหยิบกางเกงในตัวจิ๋วลายอุลตร้าแมน   ชินจังแล้วก็โดราเอมอนพวกนี้มาให้   มันน่าอายจะตาย -///-

    “เปล่าๆ   พี่ฮีซอลเก็บให้น่ะ”

    เฮ่อ   ค่อยยังชั่ว

    จัดของไปสักพักคิบอมก็ถามว่าอยากทานอะไร   พอผมบอกว่าวัตถุดิบในตู้เย็นยังเหลืออีกเยอะเดี๋ยวจะทำอาหารเย็นให้กินเขาก็ยิ้มแป้น 

    “อยากกินอะไรล่ะ”  ผมพูดไปพลางหยิบนู่นนี่ไปพลาง   อา..  ผมชอบห้องครัวของเขาจริงๆ

    “อยากกินปลา”

    ย๊า ...   พูดอะไรของนายน่ะ  =///=

    “บ้า!   ตอนนี้ผมคงไม่ต่างอะไรไปจากนางเอกการ์ตูนตาหวานเล่มละสี่สิบ   ก็มันเขินจริงๆ นี่   คิบอมชอบพูดเสี่ยวๆ ให้ผมเขินแปดตลบได้ทุกที   ถึงจะไม่บ่อยแต่มันก็ทำให้ผมอายได้เสมอ

    “ฝันไปเถอะ!

    ผมแหวใส่เขาเหมือนเคย   แอบได้ยินคิบอมทำปากขมุบขมิบนินทาผมลับหลังเหมือนกันนะ

    “คนสวยใจร้าย”

    คนสวยอีกแล้ว...  ผมก็ไม่ชอบเท่าไหร่นะคำนี้   ผมเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบให้ใครมาชมผมซึ่งเป็นผู้ชายว่าสวย   แต่ถ้าเป็นคิบอมที่พูดออกมามันจะทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้เสมอ    เอาเป็นว่ายกให้คนนึงละกัน >///<

    “จุ๊บ!

    “แต๊ะอั๋งเค้าอีกแล้ว!   ผมร้องลั่น   ฝ่ามือจับแก้มที่ร้อนผ่าวของตัวเองพลางจ้องมองใบหน้าเปี่ยมสุขของคิบอมที่ได้หาเศษหาเลยกับร่างกายของคนอื่นแล้วยังมีหน้ามียิ้มสุขีสุขังกะละมังตั้งเด่แบบนี้อีก

    “อดใจไม่ไหวน่ะ  อยากน่ารักทำไมล่ะ”  อ่ะอ๊ะ   เหตุผลถูกใจ 

    “ผิดอีก?”

    “หึๆ   ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้นี่”

    ...  

    กับคำพูดประโยคนี้...   ผมควรจะรู้สึกยังไงดี   ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้

    “คิบอม”   ผมเอ่ยปากเรียกเขาด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว 

    “หืม”

    “ถ้าเกิดวันนึง   เราไม่ได้รักกันแล้ว   มันจะเป็นยังไงเหรอ”   ทำเหมือนถามลอยๆ ไม่แอบแฝงความหมายอะไรในนั้นและเตรียมอาหารต่อไป   แต่เมื่อคิบอมได้ยินเขาหยุดมือทุกอย่างที่กำลังคลอเคลียผมทันที

    “ทำไมถามแบบนั้น?”

    “ชั้นก็แค่...   อยากรู้”   ผมแทนตัวด้วยคำนั้นอีกแล้ว   และอาจเป็นเพราะแบบนี้   คิบอมเลยจับพิรุธของความรู้สึกผมได้

    “หืม   เป็นอะไรครับ   รู้สึกไม่ดีเหรอ”  

    คิบอมโอบผมให้เราได้ใกล้กันทั้งตัวและใจแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน   ผมลังเลและลำบากใจเกินไปที่จะตอบว่าไม่ในคำถามนี้   ผมจึงพยักหน้ารับ

    “อ่า   หนูด๊องของผมเป็นอะไรเนี่ย   ไม่เอาไม่เครียด”  คิบอมยิ้ม   มือของเขานวดขมับผมไปมา 

    “ชั้นอยากรู้จริงๆ นะ   คิบอม...   ชั้นกลัว   ชั้น... ไม่อยากเสียนายไป”

    ผมรู้ว่าตอนนี้สีหน้าและท่าทางของผมมันคงเต็มไปด้วยความอ้อนวอนแน่ๆ   เพราะใจของผมมันเอ่อล้นไปด้วยคำว่าวิงวอนจนแทบบ้า

    คิบอมเงียบ   ความเงียบที่เกิดขึ้นมันทำให้ใจของผมโหวงเหวงและไร้ที่ยึดเหนี่ยว   สายตาคมคายที่จ้องลึกมาในดวงตาอ่อนแอของผมมันลึกล้ำจนอาจจะมองเห็นทุกความรู้สึกและเข้าใจทุกอย่างที่ผมกำลังคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

    “ผม... ไม่เคยมีความรักมาก่อน”

    เขากุมมือทั้งสองของผมไว้ด้วยอุ้งมือหนาของเขาอย่างอ่อนหวาน    เปรยคำพูดเรียบๆ นั้นออกมาด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก   มันอ่อนโยนแต่ก็จริงจังจนยากเกินไปที่จะรู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นรู้สึกยังไง

    มือหนากระชับแน่นขึ้นจนผมรู้สึกถึงความอาทรที่เขาส่งผ่านมาทางสัมผัสบนฝ่ามือ

    “ไม่เคยเชื่อว่าเพราะความรักจะทำให้ผมเป็นบ้าได้เพียงแค่เห็นใครบางคนพยายามจะแย่งคุณไปจากผม   มันทรมานจนอยากจะตายด้วยซ้ำหากผมไม่สามารถเหนี่ยวรั้งคุณเอาไว้ได้”

    “...”

    “มันยากเกินไป   ผมไม่รู้ว่าขอบเขตของความรู้สึกนั้นมันสมควรจะหยุดลงที่ตรงไหน   ไม่สามารถปล่อยให้คุณคลาดสายตาได้แม้แต่วินาที   ผมไม่รู้แม้แต่วิธีที่จะควบคุมมัน   เวลาที่คุณเจออันตราย   ผมเหมือนคนบ้าที่คลั่งจะเป็นจะตาย   คุณกำลังเป็นยังไงบ้าง   คุณจะปลอดภัยหรือเปล่า   ถ้าคุณเสียใจผมจะปลอบใจคุณยังไงดี”  

    “...”

    “สิ่งที่เกิดขึ้นเคยเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเข้าใจและรับมือกับมันได้ทุกอย่าง    แต่ว่าพอเป็นเรื่องของคุณ   ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย   กลายเป็นแค่คนธรรมดาที่กังวลและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา”

    “...”

    “ผมก็กังวลนะ   ...ว่าสักวันจะเสียคุณไปเพราะความงี่เง่าของตัวเอง”

    “...”

    คิบอมแนบมือขวาของผมลงบนอกด้านซ้ายของเขา   ผมเฝ้ามองใบหน้าอ่อนโยนด้วยสายตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยความรู้สึกของผมที่อัดแน่นทั้งหัวใจ

    ตึกตัก...   ตึกตัก...   ตึกตัก...

    ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเขามันเต้นรัวและถี่เร็วจนผมเองยังรู้สึกตกใจ   “ค..คิบอม”

    “มันไม่เคยควบคุมได้เลยนับตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน”

    “...”

    คำพูดของเขามันทำให้ผมตื้นตันใจจนไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใดๆ ได้อีก

    “ที่คุณถามว่ามันเป็นยังไงหากเราไม่มีกันและกัน   ...ผมไม่รู้   คนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรอย่างผมกลับกลัวอะไรบางอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะใส่ใจมันในชีวิตนี้”  

    คิบอมฝังฝ่ามือของผมให้กดแน่นของบนหน้าอกด้านซ้ายของเขามากขึ้นไปอีก   คิบอมคือผู้ชายที่เข้มแข็งที่สุดสำหรับผมเสมอ   เขาไม่แคร์คนทั้งโลกนอกจากคนที่เขาแคร์   เขาไม่กลัวแม้จะมีสิ่งปลิดชีวิตเขารออยู่เบื้องหน้า   เขาคือคนที่กางแขนปกป้องผมเสมอเหมือนที่ผ่านมาและทำทุกอย่างได้เท่าที่เขาพอใจจะทำ   จนผมเองยังเคยคิดว่า   ...  คิมคิบอมสะกดคำว่ากลัวไม่เป็น   แต่ตอนนี้   ผมเพิ่งรู้ว่าผมคิดผิด...

     ผมกลัวที่จะไม่มีคุณ    เพราะการไม่มีคุณ...”   คิบอมปลดมือผมออกจากตำแหน่งหัวใจของเขา   “ผมจะขาดใจ”

    “ฮึก..  คิบอม”

    วินาทีนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว   ความลังเลใจ   ความสับสน  และความกลัวที่ผ่านๆ มาทั้งหมดที่เคยมี   ผมโถมตัวเข้าไปกอดเขาสุดแรงด้วยอ้อมกอดที่รัดแน่นจนแทบจะฝังร่างลงไปกับตัวเขา  

    “ชั้นรักนายนะ   ชั้นรักนาย   ฮึก...   เค้ารักลิ้มบอมนะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
    คิเฮเอ็นซีกันวาเลนไทน์  กึ๋ยๆๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×